หายศหาลาภจนเกิดเรื่อง
วันที่ 11 กรกฎาคม. 2547 เวลา 8:10 น. ความยาว 36.49 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

หายศหาลาภจนเกิดเรื่อง

 

ผู้กำกับ         รูปพวกนู้นเอาไม้เสาธงไล่ตีลูกศิษย์ของหลวงตา พวกคุณทองก้อนกับพรรคพวก ให้อินเตอร์เน็ตส่งไปถึงเมืองนอกให้เขาเห็น

หลวงตา        นั่นแล้วให้อินเตอร์เน็ต

ผู้กำกับ         วิจารณธรรม วันอาทิตย์ แค้นของพระต้องชำระที่พุทธมณฑล !!  (๑) “คำของ พล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในทันทีที่เข้ามารับหน้าที่ใหม่ได้มีบัญชาต่อหน้า พล.ต.ท.อุดม  เจริญ ผอ.สำนักงานพระพุทธฯ แต่คงนำมายึดถือปฏิบัติได้เพียงข้ามคืนเดียวเท่านั้น พอวันรุ่งขึ้นคำบัญชานั้นก็ดูจะหมดความหมาย  ท่านผู้ชมที่มีบุตรหลานอยู่ในปกครอง โปรดใช้วิจารณญาณอธิบายให้บุตรหลานได้เข้าใจต่อเหตุการณ์ที่ผมจะนำมาเสนอต่อไปนี้ และกรุณากล่าวตักเตือนบุตรหลานของท่านด้วยว่าอย่าได้ยึดถือกรณีนี้มาเป็นแบบอย่าง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงพฤติกรรมของพระสงฆ์และสาธุชนเพียงส่วนน้อย ในส่วนใหญ่แล้วพระสงฆ์ท่านยังเป็นพระสุปฏิปันโน ยังเป็นที่พึ่งเป็นสรณะและยังกราบไหว้บูชาได้อย่างสนิทใจ

      ขอเรียนท่านผู้ชมว่า เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ กรกฎาคม เป็นวันพระ มีกำหนดการประชุมมหาเถรสมาคมตามปกติ แต่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็คือ ได้มีการย้ายที่ประชุมจากตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศ ที่ได้ยึดถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบทอดมานานนับร้อยปี ไปจัดประชุมกันที่ห้องประชุมพุทธมณฑลซึ่งยังไม่เคยจัดมาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นแผนการของใคร น่าจะมีแผนการอะไรสักอย่าง เพราะผิดสังเกตอย่างเห็นได้ชัด นักข่าวสายศาสนาต่างเช็คกันให้วุ่นว่าวันนี้จะมีการประชุมมหาเถรสมาคมหรือไม่ ทำไมที่วัดบวรนิเวศจึงเงียบเชียบผิดปกติ ไม่มีการขอกำลังจาก สน.ชนะสงครามเข้ามาเตรียมอารักขาและจัดการจราจร

          จากที่เกาะติดสถานการณ์จึงคาดได้ว่า ในวันนี้จะต้องมีม็อบฝ่ายสนับสนุนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว  อุปเสโณ)  เข้าไปปักหลักยึดพื้นที่ด้านหน้าตำหนักเพ็ชร และฝ่ายคัดค้านคือกลุ่มของนายทองก้อน  วงศ์สมุทร ก็ต้องเคลื่อนขบวนมายังวัดบวรนิเวศก่อนเวลาที่กรรมการมหาเถรสมาคมจะเดินทางมาถึง ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้น  เช็คข่าวกันตั้งแต่ ๙ โมงจนกระทั่งเลยเพล นักข่าวท่านหนึ่งได้สายตรงไปยังวัดสระเกศ ได้รับคำตอบว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์กำลังเดินทางไปประชุมที่ตำหนักเพ็ชร เพื่อให้แน่ใจจึงสายตรงไปถึง นายกนก  แสนประเสริฐ ผอ.ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา ได้รับคำตอบว่า "ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดประชุมที่ไหน" จะเป็นไปได้อย่างไรกันครับ ในเมื่อ ผอ.กนก ต้องมีหน้าที่ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดเข้าไปดูแลความปลอดภัยในการประชุมทุกครั้ง

          ส่วนตัวผมเองก็สายตรงไปที่ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ เขาบอกว่าไม่รู้ จึงต่อสายอีกครั้งไปถึงนายสมชาย  สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธฯ ก็ตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธฯอีกหลายคนก็บอกว่าไม่รู้ๆๆ  นี่มันเกิดอะไรขึ้น!  โดยปกติแล้วสำนักงานพระพุทธจะเชื้อเชิญผู้สื่อข่าวให้เข้าไปทำข่าวในวันประชุมมหาเถรสมาคม แต่วันนี้หลบนักข่าว ! ผมไม่รอใครรีบบึ่งไปยังพุทธมณฑล ไปถึงบ่ายโมงกว่า พอจะผ่านเข้าเขตพุทธมณฑลก็รู้สึกดีใจที่ได้เห็น รปภ.สำนักงานพระพุทธฯ ใช้แผงเหล็กปิดถนนตั้งจุดสกัดรถท่าทางเข้มงวด ผมไขกระจกลงบอกขออนุญาตผ่านจะเข้าไปทำข่าว จึงผ่านเข้าไปได้

      นักข่าวมีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หลุดรอดเข้าไปได้ นอกนั้นไม่รู้ว่าหลงไปทางไหนกันหมด เหมือนกับจะมีเหตุร้ายที่ไม่อยากให้ตกเป็นข่าว !? เมื่อเข้าไปถึงภาพที่เห็นเป็นฉากแรกก็คือ มีชายฉกรรจ์ประมาณ ๑๐ กว่าคนยืนถือธงไตรรงค์กับธงเสมาธรรมจักรเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ตรงบันไดทางขึ้นหอประชุมใหญ่ พอผ่านเข้าไปภายในจึงพบว่ากำลังเปิดเวทีอภิปรายอย่างเผ็ดร้อน นำทีมโดยพระมหาโชว์  ทสฺสนีโย ผอ.ส่วนธรรมนิเทศ ม.มหาจุฬาฯ กับ นายเสถียร  วิพรมหา อาจารย์ประจำ ม.มหามกุฎฯ มีพระภิกษุสามเณรและสาธุชนเข้าร่วมรับฟังเกือบหนึ่งพันคน

      ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์จากทั่วประเทศจำนวน ๖๓๓ รูป เข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ต้องการเข้านมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ เนื่องจากเพิ่งจบหลักสูตรการอบรมพระปริยัตินิเทศตามที่จัดขึ้น ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี หลังจากตั้งผู้แทนเข้านมัสการด้วยช่อดอกไม้ต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ในที่ประชุมมหาเถรสมาคมแล้ว ได้มีคณะผู้อำนวยการพระพุทธศาสนาจังหวัดประมาณ ๒๐ คน เข้าถวายพานพุ่มสักการะ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ พล.ต.ท.อุดม ได้เข้ามาถึงยังห้องประชุม จากนั้นพระคุณท่านทั้งหลายก็เดินทางกลับ

      กรรมการมส.ที่เข้าประชุมในครั้งนี้ มีเพียง ๑๒ รูป เกือบไม่ครบองค์ประชุม มีระดับสมเด็จพระราชาคณะเข้าประชุมเพียง ๒ รูป คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ องค์ประธาน กับ สมเด็จพระญาณวโรดม เท่านั้น ส่วนสมเด็จพระมหาธีราจารย์ สมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ไม่ได้เข้าร่วมประชุม

      ผมได้ออกไปนั่งพักอยู่ข้างประตูห้องประชุมด้านนอก เจ้าหน้าที่ ๒-๓ คนชี้ให้ผมหันไปดูนกเอี้ยงตัวหนึ่งกำลังไล่จิกตี "ตัวเงินตัวทอง" ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวโกลาหลเป็นเวลานาน "ตัวเงินตัวทอง" ตัวนั้นมันขึ้นมาคลานอยู่ข้างห้องประชุม ซึ่งผมก็มิได้คิดเฉลียวใจเลยสักนิดว่า นั่นคือลางร้ายบอกเหตุ !! พอย้อนกลับเข้าไปภายในอีกครั้งก็เห็นคณะพระวัดป่า ๕-๖ รูปเดินเข้ามาภายในอาคาร ติดตามมาด้วยนายทองก้อนกับศิษย์ชายหญิงอีกประมาณ ๓-๔ คน  ตามท้ายมาด้วยพระและฆราวาสกลุ่มของศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา โดยมีโฆษกสำนักงานพระพุทธฯ ออกมาต้อนรับเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งพักในห้องประชุมเล็ก

          พระอาจารย์สายวัดป่าแจ้งวัตถุประสงค์ว่าต้องการเข้ามายื่นหนังสือ เรื่อง "ติดตามการพิจารณาและการชี้แจงของมหาเถรสมาคม และข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์พระพุทธศาสนา" ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารบัญออกมาลงเลขที่รับหนังสือไว้ นอกจากนี้ก็ต้องการทราบความคืบหน้ากรณียื่นหนังสือ ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน และหนังสือลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ว่าทางสำนักงานพระพุทธที่ได้รับหนังสือนี้ไปนานแล้ว ดำเนินการไปถึงขั้นไหน

          หลังจากรอฟังคำตอบอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีใครชี้แจงอะไรได้ จึงพากันกลับลงไปยังลานจอดรถด้านหลังอาคาร แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มม็อบที่มีทั้งพระเณรทั้งฆราวาสนำโดยพระมหาโชว์ได้เข้ามาตั้งม็อบปิดกั้นเส้นทางเข้า - ออกไว้หมดแล้ว เสียงปลุกระดมโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยความเคียดแค้นผ่านเครื่องขยายเสียงดังระงมทำนองว่า นายทองก้อนได้เคยแสดงความก้าวร้าวต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์มาก่อน และที่ผ่านมายังเคยยกขบวนเข้าไปท้าทายต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ถึงในวัดสระเกศ และยังเคยยกขบวนไปเชิดสิงโตล้อเลียนที่หน้าวัดบวรอีก ในทำนองว่า แป๊ะยิ้มอยากเป็นสังฆราช ดังนั้นในวันนี้เจ้าก็ควรต้องชดใช้ต่อการกระทำนั้นบ้าง

          จากนั้นก็มีการโยงสายสิญจน์ สวดบังสุกุล และทำการจุดไฟเผาหุ่นนายทองก้อนควันโขมง เสียงโห่ร้องเสียงด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายดังลั่น เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า ๕๐ นายจากการนำของ พ.ต.อ.วิเชียร  ตันตะวิริยะ ผกก.สภ.อ.พุทธมณฑล ได้แค่ยืนมองตาปริบๆ จะนำกำลังเข้าไปห้ามปรามเสียก็ย่อมได้ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นพุทธศาสนสถานเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาไทย และกำลังใช้เป็นสถานที่ประชุมของมหาเถรสมาคมครั้งประวัติศาสตร์

          ผอ.ใหญ่สำนักงานพระพุทธก็อยู่ในที่นั้นขณะนั้น แต่กลับปล่อยปละละเลยจนเกิดเหตุการณ์บานปลาย ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ กลับกลายเป็นแดนมิคสัญญีในบัดดล !! กรุณาติดตามต่อวันพรุ่งนี้ (ณ. หนูแก้ว)”

          หลวงตา        คุณทองก้อน พี่น้องทั้งหลายได้ทราบแล้วเหรอว่าเป็นหัวใจของชาติไทยและชาวพุทธเรามาดั้งเดิม ตัดคอรองชาติไทยของเราและพุทธศาสนาของเรามาดั้งเดิมแล้ว เวลานี้กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก ในนามของคนทั้งชาติทั้งศาสนาให้พิจารณาเอาก็แล้วกันนะ พูดเพียงเท่านั้นแหละ คุณทองก้อนนี้ทำประโยชน์ให้โลกอย่างเต็มเหนี่ยวเลย คอขาดก็เหมือนว่าขาดไปเลยทีเดียว ทำเต็มที่เต็มฐานเพื่อพี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติทั้งศาสนานั้นแหละ เวลานี้กำลังถูกทุกแบบทุกฉบับที่เข้ามารุม ให้พี่น้องทั้งหลายได้ดู เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหูด้วยกันทุกคนๆ ดูเอาก็แล้วกัน

          เวลานี้มิคสัญญีมันกำลังเกิดขึ้นในวงพุทธศาสนา และในท่ามกลางแห่งประเทศไทยของเราให้ดูเอา พิจารณา เราพูดได้เพียงเท่านั้นไม่พูดมากละ พิจารณาก็แล้วกัน อย่าลืมว่าคุณทองก้อนนี้คือหัวใจของชาติไทยเรา ผู้หวังดีและรักษาพุทธศาสนาทั้งชาติมาดั้งเดิม คุณทองก้อนเป็นผู้ตัดคอรองไว้ทั้งหมด เรื่องราวจะเป็นอะไรๆ คุณทองก้อนนี้ก็คือคุณทองก้อนของชาติไทยเรา ของศาสนาไทยเรา ให้จำข้อนี้ให้ดี เอาละพอ อย่าหวั่นอย่าไหว เข้าใจ

          ผู้กำกับ         มีอีกหนึ่งฉบับครับ อันนี้เป็นหนังสือมติชน ฉบับบิดเบือนข้อเท็จจริง

          หลวงตา        อย่าเอามาอ่าน ฉีกเสีย เอามาอ่านหาอะไร บิดเบือนก็รู้ว่าบิดเบือน มันขวางตามาแล้วขวางหูมาแล้ว อย่าเอามาอ่านให้กีดขวางหัวใจชาวไทยที่รักชาติรักศาสนา อ่านหาอะไร ก็หนังสือข้าศึกศัตรู มหาภัยต่อชาติต่อศาสนาอ่านหาอะไร เท่านั้นละ

          ผู้กำกับ         มีปัญหาอินเตอร์เน็ต

          คนแรก  คำถามจากหลวงพ่อรูปหนึ่งเกี่ยวกับการภาวนาของท่านเอง ท่านได้ฝากกราบเรียนถามองค์หลวงตาดังนี้เจ้าค่ะ ท่านเริ่มต้นภาวนาจากการดูอยู่ที่จิต สมัยก่อนท่านจะเห็นอาการของจิตเป็นนิมิตมากมาย ท่านเพ่งจนท่านเห็นว่าไม่พอดี ต่อมาจึงได้ดูกว้างๆไป ไม่เพ่งใส่กาย เวทนา จิต ต่อมาได้สัมผัสอรรถรสแห่งธรรมที่สว่างโล่งว่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ท่านจึงมั่นใจว่าด้วยการภาวนาแบบปัจุบันที่อาศัยเพียงคอยสังเกตอาการของจิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วดับ จนเหลือแต่ความว่าง ถึงจุดนี้ท่านจะเกิดนิมิตดวงสว่างผ่องใสและอาการยิบแย็บ สว่างหรือดวงกลมๆ รูปแบบต่างๆ เป็นนิมิตข้างหน้า ท่านกราบเรียนถามองค์หลวงตาว่า

          ให้ท่านตั้งสติอยู่กับนิมิตที่เกิดดับอยู่ข้างหน้านั้น หรือ ให้ท่านตั้งสติอยู่กับตัวจิตที่ว่างไม่มีอะไร หรือ กราบเรียนองค์หลวงตาโปรดเมตตาแนะนำหลวงพ่อรูปนี้ตามองค์ธรรมแห่งองค์หลวงตาเห็นควรเจ้าค่ะ

          หลวงตา        ให้ตั้งอยู่ในที่จุดสว่างนั้นแหละ นิมิตมันเกิดขึ้นเรื่อยๆ มันไม่แน่นอน เราเคยทำแล้วเรื่องนิมิตนี่นะ พอเริ่มภาวนานิมิตมันขึ้นมาไม่รู้กี่เส้นกี่สาย จะลองติดตามนิมิตลองดูด้วยความมีสติ ตั้งหน้าดูนิมิต วันนี้จะดูนิมิตมันจะไปถึงไหน  นิมิตมันเกิดขึ้น เพ่งนิมิต นิมิตไหนเกิดขึ้นเพ่งๆ ดับไปๆๆ คืนวันนั้นเพ่งนิมิตทั้งคืนในเวลาภาวนาเลย แล้วนิมิตค่อยสงบไป วันหลังเอาอีกจะตามดูนิมิตเป็นยังไงด้วยสติของเรานี้แหละ นิมิตที่มากมายก่ายกองค่อยจางไปๆ สุดท้ายเลยไม่มีนิมิต พอหมดนิมิตไปแล้วจิตใจก็สว่างอย่างที่หลวงพ่อว่านี่แหละ เราเคยทำมาแล้ว

          เพราะฉะนั้นจึงให้ดูในจุดสว่าง เรื่องเพ่งนิมิตนั้นเมื่อเพ่งมีสติแล้วจะเป็นธรรมตลอด ไม่เสียหาย เราได้ทำดูแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาดูนิมิตมันจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงไร เอ้า เราจะดูให้เห็นเหตุเห็นผลของมัน วันแรกก็หนาแน่นมาก วันที่สองจางมา จากนั้นนิมิตหมดไปเลย เหลือแต่ความสว่างไสวภายในจิต เลยอยู่กับความสว่างนั้น อันนี้ก็ถูกต้องแล้ว บอกว่าให้อยู่ในความสว่างนั้นเสีย เมื่อนิมิตมันผ่านหมดไปแล้วนะ ก็มีเท่านั้น

          นี่เห็นไหมล่ะ พูดมาที่มันผ่านหมดแล้วนี้ก็ยังบอกแล้ว เป็นแต่เพียงว่าไม่ออกพูดเฉยๆ เรายังเคยพูดด้วยความอาจหาญเลยโลกเลยสงสารนี้ด้วย ไม่ใช่ความอาจหาญธรรมดาถ้าว่าอาจหาญก็ดี สมมุติว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศไทยที่จะขอฟังความจริงจากโลกจากธรรม คือจากทางโลกทางศาสนา โดยนิมนต์หลวงตาบัวไป นิมนต์หลวงตาบัวไปแล้วหลวงตาบัวจะขึ้นท่ามกลาง เรียกว่าจะเป็นสังฆมณฑลหรืออะไรก็แล้วแต่ พระสงฆ์ก็เต็มไปหมด ประชาชนก็เต็มไปหมด เราจะได้ประกาศถึงเรื่องโลกสงสารเป็นมายังไงๆ แล้วประกาศถึงเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าทุกองค์ศาสดาที่เป็นมา เป็นมายังไง กระจายจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ให้โลกทั้งหลายได้เห็น ได้ยินทั่วถึงกันหมด

          เหมือนหนึ่งว่าเสียงของเรานี้ให้กระจายทั่วโลก ให้ได้ยินทั่วโลก เราจะขึ้นทันที เราจะประกาศให้เต็มเหนี่ยวของโลกสงสารที่เป็นมายังไงต่อยังไง แล้วธรรมของพระพุทธเจ้าที่องค์เลิศเลอเป็นมายังไงๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เป็นยังไงจะได้อธิบายให้ชัดเจน แต่นี้เหตุการณ์มันไม่มีอย่างนั้นก็เป็นอยู่อย่างนี้ เข้าใจไหม เป็นยังไงขี้ขลาดไหมพี่น้องทั้งหลายฟังซิ นี่ละธรรมในหัวใจ ถ้าลงได้เกิดขึ้นแล้วไม่มีอะไรสะทกสะท้านในแดนสมมุตินี้ไม่มี หมด ว่างเปล่าไปหมด เหลือแต่ธรรมที่ก้าวเดินออกด้วยความสว่างไสว ให้โลกได้เห็นชัดเจน ทั้งทางโลกที่มันหมุนกันมายังไง หมุนกันมายังไงตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วธรรมที่แก้กันยังไง ชะล้างกันยังไง คือศาสนาของพระพุทธเจ้านี้แหละ เป็นศาสนาที่ชะล้างความสกปรกของวัฏจักร วัฏวน วัฏทุกข์ นี่หมุนกันมา ล้างกันมาโดยตลอดๆ

          ถ้ามีเหตุการณ์ที่ควรจะพูดอย่างนั้นเราจะเปิดให้เต็มเหนี่ยวเลย นี่มันมีอย่างนี้ก็พูดเพียงแค่นี้ ๆ เองละ ดังที่สอนท่านทั้งหลายมาโดยลำดับ ยังว่าหลวงตาบัวอวดโลกอยู่เหรอ อวดยังไงมันจ้าอยู่นี้ตลอดเวลา แต่ธรรมะนี่ไม่ได้มีกดมีถ่วง ไม่มีผลักมีดัน มีเหมือนไม่มี แล้วแต่เหตุการณ์ที่จะเกิดมาหนักเบา มากน้อย มันจะออกรับกันๆ ตามเหตุการณ์มากน้อย ที่ควรจะออกหมดทั่วแดนโลกธาตุมันจะออกทันที เข้าใจไหมล่ะ ถ้าไม่ควรออกก็อยู่อย่างนี้ละ พากันจำเอานะ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นแหละ

          ผู้กำกับ         คนที่สอง ปัจจุบันนี้หนูนั่งภาวนาจะปรากฏเป็นความว่างตลอด จึงเกิดความสงสัย เลยถามในจิตว่า ความว่างนั้นคืออะไร ในจิตก็แจ้งบอกว่า มันเป็นอากาศธาตุ แต่ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ แล้วในจิตก็บอกว่าให้ประคองจิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะสามารถนั่งได้ทั้งวันหรือหลายวัน หนูจึงอยากกราบเรียนหลวงตาว่า ในการภาวนาอย่างนี้ถูกหรือผิด หนูพยายามพิจารณากายสุภะและอสุภะมันก็ไม่ปรากฏเลย (จาก เบญจวรรณ)

          หลวงตา        พิจารณาให้มันปรากฏ มันมีอยู่กับเรามันไม่ปรากฏมันจะไปไหน กองมูตรกองคูถมีอยู่ในพุงทุกคนๆ มันจะไปไหน พิจารณาลงไปนั่นซิ เข้าใจเหรอ เอ้าพิจารณาตรงนี้ สิ่งที่มันเห็นคือสิ่งหลอกลวง ความจริงมันไม่ยอมเห็นไม่ยอมดูเท่านั้นเอง ก็มีเท่านั้นแหละ

          ผู้กำกับ         คนที่สาม หลานภาวนาโดยกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมพุทโธ แล้วเกิดอาการวูบเหมือนตกเหวตกบ่อ ไปเร็วมาก สติตามไม่ทัน เลยไม่รู้ว่าเกิดตอนไหนตกใจมาก แต่ก็พยายามประคองจิตไม่ให้ตกใจ ก็เกิดนิ่งสงบสว่างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตาหาที่สุดไม่ได้ ช่วงเวลานี้มีความรู้สึกว่าในโลกนี้เป็นเพียงสมมุติ ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีโลกและวัตถุสิ่งของอะไรเลย แม้แต่ตัวเราเองนี้ก็ไม่มี ไม่ปรากฏ มีแต่จิตดวงรู้ลอยเด่นอยู่อย่างนั้น ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ มีแต่สภาวะว่างเปล่าคล้ายกับว่าเราเองเป็นส่วนหนึ่งของความว่างนั้น

          หลังจากนั้นหลานก็กำหนดรู้อยู่กับความว่างต่อไป แล้วรู้สึกว่าจิตเราแหวกว่ายตามความว่างละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แต่ก็หาที่สุดของความว่างนั้นไม่ได้ แล้วก็หยุดอยู่กับความว่างเฉยไม่คิด พยายามให้คิดทางปัญญา จิตมันก็เฉยไม่อยากคิด ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ลอยเด่นอยู่อย่างนั้น สักพักก็ถอนออกจากอาการนั้นๆ หลังจากออกจากสมาธิรู้สึกว่ามองเห็นอะไรจิตมันก็ไม่เข้าไปปรุงแต่ง เป็นสักแต่ว่ารู้แล้วก็เฉย รู้สึกว่าทำอะไรจะช้าลง เรื่อยๆ เฉื่อยๆ หลานอยากถามหลวงตาว่าหลานถึงที่สุดของคำว่าสมาธิหรือยังครับ หลานจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป

          หลวงตา        อยู่กับผู้รู้ ที่สุดหรือไม่สุดอยู่กับที่รู้ กำหนดจิตอย่าให้มันเคลื่อนไหว ให้มันรู้ของมันดูซิน่ะ ให้มันอยู่ที่รู้นั่นละ จะอยู่คำบริกรรมไม่บริกรรมก็ตาม ออกไปแล้วไม่มีสิ้นสุด ให้มันอยู่ในจุดนั้นมันจะรู้ที่ยุติเอง เข้าใจเหรอ

          ผู้กำกับ         อันนี้ลักษณะเหมือนเขาติดสมาธิครับ

          หลวงตา        นั่นแล้ว ติดไม่ติดก็ช่าง อย่าไปเก่งกว่าเขา ตั้งแต่หลวงตาไม่เห็นบอกว่าเขาติดสมาธิ เขาผ่านสมาธิได้แล้ว ไม่เห็นพูด ลูกศิษย์มันเก่งกว่าครู เขาติดสมาธิ ไอ้เราติดหมอนไม่เห็นพูดบ้าง นั่นซี

          ฟังซิธรรมที่เลิศเลอสุดยอด พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ครองมาก่อนแล้ว สาวกทั้งหลายครองตามๆ จ้าตามกันดังที่พูดนี่แหละ เราก็อยู่ไปอย่างนี้ จะว่าหูหนวกตาบอดก็บอดไปธรรมดา บอดแบบไม่บอด หนวกแบบไม่หนวก อยู่อย่างนั้นแหละว่างั้นเถอะ ถ้าควรจะออกมากน้อยจะเป็นไปโดยลำดับลำดา ถ้าไม่ควรหากรู้เอง ความรู้จักประมาณไม่มีอะไรเกินธรรม ดังที่ว่านี่ หากมีเหตุการณ์ขึ้นมาที่ควรจะเป็นอย่างนั้น หลวงตาจะขึ้นเวทีทันทีเลย เสียงนี้ให้กังวานครอบทั้งสามแดนโลกธาตุ หลวงตาจะออกพุ่งทันทีเลยเทียว ฟังซิน่ะ เวลานี้คุยเหรอ ถ้าอยากจะเห็นเหตุการณ์ก็ให้เหตุการณ์นั้นมาซิน่ะ จะออกทันทีเลย เข้าใจไหม เอาละวันนี้พูดเท่านั้น

ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดนั้นแหละ มันมีแต่พวกหูหนวกตาบอดมันไม่เห็น แล้วเอาขี้เอามูตรเอาคูถไปโปะธรรมๆ อยู่อย่างนี้แหละ เห็นไหมที่พุทธมณฑลวันนั้น อะไรไปโปะธรรม ฟังเอาเท่านั้นก็พอแล้ว เราสลดสังเวชนะ คือเราไม่มีคำว่าแพ้ว่าชนะกับผู้ใด เอาแพ้เอาชนะกับฝ่ายนั้นฝ่ายนี้เราก็ไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ ผิดถูกประการใดจะรู้ทันทีๆ ไปอย่างนั้นเอง เราจึงสลดสังเวชนะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากความหนาแน่นของกิเลส ที่ยกขึ้นจากกองมูตรกองคูถให้เป็นทองคำทั้งแท่ง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นมากเท่าไรโลกนี้เป็นไฟไปหมดเลย มูตรคูถประเภทนี้เป็นไฟได้ เผาโลกได้ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้น ถ้ารู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้วกลับเนื้อกลับตัว มาประพฤติตัวทำความเข้าใจซึ่งกันและกันเสียเท่านั้น เรื่องราวจะสงบลงๆ

อันเรื่องยศเรื่องลาภจะปรารถนาหาอะไร ถ้าเป็นของเลิศของเลอ พระพุทธเจ้าก็สอนให้ปฏิบัติเพื่อยศเพื่อลาภเพื่อสรรเสริญเยินยอ นี่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นมูตรเป็นคูถ เป็นฟืนเป็นไฟต่อผู้ใกล้ชิดติดพันกับมัน แล้วจะเอาฟืนเอาไฟไปเผาโลกให้พินาศฉิบหายไปตามๆ กันหมด พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า โลโภ จ อโลโภ จ เราแปลออกเป็นภาษาไทยเลย ความโลภทำคนให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวอกไปหมด ความไม่โลภนั้นเป็นน้ำชุ่มเย็นไปหมดในหัวใจ ในโลกธรรม ๘ ได้มาเสียไป มีสุขมีทุกข์ มีสรรเสริญ มีนินทา ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมเก่าแก่คลุกเคล้าอยู่กับมูตรกับคูถ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ละให้ปล่อยให้วาง แล้วเราทำไมจึงตะเกียกตะกายหายศหาลาภจนเกิดเรื่องเกิดราว จะฆ่าฟันรันแทงกันในแดนพุทธศาสนานี้มันฟังได้ไหม พิจารณาซิ ความโลภประเภทนี้ ลาภยศประเภทนี้จะเอาให้ยิ่งกว่าธรรมมันยิ่งไม่ได้ ถ้ายิ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่มี เพราะพระพุทธเจ้าสอนแล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย เราทำไมจึงโลภเอาเสียนักหนาจนลืมเนื้อลืมตัว จะฆ่าฟันรันแทงกัน ด้วยอำนาจแห่งความโลภ เป็นบ้ายศบ้าอำนาจบ้าสมณศักดิ์ มันไม่เคยมีในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา นี่ประดิษฐ์ขึ้นมาอะไร อุตริขึ้นมาอะไร มาเผาชาวพุทธเราทั้งประเทศไม่สมควรอย่างยิ่ง ควรพิจารณา ให้รู้สึกเนื้อรู้สึกตัวเสียบ้าง

พระเราก็หัวโล้นๆ พระพุทธเจ้าหัวโล้นเป็นศาสดา หัวโล้นของเรานี้มันเลยเทวทัตไป หรือมันเกินศาสดาไปไหน ให้เอาไปพิจารณาตัว แล้วจะได้ระงับดับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายเหล่านี้ลง โลกและชาวพุทธเราก็จะมีความสงบร่มเย็น เราขอบิณฑบาต อยากให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นฟืนเป็นไฟ พระพุทธเจ้าสอนให้ละให้ถอน อย่าพากันกระหยิ่มยิ้มย่องคืบคลานปีนป่ายกับมันในสิ่งเหล่านี้ จะเป็นกองมูตรกองคูถไปหมดทั้งโลกเมืองไทยเรา ทั้งศาสนาไทยเรานั้นแหละ เอาละพอ

เทศน์ก็เทศน์อย่างนี้แหละวันนี้ ฟังเอาซิท่านทั้งหลาย ถอดออกจากหัวใจมาเทศน์ ไม่ได้ไปลูบนั้นคลำนี้ ไม่ประมาทนะ เราหาลูบหาคลำมาแล้วไม่หายสงสัย พอเข้าตรงนี้หายสงสัยหมดเลย พระพุทธเจ้าองค์ศาสดากี่พระองค์ไม่สงสัย ถึงกันหมดเลย โห เรามีแต่ความทุเรศ สลดสังเวชมากที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งพระเราแสดงความโหดร้ายทารุณเลยโลกเลยสงสาร ไม่ทราบจะให้เขานับถือที่ไหน กราบไหว้พระองค์ไหน มันน่าสลดสังเวชเอามากทีเดียว นี่ละเรื่องลาภเรื่องยศทำคนให้เสียอย่างนั้นแหละ

(ทำบุญหนึ่งหมื่นบาทครับ) ลูกชายมาบวช นี่ละเลี้ยงลูกมามีคุณค่ามากคราวนี้ ถ้าสมมุติว่าพ่อแม่มีความยินดีน้ำตาร่วงน้ำตาไหลออกมานี้ เรียกว่าน้ำตาที่มีคุณค่าที่สุดที่เลี้ยงลูกมา ได้รับความดีอกดีใจจนน้ำตาร่วง นี่เรียกว่าน้ำตาที่มีคุณค่า ไม่ใช่น้ำตาแบบเสียอกเสียใจร้องไห้ น้ำตานั่นน้ำตาเทวทัต เข้าใจไหม พอพูดอย่างนี้แล้วก็ระลึกถึงโยมแม่ ปุ๊บปั๊บเข้ามานั่งปั๊บ ให้แม่ชมลูกสักหน่อยเถอะ ชมอะไร เราไปในครัวตอนเย็น ดูเหมือนไปกับท่านปัญญา ส่วนมากถ้าไปเทศน์ก็มีท่านปัญญาเอาเทปติดตามไปด้วยทุกครั้ง

โยมแม่มานั่งปั๊บนี้ ให้แม่ชมเชยลูกสักหน่อยเถอะ “ชมเชยอะไร ตั้งแต่เลี้ยงมาทีแรกทั้งเฆี่ยนทั้งตีทั้งดุทั้งด่า แล้วทีนี้จะมาชมเชยอะไร” โอ๊ย เวลาเป็นเด็กก็เป็นแบบหนึ่ง เวลามาเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เป็นแบบหนึ่ง ที่ควรชมแม่ก็ขอชมหน่อยเถอะ นี่ละแม่มาชมลูก ชมถึงเรื่องเขียนประวัติหลวงปู่มั่น แหม แม่น้ำตาร่วงเลย พูดจริงๆ พูดขณะนั้นก็น้ำตาร่วงแล้วนะ ในขณะที่มาพูดเวลานั้นว่าแม่ขอชมหน่อยเถอะก็น้ำตาร่วง เขียนประวัติหลวงปู่มั่นทำไมถึงหยดย้อยเอานักหนา แหมเหมือนไม่ได้เกิดในหัวอกของแม่เลย เรานี้เป็นลูกมาจากไหนน้า น้ำตาร่วง ทำไมถึงหยดย้อยไพเราะเพราะพริ้งเอาเหลือเกิน แม่เพลินทั้งเรื่องท่านอาจารย์มั่น เพลินทั้งผู้เขียนผู้แต่ง

“อ้าว ผู้เขียนผู้แต่งก็เขียนไปตามท่านผู้วิเศษวิโส ท่านวิเศษวิโสอะไรก็เขียนไปตามนั้น” ก็ยกให้ว่าท่านวิเศษวิโส แต่ผู้เขียนถ้าไม่มีความสามารถ ไม่มีความรู้จริงๆ เขียนไม่ได้ เอาอีกแหละ นี่โยมแม่ดีใจน้ำตาร่วง แต่เราไม่ได้บอกว่าน้ำตานี้มีคุณค่าอะไร ไม่บอก เฉย นั่นละคือน้ำตาที่มีคุณค่า เลี้ยงลูกมาเกิดความปีติยินดี ผลของการเลี้ยงลูกได้มาเห็นมีคุณค่ามากในวันนั้น แต่เราไม่พูดนะ เฉย มีแต่ขู่โยมแม่ เอาละจะให้พร

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com  หรือ www.Luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก