ต้นเหตุที่จะให้ทราบความจริงทั้งหลาย
วันที่ 30 สิงหาคม 2515 ความยาว 17.26 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕

ต้นเหตุที่จะให้ทราบความจริงทั้งหลาย

            ใจเราหนักไปทางไหน ความหนักไปของใจนั้นเกิดประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือเป็นทางเสียโดยมาก เราควรแก้ไขปรับปรุงใจของเราให้มีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าปรับปรุงใจไม่ถูก ปล่อยตามใจที่อยากอยู่เสมอ โดยไม่คำนึงถึงความอยากนั้นว่าจะเป็นเรื่องก่อกวนรำคาญตนยังไงหรือไม่ มันก็ลำบาก ถ้าเราไม่แก้ไขความเป็นของจิตเช่นนั้น ถ้าปรับปรุงจิตตัวเองให้เข้าในหลักเกณฑ์เหตุผลแล้ว ความคิดที่เคยเป็นนิสัยมาดั้งเดิมอันไม่ดีนั้นก็ค่อยเบาลงไป ไม่รบกวนจิตใจให้วุ่น ให้อยากอยู่เสมอ

การปฏิบัติตัวเองถ้าไม่ปฏิบัติต่อใจไม่ทราบว่าจะปฏิบัติต่ออะไร หลักใหญ่ก็คือใจ จะพาให้เคลื่อนไหวไปมาทางไหนทำอะไรพูดอะไรออกมา ก็ออกมาจากความกระเพื่อมความบงการของใจทั้งนั้น ผู้ปฏิบัติจึงควรดูกิริยาของใจที่แสดงออก ว่าแสดงออกเพื่อความสงบร่มเย็นเป็นประโยชน์แก่ตน หรือแสดงออกเพื่อความรำคาญก่อกวนตนเองให้เดือดร้อนวุ่นวาย ควรจะสังเกตความคิดอันนี้ นี่เป็นหลักปฏิบัติอันตรงแน่ว เป็นหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง เราจะได้เห็นเรื่องความเคลื่อนไหวของใจผิดถูกชั่วดีไปทุกระยะ และแก้ไขกันไปทุกวรรคทุกตอนที่แสดงขึ้นมา

สิ่งที่แสดงขึ้นมานั้นๆ เมื่อได้ถูกเครื่องต้านทานหวงห้ามหรือกักกันอยู่เสมอ จะไม่ฝืนตัวแสดงออกมาเรื่อยๆ แต่โดยมากเราชอบอยู่กับอารมณ์แห่งความคิด โดยไม่คำนึงว่าความคิดนั้นถูกหรือผิด เพราะฉะนั้นจึงหาหลักเกณฑ์ไม่ได้ ความสงบก็ไม่เกิดขึ้นภายในใจ ถ้าปรับปรุงใจหรือแก้ไขใจไม่ถูกต้องตามร่องรอยแห่งธรรมแล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย ไปไหนก็วุ่นวาย เพราะการก้าวไปสู่สถานที่นั้นที่นี้ หรือการอยู่ที่ใดก็ตาม ต่อออกมาจากจิตให้พาอยู่พาไป ถ้าจิตมีเหตุผลเป็นเครื่องกำกับตนอยู่แล้ว เรื่องก่อกวนจิตใจก็ไม่ค่อยมี ความก่อกวนไม่ค่อยมี ใจย่อมสบาย นี่หลักใหญ่ของการปฏิบัติ

ความทุกข์ไม่เกิดมาจากอะไร ไม่เกิดมาจากสถานที่บุคคลหรือรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าจิตไม่ไปยึดไปเหนี่ยว ไม่ไปนำอารมณ์นั้นๆ มาเกี่ยวข้องวุ่นวายตัวเองหรือก่อกวนตนเอง นอกจากจิตนี้ไปยุ่งเท่านั้นเอง สิ่งทั้งหลายจึงเป็นเหมือนข้าศึก ความจริงความคิดของตนเองเป็นข้าศึกต่อตัวต่างหาก ไม่ใช่รูปมาเป็นข้าศึก เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสมาเป็นข้าศึก แต่อารมณ์ของจิตที่คิดเรื่องรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เครื่องสัมผัสซึ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ แต่อารมณ์นั้นเกิดขึ้นจากใจ รับทราบกันอยู่ที่ใจ แล้วก็เสวยอารมณ์ของตนอยู่กับความคิดนั้นๆ ผลจึงเป็นความเดือดร้อนวุ่นวายขึ้นมา มีเท่านี้การปฏิบัติ หลักใหญ่อยู่ตรงนี้จริงๆ คิดถึงรูป จะเป็นรูปหญิงรูปชายก็ตามซึ่งเคยได้เห็นได้ยินผ่านมาแล้ว ไม่ทราบว่ารูปนั้นอยู่ที่ไหนในขณะที่คิด แต่เราก็เอาภาพที่เคยเห็นนั้นแหละมาเป็นอารมณ์ของใจ จึงเป็นเหมือนภาพนั้นคนนั้นอยู่กับเรา ความจริงอารมณ์ต่างหากอยู่กับเรา เกิดขึ้นจากเรา อยู่กับเรา กวนจิตใจเราให้เดือดร้อน ไม่ใช่รูปนั้น ไม่ใช่เสียงนั้น แต่เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากจิตใจโดยไปยึดเอาสิ่งที่เคยได้เห็นได้ยินนั้น มาคิดมาปรุงทำให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา

จิตไม่เป็นตัวของตัวได้ ก็หาความสงบไม่ได้ จิตเพียงเป็นตัวของตัวในขั้นหยาบๆ ก็สงบได้ คือไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอะไร นอกจากอาศัยธรรมมาเป็นเนื้อเป็นหนังของใจ มาเป็นตัวของตัว ใจย่อมเย็นเพราะธรรมเป็นธรรมชาติที่พาใจให้เย็น โลกคือสิ่งที่เคยเป็นข้าศึกต่อจิตใจนั้นทำใจให้เดือดร้อน ฝืนคิดไปเท่าไรก็เดือดร้อนไปเท่านั้น ใครจะทราบก็ตามไม่ทราบก็ตาม ความเดือดร้อนอันเป็นผลจากตัวเหตุที่คิดผิดนั้นจะปิดไว้ไม่อยู่ บังคับไว้ไม่ได้ จำต้องแสดงขึ้นมาให้เสวยอยู่เสมอไป

การพิจารณานี้ก็เพื่อจะคลี่คลายแยกแยะสิ่งต่างๆ ที่ปลอมแปลงอยู่ภายในจิต ให้จิตได้รู้ได้เห็นด้วยปัญญาของตน ว่าเป็นความเท็จจริงเพียงไรนั้น จิตจึงจะปล่อยวางสิ่งนั้นได้กลายเป็นความผาสุก ไม่กังวลวุ่นวายกับสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านั้นอีกต่อไป  ไม่มีอะไรที่จะก่อเรื่องก่อราวยิ่งกว่าจิต ถ้าเป็นโจรผู้ร้ายก็กลัวพญามารประจำตน ไม่มีอะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าโจรผู้ร้ายคือจิตใจดวงนี้ ตามไม่ทันหลอกตัวเองก็เก่ง จอมต้มจอมตุ๋นก็อยู่ที่จิตดวงนี้ หากสติปัญญาไม่ทันต้มเราวันยังค่ำ หลอกวันยังค่ำคืนยังรุ่ง เดินจงกรมอยู่ก็หลอก นั่งสมาธิภาวนาอยู่ก็หลอก อิริยาบถใดก็หลอก นอกจากนั้นยังหารายได้พิเศษอีก เวลาหลับก็ละเมอเพ้อฝันไป นั่น มีแต่เรื่องความหลอกหลอนของจิต

ถ้าไม่เห็นโทษแห่งความเป็นเหล่านี้ของจิต ก็ไม่ทราบจะเห็นธรรมที่ตรงไหนกัน ก่อนจะเห็นธรรมคือความสงบเย็นใจหรือความแยบคาย ก็ต้องเห็นโทษสิ่งเหล่านี้ด้วยการพิจารณาก่อน อันนี้เป็นต้นเหตุที่จะให้ทราบความจริงทั้งหลาย คือการพิจารณานี้ เรามุ่งเอาแต่ผลโดยไม่คำนึงถึงการก้าวเดินของเรานี้ ไม่ทราบว่าการก้าวเดินนั้นไปทางถูกหรือผิด โดยมากไม่มีสติเครื่องกำกับ วินิจฉัยโดยทางปัญญาว่าความคิดนั้นๆ เป็นไปในทางถูกหรือผิด ปล่อยให้ไหลไปทั้งแล้งทั้งฝน ทั้งกลางวันกลางคืนหลับและตื่น ยิ่งกว่าน้ำเสียอีก ผลก็ไหลมาๆ มีแต่ความเดือดร้อน

ทำหนักเข้าๆ ไม่ปรากฏผล ทำก็ทำแต่กิริยา ความจริงมันไม่มี ไม่เป็นไปตามการทำ ผลก็ไม่ปรากฏแล้วก็เกิดความท้อใจ ขึ้นที่ใจ ใหญ่ก็อยู่ตรงนี้ไม่อยู่ที่ไหน เพราะเคยอยู่ตรงนี้มานานแล้ว แม้จะแสดงออกมาให้พวกปฏิบัตินักปฏิบัติทั้งหลายเห็น ให้เกิดความท้อใจ ว่าเราปฏิบัติมานมนานไม่เห็นปรากฏผลอะไร นั่น ส่วนความผิดพลาดในการปฏิบัติของตนนั้นไม่ได้คำนึง แต่จะยกตนเป็นใหญ่กว่าความจริงไปเสียว่าทำมาเท่านั้นๆ ไม่เห็นเกิดผล ตนอันนี้มันเป็นตนของกิเลส ไม่ใช่เป็นตนของอรรถของธรรม ไม่ใช่เป็นตนที่ออกมาจากสติปัญญาเป็นคู่ปรับ ค้นคว้าให้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาเป็นตนประเภทหนึ่งๆ พอจะเป็นที่ยับยั้งจิตใจให้ได้รับความผาสุกเย็นใจได้

การพิจารณาก็สอนอยู่เสมอ สังเกตดูจิต ถ้าเราภาวนามันไม่หยุดอยู่ เอ้า พามันเที่ยวเดินตามสรรพางค์ร่างกาย อันนี้สอนอยู่เสมอ เที่ยวเดินดูตรงนั้นดูตรงนี้ พิจารณาตรงนี้ พิจารณาอันนี้ให้มันเพลินอยู่ในนี้ บังคับไม่ให้ออก เคยออกมาแล้วกี่ปีกี่เดือนได้ประโยชน์อะไรบ้าง ต้องเอาอะไรมาทดสอบกัน ถ้าเราจะเอาความเท็จความจริงของจิตจากจิตจริงๆ แล้ว เราต้องทดสอบอยู่เสมอนักปฏิบัติ ไม่ทดสอบไม่ได้ผิดทั้งเพ

ความจริงมีอยู่แต่จิตไม่ไปหาความจริง หนังก็เห็นชัดๆ ว่าหนัง เป็นความจริงอันหนึ่งอยู่แล้ว หนัง ฟังว่าหนังเหมือนหนังรองเท้า เนื้อ เอ็น กระดูก เข้าไปข้างในมีอะไร เยิ้มไปด้วยของปฏิกูลโสโครกทั้งหมด อะไรเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชายที่น่ารักใคร่ชอบใจ เราเสกเอาเฉยๆ นั่นละ ปีนความจริง ความจริงมีอยู่อย่างนี้ มีอยู่กับทุกคน เห็นอยู่ นี่ละพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านเห็นตามความจริงที่มีอยู่เป็นอยู่นี้ ท่านไม่เสกสรรปั้นยอขึ้นมา

พวกเราพวกนักเสกสรร เอายาพิษเข้ามาเผาตัวเอง ท่านว่าอย่างนี้แต่เราชอบไปว่าอย่างนี้เสีย ปรุงเอาใหม่ ถ้ามันสำเร็จประโยชน์ก็ดีการปรุงเอาใหม่ แต่มันกลายเป็นเรื่องปรุงเอายาพิษมาเผาตัวเอง การคิดเหล่านี้เกิดประโยชน์ที่ไหนนอกจากเป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจของตัว แล้วยังฝืนคิดมันไปเรื่อยๆ อยู่หรือ เผาตนเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ แล้วเราจะเอามรรคผลนิพพานมาจากอะไร เมื่อความคิดทั้งหมดมันกลายเป็นภัยต่อตัวเราแล้ว คุณจะเกิดที่ไหน ก็มีแต่โทษเท่านั้นซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นจากการคิดผิดนั้น

ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ เมื่อพิจารณาตามรู้ตามเห็นจริงๆ แล้ว สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบจริงๆ ถ้าเราเห็นชอบอันนั้นจิตใจก็ชอบ ไม่มีอะไรกวนใจ สิ่งที่มายุแหย่ต่างๆ ก็ไม่มี เพราะจิตเห็นชอบ ส่วนใหญ่เห็นชอบแล้วอะไรจะมายุแหย่ กิริยาของจิตเกิดขึ้นมาจากความไม่ชอบของจิตซึ่งเป็นส่วนใหญ่นั้นเอง เมื่อจิตอันเป็นหลักใหญ่ไม่ชอบ กิริยาที่แสดงออกอะไรก็หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ เมื่อส่วนใหญ่ชอบแล้ว กิริยาที่คิดออกมาส่วนใดขณะใดก็กลายเป็นเรื่องชอบไปด้วยกัน

มองให้เห็นประจักษ์ พิจารณาเรื่องกายคตาสติลองดูซิ พิจารณาเป็นอสุภะก็เอา ให้มันเห็นประจักษ์สักครั้งหนึ่งซิ เพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็เอาละ เรายังไม่สามารถที่จะเห็นได้หลายครั้งหรือเห็นเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัยของจิตที่สืบเนื่องกันไปโดยลำดับๆ จากการปฏิบัติ ได้เห็นอยู่อย่างนั้นเป็นประจำก็ตามเถอะ เห็นได้เพียงชั่วขณะใดขณะหนึ่งที่เราได้พิจารณาในเวลานั้น หลังจากนั้นแล้วความคิดของเราที่เคยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปกับรูป เสียง กลิ่น รสนั้นจะสงบตัวลงไป วันนั้นไม่ค่อยคิดไม่ดี วันนั้นสบาย

พอสิ่งนี้ค่อยมัวหมองลงไปหรืออับเฉาลงไปบ้างไม่แจ่มแจ้ง ความคิดฟุ้งเฟ้ออันเป็นการก่อความรำคาญแก่ตนนี้ จะเริ่มแสดงตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ได้ดูมากก็เอา กระดูกท่อนเดียวก็เอา ถ้ามากมันไม่ทั่วถึงให้มันเห็นสักท่อนหนึ่งกระดูกในร่างกายนี้ จะดูรูปร่างอันใดอันหนึ่ง อันนี้เป็นข้อเท็จจริงอันใดอันหนึ่ง เราจะกำหนดเอาท่อนไหนมาดูก็ได้ ตัวเราคือกระดูกนี้ว่างั้น ไม่ได้ทั้งตัวก็ให้เอาตัวเราเป็นกระดูก หรือเอากะโหลกศีรษะมา ตัวเราคือกะโหลกศีรษะ มันน่ารักไหม ตัวเขาคือกะโหลกศีรษะอันนั้น คือกระดูกท่อนนั้น เหมือนกะลามะพร้าว คนเหมือนกะลามะพร้าวชอบไหม คนคือท่อนกระดูกชอบไหม มีหญิงชายที่ไหนในกระดูกท่อนนั้นๆ

กำหนดเห็นอยู่ แล้วแต่จะตั้ง คือมันเห็นกระดูกจริงๆ มันเป็นท่อน มันจะต่อกันไปกี่ท่อนกี่ชิ้นก็ตาม มันก็เป็นกระดูกเหมือนกันหมด แล้วกระดูกท่อนนั้นท่อนนี้มาต่อกัน นี่ท่อนหนึ่งมาต่อกัน สองท่อนมาต่อกัน เราก็เป็นกระดูก ๒ ท่อนนี้ เอา ๓ ท่อนมาต่อกัน เราก็คือกระดูก ๓ ท่อนนี้เอง เอา ๔ เอา ๕ เอา ๑๐ มาต่อกันเข้าเป็นกี่ท่อนก็ตาม ๔๐ ท่อนก็ตาม เราก็คือกระดูกท่อนนั้นๆ เขาก็คือกระดูกท่อนนั้นๆ เช่นเดียวกัน หญิงก็คือกระดูกท่อนนั้นๆ ผู้ชายก็คือกระดูกท่อนนั้นๆ อย่างเดียวกัน แล้วมันจะเพลินไปที่ไหน อุบายวิธีสอนเจ้าของ พิจารณาเจ้าของต้องพิจารณาอย่างนี้ นี่ก็คือความจริงอันหนึ่งๆ

ถ้าไม่จริง เราดูซิคนตายมีกระดูกไหม แล้วมันมีเป็นท่อนๆ ไหมกระดูก ถ้าหากว่าธรรมของพระพุทธเจ้าสอนคนผิดไป คนมีกระดูกเป็นท่อนๆ ไหม มันเป็นท่อนๆ ที่เรียกว่าคน เรียกว่าหญิงว่าชายนี้ ก็คือกระดูกเป็นท่อนๆ นั้น เอาละไม่ต้องพูดมากยิ่งกว่านี้ ซึ่งมันมีอยู่มากก็ตาม จะเอาแค่นี้ แล้วทีนี้เราจะไปแยกไปทางเนื้อทางหนัง ก็คือเนื้อก็คือหนังเช่นเดียวกันกับนี้ ดูเนื้อดูที่ไหนๆ ก็คือเนื้อ คนก็คือเนื้ออันนี้ คนก็คือเอ็นอันนี้ มีกี่เส้นก็คือเส้นเอ็นเส้นนั้นๆ มันแยกออกไปได้หมดเลย เพียงได้อันเดียวเท่านี้มันตีแผ่ไปหมด ขอให้มันหยั่งลงไปเถอะสติปัญญา พิจารณาอย่างนี้ ต้องแยกแยะออกอย่างนั้น ให้พวกนั้นเข้ามาเสียก่อน เอ้าท่านปัญญาอธิบายให้หมู่เพื่อนฟัง

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และทางสถานีวิทยุเสียงธรรม FM103.25MHz พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก