เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๖
หลักสำคัญของผู้ปฏิบัติธรรม
ความระมัดระวังตัวต้องมีอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นหลักสำคัญของผู้ปฏิบัติธรรม มีครูบาอาจารย์เป็นอย่างหนึ่ง ไม่มีครูบาอาจารย์เป็นอีกอย่างหนึ่ง อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ ไม่ไว้ใจ ถ้าเรายังไม่เห็นอันนั้นแล้วผมไม่ไว้ใจเลย หมู่เพื่อนคนใดก็ตาม ถ้าครูบาอาจารย์อยู่ข้างหนึ่งไม่ว่าข้อวัตรปฏิบัติภายนอก ไม่ว่าการภาวนาภายใน เวลาครูบาอาจารย์หนีไปแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่งอย่างนี้ แสดงว่าไม่เชื่อตัวเอง ไม่เชื่อธรรมว่าอยู่กับตัวเอง อยู่กับการทำของตัวเอง ให้ทราบทุกคนว่าเวลานี้เรามาฝึกทรมานกำจัดกิเลส อันเป็นข้าศึกต่อตัวและผู้อื่น เป็นสิ่งที่ขวางโลกขวางธรรมก็คือกิเลส ไม่ใช่สิ่งใดขวาง ธรรมแล้วไม่ขวาง ชื่อว่ากิเลสแล้วมีมากมีน้อยก็เหมือนกันกับเสี้ยนกับหนาม เหมือนหอกเหมือนหลาวนี่แหละ มีมากก็เหมือนหอก หลาวแหลมๆ ทิ่มแทงลงไป มีน้อยก็เหมือนเสี้ยนเหมือนหนาม ไม่ได้รับความสะดวกสบาย
การมาบวชในศาสนาพุทธ โดยเฉพาะเป็นนักปฏิบัติด้วยแล้ว จึงถือเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องฝึกทรมาน อย่าให้มันออกเพ่นพ่านได้ อย่างน้อยอย่าให้มันมาแสดงออกมากิริยาภายนอก ให้หมู่เพื่อนเห็นและน่าเกลียดน่าสลดสังเวช ให้ต่างคนต่างระมัดระวัง ถึงมันจะร้อนเป็นไฟก็ให้มันเผาอยู่ในหัวใจตัวเอง อย่าให้มันระบาดออกมาภายนอกให้คนอื่นได้อิดหนาระอาใจ ให้คนอื่นได้เห็นความหยาบของตน พากันจำไว้ให้ถึงใจ
กิริยาที่แสดงออกเป็นความไม่พอใจต่อกันและกัน หรือเป็นความทะเลาะวิวาทกันเป็นความไม่ลงรอยกัน นี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย เป็นเรื่องของกิเลสออกตลาด เป็นเรื่องของกิเลสออกหน้าออกตา มามีอำนาจบังคับบัญชาให้พระทะเลาะกัน แสดงออกมาต่อหน้าต่อตาอย่างดื้อๆ ด้านๆ ไม่ละอายคำว่าพระเณร ขอให้จำให้ดี อันนี้เป็นเรื่องหยาบ ถ้าลงได้มาแสดงออกมาภายนอกแล้วแสดงว่าหยาบมาก มันจะเป็นให้มันเป็นอยู่ภายใน บังคับอยู่ภายใน เมื่อเป็นอยู่ภายในก็ให้ทราบว่ามันคือกิเลส ไม่ใช่ของดีที่เราจะพยายามส่งเสริมหรือรัก เห็นแก่มัน
ความเคารพกันนั้นเป็นหลักธรรมหลักวินัย และความถือหลักเหตุผล ผู้ใหญ่ก็ตามผู้น้อยก็ตามให้เล็งเหตุผล การแสดงออกในทางวาจา กิริยาอันใดก็ตามให้เล็งเหตุผล ผู้คอยยึดก็ให้ยึดเอาหลักเหตุผล ความหวังแพ้หวังชนะไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า เป็นทางของสัตว์เดรัจฉาน เห็นไหมมันกัดกัน โก้กก้ากๆ หวังแพ้หวังชนะ ใครมีอำนาจก็ครองอำนาจ สิ่งที่ผิดไม่คำนึง ส่วนคนไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งพระด้วยแล้วจะเป็นอย่างนั้นไปไม่ได้ เป็นเรื่องหยาบที่สุด ความเคารพตนเองแล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่ผิดใคร เคารพธรรม ผิดถูกเราทราบอยู่ เราพยายามแก้ไขอยู่ ทำข้อวัตรปฏิบัติก็ให้ทราบเวล่ำเวลา ความเกรงใจกันนั้นละคือธรรม ออกมาข้างนอกก็เกรงใจกัน อยู่ภายในก็เคารพตัวเองไม่ให้เคลื่อนคลาด การทำข้อวัตรปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้บกพร่อง ก็คือตนเป็นผู้สมบูรณ์ต่อตนเองในข้อวัตรปฏิบัติแล้วอบอุ่นเย็นใจ คนอื่นเมื่อเห็นแล้วก็น่าชม คนอื่นก็ชม เป็นอย่างนั้น
ก็มีวงปฏิบัตินี้เท่านั้นละที่เป็นที่อบอุ่นเย็นใจอยู่บ้าง นอกนั้นเราก็ไม่ได้ประมาท แต่เราไม่สนใจเอามันมาคิด นำมาเป็นคติ เพราะสิ่งที่ยึดเป็นคติมันมีน้อย เราเสร็จข้อวัตรปฏิบัติอะไรๆ แล้วให้ต่างคนต่างหาที่ประกอบความพากความเพียร เวลาผมไปแล้วแขกก็ไม่ค่อยมาก ต้องลดลงๆ ไม่ค่อยมีใครมายุ่งมากวน ไม่เหมือนผมอยู่ นั่นเป็นเวลาที่เราประกอบความเพียร เมื่อถึงเวลาที่จะประกอบข้อวัตรอันใดแล้ว อย่าให้เคลื่อนคลาด ความขี้เกียจนี้อย่าให้เข้ามาเก็บเข้ามากิน มันเกาะมันกินข้อวัตรปฏิบัติที่เราจะต้องดำเนินตามหลักธรรม ถือเป็นหลักถือเป็นชีวิตจิตใจ ถือเป็นข้อปฏิบัติ
เรานั่งถ้าง่วงให้เปลี่ยนอุบายวิธีที่จะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง หาเรื่องที่จะเหมาะสมเพื่ออรรถเพื่อธรรมแก่ตนนั้นมันเป็นอุบายวิธีของแต่ละรายๆ ที่จะพิจารณาตัวเอง ถ้านั่งแบบนั่งโงกนั่งง่วง นั่งหลับเฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้ามันจะง่วงจริงๆ จนทนไม่ไหวหลับเสียนอนเสีย ความตั้งใจนอน แล้วตั้งใจตื่น ตั้งใจฝึกทรมานตนนั้นเป็นธรรม ดีกว่าไปนั่งหลับเฉยๆ นั่งเฉยๆ ไม่หลับ ภาวนาไม่หลับ ไม่เกิดประโยชน์ มันเคยนิสัยแล้วแก้ไม่ได้นะ ภาวนาเช่นนี้ได้เรื่องได้ราวอะไร ไม่เกิดประโยชน์
จิตนี้เป็นของฝึกได้ เป็นของฝึกของทรมาน ดัดแปลงแก้ไขได้ ตั้งแต่ขั้นต่ำ ขั้นหยาบถึงขั้นละเอียด ละเอียดสุดขีดได้ พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกที่ทรงฝึกพระองค์มาก่อน จนได้ตรัสรู้ธรรมกลายเป็นศาสดาเอกของโลกขึ้นมา พระสาวกเป็นลำดับต่อมาเรื่อยๆ ท่านผู้วิเศษเหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่พิเศษจากการฝึกทรมาน ใจเป็นสิ่งที่ฝึกทรมานได้ จึงกลายเป็นใจวิเศษได้ ธรรมะจึงเป็นธรรมะจริงแท้ ไม่ใช่ธรรมะปลอมๆ เป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งที่ซักฟอกแก้ไขจิตใจให้ถึงความพ้นทุกข์คือความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงได้ โดยไม่ต้องสงสัยในวงพุทธศาสนานี้
แต่เครื่องมือใดที่สมควรที่จะนำมาฝึกมาแก้ไขตนเอง นั่นละสำคัญ คืออุบายใด คำว่าเครื่องมือใด อุบายใดวิธีใดที่เราจะนำมาแก้ไข ให้เราคิด ให้ฝึกหัดสติปัญญาอย่าให้โง่ ศาสนาไม่ใช่ของโง่ ไม่ใช่ธรรมโง่ พระพุทธเจ้าผู้ประพฤติธรรมไม่ใช่คนโง่ ศาสนธรรมที่แสดงออกสอนโลกไม่ใช่ศาสนาที่สอนคนให้โง่ เราผู้ปฏิบัติศาสนาจึงควรพยายามแก้ไขตน พลิกตนเองให้มีความฉลาดรอบคอบทั้งภายนอกภายใน
จิตถ้าได้รับการแก้ไขดัดแปลงด้วยสติปัญญาอยู่เสมอแล้ว จะเปลี่ยนแปลงอาการของจิต จากความหยาบเข้าสู่ความละเอียดเรื่อยๆ ไป เปลี่ยนไปเรื่อย หินลับของสติปัญญาคือกาย นี่เป็นสำคัญ กายมีอะไรอยู่ที่นี่ เราติดอะไรทุกวันนี้ ก็ติดกาย สำคัญว่ากายเป็นเราเป็นของเราเป็นของเขา นี่เป็นหลักใหญ่ เรียกว่าอุปาทาน ยึดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วคลี่คลายดูให้ดี ด้วยอุบายวิธีดังที่เคยสอนแล้ว เราจะพิจารณากายนอกก็ตาม กายในก็ตาม กายหญิงก็ตามกายชายก็ตาม ถ้าพิจารณาเพื่อความถอดถอนเพื่อความแก้ไขเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความเห็นตามเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ แล้วจะไม่ผิด ทุกข์สมุทัยมีอยู่ทั่วๆ ไปทั้งภายนอกภายใน มรรคคือการถอดถอนกิเลสด้วยอุบายสติปัญญานี้จึงมีอยู่ทั่วไป มีได้ทั่วไป พิจารณาได้ทั่วไป ไม่มีอะไรมาขัดข้อง
ใครเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์กายมาก คนนั้นละใจจะสงบ แล้วไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งภายนอกที่จะให้เกิดราคะตัณหา แยกดูให้มันเห็นทั้งหมด แล้วพิจารณาเหมือนเขาคราดนา เอาให้มันละเอียด มูลคราดมูลไถให้มันแหลกละเอียดไปหมด เราจะโง่ขนาดไหนก็ตามการพิจารณาซ้ำๆ ซากๆ หลายครั้งหลายหนมันก็ค่อยละเอียดกันไปเอง เหมือนเขาคราดนา ควายจะเร็วหรือช้าไม่สำคัญ สำคัญที่มูลคราดมูลไถให้มันแหลกละเอียดแล้วควรแก่การปักดำ ต้นข้าวมันก็สดสวยงดงามเพราะมันเป็นปุ๋ยได้ดี เนื่องจากมูลคราดมูลไถแหลกละเอียด
สติปัญญาถ้าพิจารณาค้นคว้าให้มันแหลกละเอียด วันหนึ่งกี่ครั้งก็ช่างเถอะไม่สำคัญ สำคัญความเข้าใจ เมื่อเข้าใจไปถึงไหนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ความสำคัญต่างๆ ที่เป็นเครื่องกดถ่วงจิตใจจะค่อยถอนตัวออกมาๆ รู้ชัดเท่าไรยิ่งถอนมาก ถอนความยึดมั่นถือมั่นคือกายนี้เอง เมื่อพิจารณารอบคอบเสียจนหมดไม่มีที่สงสัยแล้ว มันก็ปล่อย มันไม่ได้ถือไว้นะ ทั้งๆ ที่เคยเป็นอุปาทานมาในธาตุในขันธ์นี้เท่าไรกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ทราบ ในชาตินี้ก็ตั้งแต่วันเกิดจนขณะปัจจุบัน พอมันทราบแล้วมันก็ปล่อยของมันได้ ไม่คว้าไม่ยึดถือ ปล่อยได้มากเพียงไรก็เท่ากับเรานำภาระออกจากบ่าของเราได้มากเพียงนั้น ปล่อยได้หมดเราก็สบาย
ดูให้มันดีซิตามความจริงมันมีอะไรอยู่ในส่วนธาตุขันธ์นี้ แต่หนังแต่เนื้อเอ็นกระดูกเข้าไปหาภายใน เต็มไปด้วยของอสุภะอสุภัง ปฏิกูลโสโครกไปหมด เปิดฝาออกมานี้จนคนแตกฮือ มันเหม็น ว่าของดียังไงป่าช้าผีดิบ มันดียังไง ตามความจริงเป็นอย่างนั้น คนหากอยากปิดบังในสิ่งมีไม่อยากพูด ไม่อยากเปิดเผย หากอยากทำในสิ่งที่ไม่น่าทำ มันแปลกอยู่นะมนุษย์เรา ไอ้ที่พูดรู้สึกมันขวางๆ ทั้งติดเขาติดเรา เพราะจิตนี้มัน ทั้งๆ ที่มันก็ชอบสิ่งเหล่านั้น มันหากไม่อยากพูด ก็แปลก มันเสกเอาว่าดีนี่ ฟังแต่ว่าความเสกมันดีอะไร มันไม่จริงนี่ ความจริงนั้นแลคือความแท้ ธรรมแท้ พิจารณาให้มันถึงความจริง ใครจะว่าอะไรก็ไม่หลงกับใคร
ความจริงมีอยู่กับทุกคน เมื่อถึงความจริงด้วยการพิจารณาเห็นแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วอะไรจะปิดไว้อยู่ล่ะ มันก็ถอนของมันเอง โลกเขาถืออยู่สามโลกธาตุ ต่างคนต่างถือก็ตาม แต่จิตดวงใด รายใดที่ได้พิจารณาให้รู้แจ้งแทงตลอดในทุกสิ่งบรรดาที่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว รายนั้นจะพ้นไปได้เลย ทั้งๆ ที่สามโลกธาตุไม่มีใครพ้นก็ตาม เมื่อถูกก็ต้องเป็นอย่างนั้น ดูกายนี้ ดูข้างในข้างนอก ดูข้างบนข้างล่าง ให้มันท่องเที่ยวอยู่ตามร่างกายนี่ ดูด้วยความสนใจกำหนดพิจารณาแยกออกดู ข้างนอก เอ้า ถ้าสมมุติว่าข้างในมันเบื่อ มันขี้เกียจมันชินหรืออะไร มันอยากจะเที่ยวข้างนอก เอาข้างนอกมาพิจารณา แยกออกมา มันสวยที่ไหน มันงามตรงไหน แยกเอาส่วนปฏิกูลโสโครกนั่นละออกมาดู ดูให้มันเห็นหมด มีแต่กองกระดูก เราเคยเห็นไม่ใช่หรือกระดูก ทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ตามถนนหนทาง กระดูกสัตว์ กระดูกหมู กระดูกหมา กระดูกวัว กระดูกควายทิ้ง...
แต่ก่อนมันเป็นตัวเดิน มันตื่นไหม กระดูกกา กระดูกไก่ กระดูกหมู อยู่ในถ้วยเต็ม ไก่เวลามันเป็นตัวอยู่ ขนมันก็มีน่ารัก เวลาเข้ามาอยู่ในถ้วยเป็นยังไง มันก็ป่าช้าของไก่ของเป็ดอยู่ในถ้วยนั้น ถ้าพิจารณาให้ถึงความจริงจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้หลงไปอย่างที่เคยเห็นนะ อาหารการบริโภคที่เป็นเนื้อเป็นปลาเป็นอะไรๆ ดูลงไปมันก็เป็นป่าช้าดีๆ นี่เอง เรามันสำคัญว่าเป็นอาหารโดยถ่ายเดียวไม่ได้คิดว่าป่าช้า คือธรรมแฝงอยู่นั่น เราไม่ได้หาธรรม เราหาแต่เรื่องของลิ้น มันก็เห็นแต่ลิ้นซิกินไม่พอซิ ถ้าหาเรื่องของธรรมแทรกเข้าไปๆ มันก็รู้จะว่าไง กินก็กินไปอย่างนั้นเอง
อยู่ข้างนอกก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ความเกี่ยวข้องสัมผัสเป็นอีกอย่างหนึ่ง กลิ่นอะไรๆ เป็นอย่างหนึ่ง สีสันวรรณะเป็นอย่างหนึ่ง พอเข้าไปข้างในนี้เป็นอะไรอีกที่นี่ ก็เพราะว่าข้างในเป็นตัวปฏิกูลทั้งหมด จนกระทั่งออกมาถึงผิวหนังก็มีตั้งแต่ขี้แต่อะไร ขี้เหงื่อ ขี้ไคลอะไร มันก็ออกมาจากของสกปรกภายใน แล้วเมื่อสิ่งเหล่านี้รวมเข้าไปภายในแล้วเป็นยังไง นั่น มีแต่ของปฏิกูลทั้งหมดในร่างกายมีอะไร เราจะไปหาเสกอะไร ว่าให้มันเป็นอะไรอีก มันไม่เป็นไปด้วยนะ ใครจะเสกว่าสวยว่างามว่าอะไรนี้ก็เป็นไปด้วยไม่ได้ เพราะความจริงเป็นอย่างนี้
เมื่อพิจารณาให้เห็นตามความจริงนี้แล้ว มันก็ไม่มีปัญหาธรรมพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอย่างนี้ คือชอบอย่างไม่มีปัญหาเลย มันเป็นปัญหาอยู่แต่กับหัวใจตัวเอง ที่มีกิเลสเป็นเครื่องหลอกลวง มันหลอกอยู่ทั้งวันทั้งคืน ธรรมว่าอย่างนี้มันหลอกให้เป็นอย่างนี้ไปเสีย ธรรมคือความจริงเป็นอย่างนั้น มันหลอกให้เป็นอย่างนี้เสีย เราก็หลงไปตามความหลอก เราไม่ได้เห็นไปตามความจริง เพราะฉะนั้นในตัวของเราทั้งหมด ความรู้ความเห็นของเราทั้งหมดมันจึงมีแต่เรื่องปลอม เรื่องปลอมมันมีผลประโยชน์อะไรกับเรา นอกจากจะเอาความทุกข์ให้เราทั้งนั้น แต่ความจริงฝึกได้ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม คือธรรมจริง ของจริง ผู้ปฏิบัติตามนั้นจะรู้จริงเห็นจริง แล้วถอนตัวออกได้โดยลำดับ เอาแค่นี้ก่อน ท่านปัญญาอธิบายให้หมู่เพื่อนฟัง
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรม FM103.25MHz พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ |