สวรรค์เป็นอันดับสอง
วันที่ 17 มิถุนายน 2547 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗

สวรรค์เป็นอันดับสอง

 

         เข้าออกๆ เรื่อยพระวัดนี้ ทางวัดรับไม่ได้มันเต็ม อัตราเต็มที่รับได้เพียง ๕๐ สถานที่ภาวนาพอเหมาะๆ ถ้ามากกว่านั้นมันก็ถี่ยิบเข้าไป หาความสงัดไม่ได้ ให้พระอยู่พอดีๆ รวมทั้งหมด ๕๐ นี้พอดี ถ้ามากกว่านั้นไม่ดี ให้อยู่เฉพาะๆ ในป่า ไปดูซิกุฏิพระมีแต่กระต๊อบมีแต่ร้าน กั้นด้วยผ้าจีวรขาด ข้างบนแต่ก่อนมุงด้วยหญ้า ทีนี้พอหน้าแล้งไฟป่าไหม้มาลุกมา ลมพัดไฟเข้ามาไหม้ในวัดเรา ไหม้กุฏิพระ นั่นละเป็นเหตุนะ เลยต้องเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนเครื่องมุงเป็นสังกะสีหรือกระเบื้อง ทั้งสังกะสีและกระเบื้องเป็นที่ชำรุดทรุดโทรม แต่ก็เอามามุง ที่แอ้มข้างๆ ก็เป็นจีวรขาด เข้าไปข้างในเป็นอย่างนั้นนะ มาโก้ๆ อยู่แถวนี้ กุฏิอะไรแถวนี้โก้ นอกนั้นเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น กระต๊อบๆ เล็กๆ เป็นร้านๆ กั้นด้วยผ้าจีวรขาด กั้นไว้ๆ มีทางจงกรมประจำๆ ที่ท่านนั่งภาวนาเช่นแคร่นี้ก็มีอีกพักหนึ่ง นั่งภาวนาที่นี่ กุฏิก็ได้ที่นี่ก็ได้ แล้วเดินจงกรม

แต่ที่ไม่สะดวกในวัดนี้ก็คือว่า เราจะหาที่วิเวกสงัดเดินจงกรมนั่งสมาธิเป็นพิเศษ เป็นเอกเทศอย่างนี้ไม่ได้ มันเต็มหมด ไปหาอยู่ในที่เหมาะๆ ที่ภาวนาที่นี่แล้วยังไม่แล้ว ยังมีทางจงกรมอยู่ในป่าลึกๆ อีกนะเป็นพิเศษ เช่นอย่างหนองผือนี่ บริเวณวัดก็มีพระ ในป่ากว้างๆ มีแต่ทางจงกรมนะ นั่นเป็นพิเศษ แต่ก่อนหนองผือเป็นดงทั้งหมดเลย ในบริเวณพระอยู่นี้ก็เป็นอันว่าอยู่ แต่เอกเทศที่ออกไปนอกๆ ท่านไปหาภาวนาอยู่ในที่สะดวกสบายมีเยอะ ไปที่ไหนได้ทั้งนั้น แต่ที่นี่หาไม่ได้มันจำกัด ใครอยู่ที่ไหนก็เป็นที่ของตนๆ ไม่สะดวก พระอยู่ด้วยกันจำนวนมาก ท่านไปพักอยู่ในป่าในเขานั่นเป็นความสะดวกตลอด ที่อยู่ของท่านก็วิเวกสงัด ที่อยู่ที่หลับที่นอน

จากนั้นท่านต้องการจะออกไปพิเศษ ไปเที่ยววิเวกอยู่ที่ไหนๆ ได้ ออกจากที่นี้ไป บางทีก็ไปตามหลังเขาใหญ่ๆ เขาอะไรก็แล้วแต่ อยู่สะดวกสบาย นั่นละเรียกว่าที่เพาะอรรถเพาะธรรมเพาะอย่างนั้น ที่อยู่ที่นั่งที่นอนที่อะไรเป็นสถานที่วิเวกสงัด เป็นสถานที่สมควรแก่การเพาะอรรถเพาะธรรมเข้าสู่ใจได้ตลอด มีแต่การชำระออก เพราะในหัวใจของเรามีแต่ของสกปรก ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มีแต่มูตรแต่คูถ ชำระออก ชำระทุกวี่ทุกวันทุกเวล่ำเวลาทุกอิริยาบถ แม้แต่นอนก็ชำระเว้นแต่เวลาหลับ นอกนั้นเป็นเวลาชำระสิ่งชั่วช้าลามกออก แล้วบำรุงสิ่งที่ดีงามทั้งหลายให้เจริญงอกงามขึ้นภายในใจๆ จิตใจเมื่อได้รับการบำรุงรักษาก็สง่างามขึ้นมาๆ จิตใจนี้ตัดภายนอกไม่ให้เข้ามายุ่ง ภายในจะออกตีไว้ๆ ไม่ให้ออกไปหาพิษหาภัย ภายในใจนี้ชำระออก อย่างนั้นละ ท่านบำเพ็ญธรรมท่านบำเพ็ญอย่างนั้น

อยู่ที่ไหนมีแต่ความสงบสงัด ปราศจากภัยของจิต ตามองไปก็เห็นแต่ต้นไม้ภูเขาเสีย ไม่ได้เห็นสิ่งที่จะทำให้รื่นเริงบันเทิงดีใจเสียใจต่างๆ หูก็ฟังตั้งแต่เสียงนกเสียงกาเสียงสัตว์ ไม่ได้ฟังเสียงขับลำทำเพลง แน่ะมันต่างกันนะ อาหารของกิเลสก็คือเรื่องเหล่านั้น ตาก็ให้เห็นในสิ่งที่ว่าชอบใจ ชอบใจคือชอบใจของกิเลส ไม่ได้ชอบใจของธรรม หูก็ฟังเพลิดเพลินเพื่อพอกพูนกิเลส ตา หู จมูก ลิ้น กายอะไร เครื่องดมเครื่องอะไรมีแต่สิ่งที่มาเสริมกิเลสพอกพูนกิเลส กิเลสเจริญขึ้นเท่าไรก็ทำจิตใจให้ดีดให้ดิ้น แล้วเกิดความเดือดร้อนมาเผาตัวเองนั้นแหละ

ส่วนธรรมไม่เป็นอย่างนั้น ตาก็เห็นสิ่งที่บำรุงจิตใจให้เป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมา มองดูต้นไม้ใบหญ้าในป่าในเขา มองที่ไหนเป็นทัศนียภาพตามหลักธรรมชาติ ไม่เกิดกิเลสตัณหา หูก็เหมือนกัน ได้ยินเสียงนกเสียงกา ตาเห็นต้นไม้ภูเขาไปอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นภัย ทางจิตใจ จิตมีสติระวัง ปัญญาจะใช้ออกตามกาลตามเวลา แต่สตินี้เป็นพื้นฐานเลย สตินี้คือความรู้สึกตัว อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์สติจะรับทราบทันทีๆ กลั่นกรองปัดออกๆ คนมีสติปัดสิ่งที่เป็นภัยออก สิ่งที่เป็นคุณเมื่อรักษาอยู่นี้แล้วคุณจะเกิดขึ้น เพราะธรรมมีอยู่ในใจแล้ว พอระวังรักษาสิ่งที่เป็นภัย สิ่งที่เป็นคุณก็เจริญขึ้นๆ มีอยู่ในใจแล้ว เป็นแต่เพียงว่างอกเงยขึ้นไม่ได้

ดังที่เคยพูดให้ฟัง เหมือนน้ำในสระ คุณภาพของน้ำสมบูรณ์เต็มตัวอยู่แล้วเป็นแต่มีสิ่งปกคลุม แล้วเปิดจอกเปิดแหนสิ่งสกปรกออก น้ำก็แจ่มอยู่นั้นแล้ว มีสติระมัดระวังรักษาสิ่งที่สกปรกทั้งหลายที่มันจะเข้ามาคลุกเคล้ากับใจกับธรรม สติระมัดระวังรักษาอยู่ตลอดเวลา จิตใจก็ค่อยสงบร่มเย็นไม่ออกข้างนอก ระวังอยู่ในนั้นแล้วสงบเย็น เวลาจิตใจของเราได้รับความสงบเพราะสติรักษาตลอดเวลาแล้วค่อยเจริญขึ้น ความเจริญของใจของธรรมนี้จะขึ้นแปลกๆ ต่างๆ เราเห็นนี้ก็แปลกต่างกันอย่างนี้แล้ว มันไม่แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนใจที่รู้เห็นอรรถธรรมทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างใจได้รู้ได้เห็นอะไรเป็นของแปลกประหลาดซึ่งเราไม่เคยเห็น

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เคยเห็น แต่ใจเจริญธรรมนี้ธรรมเห็น ธรรมเห็นแปลกประหลาดกว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นสิ่งภายนอกนะ เห็นสิ่งภายในอัศจรรย์กว่ากัน ถ้าเป็นสิ่งที่น่ากลัวกลัวจริงๆ ถึงใจ ละจริงๆ สิ่งที่เป็นคุณที่ใจได้สัมผัสสัมพันธ์ก็เป็นคุณเป็นประโยชน์ จิตใจดูดดื่มจริงๆ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ พุทธศาสนาของเราจึงเลิศเลอในการอบรมจิต เลิศเลอขึ้นที่นี่นะ จิตตภาวนาคือการรักษาจิต มหาเหตุอยู่ที่ใจ ตัวมหาเหตุก็คือกิเลสนั้นแหละมันสร้างแต่เหตุการณ์ต่างๆ ขยี้ขยำย่ำยีจิตใจอยู่นั้น พอค่อยระงับอันนี้ ธรรมก็ค่อยแสดง เพราะธรรมมีอยู่แล้วภายในใจแต่แสดงออกไม่ได้ เนื่องจากสิ่งสกปรกมันปกคลุมหุ้มห่อเอาไว้ จึงต้องกำจัดมันอย่างนั้น แล้วจิตก็เจริญขึ้น

ใจดวงนี้แหละ ตั้งแต่เริ่มต้นล้มลุกคลุกคลานในการประกอบความพากเพียร จนกระทั่งตั้งไข่ตั้งตัวได้เรื่อยๆ แสดงความสง่าผ่าเผยออกภายในใจนี้ แสดงออกไปตรงไหน ไม่ใช่วิสัยของตา หู จมูก ลิ้น กาย จะรู้จะเห็น ใจเท่านั้นเห็น นั่น ใจเป็นอายตนะของตัวเอง สิ่งภายนอกอาศัยอันนี้เป็นอายตนะ อายตนะ แปลว่า เครื่องสืบต่อ ตาสืบต่อกับรูป หูสืบต่อกับเสียงเป็นต้น ส่วนใจเป็นอายตนะของตัวเอง รู้เห็นขึ้นภายใน เช่นอย่างว่าหูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นอยู่กับใจ เป็นอายตนะของตัวเอง สืบต่อกับธรรมทั้งหลายสิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องภายในใจ เรียกว่าเป็นอายตนะของตัวเอง ไม่ต้องไปยืมที่ไหน ไม่ต้องมาอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย อาศัยตัวเอง เวลาเปิดออกๆ จะแสดงออกทุกอย่างให้เห็นให้รู้ภายในใจ

อย่างกิเลสที่ว่าอยู่ในใจ ก็มารู้เห็นกันที่นี่ด้วยสติด้วยปัญญา ชำระกันที่นี่ ธรรมก็เบิกกว้างออกๆ เจริญขึ้นเรื่อยๆ จึงได้สอนเสมอ เรื่องภาวนาเป็นสำคัญมากทีเดียว ถ้าลงจิตใจได้ดื่มธรรมในทางจิตตภาวนาแล้วจะมีความดูดดื่มไปเรื่อยๆ ดูดดื่มเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความละเอียดลออของธรรมขึ้นไปเรื่อยๆ  ทีนี้เวลาจิตใจมีความสง่าผ่าเผยเท่าไร สิ่งภายนอกทั้งหลายเหมือนนี่ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เขามีโดยหลักธรรมชาติของเขา ตาเราไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ ทีนี้หลักธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งเป็นนามธรรมที่เป็นวิสัยของใจ มันก็เป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งเหมือนกัน

เช่นอย่างพวกเปรตพวกผี เหล่านี้เป็นนามธรรม เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเหล่านี้เป็นนามธรรม อันนี้เป็นวิสัยของใจจะออกรู้ในนามธรรม จนกระทั่งนรกอเวจี ขึ้นสวรรค์ พรหมโลก เป็นวิสัยของใจจะเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์ ผู้รู้ผู้เห็นทั้งนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มีความหมาย ใจเป็นอายตนะของตัวเองรู้ขึ้นภายในๆ นั่นละพระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ที่มาสอนโลก ที่โลกไม่รู้ไม่เห็นโลกจึงปฏิเสธกันว่าไม่มี สิ่งทั้งหลายไม่มีๆ ก็มีอยู่อย่างนี้ คนตาบอดมันก็ไม่เห็นจะว่าไง เสียงมีอยู่เต็มโลกแต่คนหูหนวกมันก็ไม่ได้ยิน ถ้าหูดีตาดีสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ก็รับสัมผัสสัมพันธ์กัน ยอมรับว่ามี ตลอดถึงสีแสงประเภทต่างๆ มันก็ยอมรับกัน ทางฝ่ายภายในก็เหมือนกัน

เพราะวิสัยของนามธรรมทั้งหลายกับใจนี้เข้ากันได้ๆ รู้กันได้เห็นกันได้ คิดดูซิอย่างยกตัวอย่างมาให้ฟัง พระติสสะท่านตัดสบงจีวรเย็บย้อม แต่ก่อนไม่ได้มีจักร เย็บด้วยมือ ซักย้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาตากไว้ พอกลางคืนเกิดท้องเสีย ถ่ายท้อง สุดท้ายตายกลางคืนทั้งๆ ที่กำลังรักจีวร ยังไม่ได้ห่มได้ครองอะไรเลย ที่นี่มันมีธรรมชาติอันหนึ่งเข้าไปแทรกอยู่ในนั้น คือพระติสสะนี่ตายแล้วรูปร่างหมดความหมาย แต่ใจไม่หมดความหมาย ไปเกาะอยู่จีวร เป็นเล็นไปเกาะอยู่จีวร หึงหวงในจีวรเพราะยังไม่ได้ใช้ พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณปั๊บรู้แล้วมารับสั่งทันที รับสั่งอย่างเด็ดขาดด้วยนะ เพราะกันพระติสสะซึ่งเป็นเล็นแล้วจะลงนรกเพราะความหึงหวงในจีวร

เมื่อใครไปแตะต้องไปเอาจีวรนั้นมา พระติสสะนี้จะโกรธ เกิดความเคียดแค้น ตายแล้วลงนรก พระพุทธเจ้าเห็นพระติสสะ อ้าว ตายทำไงนี่ สวรรค์นิพพานพระติสสะเองเป็นผู้มุ่งผู้หวังผู้ปรารถนาว่าเป็นของเลิศของเลอ แล้วทำไมตายแล้วสวรรค์นิพพานไม่ได้เลิศเลอยิ่งกว่าจีวรผืนนี้ พระติสสะตายแล้วเป็นเล็นมาเกาะอยู่จีวรเวลานี้ จีวรผืนนี้ห้ามไม่ให้ใครไปแตะต้อง รู้เห็นกระทั่งเล็นมาเกาะ เล็นเป็นวัตถุที่ละเอียดสุดนะไม่ใช่เป็นนามธรรม พวกหมัดพวกเล็นเหล่านี้เป็นวัตถุ แต่พระองค์ทราบว่ามาเป็นเล็นเกาะอยู่ที่จีวร จึงห้ามไม่ให้พระมาแตะต้อง ตากทิ้งไว้อย่างนั้นเลย จนกว่าเล็นตัวนี้ตายแล้วค่อยเอามาใช้มาสอย ห้ามขาดเลยไม่ให้ใครไปแตะเลยเทียว

คือเวลานี้เล็นตัวนั้นหึงหวงจีวรผืนนี้มาก พระติสสะตายไปเป็นเล็นเกาะอยู่นั้น จนกระทั่งเล็นนี้ตายแล้วพระองค์ก็มารับสั่งอีก เอา ทีนี้จีวรผืนนี้ใครจะเอาไปใช้ที่ไหนได้แหละ เล็นตัวนี้ตายแล้วไปสวรรค์แล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ สวรรค์เลยเป็นอันดับสอง จีวรเป็นอันดับหนึ่งเลิศกว่าสวรรค์ ตายแล้วเป็นเล็นไปเกาะจีวร นั่นเห็นไหมล่ะ พอออกจากนี้ไม่มีใครไปยุ่งแล้ว เล็นอายุขัยของมันก็เพียงไม่กี่วัน ตายแล้วก็ไปสวรรค์เลย เอ้าทีนี้จีวรใช้ได้แล้ว นี่เล็นเป็นวัตถุละเอียดขนาดไหนยังรู้พระองค์ ใครรู้เมื่อไร นี่ละวิสัยของญาณหยั่งทราบ ตาทิพย์รู้ไปหมด

มันวิสัยคนละอย่าง ใจนี่เป็นนามธรรมล้วนๆ สิ่งทั้งหลายที่เป็นนามธรรมเข้ากันได้ เช่นอย่างพวกเปรตพวกผี อย่างพระองค์ประทับอยู่นี้ พระสงฆ์เข้ามาห้อมล้อม เทวดาทั้งหลายอยู่ข้างนอกเขาจะเข้าเฝ้า เขาอยากมองอยากเห็นอยากกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า แต่พระนั่งขวางหน้าอยู่นั้น ท่านไล่พระออก หนีพระแยกหนี นู่น เทวดาทั้งหลายเขาอยากเฝ้า เขายกโทษพระเหล่านี้อยู่เวลานี้ ให้ขยายออกให้เขาได้ดู อย่างนั้นละพระพุทธเจ้ารับสั่ง อย่างนั้นละตาพระพุทธเจ้ากับตาเราต่างกันอย่างไรบ้าง เทวดายกโทษพระที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วมานั่งขวาง เทวดาอยากชมพระบารมีของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงรับสั่งให้เบิกทางให้เทวดาทั้งหลายเขาได้เห็นได้กราบไหว้ ก็อย่างนั้นแล้ว

อย่างเช่นพระอนุรุทธะนี้เป็นผู้ชี้ทางทุกอย่าง เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จะเอาพระพุทธเจ้าเสด็จไปทางทิศไหนๆ (ทิศใต้) ที่จะไปถวายพระเพลิงท่าน ยกขึ้นจะไปทางทิศนี้ยกไม่ขึ้น ทำอย่างไรก็ยกไม่ขึ้นเพราะเทวดาไม่ต้องการให้ไป เทวดาบันดาลไว้นะนั่น ยกไม่ขึ้นเป็นเพราะเหตุไร พระอนุรุทธะต้องมาชี้บอก นี่เทวดาทั้งหลายไม่ให้ไปทางทิศนี้ยกไม่ขึ้น เทวดาต้องการให้ไปทางทิศนั้น(ทิศเหนือ) บอก ยกไปทิศนั้นยกไปได้เลย ก็อย่างนั้นแหละเทวดาอยู่โน้นเราไม่เห็น มีแต่ยกกันตาดำตาแดง พระอนุรุทธะเป็นผู้มาบอก นี่ท่านเชี่ยวชาญทางเทพทั้งหลายด้วย ก็อย่างนั้นแหละตาในจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ

ยกที่จะไปทางทิศไหนเราลืมแล้วละในตำรามีนะ ทางทิศเหนือทิศใต้อะไรเหล่านี้นะ เวลาจะเอาไปทางนั้น(ทิศใต้) ยกไม่ขึ้นเทวดาไม่ยอมให้ไป ให้ไปทางทิศนี้(ทิศเหนือ) พระอนุรุทธะก็บอกตามความประสงค์ของเทวดา เทวดาทั้งหลายไม่ให้ไปทิศนั้นจึงยกไม่ขึ้น ให้ไปทางทิศนี้ ยกปั๊บไปเลย แน่ะ ก็อย่างนั้นแล้ว นี่แหละตาทิพย์เห็นอย่างนั้น มันต่างกัน มีตั้งแต่เอาหัวชนฝาๆ มาถกเถียงกันอึกทึก พระพุทธเจ้าไม่ใช่หัวชนฝาว่ายังไงเป็นอย่างนั้น เช่นอย่างพระอนุรุทธะบอก พวกนี้มายกกันยังไงก็ไม่ขึ้น ๆ เป็นเพราะเหตุไรจึงยกไม่ขึ้น พระอนุรุทธะบอกเทวดาไม่ให้ไปทางนี้ ให้ไปทางนี้บอกอย่างนั้น พอยกจะไปทางนี้ยกพรึบไปเลย แน่ะ ก็อย่างนั้นแหละ พวกเราไม่เห็นพระอนุรุทธะเห็น ต่างกันอย่างนั้นแหละ ธรรมถ้าไม่เลิศเลอเหนือโลกจะเรียกว่า โลกุตรธรรมได้ยังไง แปลว่า ธรรมเหนือโลก ตั้งแต่พื้นๆ ของธรรมก็เหนือโลกอยู่แล้ว แล้วธรรมสูงเท่าไรก็เหนือตลอดๆ ท่านเรียกว่า โลกุตรธรรม เรียกว่า ธรรมเหนือโลก

เมื่อวานนี้เราไปอำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ไปทางทิศตะวันตก ชัยภูมิจากนี้ไปถึงหนองบัวระเหว เวลา ๓ ชั่วโมงเป๋งเลย ๓ ชั่วโมงเข้าโรงพยาบาลพอดี เป็น ๓ ชั่วโมง ไกล จากชัยภูมิไปทางโน้นดูเหมือน ๓๑ กิโลหรือไง เพราะที่นี่รู้สึกว่ากันดาร เห็นทางโน้นมาเอาของเรื่อยๆ ของในโกดัง เราก็เลยไปโน้น ทั้งดูดินฟ้าอากาศด้วย ฝนตกทางนี้น้ำนองไปหมด ทางชัยภูมิพอเป็นพอไปเท่านั้นไม่มากกว่านั้น พอถูไถเป็นไป จากชัยภูมิมาเขตจังหวัดขอนแก่น จนกระทั่งถึงอุดรเรานี้น้ำนองไปหมดเลย ไปหาชัยภูมิน้ำพอถูพอไถอย่างนั้นละต่างกัน แล้วเลยชัยภูมิไปทางหนองบัวระเหวน้ำก็ดีอยู่ ในเขตชัยภูมิย้อนมาทางอำเภอมัญจานี้น้ำเบา ทั้งๆ ที่ฝนตกน้ำนองหน้าวัดของเรานะ แล้วตกกว้างคราวนี้ไปจนกระทั่งเลยขอนแก่นไปมัญจาคีรีน้ำเต็มไปหมดเหมือนกัน ตกกว้างคราวนี้

เหนื่อยเมื่อวานนี้ฉันจังหันเรียบร้อยแล้ว ก็ฉันอย่างนี้ละฉันไม่ได้มากนะ พอออกไปนี้ไปฉันน้ำ มันแปลก ๆ อยู่ พอฉันน้ำเข้าไปมักจะไอจะจาม อันนี้ก็พอฉันน้ำไปจามขึ้นมาละ อ้าว เดี๋ยวมันจะอาเจียนนะ อาเจียนออกหมดเลยไม่มีเหลือฉันเมื่อวาน อาเจียน จับกระโถนมาอาเจียนใส่กระโถนหมดเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะธาตุขันธ์ วันนี้ก็ฉันไม่ได้มากฉันเท่านั้นแหละ

เราสงสารบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เรื่องจิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว บอกแล้วนะ ร่างกายยุติเพียงลมหายใจขาด มีทางยุติของเขา ใจนี้ไม่ได้มีนะยุติ ออกนี้ปั๊บก็เหมือนอย่างพระติสสะโดดใส่จีวรติดจีวร เห็นไหม ออกอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นจึงให้อบรมในทางที่ถูกที่ดี ให้ได้ดึงจิตดวงนี้ไปสู่ทางดี ใครอบรมทางดี แล้วกุศลธรรมนั้นจะดึงไปทางดี ใครทำความชั่วดึงลง ๆ แต่สัตว์โลกชอบทำชั่วเสมอ เพราะฉะนั้นมันถึงได้ไหลลงแต่ทางชั่วทางต่ำ ทางที่ดีที่งามมันไม่อยากไปนะ คือกิเลสดึงเอาไว้มันไม่ยอมให้ไป เปิดทางของมันให้ทางต่ำราบรื่นดีงาม เหมือนน้ำไหลโจนลงจากภูเขา เสียงลั่นไปเลย จะดึงขึ้นมันไม่ค่อยขึ้น ต้องมีเครื่องผลักดันน้ำถึงขึ้นได้ อันนี้ก็เหมือนกันต้องได้อุตส่าห์พยายามบึกบึนผลักดันนะ

อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็พูดให้ฟัง เราก็ได้เขียนในประวัติแล้วว่าใจนี้คือนักท่องเที่ยว นั่น ฟังซิท่านบอกว่านักท่องเที่ยว มันจะไม่อยู่ ออกจากร่างนี้จะไปร่างนั้น กรรมดีกรรมชั่วของตนเอง ถ้ากรรมดีก็ขึ้นสูงเป็นลำดับ ถ้ากรรมชั่วดึงลงเพราะใจดวงนี้ไม่เคยฉิบหายไม่เคยสูญ แม้จะตกนรกอเวจีไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์ถึงจะพ้นขึ้นมาได้ก็ไม่ยอมฉิบหาย ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ ทีนี้พอฟื้นตัวขึ้นมาในทางที่ถูกที่ดี ฟาดจนถึงนิพพาน ถึงนิพพานก็เป็นธรรมธาตุสูญหายไปไหน นั่นละที่นี่พอถึงธรรมธาตุแล้ว เที่ยง จิตดวงนี้แหละไปถึงนิพพานๆ นั่นละสถานที่ธรรมธาตุ เที่ยงแหละที่นี่ แล้วไม่สูญเลยตลอด จึงว่าเที่ยง ไม่มีเอนมีเอียง ไม่มีอดีตอนาคต เที่ยงตลอด นี่ละความดีเลิศเลอไปถึงขั้นนั้นเที่ยง ทีนี้เรื่องความทุกข์ความสุขในโลกทั้งหลายเข้าไม่ถึง อันนี้เป็นสมมุติอันนั้นเป็นวิมุตติแล้วเที่ยงตรงเลย นี่ละให้พยายาม

ถึงไม่เที่ยง เราไปเกิดด้วยอำนาจแห่งความดีงามนี้จะไปเกิดในสถานที่เหมาะสมๆ ถ้าเกิดด้วยอำนาจแห่งความชั่ว โอ๋ย.ผิดหวังทั้งนั้น เกิดภพใดชาติใดสิ่งที่มาสัมผัสสัมพันธ์มีแต่สิ่งที่ไม่พึงหวังๆ โดนเอาๆ นี่ละกรรมชั่วมันทรมานตัวเรา กรรมดีส่งเสริมตัวเราให้ดี พากันจำนะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นแหละไม่พูดมาก มันเหนื่อยไม่หยุด เอาแค่นั้นละพอ วันนี้ไม่เอามาก เพราะเหนื่อย วันนี้ก็ฉันจังหันไม่ได้ เอาละต่อไปนี้จะให้พร

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com  หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก