|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ธรรมคล่องตัว |
|
วันที่ 26 กันยายน 2545
สถานที่ : สวนแสงธรรม |
| | |
ค้นหา :
เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม วันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
ธรรมคล่องตัว
เดี๋ยวนี้ทราบว่าออกทางอินเตอร์เน็ตกว้างขวางมากทีเดียวเฉพาะกัณฑ์เทศน์ของเราในเมืองไทยนี้ทั่วถึงไปหมด นอกจากนั้นยังออกเมืองนอกอีก อินเตอร์เน็ตกว้างขวางมาก นี่เขาไปติดที่วัดป่าบ้านตาด (ติดจานสำหรับส่งไปดาวเทียมครับ) แล้วส่งไปดาวเทียมเหรอ แล้วไปยังไงต่อยังไงบ้างล่ะ ทางบริษัทชินวัตรไปทำให้ ส่งจากนั้นขึ้นดาวเทียม กว้างขวางออกมากนะ เฉพาะหนังสือเราเป็นเล่ม ๆ นี้ก็มากพอแล้ว มันจะเป็นร้อยขึ้นไป แต่ก่อนมันเล่มหนานะ ต่อมาใครจับได้ที่ไหนก็พิมพ์ไปเรื่อย ๆ เล่มจึงไม่ใหญ่โตนัก เล็ก ๆ น้อย ๆ รวมแล้วมันมาก เฉพาะเล่มใหญ่เล่มหนาเกือบร้อย
จำได้แต่แว่นดวงใจหนา เทศน์แต่ปี ๒๕๐๖ พิมพ์ปี ๒๕๐๗ ถ้าจำไม่ผิด เทศน์ภาคปฏิบัติล้วน ๆ ดูเหมือนหนากว่าเพื่อน รองลงมาศาสนาอยู่ที่ไหน ธรรมะชุดเตรียมพร้อม แล้วมีอีกสี่เล่ม ลดกันลงเล็กน้อย จำไม่ได้นะ เล่มหนา ๆ ก็มาก เวลานี้เขาถอดจากเล่มเข้าอินเตอร์เน็ต อย่างแว่นดวงใจคุณหน่อยกำลังถอด ที่เห็นอยู่วันนี้ดูเหมือนจะถอดเล่มแว่นดวงใจ เขามาจากวัดเขาจะมาถอดแว่นดวงใจ เล่มนี้หนา หลายกัณฑ์ ถอดนี้แล้วเขาจะออกทางอินเตอร์เน็ต
เพราะฉะนั้น ธรรมะของเราจึงมีหลายขั้นของธรรมนะ ธรรมที่เทศน์สอนทั่ว ๆ ไป ธรรมภาคปฏิบัติจิตตภาวนานี่ก็เป็นอีกขั้นหนึ่ง เทศน์สอนพระล้วน ๆ ธรรมะสูงตลอด อย่างนี้อยู่ในเล่ม และอยู่ในเทป และเทปนี่แจกทั่วประเทศไทยในบรรดาวงกรรมฐาน อยู่ที่ไหน ๆ ขอไป ที่วัดส่งไปให้หมดทั่วประเทศไทย นอกจากนั้นส่งไปเมืองนอก พระที่อยู่เมืองนอกขอมาก็ได้ส่งไปให้ นี่หมายถึงเทปนะ ส่วนหนังสืออยู่ในเมืองไทยมากกว่า แล้วบัดนี้ก็จะออกทางอินเตอร์เน็ต กว้างขวางมากนะ หนังสือของเรารู้สึกกว้างขวาง เทปก็มาก พิมพ์เป็นเล่ม หนังสือแล้วก็มาก แล้วเดี๋ยวนี้ยังออกอินเตอร์เน็ตอีกนะ
เลยไม่ทราบว่าจำนวนเท่าไร แต่ที่แน่ใจก็คือว่ามาก ในพระทั่วประเทศไทยนี้ รู้สึกจะไม่มีองค์ใดเทศน์มากกว่ายิ่งกว่าเรา หนังสือที่เป็นเล่มก็มาก เทปก็มาก จนกระทั่งออกอินเตอร์เน็ตรู้สึกมีแต่เราองค์เดียว ปรากฏที่ไหนบ้างที่มีองค์ไหนออกอย่างนั้น ไม่เห็นนะ มันถึงมากละสิ ทางวิทยุก็ฟังทุกวันด้วยนะ อุดร ๑๒ สถานี ออกหมด เป็นแต่เพียงไม่ซ้ำเวลากัน ในกรุงเทพฯ ๔ สถานี ออกทางวิทยุ กระจายไปก็อินเตอร์เน็ต ก็ในเมืองไทยแล้วยังไม่แล้ว ยังเมืองนอกอีก จึงว่ามากจริง ๆ นะ
เราจึงอยากให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้สนใจกับอรรถกับธรรมกับ จะมีที่หลบซ่อนผ่อนคลายได้บ้างนะ จะไม่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ในหัวอกตลอดไป จากกิเลสล้วน ๆ คือความดีดความดิ้น ความไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้นะตัวเองว่า ประมาณอยู่ที่ไหนไม่รู้ ถ้าลองกิเลสได้พาออกแล้วไม่มีประมาณ มันเป็นอย่างนี้ มันไปง่ายนะถ้าเป็นเรื่องของฝ่ายต่ำ ไหลไปเรื่อย เหมือนน้ำไหลลงจากภูเขา ที่ยับยั้งไม่มี ไหลเตลิดเปิดเปิงลงทะเลหลวงไปเลย เรื่องของกิเลสเป็นฝ่ายต่ำไหลไปเรื่อยๆ ฝ่ายธรรมเป็นเครื่องทดเครื่องต้านทานกัน ทีนี้มันก็อยาก ถ้ามาหาธรรมก็ยากเสีย อะไรยากมันก็ไม่อยากไปคนเรา มันก็ไปหาที่ง่าย ๆ ที่จะยากในกาลต่อไปนั้นแหละ
ส่วนธรรมะที่ว่ายากในเบื้องต้นแต่เพื่อสะดวกสบายในกาลต่อไปมันไม่คิดเสีย มันกลายเป็นเรื่องสุขเอาเผากินไป อะไรใกล้มือก็ฉวยมับ ๆ มันก็เลยมีแต่กิเลสเพราะมันอยู่ใกล้มือ ใกล้มือใกล้ใจ ดีดปั๊บออกเป็นกิเลสแล้ว ๆ ไม่ค่อยเป็นอรรถเป็นธรรม แต่ถ้าจิตได้ฝึกฝนอบรมไปเรื่อย ๆ จนเป็นธรรมแล้ว ทีนี้ธรรมก็ออกแบบเดียวกันกับกิเลส ธรรมจะออกรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนเหนือกิเลส กิเลสออกไม่ได้ มีแต่ธรรมออกอย่างเดียว นี่เกิดขึ้นจากการอบรม ฝ่าฝืน บึนไปเสียก่อน ทีแรก ต้องมีฝ่าฝืนมีบึกมีบึน จนกว่าจะค่อยราบรื่นดีงามก็ทุกข์มาก แต่ความทุกข์อันนี้ก็ทุกข์เพื่อความสุข ไม่ได้ทุกข์เพื่อความล่มจม ต่างกันกับกิเลสที่พาทุกข์แล้วให้ล่มจมแล้วทั้งนั้น ต่างกันอย่างนี้
ธรรมะนี้จะทุกข์มากขนาดไหนก็ทุกข์เพื่อสุขตลอดไปเลย กิเลสทุกข์เพื่อทุกข์ เพื่อมหันตทุกข์ไปเรื่อย ๆ มันต่างกัน แต่ทีนี้มันอยู่ใกล้มือ มันถึงติดมือมาเรื่อย ๆ เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่พูดถึงเรื่องว่า เวลากิเลสคล่องตัวก็คล่องด้วยกันทุกหัวใจทั่วโลกสงสาร เวลาธรรมคล่องตัวนี้ไม่ได้ทั่วไปนะ มีจำนวนน้อยมาก คือธรรมคล่องตัวนี่คล่องจริง ๆ อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านปฏิบัติถึงธรรมคล่องตัว พอคล่องตัวแล้วธรรมก็สังหารกิเลสหมด กิเลสไม่มีเลย นี่เรียกว่าธรรมคล่องตัว
ทีนี้มีน้อยกว่ากันเพราะมันลำบากในการฝึกฝนอบรมทีแรกลำบากด้วยกัน ทั้งนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับอุปนิสัย ถึงจะลำบากจิตใจมันก็บึกบึนอยู่ในลึก ๆ หากเป็นอยู่ในจิต หากบึกหากบึนอยู่ลึก ๆ เงียบ ๆ โดยลำพังตนเอง บึกบึนไปทางธรรมะ นี่เรียกว่านิสัยหรืออุปนิสัย เมื่อใฝ่ธรรมแล้วเมื่ออยู่ที่ไหนมักจะคิดถึงแง่อรรถแง่ธรรมอยู่เสมอ ไม่ค่อยลืมตัวง่าย ๆ คนเราที่มีธรรมแฝงอยู่ภายในใจ ไม่ได้เหมือนกิเลสห้อมล้อมอยู่ภายในจิตใจอย่างเดียว อย่างนั้นไป กระดิกออกก็เป็นกิเลส ท่านจึงสอนไว้ในธรรมว่าผู้หนาผู้บาง มันหนามันบางอยู่ที่ใจของสัตว์โลกนั้นแหละ ถ้าใจหนาด้วยกิเลสตัณหาแล้วคล่องตัวในการทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ ตลอดไปเลย ไม่มีวันอิ่มพอ
เวลาเราฝึกหัดทางด้านจิตใจ ผู้มีนิสัยหรือก้าวขึ้นกว่านั้นก็มีอุปนิสัย นิสัยมีอยู่ทั่ว ๆ ไป อุปนิสัยมีเป็นขั้นเป็นตอน ผู้มีนิสัยทางด้านธรรมะนี้ อยู่ที่ไหนจิตใจมักจะคิดถึงอรรถถึงธรรมเสมอ ไม่ได้คิดแต่กิเลสด้านเดียว ด้านธรรมนี้แทรกไป ครั้นหนักเข้าด้านธรรม กิเลสค่อยลดตัวลง ๆ ด้านธรรมเหนือขึ้น ๆ อย่างที่ว่าผู้มีอุปนิสัยสมควรที่จะบรรลุอรหัตผลในชาติปัจจุบันนี้แล้ว อยู่ที่ไหนก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ อยู่กับโลก แต่ก่อนก็ไม่ร้อน ครั้นถึงกาลเวลาที่ควรจะออกจากกองทุกข์ทั้งหลายด้วยธรรมเป็นเครื่องฉุดลากแล้ว ธรรมนี้ก็มีอยู่ในใจ เป็นอุปนิสัยแล้ว อยู่ที่ไหนไม่สบาย
อย่างพระยศกุลบุตรเกิดขึ้นมาแล้วท่านมีอุปนิสัยจะบรรลุเป็นอรหัตบุคคลในชาตินั้น อยู่ในสกุล มีลูกชายคนเดียว พ่อแม่เป็นเศรษฐี สมบัติเงินทองเต็มไปหมด ถึงกาลเวลาแล้วไม่ยินดีในสมบัติเงินทอง พ่อแม่จะเอาเงินเอาทองมากองไว้ให้ยืนคนละฝาก ก็ไม่ยินดี บอกว่าของนี่เป็นของลูกคนเดียวนะ ลูกจะเป็นผู้ครองสมบัตินี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ยังไงก็ไม่สนใจ นั่นถึงกาลเวลา อยู่ที่ไหนวุ่นวายไปหมด เกี่ยวกับโลกเหมือนเป็นฟืนเป็นไฟ เกี่ยวกับธรรมเหมือนน้ำท่าเย็นไปเลย ทนไม่ไหว พ่อแม่หักห้ามยังไงก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายเลยโดดหนีจากบ้านไปเลย
ครั้นเดินทางบ่นไปตามทาง ตามประวัติมีอย่างนั้น ตามตำรา บ่นไปตามทางก็คงจะมุ่งหน้าต่อศาสดานั้นแหละ ถึงบ่นไปทางศาสดา คงจะตั้งหน้าไปหาพระพุทธเจ้า บ่นไปตามทางมีแต่ความวุ่นความวาย อะไรวุ่นวายไปหมด บ่นไปอย่างนั้น ดีไม่ดีอาจจะเข้าในบริเวณที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ก็ได้นะ คือตั้งหน้าเข้าไป พอเดินเข้าไปก็บ่นว่า ทีนี่วุ่นวาย ที่นั่นวุ่นวาย อะไรวุ่นวายมาเรื่อย พระพุทธเจ้าทรงสดับแล้วก็ "ที่นี่ไม่วุ่นวายให้มาที่นี่ ที่นี่ไม่ยุ่งเหยิง ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่เดือดร้อนให้มาที่นี่" เข้าไปพระพุทธเจ้าเทศน์สอน ทีนี้สำเร็จมรรค ผลขึ้นเป็นลำดับลำดา
สุดท้ายสำเร็จเป็นพระอรหันต์บุคคลขึ้นมา นี่อุปนิสัย เวลาแก่กล้าแล้วอยู่ไม่ได้นะ มันหากเป็นของมัน นี่หมายถึงว่าผู้มีอุปนิสัยแล้ว อุปนิสัยแก่กล้าที่จะตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมในชาตินั้นแล้ว มันหากให้เป็นเหตุให้ดีดให้ดิ้นเอาตัวออกเพื่อบำเพ็ญธรรม มันมีอยู่มากอันนี้นะ เรื่องอย่างนี้มีอยู่มาก แต่ยกมาเพียงเป็นเอกเทศ ให้เราทั้งหลายได้ยินได้ฟังกัน ผู้มีอุปนิสัยเวลามันหนา มันหนาจริง ๆ ก็มี เหมือนอย่างกระดาษ ปิดหน้าเรานี่ มันไม่ได้หนานะกระดาษบาง ๆ แต่ปิดตาแล้วตามองไม่เห็น อะไรกั้นอยู่ข้างหน้า ภูเขาทั้งลูกมันก็มองไม่เห็น เพราะกระดาษปิดตาไว้ บาง ๆ นะ ปิดตาไว้นี้ มองดูภูเขาทั้งลูกก็ไม่เห็น มันไม่ได้หนานะกระดาษ แต่มันปิดตาสัตว์โลกได้ กิเลสก็เหมือนกัน อย่างที่ว่านี่ก็ไม่หนา เวลามันปิดมันก็ปิดได้มิดเหมือนกัน
อย่างนายกาละที่เป็นลูกอนาถะภิณธิกเศรษฐี ซึ่งเป็นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า พ่อมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธา ลูกไม่สนใจฟังอรรถฟังธรรม ชวนไปวัดไปวาอะไรไม่สนใจ เลยหาอุบายจ้างลูกไปฟังเทศน์ เวลาไปจะฟังหรือไม่ฟัง ไปอยู่ในบริเวณนั้นก็เอา อย่างนั้นนะ ลูกก็ไป ไปก็อาจจะหานอนที่สบาย ๆ พอกลับไปก็ไปทวงเอาค่าจ้างจากพ่อ พ่อก็จ่ายให้ทุกวัน นี่มันถึงกาลเวลาเข้ามันก็เป็นของมันเอง วันนั้นเผอิญฟังเสียงธรรมพระพุทธเจ้าทรงแสดง ไพเราะเพราะพริ้งจับใจ เพลินฟังอรรถฟังธรรมพระพุทธเจ้า ดูเหมือนว่าสำเร็จพระโสดาขณะฟังธรรม
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพอใจ แต่วันนั้นเป็น พอฟังธรรมกลับไปบ้านแล้ว แทนที่จะบึ่งไปหาพ่อไปรับรางวัล กลับไม่ไป อายพ่อ เลยหลบ ๆ หลีก ๆ ไม่ไป "อ้าว นายกาลไปไหนล่ะวันนี้ ไปวัดมาแล้วไม่เห็นมารับรางวัล" อายพ่อ พ่อเรียกมาก็เลยมาเล่าเรื่องให้ฟัง นี่ที่สำเร็จมรรคผลขึ้นมา รางวัลที่เคยรับจากพ่อทุกวัน ๆ วันนั้นเลยอาย ตั้งแต่นั้นมาแล้ว ไม่ต้องบอกทีนี้หมุนไปเอง เวลามันปิดมันก็ปิดอย่างนั้นคนเรา มีอุปนิสัยอยู่มันก็ปิดได้ดี เป็นขณะเป็นเวลา มีเยอะอันนี้ที่มีนิสัยอยู่ เวลาถูกกิเลสมันปิดตันไว้มันก็ไม่เห็นอะไร อรรถธรรมไม่มีชิ้นดี ไม่สนใจ เห็นแต่เรื่องกิเลสตัณหาเป็นของดีทั้งนั้น
ครั้นเวลามันจาง ๆ เข้า มันหากมีของมัน เป็นจังหวะของกิเลสจะเป็นอนิจจัง มีระยะเหมือนเมฆผ่านไปผ่านมา เวลามันมืดมันก็เหมือนจะไม่สว่างไสว เมฆมันกำบังพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ร้อยดวงประหนึ่งว่ามองไม่เห็นเลยเพราะเมฆมันปิดบังมาก แต่แล้วมันก็จางไป ๆ มันก็มองเห็นพระอาทิตย์จนได้นั้นแหละ จิตใจของเรา กิเลสเป็นเหมือนเมฆ ใจเหมือนพระอาทิตย์มันถูกปิดถูกบังอยู่อย่างนั้นเรื่อย ๆ หลายจังหวะต่อจังหวะ มันก็ค่อยมีช่องมีทางพอเห็นดีเห็นชั่วต่าง ๆ มันก็ค่อยติดใจไปเรื่อย ๆ
พูดว่าธรรม ๆ ใครจะเชื่อง่าย ๆ เมื่อไร คำว่าไม่เชื่อได้ง่าย ๆ ก็เพราะกิเลสมันปิดเสียจนไม่เชื่อได้ง่าย ๆ กิเลสปิดถึงขั้นไม่เชื่อได้ง่าย ๆ มันถึงขั้นนั้น ขั้นกิเลส ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้เชื่อธรรมได้ง่าย ๆ แต่กิเลสไหลเลย เห็นไหมกิเลสมันเก่งอย่างนั้นนะ พระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัย พอตรัสรู้ผางขึ้นมาจ้าไปหมดโลกธาตุ ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับพระญาณหยั่งทราบ เห็นหมดผู้หนาผู้บาง สัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุเห็นหมด ส่วนมากมันเป็นภูเขาที่มืดมิดปิดตาไปเสียหมด ภูเขาทั้งลูกประหนึ่งว่าไม่มีค่าอะไรเลย มีแต่หินผาป่าไม้เต็มภูเขา แร่ธาตุต่าง ๆ ที่จะมาทำประโยชน์จากภูเขาลูกนั้นแทบไม่มี
เวลาเล็งญาณส่องเข้าไป มี ไม่มากแต่มี ถ้าดูอย่างเรานี้ก็เรียกว่ามืดไปหมด ไม่มี แต่ญาณพระองค์มีมากมีน้อยเห็นหมด นั่นละที่สั่งสอนสัตว์โลก โลกที่จะเป็นไปได้มีอุปนิสัยอะไรเหมือนแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งฝังจมอยู่ในภูเขา นอกจากนั้นก็เป็นหินผาป่าไม้เต็มไปหมด ปิดแร่ธาตุสำคัญ ๆ เอาไว้ พระองค์ส่องทะลุไปหมด แล้วสั่งสอน ก็แร่ธาตุนั้นแหละจะมาเป็นแร่อันเลิศเลอ ส่วนที่มันมืดมิดปิดตาเต็มอยู่นั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร พระองค์ก็เอาเฉพาะอันนั้นออกสอนโลก
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็แบบเดียวกัน ที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์นี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะมาขนเอาสัตว์โลกให้พ้นไปหมดนะ พ้นไม่ได้ กิเลสเหนียวแน่นที่สุดเลย หลุดไม้หลุดมือกันมาได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ก็เอา องค์นั้นมาตรัสรู้ก็แบบเดียวกัน ขนออกไป ที่เหลือจากนั้นก็กองเต็มอยู่ในนั้น ถังขยะแห่งภูเขาที่ไร้ค่าทั้งลูก เรียกว่าโลกธาตุหรือไตรภพอันนี้มันเป็นพวกถังขยะ มีแต่สัตว์มีกิเลสเต็มไปหมด สิ้นกิเลสมีที่ไหน นั่นแหละที่ว่าไตรภพเป็นสถานที่อยู่ของสัตว์มีกิเลส จึงเรียกว่าไตรภพนี้เป็นถังขยะ
ผู้ที่มีอุปนิสัยก็มีอยู่นั้นแล้วก็ค่อยพ้นออกมาจากถังขยะ และพ้นไปได้ ผู้ไม่มีก็จมไปอย่างนั้น องค์นี้มาตรัสรู้ มาสอนโลกก็ขนไป ก็เต็มกำลังอำนาจวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ มีจำนวนมากพอ แต่ถ้าเทียบกับสัตว์โลกที่กองกันอยู่ในวัฏฏจักรนี้มันมากแสนมาก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้ามาเทศนาว่าการสั่งสอนสัตว์โลก ขนสัตว์ไปได้มากก็ตาม จึงน้อยไป เทียบกับสัตว์โลกที่จมอยู่ในวัฏฏวนที่มากที่สุด แล้วก็มาตรัสรู้ องค์นี้มาสอนแล้วไป อย่างนี้เรื่อยมา ผู้ผ่านพ้นไปได้ก็ผ่านไป ผู้ไปไม่ได้ก็อยู่ตามบุญตามกรรมของตัวเอง เป็นอย่างนั้น
ต้องได้อาศัยความพยายามบึกบึน ไม่บึกไม่บึนบ้างไม่ได้ เราเป็นผู้รับรองความทุกข์ สุขดิบของเรา ทำยังไงมันจะเป็นสุขหรือจะเป็นทุกข์ เราต้องได้ใคร่ครวญ ถ้าอะไรมันจะเป็นทุกข์ถึงอยากทำก็ไม่ทำ เหมือนอย่างอาหารที่เป็นพิษ มีพิษ ถึงอยากเท่าไรก็ไม่กิน เพราะมีพิษอยู่ในอาหาร กินก็ตาย อยากก็ต้องทน ฝืนไม่กิน ฝืนกินไปก็ตายจริง ๆ เรื่องบาป เรื่องกรรมมันก็เป็นยาพิษแต่ละอย่าง ๆ ต้องฝืนต้องได้ระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะ
สัตว์โลก พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้กิเลสมันปิดหูปิดตาไว้หมด ไม่ให้ยอมเชื่อง่าย ๆ นี่ก็เพราะอะไร กิเลสปิดไว้ แต่เราไม่รู้ว่าเราเป็นกิเลส เพราะกิเลสมาเป็นเราเสียอย่างเดียว เราไม่เชื่อไปเลย ความจริงก็คือกิเลสนั้นแหละมันปิดหัวใจเรา เราไม่รู้ มันละเอียดขนาดนั้นกิเลส แหลมคมมาก มันจึงได้ครอบโลกธาตุให้อยู่ในเงื้อมมือของมัน มีข้อเปรียบ พญามารที่เป็นหัวหน้าแห่งไตรภพ ที่ครอบงำสัตว์โลก มีพญามารเป็นหัวหน้า พระโฆธิกะนั้นท่านไปบำเพ็ญเพียร เจริญฌาน ในตำราบอกว่าฌาน ไม่บอกว่าสมาธิ แต่ฌานกับสมาธิก็อันเดียวกันนั่นแหละ
ฌานะแปลว่าความเพ่ง จิตที่เป็นสมาธิย่อมเพ่ง ย่อมจดจ่อ พอเจริญขึ้นแล้วเสื่อมลง เวลาเสื่อมลงเป็นทุกข์มาก ตามท่านแสดงไว้ในตำราว่า ฌานเสื่อมถึงห้าหน เจริญแล้วเสื่อม ๆ ถึงห้าหน หนที่หกคว้าเอามีดมาเชือดคอเจ้าของ พอเชือดคอแล้วเลือดทะลักออกมานี้ ดูเลือด กำหนดเลือด ปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาวันนั้นบรรลุธรรมปึ๋งในเวลานั้นจากเลือดตัวเอง บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วตายไปพร้อมกัน บรรลุธรรมแล้วตาย
พอตายไปแล้วพญามารมาคุ้ยเขี่ยขุดข้นดูจิตตวิญญาณของพระโฆธิกะ ประหนึ่งว่าท้องฟ้าอากาศนี้มืดมิดไปหมด เพราะฤทธิ์ของพญามารคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาจิตตวิญญาณของพระโฆธิกะ ตายแล้วไปเกิดที่ไหน หาที่เกิดก็ไม่มี พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูทราบก็เลยขู่มา ตะหวาดมา "พญามารเธอจะมาค้นหาจิตตวิญญาณของพระโฆธิกะซึ่งเป็นลูกของเราตถาคต ถ้าพูดให้มันหนักแน่น มันถึงตัวจริงก็คือว่า ให้เธอไปลากออกมาทั้งโคตรทั้งแซ่มาค้นหาเธอก็ไม่เจอ อย่าว่าแต่เธอค้นคนเดียว ไปเอาหมดทั้งโคตรทั้งแซ่เธอมาค้นก็ไม่เจอ เธอรู้ไหมว่า พระโฆธิกะเป็นพระอรหันต์นิพพานเรียบร้อยแล้ว เธอค้นเท่าไรมันก็ไม่เจอ ถึงบอกว่าเอาโคตรมาค้นก็ไม่เจอ
นี่พญามารมาค้น จิตตวิญญาณดวงเดียวเท่านี้ยังหึงยังหวง มันไม่ให้พ้นอำนาจของมันไปได้ อย่างจิตตวิญญาณของพระโฆธิกะ ยังหึงหวงมาตามค้น คือจะไม่ให้พ้นเงื้อมมือของมันไปได้ พอดีทางนั้นเป็นพระอรหันต์แล้วผ่านถึงนิพพานผึงเลย พญามารมันหึงมันหวงมันสงวนอำนาจของมัน บรรดาสัตว์โลกทั้งหลายจึงอยู่ใต้อำนาจของมันด้วยการกล่อมทุกอย่าง ลองกิเลสออกช่องไหน มุมใดแล้วเป็นการกล่อมไปในตัว ไม่รู้ง่าย ๆ นะ แหลมคมมาก ไม่มีอะไรเกินกิเลส ถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีแต่เรื่องของกิเลสแล้วครอบโลกธาตุ ไม่มีอะไรเหนือมันเลย เป็นมหาอำนาจคือกิเลสเท่านั้น
เมื่อมีธรรมแล้ว ธรรมส่องดู ธรรมเท่านั้นที่จะเห็นกิเลส เพราะฉะนั้น กิเลสจึงกลัวธรรมอย่างเดียว นอกนั้นไม่กลัวอะไรเลย กลัวแต่ธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ใครมีธรรมมากน้อย กิเลสจะค่อยจาง ๆ กลัวไป ๆ จนกระทั่งสิ้นเป็นพระอรหันต์แล้ว กิเลสมุดมอดหมดเลย คำว่า กิเลสนี้ ถ้าเราจะมาแยกออกให้รู้ให้เห็นกัน ประจำจิตใจของเรานี้แหละ อารมณ์ของกิเลสเป็นอีกอย่างหนึ่ง อารมณ์ของธรรมเป็นอย่างหนึ่ง ออกจากใจดวงเดียวกัน คือใจของเรานี้มีทั้งกิเลส กิเลสก็เกิดและอยู่ที่ใจ ธรรมก็อยู่ที่ใจ
ถ้าเราหมุนไปทางกิเลส กิเลสก็ลากไป ถ้าหมุนไปทางธรรม ธรรมก็ฉุดลากไป มีสองอย่าง หมุนอยู่ภายในใจสัตว์ แต่ส่วนมากกิเลสแหลมคม หลอกทางไหนเชื่อทั้งนั้นสัตว์โลก เชื่อง่ายทีเดียว ไม่พิจารณาอะไรเลยนะ คือกิเลสหลอกสัตว์โลก จะไม่พิจารณาว่าผิดถูกชั่วดีประการใด จะพอใจไปตามนั้นทั้งหมด ไม่มีเว้นนะ เป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ แล้วเป็นอย่างนี้ สัตว์โลกจึงไม่มีทางที่จะหลุดพ้นไปได้ ถ้าไม่มีธรรมช่วยฉุดลาดออก จึงมีธรรมอย่างเดียวเท่านั้นที่เหนือกิเลส และธรรมอย่างเดียวเท่านั่นที่กิเลสกลัวมากที่สุด นอกนั้นกิเลสไม่กลัว
ทั้งสองนี่ก็รบกันมาเรื่อย ๆ อย่างนี้ เหมือนอยู่กันคนละฝั่งในแม่น้ำสายเดียวกัน แม่น้ำหมายถึงใจ ฝากหนึ่งคือจิต ฝากหนึ่งคือกิเลส ฝากหนึ่งคือธรรม อยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน เวลาหมุนไปทางกิเลสมันก็ไปเรื่อยของมัน ถ้าไปทางกิเลสไม่มีฝั่งมีฝา หมุนไปเรื่อย ไม่มีคำว่าพอ คำว่าอิ่มพอ คำว่าเข็ดว่าหลาบไม่มี เคลิ้มหลับกับมันไปตลอด เมื่อมีธรรมก็รู้ พอแย็บไปทางธรรม ธรรมก็ไปแบบธรรม ธรรมนั่นแหละที่ย้อนมาเห็นกิเลส แต่ก่อนอยู่ด้วยกันก็ไม่เห็นกัน พอบำเพ็ญธรรม ธรรมเกิดแล้วก็มองเห็นกิเลส มองเห็นกิเลสก็ทราบกิเลสเป็นภัย
จากนั้นก็หันหน้าต่อสู้กัน มีแต่กิเลสเหยียบธรรมตลอด ธรรมโงหัวไม่ขึ้น พอบำเพ็ญธรรมเท่านั้น ธรรมปรากฏแล้วเห็นกิเลส มองเห็นกิเลสแล้วเห็นความเป็นไปของมันในระยะเดียวกัน ทีแรกเห็นน้อยเพราะธรรมยังไม่มาก ยังไม่แก่กล้า เห็นน้อยก็รู้น้อย เห็นเป็นภัยของกิเลสน้อย ๆ ต่อไปก็เห็นมากเข้า เวลาธรรมแก่กล้าแล้วเห็นกิเลสเป็นภัยมาตลอดเต็มหัวใจ จากนั้นก็หมุนน่ะจิต ความขยันหมั่นเพียรในการละชั่วทำดีนี้ขึ้นอยู่กับผู้บำเพ็ญธรรม เห็นโทษของกิเลสแล้วทีนี้หมุนเรื่อย ๆ ไปเลย
ธรรมเวลาได้รับการบำรุงรักษาจากตัวเอง ก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้น กิเลสเมื่อเห็นโทษของมันแล้วก็ไม่ส่งเสริม มันก็ไม่งอกงาม เห็นคุณของธรรมแล้วบำรุงรักษา เจริญขึ้นก็เห็นกิเลสแจ้งขาวดาวกระจ่างขึ้นมาๆ ต่อจากนั้นเห็นไปหมด เมื่อเวลาถึงขั้นที่จะไปจริง ๆ แล้วเห็นโทษของกิเลสนี้เต็มหัวใจ มีแต่จะข้ามให้พ้น หรือสังหารให้ฉิบหายอย่างเดียว อย่างอื่นไม่มี ถ้าว่ารบหรือต่อสู้กันนี้ไม่มี คำว่าแพ้ไม่มี ให้ตายด้วยกันบนเวทีเลย จะให้ถอยสู้กิเลสไม่ได้ไม่มี ธรรมขั้นที่แข็งแกร่งแล้วเป็นอย่างนั้น ต้องให้กิเลสตายโดยถ่ายเดียว ที่ว่าเราจะตายไม่คำนึง
ถึงขั้นนั้นธรรมหมุนติ้ว เห็นกิเลสมองไปทางไหนเห็นเป็นโทษหมด แต่เวลาธรรมสว่างขึ้นภายในใจเห็นหมด ถ้าไม่สว่างก็ไม่เห็น พอธรรมสว่างภายในใจ เห็นมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นโทษของมันมาก แล้วก็เห็นคุณค่าของธรรมหนักพอ ๆ กัน เมื่อต่างอันต่างพอ ๆ กันแล้ว มันก็ฟัดกันใหญ่ นี่ละถึงขั้นที่ว่า อยู่ที่ไหนก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย อยู่ไม่ได้ ไม่สะดวกไม่สบายอย่างพระยศกุลบุตร คือท่านจวนแล้ว มองดูอะไรไม่เจริญหูเจริญตา เพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น
แต่เวลาจิตใจมีความแก่กล้าขึ้นด้วยอรรถด้วยธรรมแล้ว มองไปไม่เจริญหูเจริญตา จิตใจใฝ่ฝันไปทางอรรถทางธรรม เลยอยู่ไหนไม่สบาย ๆ ไปเลย เดินบ่นพึม ๆ ไปตามทาง คงจะไปหาพระพุทธเจ้า เพราะงั้นจึงเดินตรงเข้าไป บ่นพึม ๆ พระพุทธเจ้าจึงตอบรับว่า มาเถอะ ยศกุลบุตร ที่นี่ไม่ยุ่งเหยิง ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่สงบเย็น นี่เรียกว่าตั้งหน้าไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ต้อนรับ เทศนาว่าการสำเร็จมรรค ผล นิพพาน นี่ถึงกาลเอาไว้ไม่อยู่นะ เมื่อไม่ถึงเป็นธรรมดา ผู้ที่จะคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาธรรมมาประกาศสอนกันด้วยความรู้จริงเห็นจริงนี้ มันไม่ค่อยจะมีนะ หรือมากกว่านั้นมันไม่มีไปเลย มันมีแต่แบบเดียวกันหมด
แล้วผลมันก็แบบเดียวกัน เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา เพราะดีดดิ้นไปตามกิเลสโดยถ่ายเดียวเหมือนกัน ผลก็ต้องได้แบบเดียวกัน ผู้ที่จะดีดดิ้นไปทางอรรถทางธรรม พอได้ผลแตกต่างมาประชันขันแข่งกันบ้างนี่มันไม่มี นี่มันถึงลำบากนะ มันมืดอยู่ในใจนะ ข้างนอกจะมาประดับไม่ได้นะ ข้างนอกเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัว ยศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติเงินทองมาประดับว่าคนใดมั่งมีศรีสุข คนใดมียศถาบรรดาศักดิ์สูง คนนี้เขามีบุญมาก เขามีอุปนิสัยสามารถ อย่ามาวัดนะ ผู้นั้นหนาที่สุดก็มี
ส่วนมากคนมีสมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์มากมักจะลืมตัวเสมอ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหอง ดีไม่ดีเห็นธรรมเป็นผ้าขี้ริ้ว เห็นกิเลสซึ่งเป็นกองมูตรกองคูถที่ครอบหัวตนเองด้วยความทะนงว่าเรามียศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติเงินทอง มันเป็นมูตรเป็นคูถกลับเป็นของใหญ่กว่าธรรมไปเสีย มันเป็นได้นะ มันจึงไม่อยู่ในเครื่องภายนอกนะ เช่นเครื่องนุ่งห่ม แต่เนื้อแต่งตัวโก้เก๋ น่าเกรงขาม แต่กิเลสมันไม่เกรง มันภูมิใจด้วยซ้ำ ได้แต่งอย่างนั้นแล้วยิ่งภูมิใจ พระเรานี่ก็เหมือนกัน มาบวชเป็นพระ ผ้าเหลืองอย่าเข้าใจว่าเป็นเครื่องแก้กิเลสนะ โกนผมโกนคิ้วไม่ใช่เครื่องแก้กิเลส เป็นเครื่องประกาศตนให้รู้สึกตัวและโลกทั่วไปได้เข้าใจกันว่า นี้คือเพศของนักบวชต่างหาก
แต่การที่จะแก้กิเลสเป็นเรื่องของความพากเพียร ความระมัดระวังรักษา การบำเพ็ญศีลธรรมภายในใจต่างหาก สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องประกาศไว้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้ละกิเลส ถอนกิเลส ใจต่างหาก ความสำรวมระวัง มีความรักใคร่ใกล้ชิดติดพันกับศีลกับธรรม ผู้นั้นผู้บำเพ็ญความดี บำเพ็ญศีล บำเพ็ญธรรม สมเพศของตัวเอง เช่น พระก็เป็นพระผู้มีศีลบริสุทธิ์ ไปที่ไหนก็ไม่มีความระแคะระคาย ว่าเราบกพร่องจากศีลจากธรรม หรือศีลด่างพร้อยนี้ไม่มี ท่านสำรวมระวังของท่านไปอย่างดี อบอุ่นตลอด ยิ่งมีสมาธิ ยิ่งมีปัญญาธรรมภายในใจขึ้นแล้วยิ่งสง่างาม นั่นต่างหากนะแก้กิเลส
การบำเพ็ญต่างหากแก้กิเลส เพศนี้ไม่ได้แก้ ผ้าเหลืองผ้าขาวอะไรไม่แก้ เป็นเครื่องประกาศให้โลกทราบและตัวเองทราบเท่านั้นเอง ถ้าตัวเองไม่ยอมทราบแล้วก็จมไปเลย มันอยู่ที่หัวใจนะ เราอย่าไปคาดว่าที่ไหนมีวัดมีวามาก มีพระเจ้าพระสงฆ์มาก แล้วที่นั่นมีความผาสุกร่มเย็น ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขอย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้นะ ถ้าเป็นพระประเภทที่รักศีลรักธรรมจริง มีมากเท่าไรก็ทำให้โลกให้ร่มเย็นเป็นสุขให้ได้มากเท่านั้น ถ้าเป็นพระประเภทตรงกันข้าม มีมากเท่าไรยิ่งทำลายชาติทำลายศาสนาได้มากเพียงเท่านั้น เลยกลายเป็นพระนี่เป็นไฟเผาทั้งชาติทั้งศาสนาไปด้วย ทั้ง ๆ ที่เพศเหลือง ๆ ผ้าเหลืองคลุมหัวโล้น ๆ มันก็เป็นเทวทัตได้ในตัวของมันเอง มันขึ้นอยู่กับหัวใจนะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรนะ วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านี้
www.Luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|