เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ของดีผู้ที่จะนับถือมีน้อย
พูดถึงเรื่องฝนเรื่องลมนี่เราก็มีหนเดียวในชีวิตของเรากรรมฐาน โถ มันจริงๆ นะลมนี่ คือทีแรกเดินจงกรมอยู่ตอน ๕ โมงเย็น มองไปทางด้านทิศตะวันตก เห็นเมฆเหลืองไปหมดเลย มองดูเมฆเหลืองไปหมด โอ๊ย นี่ไม่ใช่ฝนมันจะเอาลมใหญ่มาเหรอ มันเดือนเมษานี่กำลังฟ้าฝนด้วย ตกกลางคืน ๓ ทุ่ม โห เอาจริงๆ นะต้นยางนี่คอขาดๆ เลย แล้วเราอยู่ข้างล่าง มันขาดตกไปนู้นๆ เลยนะ ทางด้านนี้ต้นไม้ใหญ่ไม่มี ด้านที่เราอยู่ต้นไม้ใหญ่ ต้นยางทั้งต้นมันเอาคอขาดไปเลย ตัดยกลงไปตูมลงโน้นๆ คราวนี้ แหม ภาษาอีสานเขาเรียกว่า โสตาย เรียกว่าสละตายเลย เสียงลมจริงๆ มันไม่ใช่เสียงอืดๆ อาดๆ นะ มันเป็นเสียงเหล็กเสียงหอกมาเลยหวิวๆๆ ไม้ยางทั้งต้นกิ่งใหญ่ๆ นี้ขาดๆ เลย รุนแรงมากทีเดียว ต้นไม้ไผ่อยู่ตรงนี้ กลดเราอยู่ข้างล่าง ไม้ไผ่นี้กดลงๆ กลดของเราก็กดลงๆ เราก็หมอบ ก็มันไปไหนไม่ได้กลางคืน มันเอาเต็มเหนี่ยวเลย
เช้าไปบิณฑบาต ดูหมู่บ้าน คอขาดเหมือนกันบ้านก็ดี มันยกไปหมดสังกะสี หญ้า ไม่มีเหลือเลย เช้าเดินไปบิณฑบาต บ้านที่มีต้นไม้ปิดบังบ้างก็ไม่เป็นไร ตั้งแต่เที่ยวมา ลมคราวนี้เป็นคราวรุนแรงมาก แต่ก็ไม่ปรากฏว่าชาวบ้านเสียหายหรือล้มตายกันนะ เราก็รอดตายเหมือนกัน มีหนเดียวเท่านี้ละ อู๊ย พิลึกจริงๆ คราวนั้นก็เรียกว่าไม่มีที่ไปฝนตก และตอนสามทุ่มกลางคืนไปไหนไม่ได้ ต้องหมอบคอยตายอยู่งั้น ทางอำเภอศรีสงคราม ตอนเดือนเมษาเที่ยวมาทางนั้น เข้าไปทางภูสิงห์ ภูวัว ภูลังกา ลมมันพิลึกพิลั่น จากนั้นก็ไม่เคยเห็นที่ไหน มีหนเดียว โฮ้ เวลามันมาจริงๆ ลมไม่ใช่เล่นนะ เสียงมันไม่ใช่เสียงหวือๆ หวาๆ นะ มันเป็นเสียงเหล็กเสียงหอกมาเลย หวิวๆๆ ฟังแต่ว่าต้นยางกิ่งใหญ่ๆ บางต้นคอขาดไปเลย ขาดๆๆ มันรุนแรงขนาดนั้น มันยกไปตกนู้นนะ ขาดนี้แล้วลมมันยกไปตกโน้นๆ
เมื่อวานนี้ก็ไปส่งอาหารโรงพยาบาลบุ่งคล้า เราไม่ได้ไปนาน นี่ก็แร้นแค้นกันดารมาก เราสร้างบ้านพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลหลังหนึ่ง แล้วให้อะไรบ้างก็ไม่รู้ ลืม เมื่อวานตั้งหน้าไปส่งแล้วก็มาทางหนองคายเลย เราไปทางนี้ออกทางสว่าง ออกเซกา ออกไปทางบ้านแพง หักมาทางบุ่งคล้า พอเข้าโรงพยาบาลเอาของลงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ดูนั้นดูนี้ พูดธรรมะสัก ๑๕ นาที จากนั้นก็ออกมาทางหนองคาย ระยะทางไปทางนี้ลัดกว่ากัน ๒๗ กิโล ทางสายหนองคายยาวกว่านี้ ๒๗ กิโล เราคอยดูเวลา เพราะทางนี้มันอ้อมแอ้มๆ ทางหนองคายมันพุ่งเลย ทางยาวกว่ากัน ๒๗ กิโล เราคอยดูนาฬิกาเวลามันจะขนาดไหน เวลาพอๆ กัน ทางหนองคายยาวกว่า ๒๗ กิโล ยาวกว่าทางนี้ เวลาไปถึงแล้วเวลาเท่ากัน คือทางนี้มันอ้อม รถวิ่งสะดวกไม่ได้ ทางสายหนองคายมันตรงแน่ว พุ่งตลอด ๒๗ กิโลก็ตามย่นเวลาลงมาเท่ากัน
ไปก็ดูฟ้าดูฝนน้ำท่าอะไรก็พอเป็นไปทุกแห่ง ดูตลอด เราดูทางภายนอก ดูทางภายใน ทางภายนอกก็การทำมาหาเลี้ยงชีพ ใครอยู่ที่ไหนอาศัยอะไร เช่นทางภาคอีสานเรานี้เป็นภาคคนจน เราพูดอย่างตรงไปตรงมาเป็นภาคคนจน หาอยู่หากินตามไร่ตามนา เพราะฉะนั้นจึงดูน้ำดูท่า ฝนตกฝนลงที่ไหน แห้งแล้งที่ไหนชุ่มเย็น นี่ละสภาพทางนี้อยู่ด้วยพวกไร่พวกนาถ้าไม่มีน้ำมีท่าไม่ได้ทำนา อดอยากขาดแคลน เราเห็นได้ชัดเจน ภาคอีสานนี้ภาคกลางนะเลี้ยง ถ้าภาคกลางไม่เลี้ยงมันตายแล้วนะภาคอีสานเรา เป็นภาคคนจน เพราะหน้าแล้งนี้จะทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีน้ำ ขาดน้ำขาดท่า จะให้คัดน้ำมาจากทางไหนก็ไม่มี ไม่มีทาง
เพราะฉะนั้นเวลาทำนาแล้วหลั่งไหลเข้าไปทางภาคกลาง ไปทำงานทำการ ขนอาหารมาเลี้ยงครอบครัว อยู่กันได้เพราะภาคกลางเลี้ยงนะ เป็นแต่ไหนแต่ไรมานะ ไปภาคกลางแล้วไปจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ทำงานที่นั่นที่นี่แล้วมาพอเลี้ยงครอบครัว เพราะหน้าแล้งทำงานอะไรไม่ได้เลย ไม่มีงานทำ แห้งแล้ง ถ้าหากว่ามีฟ้ามีฝนนี่เขาก็ทำได้เหมือนกัน เราจะเห็นได้อย่างอำเภอกุมภวาปีนี้แม่น้ำลำปาวนี่ไหลผ่านไปทางกาฬสินธุ์นี่ ไปที่ไหนๆ เขาคัดน้ำออกๆ ทำไร่ทำนานี่ โอ๋ย เขียวปื๋อเลยข้างทาง ก็อย่างนั้นแล้ว
ถ้าที่ไหนมีน้ำแล้วก็ทำนาได้ การทำมาหาเลี้ยงชีพก็สะดวก อันนี้นอกนั้นมันไม่มี มันวิ่งลงไปภาคกลาง ภาคกลางเป็นพ่อเป็นแม่เลี้ยงดูมาตลอดนะภาคอีสาน เพราะหน้าแล้งมันต้องวิ่งละ วิ่งเข้าไป เป็นภาคคนจน เราพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่มีดีอย่างหนึ่งคือภาคอีสานทางน้ำใจดี ทุกข์จนทางการทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่น้ำใจดี มีความกว้างขวางทั่วๆ ไป เราไปที่ไหนๆ ดู น้ำใจดี อยู่กันได้นะ ทุกข์จนข้นแค้นเท่าไรก็แบ่งสันปันส่วนกันกินไปด้วยจิตใจที่กว้างขวาง อันนี้ละพอพยุงอยู่กันได้นะ
บรรดาภาคทั้งหลายนี้มีภาคอีสานนี้ที่จนตรอกจนมุม คือน้ำท่าที่จะไหลมาจากทางไหนๆ ผ่านไร่ผ่านนาพอจะได้ทำหรือปลูกสร้างอะไรหน้าแล้งไม่มี นี่เสียตรงนี้ เราจะตำหนิใครก็ไม่ได้ เพราะทางน้ำมามันไม่มีเลย อย่างภาคอื่น อย่างภาคเหนือน้ำไหลมาทุกหนทุกแห่ง มิหนำซ้ำยังมีเขื่อนกั้นเอาไว้ ลงมาหล่อเลี้ยงทางภาคกลางภาคไหนไปหมด ภาคเหนือน้ำไหลมาถึงไปหมดเลย ภาคนี้ไม่มีเลย นี่ซิมันเสียตรงนี้ พอทำนาเสร็จแล้วถ้าปีไหนฝนดีนี้เขาก็สมบูรณ์ พวกข้าวของเขาก็สมบูรณ์พอเป็นพอไป ถ้าแห้งแล้งนี้ โอ๋ยตายแหละ วิ่งวุ่น แม้ฟ้าฝนดีเขาก็ต้องไป เขาเคยไป ไปทำมาหากินทางภาคกลาง ได้อะไรๆ มาก็ส่งมาทางครอบครัวๆ เลี้ยงดูกันไป ภาคนี้เป็นภาคที่แร้นแค้นเกี่ยวกับเรื่องน้ำ แห้งแล้งมากนะ ภาคอื่นๆ พอเป็นพอไปทุกภาค
เพราะเรามันเที่ยวหมด เที่ยวเมืองไทย เฉพาะอย่างยิ่งก็คือเวลาช่วยชาติ ๖ ปีนี้ไปหมดเลย สถานที่เช่นไร นี่ไปแล้วดูด้วยนะ ไม่ใช่ไปธรรมดา ดูทุกสิ่งทุกอย่าง สถานที่ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพเป็นยังไงดูไปหมด จากนั้นก็ดูเรื่องของจิตใจคน ดูไปหมด เพราะฉะนั้นจึงว่าดูทั้งภายนอก ดูทั้งภายใน ดูด้วยความเป็นธรรม พินิจพิจารณาไม่เอนไม่เอียง เพราะฉะนั้นการพูดจาแนะนำสั่งสอน ดุด่าว่ากล่าวของเรา เราจึงไม่สงสัย จะเด็ดเผ็ดร้อนขนาดไหนเป็นธรรมล้วนๆ เราไม่มีกิเลสความลำเอียง เอียงนู้นเอียงนี้เราไม่มี เราพูดได้ตามความจริง ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ดีชั่วบอกตามความจริงเลย นั่นละธรรม
นี่เราไปดู ทางนี้ก็ค่อยดีนา น้ำดีอยู่ แต่ยังไงก็ตามนะ ที่รวมของคนทั้งชาติและคนทั้งโลกจะอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุกร่มเย็นก็คือน้ำใจ ให้มีน้ำใจต่อกัน อันนี้อยู่กันได้หมด อันนี้ละกว้างขวางกว่าน้ำบนท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหลลงมาพื้นแผ่นดินเรา ซึ่งมีที่แห้งที่ชุ่มเย็น น้ำใจดีนี้ทั่วไปหมดนะ ให้ปฏิบัติน้ำใจต่อกัน อย่าเห็นแก่อย่างอื่นมากยิ่งกว่าน้ำใจ น้ำใจนี้แผ่ออกไปเป็นคุณค่ามหาศาล ไปที่ไหนร่มเย็นเป็นสุขไปหมด และตายใจกันได้ คนเรามีน้ำใจ น้ำใจก็ออกจากธรรม ถ้าไม่มีธรรมแล้วไม่มีน้ำใจ
ใจมีทุกคน กิเลสมีมากคนนั้นเอารัดเอาเปรียบคนอื่นมาก ทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องความดีจะไม่มีคนนั้น จะเสาะจะแสวงหาทำความกระทบกระเทือนแก่ผู้อื่น ด้วยความเห็นแก่ได้เห็นแก่เอา เอารัดเอาเปรียบ นี่คนไม่มีธรรม ไม่มีธรรมก็มีกิเลสหนาแน่น ไปที่ไหนเดือดร้อน ถ้ามีน้ำใจแล้วไปที่ไหนเย็นทั้งนั้น ขอให้สร้างน้ำใจขึ้นต่อกันมนุษย์เรา อยู่ด้วยกัน อย่าไปถือชาติชั้นวรรณะไม่เกิดประโยชน์อะไร ถือสูงถือต่ำไม่เกิดประโยชน์ ตั้งไว้เพื่อเป็นความเคารพบูชาประเพณีของมนุษย์เรา ตั้งไว้เรียกว่าเป็นเจดีย์อันหนึ่ง ให้คนเคารพ ให้รู้จักสูงจักต่ำ แต่การประพฤติตัวให้สม่ำเสมอกันนี้คือน้ำใจ ไม่ว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าผู้น้อยเฉลี่ยถึงกันหมด
ผู้ใหญ่เห็นเด็กก็น่ารักเพราะเด็กเป็นคนดี เด็กมองเห็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพบูชา นั่น ผู้ใหญ่มีน้ำใจ เด็กมีน้ำใจดี เช่นอย่างครูกับนักเรียน ครูคนไหนดีนักเรียนติดพันนะ ถ้าครูไหนไม่ดีนักเรียนไม่ค่อยติด เรียนกันไปตามหลักวิชาแต่จิตใจเด็กไม่ดูดดื่มเหมือนครูที่ดี ครูที่ดีนี้เด็กเรียนหนังสือก็เรียนด้วยความเคารพเชื่อถือปฏิบัติตาม ถ้าครูไม่ดีก็สักแต่เรียนมาอย่างนั้นละไม่เชื่อฟัง นี่ละน้ำใจ ครูเป็นแบบเป็นฉบับ โรงเรียนไหนครูไหนดีเด็กจะพัวพัน ติดพัน เคารพนับถือ นี่ผู้ใหญ่เป็นอย่างนั้น ในขั้นครูก็เป็นอย่างนี้ และกระจายออกไปก็ผู้ใหญ่ดีผู้น้อยก็ค่อยดีไปตาม ผู้น้อยเอาเป็นคติตัวอย่าง และผู้น้อยเลวก็ไม่น่านับถือ ไม่น่าเมตตาสงสาร
เพราะฉะนั้นจึงให้ดีทั้งผู้น้อยให้ดีทั้งผู้ใหญ่โดยทางน้ำใจ มีธรรมเคลือบแฝงแล้วดีทั้งนั้นละ ถ้าไม่มีธรรมแล้วไม่ดีนะ ไปที่ไหนต้องมีธรรมเป็นพื้นฐานๆ ถ้าอยากมีความสงบร่มเย็นตายใจฝากเป็นฝากตายกันได้ ให้มีธรรมในใจ ไม่ต้องเรียกหาชาติชั้นวรรณะชื่อเสียงอะไรแหละ ให้ดูบุคคลที่เป็นคนดีเข้ากันได้หมด ถ้าไม่ดีอยู่ไหนก็เป็นไฟ ให้พากันจดจำเอาไว้นะ ธรรมนี่ที่พอยังโลกให้สงบร่มเย็น ถ้าไม่มีธรรมไม่เป็นท่า ย่นเข้ามา เช่นอย่างวัดอย่างนี้ก็ต้องดูสมภารวัด สมภารวัดเป็นสำคัญมาก ดูสมภารวัด สมภารวัดเป็นคติตัวอย่างอันดีงาม ลูกศิษย์ลูกหาผู้น้อยเข้ามานี้น้อมรับๆ แล้ว ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่น พอก้าวเข้าไปวัด โหย ขาอ่อนเข่าอ่อน มันไม่มีอะไรจะทะนงตัว เข้าใจหรือ อ่อนด้วยความเคารพนับถือ นั่นละท่านดี ถ้าหัวหน้าวัดไม่ดีลูกศิษย์ก็เก้งก้าง ตัวเองไม่ดีลูกศิษย์ก็ไม่ดี หาความเคารพนับถือกันไม่ค่อยมี เป็นอย่างนั้นนะ
เรื่องเคารพนี้ออกจากธรรม ธรรมแจกออกไปแยกออกไปเป็นการปฏิบัติประพฤติตัว แล้วก็ดีไปด้วยกันทั้งนั้น อย่างวัดเป็นต้น เรายกตัวอย่างอย่างวัด หลวงปู่มั่นไปอยู่ที่ไหน โหย เรียบไปหมด แม้ประชาชนก็เรียบไปตามๆ กันไม่ใช่เรียบแต่วัด ประชาชนเรียบไปตามๆ ตามขั้นของฆราวาส ถ้าที่ไหนไม่มีวัดมีวานี้ ประชาชนก็เก้งๆ ก้างๆ มันบอกอยู่ในตัวนะ นี่ละธรรมขึ้นอยู่กับจุดศูนย์กลางๆ คือผู้ใหญ่ๆ ทำตัวของเราให้เป็นผู้ใหญ่ในตัวเองด้วยศีลด้วยธรรม กระจายไปที่ไหนก็เป็นความดีงามทั้งนั้น
ธรรมที่แผ่กระจายทั่วโลกก็คือพุทธศาสนา เป็นธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีพิษมีภัยเคลือบแฝงเลยพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา จึงสมพระนามว่าศาสดาของโลก ทรงไว้ซึ่ง โลกวิทู รู้รอบขอบชิดหมดทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรปิดบังพระทัย พระญาณหยั่งทราบนั้นเลย และทรงปฏิบัติต่อโลกด้วยพระเมตตาสงสาร ดังที่พระพุทธเจ้าสอนท่านบอกไว้ในพุทธกิจ ๕ ของพระพุทธเจ้า พุทธกิจคืองานของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะมีอยู่ ๕ อย่าง เวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่าน
เวลาบ่ายสามโมงสี่โมงลงไปแล้ว เปิดโอกาสให้บรรดาพ่อค้าประชาชนคนทั่วๆ ไปนับแต่มหากษัตริย์ลงมาให้เข้าเฝ้า ให้มาฟังธรรมการอบรมของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้เป็นการบังคับ หากเป็นประเพณีของประชาชนที่พอถึงเวลานั้นก็ทราบกันๆ เพราะมีหัวหน้าพาดำเนิน แล้วประทานพระโอวาทให้บรรดาประชาชนตามขั้นภูมิของฆราวาส ตามขั้นภูมิของธรรมที่เหมาะสมกัน
พอมืดเข้ามาแล้วประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ ตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นไปถึงนิพพาน แนะนำสั่งสอนบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์
พอตกกลางคืนมาทรงเทศนาว่าการแก้ปัญหาของเทวบุตรเทวดา นับแต่ท้าวมหาพรหมลงมา นี่สอนพวกเทพตอนเที่ยงคืน ท่านพูดเป็นกลางๆ ตอนเที่ยงคืนไปสอนพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม แก้ปัญหา นี่ก็เป็นแบบๆ ตอนบ่ายสอนประชาชน ประชาชนก็คือคน ตอนค่ำสอนพระ พระก็คือคน สอนเทวบุตรเทวดานั้นพวกทวยเทพเป็นกายทิพย์ ก็มีเหมือนกันกับเรา ประเภทหยาบละเอียดต่างกัน
ทีนี้พอปัจฉิมยามลงไปแล้ว ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก นี่ละที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณ ถ้าเป็นภาษาบาลีก็ว่า ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก รายไหนที่ข้องในพระข่ายคือพระญาณของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่ชีวิตจะตายไปในไม่ช้า ก็รีบเสด็จไปโปรดคนนั้นก่อน สถานที่ใดควรจะไปไม่ไปยังไง เล็งญาณดูเรียบร้อยๆ นี่เป็นงานของพระพุทธเจ้าไม่ทรงลดละ
ถึงเวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต ออกบิณฑบาตนี้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนจำนวนไม่น้อย ใครได้เห็นได้ยินได้ฟังพระองค์นี้เป็นมหามงคลแก่จิตใจอย่างยิ่งทีเดียว นี่ท่านเสด็จออกบิณฑบาต จะทรงรับสั่งกับใครไม่รับสั่งกับใครก็ตาม พอมองเห็นเท่านั้นก็เป็นทัสสนานุตตริยะ คือความเห็นอย่างเลิศเลอ คือเห็นองค์ศาสดา ยิ่งได้ยินได้ฟังจากพระองค์รับสั่งอะไรด้วยแล้ว ยิ่งเป็นมงคลทางหูทางใจเข้าไป นี่เป็นงานประจำพระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงว่าง จนบางคนเกิดปัญหาว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหลับนอนเลย เพราะงานประจำตลอดรุ่ง อย่างนั้นก็มี แต่ความจริงพระองค์ก็ทรงมีเวลาหลับนอน
ทีนี้ก็มียมกปาฏิหาริย์ที่เข้ามาลบล้างกัน ถึงเวลาที่จะบรรทมพระองค์ก็บรรทม แสดงพุทธนิมิตออกทำหน้าที่แทนอย่างนั้นๆ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงพักผ่อนได้ไม่มีปัญหา นี่ละพระองค์ทรงทำประโยชน์แก่โลกทำมาอย่างนี้ตลอด ธรรมที่กระจายออกไปนี้กระจายออกไปหมด ตั้งแต่มนุษย์มนาเทวดาอินทร์พรหมทั่วไตรโลกธาตุ ออกจากศาสนธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้อย่างชอบแล้วๆ ทั้งนั้น จึงเรียกว่าธรรมล้วนๆ ในพระพุทธศาสนา ไม่มีพิษมีภัยเลย นี่เรียกว่าศาสนธรรม ธรรมที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้ ทุกๆ พระองค์เป็นแบบเดียวกัน ท่านเดินแถวเดียวกัน ตรัสรู้แบบเดียวกัน บริสุทธิ์แบบเดียวกัน สอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำแบบเดียวกัน จึงเป็นแบบฉบับเรื่อยมา
ที่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ ท่านดำเนินตามทางสายเดียวกันมา จนกระทั่งมาถึงพระสมณโคดมเรานี้ นี้เป็นองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ กกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป โคตโม อริยเมตไตรโย เป็นห้า จากนี้แล้วพระอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เป็นศาสดาแทน นี่พระองค์ก็ทรงเล็งญาณไว้เรียบร้อยแล้ว ระยะนั้นจะมา จากนั้นท่านก็แสดงอนาคตวงศ์ คือวงศ์ของศาสดาที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้านี้ ระยะนี้มีเท่านั้นองค์ ระยะนั้นมีเท่านั้นองค์ บอกไปเลย แล้วก็จะมาตามนั้น พระพุทธเจ้าองค์ใดทรงเล็งญาณทราบอย่างแม่นยำ เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า ไม่มีคำว่าผิดพลาดไปเลย ต่อไปพระอริยเมตไตรยก็จะมาข้างหน้า ท่านก็ดำเนินตามนี้
นี่ล้วนแล้วตั้งแต่ธรรมสอนโลก รื้อกองทุกข์ออกจากโลกด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ เหมือนกันหมด ศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นแบบฉบับ เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร จึงเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก แต่ของดีผู้ที่จะนับถือมีจำนวนน้อย แต่ของเลวมีมาก ท่านจึงรับสั่งกับพระอานนท์ที่ทูลถามว่า คนที่จะไปสวรรค์กับคนที่จะไปตกนรก ทางไหนมากกว่ากัน พระองค์รับสั่งว่า คนผู้ที่จะไปสวรรค์นั้น เพราะการปฏิบัติดีของตนเองเพียงเขาโค เท่ากับเขาโค มีจำนวนน้อย แต่ผู้ที่จะหลั่งไหลลงนรกอเวจีนั้นเท่ากับขนโค ฟังซิ โคตัวหนึ่งมีขนมากน้อยเพียงไร มีเขาอย่างมาก ๒ เขา มิหนำซ้ำเขากุดเขาด้วนหรือเป็นโคหัวโล้นก็มี ก็คือแทบจะไม่มีใครไปสวรรค์ไปนิพพาน นี่เรียกว่าโคหัวโล้น
สมัยนี้มันมีพอเขาไหม ศาสนาพระพุทธเจ้าในของพวกชาวพุทธเรามันมีพอเขาไหม หรือเป็นโคหัวโล้นไปหมด มันเต็มไปตั้งแต่ขนโคนั้นหรือ คนที่ต่ำช้าเลวทรามมีจำนวนมากที่จะไหลลงไปสู่ทางต่ำๆ ทางต่ำเป็นขั้นๆ จนกระทั่งถึงนรกอเวจี เรียกว่าต่ำสุดยอดก็คือนรกอเวจีขึ้นมาๆ เรื่อยๆ จากนั้นก็ขึ้นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีเพียงขนาดเขาโคเท่านั้น ทีนี้เราก็ย่นเข้ามาถึงคนผู้ที่นับถือพุทธศาสนามีจำนวนมากน้อยเพียงไรกับคนทั้งโลก เอา เทียบกันซิ นี่ถือของจริงของแท้คือพุทธศาสนา แล้วคนที่จะมานับถือของแท้ของจริงนี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งเท่ากับเขาโค แต่ที่ถือสะเปะสะปะไปทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยถือว่าเป็นของดิบของดี ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่แถวของขนโคทั้งนั้น นั้นจำนวนมากทีเดียว
เอ้าที่นี่ย่นเข้ามาอีก เข้ามาๆ จนถึงตัวของเรา วันหนึ่งๆ เราคิดถึงความดีงามในหัวใจของเรา คิดถึงศีลถึงธรรม ถึงทาน ศีล ภาวนา คุณงามความดีทั้งหลายที่จะสั่งสมเข้าสู่ตัวของเรานี้ มีจำนวนมากน้อยเพียงไร แต่มันคิดสะเปะสะปะตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ความคิดของเราคนเดียวมีมากขนาดไหน นี่พวกขนโค เข้าใจไหม เราตื่นขึ้นมาสั่งสมแต่ขนโคๆ เขาโคไม่ค่อยมี แล้วคิดถึงเรื่องบุญเรื่องกุศลมีน้อยมากเท่ากับเขาโค คิดสะเปะสะปะไปตามนิสัยของกิเลสครอบหัวใจมีจำนวนมากมาย ให้ย่นเข้ามาที่นี่ พยายามตัดขนโคออก สั่งสมเขาโคให้แหลมเข้าไปๆ เข้าใจเหรอ เอาให้เขาโคแหลมปิ๊ดพุ่งถึงนิพพาน เข้าใจแล้วเหรอ ย่นเข้ามาๆ วันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นละ เรื่องพวกเขาโคกับพวกขนโค พวกอยู่ในศาลาหลวงตาบัวเวลานี้มีตั้งแต่ขนโคทั้งนั้น เขาโคไม่มี ถ้าว่าหลวงตาบัวก็หัวโล้นเสียไม่มีเขา เลยไม่เป็นท่า เอาละแค่นั้นละวันนี้ ให้เป็นข้อเปรียบเทียบ
นี่เราสรุปลงมาถึงจุด แต่เรายังไม่บอกอย่างละเอียดสุดของความคิด คือจิตเวลามันรวมตัวเข้าแล้วมันจะคิดแบบกุศลมากๆ แหลมเขาโค จนกระทั่งฟาดแหลมปิ๊ด พุ่งถึงนิพพานเป็นอรหันต์ ทีนี้ไม่มีเลยขนโค หมด มีแต่เขาโค นั่นเป็นอย่างนั้น วันนี้ฝนตก พวกขนโคมันท่วมคนหมด เขาโคมาโผล่ในศาลานี้ไม่กี่ราย ขนโคเอาไปกินหมด เขาโคโผล่ออกมาจากฟ้าจากฝนมาศาลานี้มีเพียงสองเขา
โยม หลวงตาเจ้าขา อยากจะมากราบขออาราธนา ขอโอกาสอาราธนาหลวงตาทรงธาตุขันธ์อยู่ ๑๒๐ ปีนะเจ้าคะ
หลวงตา เฮ้ย ขอบ้าอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไม่อยากพูดเสียงดังนะ เราก็ไม่อยากพูดเสียงดัง ขออาราธนาอยู่สัก ๑๒๐ ปี เราอยากจะพูดกระซิบดังๆ มันขอบ้าอะไร (หัวเราะ) เข้าใจไหม?
โยม ที่เดินทางมานี้ก็เพื่อเจตนามาขอโอกาสอาราธนาเจ้าค่ะ
หลวงตา เอาละทีนี้พอ ขอไม่ขอเราก็ฟาดมันสุดเหวี่ยงแหละ หมดลมหายใจเมื่อไรถึงจะยอม ถ้าไม่หมดลมหายใจก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ มีข้าวต้มขนมเอามาเสริมเขาโคซิ
(ผบ.เรือนจำอำเภอบึงกาฬ มาขอเมตตาอนุญาตตั้งชื่อตึกเรือนจำบึงกาฬที่หลวงตาเมตตาจัดสร้างให้ว่า ตึกญาณสัมปันโน) ก็ไม่ขัดข้องอะไรแหละ เป็นธรรมดี
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |