เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ทดลองพระ
พระที่มาศึกษานี้ ได้ทดลองดูซิพระมาศึกษา ก็มีพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ตรงนี้ เราเหลือบตามองดูพระองค์ไหนจะสายตามารับกับสายตาเรา เราจะใช้องค์นั้น ก็พอดีมีพระองค์นี้มองมารับสายตาเรา ก็เรียกให้มา คือเราจะใช้พระนี่เราต้องมองไปๆ ถ้าสายตาของพระรับกับตาของเรา เราก็เรียกมา ถ้าองค์ไหนไม่รับก็ไม่เห็น จึงเรียกองค์นี้มา เราได้ขนมชิ้นหนึ่ง มองเห็นเด็กนั่งติดอยู่กับแม่ แถวนั้นไม่มีเด็ก มีเด็กคนเดียวนั่งติดกับแม่อยู่ เราหยิบขนมนี้ เรียกพระมา พระก็ปุ๊บปั๊บมาเลย ออกสนามทดลอง มาศึกษาอบรมผลเป็นยังไงแสดงออก ปุ๊บปั๊บมาเราก็จับยื่นให้ โอ๋ย บอกชัดเจนนะ อย่างนี้ละมันสำคัญอันนี้นะ บอกชัดเจน นี่ขนมนี้ไปให้เด็กนั้นนะ เด็กที่นั่งอยู่กับแม่
แถวนั้นไม่มีเด็ก มีเด็กคนเดียวมันไม่น่าจะสงสัย นี่ละฟังซิที่มาศึกษา เราก็ชี้บอกด้วยเด็กคนนั้นนั่งอยู่ติดกับแม่ เพราะแถวนั้นไม่มีเด็ก มีเด็กคนเดียวไม่น่าสงสัยอะไรเลย ให้เอาขนมไปให้เด็กคนนั้น ปุ๊บปั๊บไปจะไปใส่บาตรองค์นี้ แต่ยังดีมองมาหาเราเสียก่อน เราบอกไม่ ว่างี้ แล้วปุ๊บปั๊บจะไปใส่บาตรองค์นั้นอีก ฟังซิน่ะ ก็พอดีมองมาหาเราอีก เราปัดอีก ตกลงก็เลยเรียกกลับมา ก็พอดีพระองค์หนึ่งมองมาหาเรา เราก็เรียกพระองค์นี้มาสั่งใหม่ ให้เอาขนมไปให้เด็กที่นั่งอยู่กับแม่ติดกับแม่นะ พระองค์นี้เราเข้าใจแล้วแหละ ปุ๊บๆ ก็ไปมอบให้ปั๊วะเลยไม่ผิดอะไร แต่องค์นี้ยังเซ่อไม่ถอย
นี่ละเป็นยังไงมันถึงเป็นอย่างนั้นพิจารณาซิ เด็กที่ว่านั่งอยู่กับแม่ กับพระทั้งหลายนี้มันต่างกันอย่างไรบ้างฟังซิ เอาขนมนี้ไปให้เด็กที่นั่งติดกับแม่อยู่นั้นนะ เข้าใจไหมพูดอย่างนี้ พากันเข้าใจไหม ก็แสดงว่าไม่เข้าใจเฉพาะพระองค์เดียวนี้เท่านั้น ลงตรงนั้นนะ นี่ละการมาศึกษาที่ไม่ค่อยได้ผลได้ประโยชน์อะไร เพราะมาเด้นๆ ด้านๆ จิตเลื่อนๆ ลอยๆ นี่ละจิตไม่มีสติ จำให้ดีนะ ถ้าไม่มีสติแล้วเป็นอย่างนี้ เร่ๆ ร่อนๆ ถ้ามีสติจับปั๊บทีนี้ปัญญาจะออก ความเข้าใจจะออก สั่งเสียอะไร
พอพูดเรื่องนี้แล้วเราก็ระลึกถึงที่บ้านหนองสูง คำชะอี ท่านอาจารย์กงแก้วท่านอยู่ที่นั่น โอ๋ย ท่านใจดีมาก เพราะฉะนั้นเณรอยู่กับท่านจึงยั้วเยี้ยๆ มีแต่เณรอยู่กับท่าน มีพระดูเหมือนสององค์ นอกนั้นมีแต่เณร ตัวกำลังน่ารักเสียด้วยนะ สูงขนาดนี้ น่ารัก พอเราฉันเสร็จแล้วจากห้วยทรายเราก็เดินไป จากนั้นถึงวัดท่าน ๒ ชั่วโมง ๒๕ นาที ไปไม่มีรถ ไปพอท่านเห็นเราแล้วท่านก็ปุ๊บปั๊บเลย เรียกเณร เณรๆ มานี่ ท่านเรียกเณรมาจะใช้ พอเณรปุ๊บปั๊บขึ้นมา เณรสองสามตัว น่ารักทุกตัวแหละ ปุ๊บปั๊บขึ้นมาก็นั่งคุกเข่า ดูสวยงามนะ เพราะเราสังเกตนี่ ท่านสอนพระสอนเณร กับเราสอนพระสอนเณร มันเข้ากันได้ ผลเป็นออกมาอย่างไรบ้าง ความหมายว่างั้นนะ
โอ๋ย นั่งเป็นแถวสวยงามมาก น่ารักมาก ท่านก็สั่งเสีย เราก็ฟังคำท่านสั่ง เราเข้าใจทุกคำว่างั้นเถอะ ทีนี้เณรเหล่านี้จะเข้าใจไหม เราคอยจับดูเณรจะเข้าใจไหม ท่านใจดีนะ อาจารย์กงแก้วใจดีมากทีเดียว นี่นะให้ไปเอาเสื่ออยู่กุฏิหลังนี้ แล้วให้ไปเอาหมอนอยู่กุฏิหลังนี้มาให้ท่านอาจารย์ท่านมาเยี่ยมเรา พักศาลา ว่างั้น ท่านยังซ้ำอีกนะ ให้ไปเอาหมอนอยู่กุฏิหลังนี้ เสื่ออยู่กุฏิหลังนี้ ไปเอามาเดี๋ยวนี้ แต่ท่านไม่ได้บอกว่ากี่ผืน เราจำขนาดนั้นนะ ก็เราจะฟังจับเอาเรื่องราวนี่ เณรก็นั่งตาใส่แป๋วเหมือนตาแมวนะ นั่งคุกเข่า โอ๋ย สวยงามนะ นั่งจ้อฟังอาจารย์เหมือนจะเอาจริงเอาจังมากทีเดียว
พอท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว เรานี้เข้าใจหมดแล้วแหละ พอท่านให้ไปเอาหมอนอยู่กุฏิหลังนี้ เรามองไปกุฏิหลังนี้ แล้วไปเอาเสื่อกุฏิหลังนี้ มองไปก็เห็นกุฏิหลังนี้อยู่ ถ้าเป็นเราก็ปุ๊บไปหลังนั้นละ ไปหลังนั้น นี้เข้าใจแล้วนะว่างั้น ท่านยังบอกว่าเข้าใจแล้วนะ แสดงว่าเณรเหล่านี้ไม่ค่อยเข้าใจนั่นแหละท่านถึงบอกเข้าใจแล้วนะ เอ้า ถ้าเข้าใจแล้วไปเอาเสื่อหลังนี้ และหมอนหลังนี้ พอลงไปจากศาลาเณรก็หันหน้าปุ๊บปั๊บมาอีก ๓ เณรลงไป หันหน้าปุ๊บปั๊บมาแล้วว่า ซาดบ่ ว่างั้น เข้าใจไหม ซาดก็คือเสื่อ ภาษาทางนั้นเขาเรียกสาด เสื่อนี่เขาเรียกสาด พอลงไปแล้วหันหน้าจ้องมา ซาดบ่ คือภาษาภูไทไม่ว่าสาดนะ ซาดบ่ เอ๊า ก็นึกว่าเข้าใจแล้ว เราก็ฟังท่านพูดกับเณรท่าน เอ๊า นึกว่าเข้าใจแล้ว
ท่านก็สั่งอีก ให้ไปอย่างนั้นอีกตามเดิม ไม่มีกิริยาอะไรแหละ เข้าใจแล้วนะ ท่านบอกแล้วก็ลงไป ไปเอามาถูกต้องอยู่ แต่สำคัญที่ลงไปแล้ว ซาดบ่ เราน่ะเข้าใจหมดแล้ว สั่งสอนเณรมันไม่เข้าใจ ท่านว่างั้น โอ๋ย มันเป็นอย่างนี้แหละครูอาจารย์ วัดเรานี้มันเหมือนกับโรงบ่มบ้า ใครเข้ามามันเป็นบ้ากันหมด วัดกระผมก็เหมือนกันนี้ ท่านหัวเราะคิกๆ เราเลยไม่ลืมนะ เราว่า วัดนี่เป็นโรงบ่มบ้า ให้เป็นบ้ากันทั้งวัดถ้าเข้ามานี้ ใครเป็นคนดีก็มาเป็นบ้ากันหมด มันไม่ได้มาเป็นอรรถเป็นธรรม
นี่เข้ามาในวัดในวาอย่ามาเป็นบ้ากันหมด เดี๋ยวซาดบ่ ขึ้นอย่างนั้นไม่ได้นะ เข้าใจไหม พูดสอนทุกวันๆ มากยิ่งกว่าท่านอาจารย์กงแก้วท่านสอนลูกศิษย์ของท่านให้ไปเอาเสื่อกุฏิหลังนี้ เอาหมอนกุฏิหลังนี้ ท่านสอนเพียงสองสามครั้ง นี่เราสอนมากี่ปีกี่เดือนแล้ว ยังจะหันหน้ามาซาดบ่อยู่เหรอ เราไม่เหมือนใครนะ ปั๊วะเลย เข้าใจไหม ยังมาซาดบ่ เข้าใจเหรอ นี่ละเรื่องความเข้าใจมันอยู่ที่จิต ที่สติหนึ่ง แต่ภูมิของความฉลาดความโง่มันก็ตามพื้นเพ แต่สำคัญขอให้มีสติ จะจับได้ๆ การมาปฏิบัติธรรมไม่เอาจริงเอาจังไม่ได้ กิเลสเอาไปกินหมด ทั้งๆ ที่เข้ามาในวัดมาศึกษาอบรมกับวัด กิเลสมันไม่ว่าอะไรแหละ มันโกยเอาเลยไปเลยไม่มีเหลือ ออกไปจึงมีแต่ความเซ่อๆ ซ่าๆ เป็นนิสัยอย่างเก่าแก่ของกิเลสที่ถลุงมาจนแหลกแล้วนั่นแหละออกต้อนรับกัน กิริยาของอรรถของธรรมที่ได้เข้ามาศึกษาอบรม พอจะได้เป็นคติเครื่องเตือนใจตนเองและเป็นความดีงามเกี่ยวข้องกับเพื่อนกับฝูง ในการแสดงออกของตนนั้นมันไม่มี เป็นอย่างนี้แหละ
อย่างที่พระเข้ามาศึกษาอบรมกับเรานี้ เพราะฉะนั้นถึงได้จี้แล้วจี้เล่า เพราะเราก็เป็นนักศึกษา ก่อนที่จะมาเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้น้อยมาก่อน เฉพาะอย่างยิ่งเข้าไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นลองดูซิน่ะ จอมปราชญ์ฉลาดแหลมคม พูดคำไหนออกมาธรรมดามันไม่ได้เรื่องได้ราว ก็แบบซาดบ่ นั่นแหละ ไม่ได้เรื่องได้ราว ต้องจับปั๊บๆ ท่านพูดอะไรจับปั๊บๆ ได้คตินี้ไปใช้ๆ มันก็เกิดผลเกิดประโยชน์ ที่เราได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายอยู่นี้ ก็คือเราไปศึกษากับท่าน เอาจริงเอาจังมากทีเดียวไม่ใช่ธรรมดา ท่านพูดแย็บออกมาคำไหนจับมาพินิจพิจารณาตลอดๆ เพราะตั้งใจไปศึกษา แน่ใจแล้วว่าท่านคือพระอรหันต์องค์หนึ่ง ลงในหัวใจเต็มสัดเต็มส่วนตั้งแต่ท่านชี้ธรรมออกมาตั้งแต่เราไปหาท่านทีแรก
หือ ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ทั้งสอง ท่านออกพร้อมกันๆ รวมลงไปแล้วธรรมจริงๆ กิเลสจริงๆ อยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ย้อนจิตเข้ามาสู่ใจ พินิจพิจารณาที่ใจ ท่านจะรู้ทั้งธรรมทั้งกิเลสอยู่ภายในใจนี้แหละ มันลงใจนะ เพราะฟังเอาจริงเอาจังมาก ก็ได้อุตส่าห์พยายามปฏิบัติมา พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมต้องเป็นเรื่องความจริงนะ เหลาะๆ แหละๆ ไม่ได้ เหลวไหลทั้งนั้น ที่ลูกศิษย์ลูกหาพระเณรทั้งหลายเคยอยู่กับครูบาอาจารย์มาไปเลอะๆ เทอะๆ ก็เพราะไปแบบซาดบ่นั่นเอง เข้าใจไหม ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร รายไหนไปๆ หันหน้ามาก็มีแต่ซาดบ่ๆ หันหน้ากลับมาจะเป็นอรรถเป็นธรรมมาบูชาครูอาจารย์ไม่มี มีแต่ซาดบ่ หรือว่าเซ่อบ่ เข้าใจไหม นั่นละเป็นอย่างนั้น จำเอานะท่านทั้งหลาย
ธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ละเอียดสุขุมมากทีเดียว กิเลสนี้ปกคลุมๆ อะไรกิเลสจะออกก่อนๆ ความเซ่อๆ ซ่าๆ ความไม่เอาไหนเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นมันจะออกจากจิตของเราตลอดเวลา กิริยาที่แสดงออกจากจิตที่เซ่อๆ ซ่าๆ เป็นกิริยาที่สะเปะสะปะไม่ค่อยได้หลักได้เกณฑ์อะไร ถ้าจิตที่มีสติ ตั้งจิตตั้งใจต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ แล้วจะได้ของดีออกไปใช้ เมื่อออกจากนี้แล้วออกไปทางไหนก็จะไม่เลอะๆ เทอะๆ จะจริงจะจังทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถึงได้สอนถึงเรื่องสติเป็นของสำคัญมากนะ ถ้าสติอยู่กับตัวแล้วความรู้อยู่ที่นี่ ทีนี้พร้อมที่จะรู้ รู้เรื่องอะไรพร้อมที่จะรู้ รู้ด้วยสติมันแม่นยำๆ ไม่ค่อยผิดพลาด ไอ้รู้ด้วยความเซ่อๆ ซ่าๆ ของกิเลสผิดพลาดทั้งนั้นแหละ อย่างที่ว่าซาดบ่นี่ เราเอามาพิจารณาหมด
การมาศึกษากับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ๆ ลูกศิษย์มีน้อยเมื่อไร มากต่อมากนะ เฉพาะพ่อแม่ครูจารย์นี้เรียกว่าทั่วประเทศไทยลูกศิษย์ของท่าน แล้วที่จะได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ มาสั่งสอนลูกศิษย์กระจายต่อไปนั้นมีน้อยมากนะ นอกนั้นเลอะๆ เทอะๆ มีแต่เรื่องซาดบ่ๆ ๆ ทั้งนั้น เต็มบ้านเต็มเมืองมีแต่ซาดบ่นั่นแหละ นี่ละพวกซาดบ่ พวกเรานี่พวกซาดบ่ ครูบาอาจารย์สอนแทบเป็นแทบตาย หันหน้ากลับมานึกว่าจะได้ของดิบของดีมา ซาดบ่ อยากจะตีปากเอานะเรา มันโมโห โห ของง่ายเมื่อไรเรื่องอรรถเรื่องธรรม ต้องให้พากันฝึกฝนอบรม เอาจริงเอาจัง มีข้อหนักแน่นต่อตนเอง ต่อสู้จริงๆ
เรื่องความชั่วนี้หนาแน่นมากแต่ละคนๆ ต้องได้ใช้ความพยายามอย่างหนักแน่นต่อสู้กัน ยิ่งเวลาจิตหยาบเท่าไรๆ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น กิริยาแสดงออกเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด คิดดูซิที่ว่าไปอยู่บนภูเขาตั้งหน้าจะฟัดกับกิเลสอย่างเต็มเหนี่ยว หลังจากได้ฟังคำสอนของครูอาจารย์อย่างถึงใจแล้ว ตั้งสติไม่อยู่ ตั้งพับล้มผล็อยๆ ล้มต่อหน้าต่อตานะ เราก็ตั้งใจตั้งสติ ล้มต่อหน้าต่อตา คือกิเลสตีปั๊บเดียว พอตั้งพับล้มๆ คือกิเลสตีทันทีๆ นี่เรียกว่ากระแสของกิเลสมันรุนแรงมาก ตั้งสตินี้เพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมล้มผล็อย คือกิเลสตีแล้ว ไม่เป็นท่าเป็นทาง ถึงขนาดน้ำตาร่วงเราลืมเมื่อไร เราไม่ลืมนะ
แต่อาศัยความพยายาม ที่ว่าเคียดแค้นให้กิเลสเป็นอรรถเป็นธรรม ธรรมดาความเคียดแค้นเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่นี้ความเคียดแค้นเป็นอรรถเป็นธรรม ก็ได้จับเอานี้แหละมาในตัวเองนั่นแหละ ความเคียดแค้นให้กิเลส ถึงขนาดกูมึงเทียวนะ เพราะตั้งสติเท่าไรล้มๆ ให้เห็นต่อหน้าต่อตา ไม่ได้อยู่นะ ตั้งเพื่อล้มๆ เพราะกระแสของมันรุนแรง ถึงขนาด โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เป็นอยู่ในใจไม่ได้ออกมาพูดแหละ น้ำตาร่วง ที่ข้อรับกันก็คือว่า เอาละมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เวลานี้มึงเอากูขนาดนี้ แล้วกลับมาหาครูบาอาจารย์ มาศึกษาอีกได้อีก กลับไปอีกเอาอีกล้มอีก แต่ว่าล้มช้ากว่าทีแรก ค่อยล้มช้าๆ เข้าไป ต่อไปก็ล้มบ้างไม่ล้มบ้าง ทีนี้กิเลสล้มให้เห็น นั่นละความเอาเต็มเหนี่ยวๆ ไม่หยุดไม่ถอย ฟัดกันๆ
จนกระทั่งตั้งหลักได้ ทีนี้สติตั้งปั๊บอยู่ปั๊บๆ รับกันกับกิเลสเรื่อย ถึงขนาดสติตั้งเป็นหลักเลย นั่นฟังซิ นี่ละการฝึกฝนอบรมเอาแทบเป็นแทบตายถึงขนาดน้ำตาร่วง หยาบขนาดนั้นละจิตใจเรา เอาจนกระทั่งกิเลสฟัดเอาน้ำตาร่วงๆ กลับมาทีนี้ก็ซัดกับกิเลส หลายครั้งหลายหนต่อไปกิเลสก็หงายให้เราเห็นที่นี่ เพราะเราสู้ไม่ถอย หนักเข้าๆ หลักใจก็มีๆ สติมีปัญญามี หนักแน่นเข้าโดยลำดับ กิเลสตัวที่ทำลายๆ นั้นค่อยเบาลงๆ หนักเข้าเรื่อยๆ เลย เอาจนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัติ นี่มาจากล้มลุกคลุกคลานนะ เอาจนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัติ นี่มาจากล้มลุกคลุกคลานนะ คือสู้ไม่ถอยๆ ต่อไปตั้งสติได้จิตมีภูมิมีฐานขึ้นมา ความสงบร่มเย็นหนาแน่นขึ้นมาๆ ออกด้านปัญญานี้พุ่งๆ ที่เป็นคราวก่อนสติตั้งล้มผล็อยๆ หมดไปแล้ว เพราะอำนาจแห่งการฝึกฝนอบรมตน จนถึงขนาดที่ว่าสตินี้ยืนตัวเลย ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับไม่มีที่ว่าเผลอตรงไหน นี่มันเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือเป็นไปเอง สติเป็นไปเอง ปัญญาหมุนตัวเป็นเกลียว
ทีนี้กิเลสเข้ามาแหยมไม่ได้ ตัวใดเข้ามาขาดสะบั้นๆ เห็นกันชัดๆ ในคนๆ เดียวนี้แหละ เอาจนกระทั่งกิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้ เมื่อมันโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ค้นคุ้ยเขี่ยหาที่ไหนก็ไม่เจอ ไม่ปรากฏกิเลส มีแต่ธรรมสง่างาม สติปัญญาจ้าคอยที่จะฟัดกับกิเลส ตัวไหนโผล่ขึ้นมาขาดสะบั้นเลย นั่นเวลาสติปัญญามีกำลัง เห็นชัดๆ ในคนๆ เดียวนี้แหละ จนกระทั่งบางที นี่ก็ได้เอามาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง ค้นที่ไหนก็ไม่เจอ มีแต่ธรรมสง่างามจ้าๆ อยู่ภายในใจ ค้นหากิเลสตัวไหนก็ไม่มี แต่ไม่ได้พูดด้วยความสำคัญนะ พูดด้วยการค้นไม่เห็นนั้นแหละ หือ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้สำคัญแหละ คือค้นไม่เห็นแล้วก็ว่าเอาเฉยๆ เหอ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ
งานของจิตอันนี้ถ้าเจอกิเลส ฟัดกับกิเลสเป็นงานประเภทหนึ่ง ไม่เจอกิเลสก็คุ้ยเขี่ยหากิเลส ก็เป็นงานประเภทหนึ่ง ไม่มีหยุดสติปัญญาอัตโนมัติ งานเป็นงานอัตโนมัติเลย หมุนติ้วๆ สักเดี๋ยวก็เจอจนได้กับกิเลส พอเจอก็ขาดสะบั้นลงไปเลย ขาดสะบั้นลงไปๆ จากนั้นก็เชื่อมเข้าไปหามหาสติมหาปัญญา ถึงขั้นนี้แล้วเหมือนว่าอะไรผ่านไม่ได้เลย เห็นไหมสติปัญญาที่ล้มลุกคลุกคลานตั้งล้มๆ กับกิเลสตั้งขึ้นมาไม่ได้ โผล่มาไม่ได้ ขาดสะบั้น นั่นเข้ากันได้แล้ว ขาดสะบั้นๆ นี่ละการฝึกฝนอบรมตน เราจะเอาแต่สุกเอาเผากินๆ ไม่ได้นะ กิเลสเป็นภัยต่อเราตลอดไป ธรรมเป็นคุณต่อเราเสมอไปเช่นเดียวกัน ให้นำมาใช้นำมาแก้กันเพื่อเอาตัวของเราให้เล็ดลอดออกไปได้จากกิเลสตัวเป็นภัย ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
นี่เราพูดถึงเรื่องสติปัญญา ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา นี้ยังไม่ได้สิ้นนะ ยังไม่ได้เป็นอรหันต์นะ แต่มหาสติมหาปัญญาซึ่งเป็นเครื่องมือฆ่ากิเลสมันเกรียงไกรมาก เอาจนกระทั่งกิเลสเหมือนหนึ่งว่าไม่มี ถึงกับคิดขึ้นมา แต่ไม่ได้มีความสำคัญนะ คิดเฉยๆ หือ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ ค้นหากิเลสที่ไหนก็ไม่เจอ แต่ก็ค้นอยู่นั่นแหละเพราะเราไม่ได้สำคัญว่าเราเป็นอรหันต์นี่ พอค้นไม่เห็นแล้วก็ว่าเอาเฉยๆ คุ้ยเขี่ยขุดค้นก็เจออีกๆ ซัดเข้าไปจนกระทั่งถึงรากแก้วของมัน อวิชฺชาปจฺจยา ม้วนเสื่อเข้ามานี้ ฟาดพังปึ๋งเลย ไม่ต้องมี คำว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่มีเลย ผึงขึ้นตรงกลางนี้ ตัดสินขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรเหลือ นี่ละการปฏิบัติตนเอง พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ฝึกฝนอบรม อยู่เฉยๆ ดีไม่ได้นะคนเรา ดีแต่ชื่อไม่เกิดประโยชน์ ให้ตัวคนดี ชื่อเขาจะตั้งว่ายังไงช่างหัวเขาเถอะชื่อเฉยๆ ขอให้ตัวของเราดี อยู่ที่ไหนให้ดีๆ
นี่พระเข้ามาศึกษาอบรมก็สอนพระสอนเณร แต่เวลานี้ไม่ได้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนเอาจริงเอาจังบนศาลา สอนพระมีแต่แกงหม้อเล็ก แกงหม้อจิ๋ว พุ่งๆ เลย แต่เวลานี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมือง ก็เลยหมุนไปทางชาติบ้านเมือง พอให้มีสติสตังยับยั้งตนได้บ้างจากความชั่วทั้งหลาย พอเป็นสิริมงคลแก่ตัวของเรา ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ สำหรับพระที่มาศึกษาก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ต่างคนต่างมีสติสตังตั้งอยู่กับตัว สติอย่าให้เคลื่อน ให้ติดอยู่กับตัว ยืนเดินนั่งนอนสติติดเว้นแต่หลับ มันเป็นเองของมัน พอตื่นขึ้นมาให้ตั้ง นี้ละคือความเพียรของพระ งานของพระงานของเราเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน ต้องเป็นงานที่มีสติเป็นพื้นฐาน ถ้าปราศจากสติไม่เป็นท่า
ที่พูดเหล่านี้ฟัดมาพอแล้วนะ ไม่ใช่เอามาพูดเฉยๆ ผ่านมาหมดแล้ว ความสมบุกสมบันทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาหมดๆ จนกระทั่งได้มาเห็นอย่างที่ว่านี่ นี่ถูกต้องแล้ว วิธีการที่เราดำเนินมานี้ไม่ผิด เหมือนพระพุทธเจ้าทรงดำเนินมาไม่ผิด ตรัสรู้ธรรมปึ๋งไม่ต้องถามใคร ไม่ต้องเอาใครมาเป็นสักขีพยาน พระองค์พอแล้ว สอนโลกได้ทั้งสามโลก กามโลก รูปโลก อรูปโลก สอนได้หมด นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า นี้ขึ้นจากใจเหมือนกัน ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า แม้ตัวเท่าหนูภูมิของธรรมก็เต็มหัวใจหนูจะว่าไง พอตัวๆ เพราะฉะนั้นสาวกทั้งหลายที่ได้ตรัสรู้ธรรม บรรลุธรรมแล้ว สอนโลกจึงไม่ปรากฏว่า สาวกองค์ใดที่ธรรมะในหัวใจไม่พอ ไปทูลถามพระพุทธเจ้าเอามาเพิ่มเติมไปสอนโลกอีกไม่เคยมี ท่านองค์ไหนก็สอนเต็มภูมิๆ เต็มวาสนาของตนๆ
นี้ตัวเท่าหนูเช่นเดียวกันก็ตาม แต่ก็เต็มภูมิของตัวเองจึงไม่ถามใคร ธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว เปิดออกที่ไหน เอ้า พูดให้มันจังๆ อย่างนี้มันจวนจะตายแล้ว พูดตลอดที่ว่าจวนจะตายๆ เพราะเป็นห่วงพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้เป็นห่วงเรานะ เราพอทุกอย่างแล้ว พร้อมแล้วพอแล้วที่จะไป พอแล้วที่จะอยู่ ทั้งสองอย่างพอทุกอย่าง หัวใจพอเสียอย่างเดียวพอหมด อยู่ก็ได้ไปก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร จึงได้เปิดธรรมทั้งหลายออก หัวใจดวงนี้เวลามันเป็นมูตรเป็นคูถก็เป็นอย่างเราๆ ท่านๆ เวลาขัดออกไปๆ แล้วก็ค่อยสว่างไสวขึ้นมาๆ จนกระทั่งถึงจ้าครอบโลกธาตุใจดวงนั้นละ เห็นไหมล่ะ เพราะการฝึกฝนอบรม ต้องใช้ความอุตส่าห์พยายาม
อย่าให้กิเลสมากระซิบกระซาบเอาไปกินก่อนๆ นะ อะไรก็มีแต่กิเลสเอาไปกินก่อนๆ ใช้ไม่ได้นะ ต้องฝึกต้องได้พินิจพิจารณาตัวเอง ฝึกฝน เราทำเพื่อเราเป็นไรไป ทุกข์ขนาดไหนก็เพื่อเราไม่ใช่เพื่อผู้อื่นผู้ใด พอที่จะขี้เกียจขี้คร้านอิดหนาระอาใจต่อการช่วยเหลือเขา นี่ช่วยเหลือตัวเอง เมื่อมีทุกข์มากน้อยเพียงไร เอาเราช่วยเหลือตัวเอง เหมือนเรารับประทาน ตั้งแต่หิวเต็มที่ก็รับประทานๆ มา ช่วยตัวเองๆ จนกระทั่งอิ่ม นั่น เราจะไปเบื่อหน่ายอะไรในการช่วยตัวเองเพราะการรับประทานของเรา รับประทานจนอิ่ม ไม่มีใครอิดหนาระอาใจต่อการรับประทานในกลางคันแหละ ว่าฉันยังไม่อิ่มนี้ อิดหนาระอาใจ ไม่มี มีแต่ฟัดเสียจนอิ่มๆ เข้าใจไหม
นี่ก็เหมือนกันเอาตัวเองให้พอแล้วก็พอหมด เรียกว่าคุ้มกันกับเหตุกับผล ที่เราได้สละมาขนาดไหนๆ ผลเวลาเกิดขึ้นมาได้กันปั๊บเลย นี่ละท่านว่าเหตุกับผล ถ้าเหตุเบาผลก็เบา เหตุหนักผลก็หนัก ไม่ว่าเหตุดีเหตุชั่ว เหตุชั่วเหมือนกัน เหตุดีเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเหตุ เหตุหนักผลก็หนัก ผลดีหนัก ผลชั่วหนัก นี่เราพยายามทำเหตุให้ดี ต่างคนต่างตั้งใจประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปถามที่ไหน ดินฟ้าอากาศไม่ใช่ธรรม อยู่ที่ใจของเรา ถูกกิเลสตัณหามันปกคลุมหุ้มห่อเอาไว้ เหมือนสระน้ำที่ว่านี่ น้ำเต็มสระแต่จอกแหนปกคลุมให้มองหาน้ำไม่เห็น ก็เข้าใจว่าสระนี้ไม่มีน้ำ ความจริงน้ำเต็มอยู่ในนั้น เป็นแต่เพียงจอกแหนปกคลุม
อันนี้กิเลสปกคลุมหัวใจเราอยู่ กิเลสเท่ากับจอกกับแหนปกคลุม เปิดออกๆ ใครมีความอุตส่าห์พยายาม เปิดออกได้มากได้น้อยเราจะเห็นน้ำในสระๆ เปิดออกกว้างเท่าไรเห็นมากๆ เปิดออกหมดน้ำในสระเต็มหมดเลยตั้งแต่เมื่อไร นี้เปิดกิเลสออกหมดแล้วธรรมในใจเต็มตั้งแต่เมื่อไร เป็นอย่างนั้นนะ อยู่ไปๆ กินไปๆ หาความแน่นอนไม่ได้ วันนี้หาความแน่นอนไม่ได้ วันพรุ่งนี้เหมือนกัน เดือนนี้เดือนหน้า ปีนี้ปีหน้าเหมือนกันหมด หาความแน่นอนไม่ได้ สร้างความแน่นอนให้ตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ได้มากได้น้อย วันนี้ได้ห้า วันนี้ได้สิบ เอาไปเรื่อยๆ อย่าให้ขาดทุนสูญดอก
เราเป็นผู้รับรองเราเอง รับผิดชอบเราเอง หนักเบาอยู่กับเรา อะไรบกบางให้รีบหามาตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วตายไปด้วยความบกบางนะ อยู่ในชาตินี้สงสัยสนเท่ห์ ชาติหน้าก็เหมือนกัน ใจดวงนี้เองเป็นตัวบกพร่อง อยู่ชาตินี้ก็บกพร่อง ไปชาติหน้าก็บกพร่อง ถ้าใจดวงนี้มีความสมบูรณ์พูนผล อยู่ที่นี่ก็เย็นใจ ไปข้างหน้าก็เย็นใจ คือใจดวงนี้เอง ไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้งนะ อยู่กับหัวใจเราทุกคน ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติฟิตตัวเองนะ ไปหาครูบาอาจารย์ เราอย่าไปเข้าใจว่าไปหาแล้วจะไปอะไรกับท่าน ก็ไปเพื่อเรานั่นเอง ไปหาครูบาอาจารย์ก็เพื่อเรา ทำบุญให้ทานเพื่อเราทั้งนั้น ท่านก็เป็นแต่เพียงอาศัยอันนั้นซึ่งเป็นส่วนหยาบ ส่วนละเอียดคือบุญกุศลเป็นของเราๆ ด้วยกันทุกคน ให้พากันจำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้
โยม มีปัญหาอินเตอร์เน็ตครับ
หลวงตา เอ้าว่ามาอินเตอร์เน็ต เตอแหนด
โยม มีปัญหาจากของวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๔๗ คนที่ ๑ ถามดังต่อไปนี้ครับ กราบเรียนหลวงตา
๑ กระผมภาวนาพุทโธตลอดเวลาเท่าที่จะมีสติ ยกเว้นเวลาหลับ สาเหตุ เพราะได้ยินเสียงด่าขึ้นในใจหรือจากภายนอก
๒ เวลาที่ไม่ได้ภาวนาพุทโธ โดยนึกถึงเรื่องอื่นจะมีเสียงจากภายนอกเข้ามากระเทือนถึงหัวใจ
๓ ขณะขับรถยนต์ถ้านึกถึงเรื่องอื่นโดยไม่ได้นึกภาวนาพุทโธพร้อมกันด้วย จะมีเหตุการณ์น่าหวาดเสียว เช่น รถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ขับมาจะชน มีอยู่ครั้งหนึ่งมีนกบินตัดหน้า กระผมขับรถชนนกด้วย
๔ การภาวนาพุทโธใจจะไม่รู้สึกได้ยินชัดเจนเหมือนการนึกเรื่องอื่นๆ
๕ กระผมต้องการภาวนาพุทโธตลอดเวลาใช่ไหมครับ
หลวงตา อย่างนั้นแหละดี สรุปลงตรงนี้เลยนะ ลองเอาพุทโธตลอดเวลา พุทโธอยู่กับใจ ขับรถมันก็ดี สติอยู่กับใจ พุทโธอยู่กับใจ สติอยู่กับใจมันจะรู้รอบในตัวของมันไปเอง เข้าใจไหม ไอ้แบบเร่ๆ ร่อนๆ ไม่ได้นะ ถึงพุทโธก็พุทโธไม่มีสติ ก็แบบอารมณ์ของโลก ไม่เกิดประโยชน์ เอ้าว่าไป
โยม คนที่ ๒ ครับ กราบเท้าหลวงตาเมตตาด้วย หนูอาจจะไม่เคยปฏิบัติตามแบบหลวงตานะเจ้าคะ แต่มีความเคารพและศรัทธาด้วยความรักหลวงตาเจ้าค่ะ มีอยู่คราวหนึ่งเปิดทีวีฟังเทศน์ของหลวงตา หลวงตาเทศน์ว่า เราต้องปฏิบัติกัน ต่อสู้กับกิเลสกัน ๒๔ ชั่วโมงเลยทีเดียว พอดีตอนนั้นหนูเพิ่งปฏิบัติธรรมกลับมาจากวัดหนึ่งพอดีเจ้าค่ะ มันก็ร้อนรนเพราะรู้ไม่เท่าทันกิเลส แต่รู้ตัวว่ามีสติตลอด รู้ตัวเองว่าควรจะทำอะไร และไม่ควรจะทำ มีสติดีมากเลยเจ้าค่ะ และเหมือนได้รับความเมตตากรุณาจากหลวงตาในทันใด พอเปิดทีวีหลวงตาเทศน์คำนี้พอดีเลยเจ้าค่ะ ดีใจมากๆ เลยเจ้าค่ะ เหมือนได้รับความเมตตากรุณา ได้รับกำลังใจให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างทันท่วงที แต่หนูก็ยังไม่ทันกิเลสอยู่เจ้าค่ะ เลยลางเลือนไป แต่ก็จะตั้งใจปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ นะเจ้าคะ
อีกครั้งหนึ่งหนูไปปฏิบัติธรรมที่วัดนั้นนะเจ้าคะ (เป็นวัดที่มีพระคุณแก่หนูมาก) หนูเห็นหลวงตาในสมาธิด้วยเจ้าค่ะ กราบแทบเท้าต่อพระคุณของหลวงตาด้วยนะเจ้าคะ ที่เป็นห่วงลูกๆ หลานๆ ทุกคน หนูเชื่อเหลือเกินเชื่อมั่นมากๆ ในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ทุกวันนี้หนูปฏิบัติธรรมทุกวันเลยเจ้าค่ะ ปฏิบัติได้ดีพอสมควร อยากรู้อยากเห็นไปหมด อยากให้ได้มรรคได้ผล อยากตัดขาดจากความทุกข์กิเลสเครื่องโลเลที่เศร้าหมองนัก อยากทราบวิธีลดละความยึดมั่นถือมั่น ในตัวตน ในคน ในสัญญา เรื่องมันคอยรบกวนจิตใจหนูมากเจ้าค่ะ ทำให้ฟุ้ง ทำให้เศร้า ทำให้เสียใจมาก
หนูดีใจจังที่มีเว็บไซต์ของหลวงตานะเจ้าคะ หนูจะเพียรพยายามศึกษาธรรมะแยะๆ ให้รู้ธรรมะเพิ่มเติม ได้ปลงอสุภะด้วยเจ้าค่ะ กราบแทบเท้าหลวงตานะเจ้าคะ ที่เมตตากรุณาต่อปวงชนชาวไทย กราบอนุโมทนาอย่างจริงใจในสิ่งที่หลวงตาเมตตากรุณาต่อสัตว์โลก และรักษาพระศาสนาด้วยชีวิต หนูจะเป็นกองทัพธรรมด้วยเจ้าค่ะ จะรักษาพระศาสนาด้วยชีวิตเหมือนกัน เพราะมีตัวอย่างที่ประเสริฐอย่างหลวงตา ขอขอบพระคุณมากๆ เจ้าค่ะ กราบอนุโมทนาสาธุด้วยใจ ด้วยความเคารพเจ้าค่ะ
หลวงตา ทั้งสามนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะน่าตอบ เขาเล่าไปทุกคนก็ได้ฟังแล้ว ให้พยายามปฏิบัติตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เสียงธรรมนี้ออกไปไหนโลกจะชุ่มเย็น เสียงอรรถเสียงธรรมออกไปตรงไหนๆ โลกจะชุ่มเย็น กิเลสออกไปทั่วโลก เป็นไฟทั่วโลก ธรรมะที่กระจายเป็นน้ำดับไฟออกไปตรงไหนๆ โลกจะร่มเย็นๆ ให้พากันจำข้อนี้ให้ดี พุทธศาสนาออกจากศาสนธรรมที่แท้จริง เป็นธรรมแท้โดยสมบูรณ์แบบ มีพระสงฆ์สาวกอรหันต์ทั้งหลายเป็นพยานของศาสดา พระศาสดาก็เป็นพยานของหลักธรรมชาติทั่วๆ ไปของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ตรัสรู้แล้วเป็นธรรมธาตุด้วยกันหมดเลย แล้วก็เป็นพยานกันมาโดยลำดับลำดา พอเจอนี่ปั๊บวิ่งถึงกันเลย ไม่มีอดีต อนาคต ว่ากว้างว่าแคบ
เช่น น้ำมหาสมุทร มือจ่อปั๊บถูกน้ำมหาสมุทรหมดแล้ว นี่ธรรมจ่อปั๊บเข้าไปนี้ถึงขั้นอรหันต์นะ จ่อปั๊บเข้าไปคือบรรลุปึ๋งถึงกันหมดเลย จึงไม่สงสัยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่สงสัยอยู่ที่ใจ ประจักษ์ใจเลย นี่ละธรรม อันนี้ละที่ครอบโลกอยู่เวลานี้ โลกได้นำธรรมอย่างนี้มาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เอาแขนงของธรรมออกมาสอนโลก เพื่อจะให้เข้าสู่หลักใหญ่ของธรรม คือธรรมธาตุ เข้าใจไหม นั่นละหลักใหญ่ของธรรม กิ่งก้านสาขาที่ออกมาสั่งสอนสัตว์โลก คือกิ่งนี้ให้เกาะกิ่งนี้ไป เช่น ให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา มีแต่กิ่งจะเข้าถึงธรรมธาตุความพ้นทุกข์เข้าใจไหม ให้พากันจับอันนี้ให้ดี
ถ้าปล่อยกิ่งนี้กิเลสเอาไปกินนะ จมเลยๆ กิ่งนี้เป็นกิ่งตายตัวได้มั่นใจได้ ให้พากันเข้าใจกันไว้ทุกคน ศาสนธรรมออกไปกว้างแคบขนาดใหน โลกจะร่มเย็นๆ และเข้ามาสู่ใจของเราวันนั้นใจเย็นทั้งวัน ถ้าวันไหนกิเลสเข้าวันนั้นยุ่งทั้งวันจะเป็นจะตาย เข้าใจเหรอ ใจดวงนี้ไฟเข้าไปมันดิ้นมันอยู่ไม่ได้ ท่านจึงว่า ทุกขัง แปลว่าอะไร เราแปลทับศัพท์เลยว่า เป็นทุกข์ๆ ท่านแปลออกว่าทุกขัง แปลว่าทนไม่ได้ นี่แปลตามศัพท์จริงๆ คือมันดิ้น มันเจ็บมันจะตายมันก็ดิ้น แปลว่าทนไม่ได้ เราก็รวมไปว่า ทุกขังอย่างเดียวเป็นทุกข์พอ เข้าใจหมด เอาละที่นี่นะ
โยม ยังมีคนที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ อย่างละนิดๆ ครับ
คนที่ ๓ ถามว่า กราบนมัสการหลวงตา ในขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตมากมาย เปลี่ยนไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่สิ้นสุดและรวดเร็วมากจนได้แต่มองดูอยู่เฉยๆ จนรู้อย่างชัดเจนมากว่ามันปรุงที่ไหน และแก้ที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าควรจะแก้อย่างไร ขอหลวงตาได้โปรดชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา ให้มีสติอยู่กับใจนะ ถ้ามีสติแล้วมันจะไม่ปรุง มันเอาตอนเผลอนะ ถ้าสติจ่ออยู่นี้ความปรุงนี้จะไม่ปรุง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่ากิเลสมีอยู่ในใจก็ตามจะไม่เกิดเมื่อมีสติครอบอยู่แล้ว เหมือนปิดช่องมันมันขึ้นมาไม่ได้ สติปิดช่องมันไว้มันขึ้นมาไม่ได้ พอสติเผลอพับออกแล้วๆ เข้าใจเหรอ มันเกิดที่ใจนั่นแหละให้มีสติมันจะรู้ ถ้ามีสติแล้วกิเลสมันจะดันๆ จะรู้นะที่นี่นะ ธรรมดาเราไม่รู้หรอก พอมีสติดีๆ แล้วกิเลสมันจะมีลักษณะผลักดันๆ เรารู้ ยิ่งเอาสติตั้งเข้าไปมันก็สงบลง เข้าใจ เอ้าว่าไป
โยม คนที่ ๔ ครับ ตามปกติการเคลื่อนไหวของกระผมมักจะจับกับคำภาวนาพุทโธตลอด หากมีสติระลึกได้ แต่รู้สึกว่าสติตามช้ามากเพียงแต่รู้สึกกับคำภาวนาเฉยๆ
หลวงตา ตั้งให้ดีให้มันตามกันให้ทัน เอ้าว่าไป
โยม ภาวนาเฉยๆ จดจ่ออยู่แค่นั้น แต่จิตไม่ค่อยสดชื่นต่างจากอาการอยู่ในอิริยาบถหนึ่งๆ รู้สึกจะสงบและเย็นใจกับคำบริกรรม กราบเรียนถามหลวงตาว่ากระผมจะทำอย่างไร
หลวงตา ก็ทำที่มันเย็นนั่นแหละ อันไหนมันเย็น พุทโธเหรอ หรือบริกรรมใดมันเย็น
โยม เขาบอกว่าถ้าเขาเคลื่อนไหวแล้วเขาภาวนาพุทโธนี่ ไม่เหมือนเขาอยู่สงบนิ่งๆและภาวนาพุทโธ
หลวงตา เออก็แล้วกัน พอเคลื่อนไหวจิตมันก็เคลื่อนไหว กิเลสเอาไปกินด้วยๆ จิตมันก็ร้อนนะซิ เข้าใจ เอาเท่านั้นแหละ
โยม คนนี้เป็นผู้หญิงครับ ตอนเล็กๆ อายุ ๒ ขวบ เขาเกิดอุบัติเหตุศีรษะฟาดพื้น แล้วก็ ๕ ปีถัดมาก็มีอาการของลมชัก มีอาการเรื่องระบบประสาท หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยสบายด้วยอาการข้างเคียงอยู่บ่อยๆ เขาก็บอกว่าตอนนี้เขาภาวนา แต่ว่าภาวนาก็มีอาการของลมชักนี่มาก่อกวนอยู่เรื่อยๆ ขอถามข้อ ๑ หลานจะต้องปล่อยอาการดังกล่าวจนกว่าจะหาย จึงจะปฏิบัติธรรมได้หรืออย่างไรเจ้าคะ
หลวงตา อย่าไปคิดมาก ให้มีสติอยู่กับนั้น เอาพุทโธติดไว้นั่นเลย เอากว้างๆ ครอบเข้ามาตรงนี้เลย ไม่วินิจฉัยไปมาก เอาเท่านั้นแหละ ขอให้มีสติอยู่กับพุทโธ อยู่ในใจ เรื่องวิกลวิการ มีง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขามีทั่วๆ ไปในโลกนี้ ขอให้จิตอย่าง่อยเปลี้ย เข้าใจเหรอ เอ้าว่าไป
โยม ข้อ ๒ เขาบอกขอให้หลวงตา ได้โปรดรักษาธาตุขันธ์ของหลวงตา
หลวงตา เรารักษาอยู่แล้วตะกี้นี้ กินพึ่งอิ่มนี่ มาหาอะไร ให้รักษาธาตุขันธ์ รักษาใจเจ้าของนั่นซิ เข้าใจ ให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |