ศาสนาพุทธกระจายไปไหนเป็นคุณทั้งนั้น
วันที่ 14 มิถุนายน 2547 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗

ศาสนาพุทธกระจายไปไหนเป็นคุณทั้งนั้น

 

         ที่ถ้ำสหาย ผาแดง ภูสังโฆ เป็นที่สะดวกมาก นั่นละพระไปอยู่ที่ไหน สงวนป่า ไม่มีใครเก่งกว่าพระ พระไปอยู่ที่ไหนสงวนป่า เวลานี้ป่านี้หนาแน่นขึ้นโดยลำดับพระไปอยู่ที่ไหน แต่พวกเปรตกินป่าก็คือป่าไม้นั่นแหละ พวกป่าไม้รักษาป่าไม้ ไม่ได้ช่วยรักษาป่าไม้ พวกเปรตกินไม้คือพวกนี้เอง ดีไม่ดีพระไปอยู่ไม่ได้ หาอุบายไล่พระ ไล่ลงจากนั้น ถ้าพระอยู่ที่นั่นเขาจะไม่ได้ขนไม้ออก เขาต้องหาอุบายไล่พระ อยู่ที่นี่ไม่รับรองความปลอดภัย ฟังซิน่ะอุบายของมัน

พอพระลงไปแล้วขนไม้กลางค่ำกลางคืน กลางวันไม่ค่อยขนนะพวกนี้ เราไปเห็นแล้ว โธ้ ทุเรศจริงๆ นะ พวกเจ้าหน้าที่ ไส้อยู่ในท้อง หนอนอยู่ในไส้กินหมดเลย พวกรักษาหน้าที่ราชการ กินตับกินปอดของแผ่นดิน สมบัติส่วนกลางไม่มีเหลือ พิลึกพิลั่นกินหมด อย่างภูทอกก็เหมือนกัน ออกหนังสือพิมพ์ประจานว่าพระทำลายป่าอะไรๆ คือป่านั้นเขากำลังขนไม้ แล้วพระไปอยู่ที่นั่นมันขวางหูขวางตา เขาออกประกาศว่าพระไปทำลายป่า

จนกระทั่งเจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะไหนไปดูหมด ดูว่าระยะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จไปด้วยนะ แต่จะไปเรื่องนี้หรือไปเรื่องใดไม่ทราบ พระองค์พระราชทานเงินให้สร้างสระเสียด้วยซ้ำในแถวนั้น แล้วเวลาไปดูไหนที่ว่าพระทำลายป่า ทำลายที่ไหนไม่เห็นมี พวกทำลายป่าก็คือพวกป่าไม้นั่นแหละ สัตว์ป่าก็ไม่มีเหลือ เอาหมดพวกนี้ พิลึกนะพวกทำลายป่าพิลึก เราพูดจริงๆ พวกชลประทานทำลายจิตใจของประชาชน สมบัติของประชาชนมาก คือชลประทาน ไปที่ไหนมันไปเที่ยวล่านะพวกนี้ เที่ยวล่า ที่ไหนมีที่ลุ่มแล้วจะทำเขื่อนกั้นน้ำ ทำอย่างนั้น อธิบายนี้ โถ พิสดารนะ แล้วประชาชนแตกบ้านหมด ไม่มีบ้านอยู่ๆ ไร่นาสาโทมันกั้นเป็นเขื่อน มีที่ลุ่มที่ไหนกั้นเขื่อนๆ

พวกนี้ก็เป็นภัยมากทีเดียว พวกป่าไม้เป็นภัยต่อป่าไม้ และพวกชลประทานเป็นภัยต่อประชาชน ย้ายบ้านย้ายเรือน ไม่มีที่อยู่ที่พัก นี่สำคัญมากทีเดียว เวลานี้พระไปอยู่นี้เดี๋ยวนี้เป็นดงหนาแน่นไปหมดนะ เช่นอย่างผาแดงก็เหมือนกันเป็นดงเป็นป่า ภูสังโฆก็เหมือนกัน แน่ะอย่างงั้นแหละ พระรักษาท่านรักษาจริงๆ ท่านไม่ทำอะไร ไปหาเรื่องใส่ท่าน ออกหนังสือพิมพ์ประกาศโจมตีพระ ดูซิน่ะ จนกระทั่งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอไปดูกัน ไปดูที่ไหนถามว่าที่เขาทำลายป่า ท่านจวนนี่แหละ เอ้าทำลายป่าที่ไหนไม่ได้ทำลาย ท่านว่า เอ้าเขาออกหนังสือพิมพ์ ก็ไม่รู้แล้ว เขาออกที่ไหนก็ไม่รู้เขา

เป็นอย่างนั้นนะ ไม่มีเหลือไม้ ที่ดงมูลก็เหมือนกัน นี่ก็หมด พวกนายทหารพวกอะไรเขาไปหาเจ้าคณะภาคเสียก่อน เจ้าคณะจังหวัด ว่าลูกศิษย์เราได้ไปอยู่นั้นองค์หนึ่ง ชื่อท่านมานะ ก็เป็นคนกรุงเทพฯ นะ ท่านมานะมาอยู่นี้หลายปี ท่านได้ไปพักภาวนาที่นั่น เขานิมนต์ให้อยู่ที่นั่น ท่านก็เลยพักภาวนา ไปหาว่าท่านทำลายป่าเสียหมด คือไปกีดขวาง ไม่ใช่อะไรนะ พระเดินบิณฑบาตนี่ไปเห็นความสกปรกของเขา กลัวภัยจะเกิดจากเขา เขาจะไม่ได้กินป่า เขาก็หาอุบายไล่พระ จนกระทั่งนายทหาร นายพันอะไรสามคนมาหาเรา ไปหาเจ้าคณะจังหวัด ก็บอกว่าเป็นลูกศิษย์อาจารย์มหาบัวต้องไปหาอาจารย์มหาบัว ก็มาหาเราเลย

พอมาหาเราก็มาถามถึงเรื่องว่า จะให้พระออกจากป่านั้น ป่าเป็นยังไง เขาว่าพระองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ เข้าไปอยู่ในป่า ป่าไหน เขาบอกว่าป่านั้นๆ เขาเอาอำนาจใหญ่นะ พวกนายทหารมาทีเดียว เครื่องมือใช้มันเอามา แล้วท่านทำลายป่าท่านทำยังไง พอดีมาถึงเราแล้วก็ชัดเจนกันละ ทำลายป่าท่านทำลายยังไง ท่านเอาไม้มาสร้างวัด โอ๋ วัดนี้เป็นหัวใจของชาติ ไม่ควรจะเป็นภัยต่อผู้ใด วัดกับพระที่มุ่งอรรถมุ่งธรรม ทำประโยชน์ให้โลกนี้เป็นภัยต่อชาติ ชาติก็ไม่มี ศาสนาไม่มี ชาติไทยของเรานี้ไม่เป็นท่านะ อยู่ที่ไหนต้องมีวัดมีวา

นี่เขาอยู่ที่นั่น เขานิมนต์พระไปอยู่เพื่อโปรดปรานเขา เป็นความดีความชอบธรรมแล้ว การเอาไม้มาทำเป็นวัด สนามไม้สามแห่งใหญ่ๆ นะเราไปเห็น เขาไม่พูดถึง เราก็พูดชี้แจงจนกระทั่งลงใจเลย เราบอกยังไงหลวงตาจะไปดูแหละ เราจะไปดู เราก็ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ  พวกนี้เลยเกิดศรัทธาในขณะนั้น มองดูก็รู้ พอเขาออกไปแล้วจ้างก็ไม่ไล่ละที่นี่ เราก็บอก จริงๆ ไม่ไล่เลยทั้งนั้น เราก็ไปดูจริงๆ นี่ละที่มันเห็นชัดเจนมาก แล้วก็ไปดูที่ว่าเขาว่าทำลายป่าทำลายที่ไหน เอ้าไม่เห็นทำลายที่ไหนนะ และไปอยู่ก็ไปอยู่ในที่ลุ่มๆ ไปอยู่แคร่ มีไม้ไม่กี่แผ่นมาปูนั่น ไม้ก็เป็นไม้ตายยืนต้น เขาไปเลื่อยมา เห็นตัวด้วง ตัวหนอน มันเจาะมันไชรูมันเท่านี้ๆ มาดูเป็นไม้เก่าแก่ แล้วมีอะไรอีก มีเท่านี้แล้ว เอ๊ ทำลายป่ายังไง

แต่ที่สำคัญก็คือเราทราบแล้ว ประชาชนเขาตามเราไปด้วย เขากระซิบกระซาบเรื่องป่าไม้อะไรๆ รวมหัวกันทั้งตำรวจอะไร ตอนกลางคืนขนไม้ทั้งคืนเขาบอก พวกชาวบ้านนะ ตอนกลางวันเงียบ ทีนี้พระมาบิณฑบาตไปเห็นความทุจริตของเขา มันจะขวางทางเขาเดิน กลืนไม่สะดวก เขาจึงไล่ออก เราไปดูแล้วก็ไม่มีอะไร ตั้งแต่บัดนั้นมาพระก็อยู่นั้น จนกระทั่งสร้างวัดขึ้นละมังเดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีไม้แล้ว หมดแล้วไม้ พระท่านกินหมดแล้ว พระเปรตกินหมดแล้ว มันเป็นอย่างนั้นนะ แหม พวกนี้พวกสกปรกมาก พวกรักษาป่า ไปกีดกันพระไปอยู่ในป่าไม่ได้ละ หาอุบายไล่ลงๆ พวกนี้ไม่มีบาปมีบุญ กุสลาบอกบุญไม่รับพวกนี้นะ

เราไปเห็นด้วยตาของเรา เราก็พูดได้ชัดเจน มันเป็นอย่างนี้ เราพูดตรงๆ เราพูดเป็นธรรมที่ทำความเดือดร้อนแก่ประชาชนคือชลประทาน ไม่มีเรื่องอะไรไปหาล่าที่ต่างๆ ที่ไหนเป็นที่ลุ่มที่ดอนก็มาบอกนาย แล้วก็รายงายขึ้นมาว่าที่นั้นว่างเปล่า อะไรๆ เป็นที่ว่างเปล่า เป็นที่เหมาะสมกับการทำชลประทาน ทั้งๆ ที่ว่างเปล่าคือที่ลุ่มก็นาของเขามันว่างเปล่าอะไร พวกหนังสืออะไรนอสอนอแสสามหรือโฉนดฉะเนดไม่ทำให้เขา เขาก็ไม่มีละซิ ก็นายไม่ทำให้เขา ก็ไปบอกว่าที่นี่ว่างเปล่า เขาทำกินมาแต่พ่อแต่แม่เขานู่น เราก็เอาอำนาจไปบังคับเสียอย่างนั้น แล้วก็มากั้นเขื่อน คนไม่มีที่อยู่ที่กิน แตกบ้านๆ อู๊ย เลอะเทอะมากนะชลประทาน

ระยะหลังนี้มาถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชดำริพระองค์เสียเอง  เป็นประโยชน์แก่ชาติทั่วไปหมด นั่นต่างกันนะ กับพวกนี้หาล่าทำลายประชาชน มากที่สุดชลประทาน อันนี้ทำลายป่าของชาติโดยตรง พวกป่าไม้นะ พวกชลประทานทำลายประชาชน ชาวบ้านชาวเมือง ที่ลุ่มที่ไหนไปกั้นเขื่อนๆ ไล่คนหนีหมดเลย แล้วเวลาไปทำแล้วไม่เห็นมีประโยชน์อะไร เขื่อนไหนๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ทำเฉยๆ มันเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นพระราชดำริ ก็ดูซิเราดูเอาซิ เป็นประโยชน์แก่ชาติๆ ไปเลย ทรงรับสั่งที่ไหน มันเป็นอย่างนั้นนะ ต่างกัน

นี่พูดเรื่องอะไรถึงได้ไหลเข้ามานี้ โอ๋ เรื่องป่านะ เรื่องป่าถ้ำสหาย เอ้อดี แถวนั้นเป็นดงหมดแล้ว พระไปอยู่ที่ไหนเป็นดงหมด สง่างาม พอพูดอย่างนี้ก็ไปสัมผัสกับเสือโคร่งใหญ่ตัวหนึ่ง พบกันที่ไหนนะกับท่านจันทร์เรียน ท่านบอกว่าที่นั่นชุ่มเย็นมาก มีสัตว์มีเนื้อเต็มอยู่ในนั้น แล้วก็มีเสือโคร่งใหญ่ตัวหนึ่ง เสือโคร่งใหญ่จริงๆ นะไม่ใช่ธรรมดา จนเป็นเสือโคร่งแก่แล้วละ มันแอบอยู่นั้นกับคน โอ๋ยพวกนี้มันฉลาดมากนะเสือตัวนี้ เขาว่างั้น มันอยู่กับคน มันหลบมันหลีกอยู่ใกล้ๆ คน ไม่ทำลายคน ไม่ทำลายอะไรของคน ทีนี้มันก็ไม่สะดุดใจเขาก็ไม่เดือดร้อน เขาก็ไม่ฆ่ามัน มันก็หลบก็หลีกอยู่นั้น มีเสือตัวเดียว ในดงอันนี้ทั้งหมดมีเสือตัวเดียวเสือโคร่งตัวนี้

เราจึงได้มาคำนึงคำนวณอายุของเขา เสือโคร่งตัวนี้มันแก่แล้วละว่างั้นนะ มันแอบอยู่ตามนั้น มาเงียบๆ ตามวัดตามวาก็มา ไปที่ไหนมันก็ไป แต่มันไม่ออกจากเขตที่ปลอดภัย เดี๋ยวนี้มันอยู่นั้นแหละ ใครก็ไม่ถือสามัน มันเป็นเหมือนกับเพื่อนมนุษย์ ว่างั้นนะ มันหลบมันหลีกอยู่ใกล้ๆ กับมนุษย์ เห็นคนนี่โหยทำท่ากลัวมากนะ ไปใหญ่เลยว่างั้น แต่อยู่กับคน ทำให้เราคิดคำนวณถึงอายุของเสือนี้มันเท่าไรน้า ที่เราคิดนี้ตั้งแต่เราเป็นฆราวาสอยู่ เสือโคร่งใหญ่ตัวนี้มันฉลาดมาแล้ว ไปกัดเนื้อกัดสัตว์คนที่ไหน ถ้าคนได้ไปเห็นรอยมันกัดแล้วมันไม่มาซ้ำซากนะ มันหนีเลยๆ กับคนนี่เรียกว่าไม่เข้าใกล้กับคน ไม่มาป้วนเปี้ยนกับคน หลบหลีกกับคนอยู่นั้นละ ที่จะป้วนเปี้ยนให้คนเห็นจริงๆ ไม่ให้เห็น

เสือตัวนี้ตั้งแต่อายุเท่านั้นมาฉลาดมาก จนเขาร่ำลือมาหมดทั้งบ้านนี่ละ เสือตัวนี้ฉลาดมาก นายพรานเขาบอกว่าฆ่ามันไม่ได้ มันฉลาดมาก แล้วก็เสือตัวนี้ตั้งแต่นู้นกับเดี๋ยวนี้มีเสือโคร่งใหญ่ตัวหนึ่ง ไม่ใช่ตัวนั้นเหรอ เราว่า คำนวณอายุเสือมันเท่าไรวะ (๘๐ กว่าปีได้ครับ) เราว่าแก่มากแล้ว ว่างั้นนะ มันน่าจะเป็นเสือตัวนั้น ไม่งั้นมันตายแล้ว เสือทั้งหลายตายหมด เสือตัวนี้ไม่ตาย คือมันฉลาด มันลอบๆ อยู่กับคน ไม่เป็นอะไรกับคน นี่ละที่เขาไม่ฆ่ามัน ถ้าตัวไหนไปทำลายสัตว์มากๆ ดีไม่ดีไปทำลายคนด้วยแล้วไม่นานละเสือตายทันที

นี่เสือตัวนี้ อยู่นั้นเดี๋ยวนี้ ท่านจันทร์เรียนบอกอยู่ เดี๋ยวนี้ยังอยู่นั้นเหรอ อยู่นั้นแล้ว  ว่างั้น แอบอยู่กับวัดนั่นแหละ อยู่ใกล้ๆ คน เห็นคนกลัวมากนะ ทำท่ากลัวมาก หากอยู่กับคน ไม่เป็นภัยละถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของคน ถ้าอยู่ห่างๆ มันอาจจะเอา ถ้าอยู่แถวนั้นมันไม่ทำละ มันกลัวเจ้าของ นี่พูดถึงเรื่องป่า ก็เลยเตลิดเปิดเปิงไปถึงเสือโคร่งใหญ่ เดี๋ยวนี้ยังอยู่นั้น ท่านจันทร์เรียนบอกยังอยู่นั้น ให้พระรักษาป่านี้ดีมาก เราบอกดีมากเลย ไม่มีที่ไหนที่รักษาป่าจะทำลายป่าไม่เคยมี แต่ฆราวาสเขารักษาป่าซิมันหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย

เราพูดถึงเรื่องศาสนา เราเห็นฝรั่งมาบวช เราอยากให้พวกนี้บวชมากๆ นี่หลั่งไหลจะเข้ามาอยู่วัดป่าบ้านตาด แต่เรารับไม่ได้มาก เพราะพระไทยเรามีจำนวนมาก ต้องแบ่งสันปันส่วน ถึงเช่นนั้นก็มีตั้งหกเจ็ดองค์ละมังเดี๋ยวนี้ พระฝรั่ง (ใหม่ด้วยเป็นเก้าครับ) เก้าแล้วเหรอ นู่นน่ะเห็นไหม เดี๋ยวนี้วัดนี้ แต่ก่อนเราไม่รับมากนะ สี่ห้าองค์เป็นอย่างมาก เราแบ่งไว้สำหรับพระไทย ๆ เพราะวัดนี้ธรรมคับแคบตีบตันไม่มี เฉลี่ยให้ทั่วถึง

อย่างทั่วประเทศไทยนี้ พระทุกภาคมาอยู่นี้เต็มไปหมด ภาคไหนมาหมดมาอยู่ที่นี่ เปิดโล่งไว้หมด ว่าลูกศิษย์ตถาคตแล้วเท่านั้นพอ หลักธรรมวินัยเป็นอันเดียวกันอยู่ด้วยกันได้ ถ้ามีที่อยู่ ทีนี้พระฝรั่งเราได้กันไว้บ้างเผื่อพระไทยเราได้มาอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นเราจึงได้รับทีละสี่หรือห้าองค์เป็นอย่างมาก เดี๋ยวนี้มันถึงเก้าองค์สิบองค์แล้วจะว่าไง ไหลเข้ามาๆ พระฝรั่งเลยมาก แต่ท่านเหล่านี้มาอยู่ท่านมีความสัตย์ความจริงดีอยู่ องค์ไหนที่มาอยู่นี้เรายังไม่ได้ตำหนินะว่าองค์นั้นไม่ดีองค์นี้ไม่ดี

ถ้าพูดถึงเรื่องความเฉลียวฉลาดวิชาทางโลกนี้ องค์นี้เก่งทางนั้น องค์นั้นเก่งทางนั้น เก่งไปคนละทิศละทางมาอยู่นี้ เวลามาอยู่นี้แล้วเหมือนตุ๊กตานะ เหมือนไม่มีความรู้วิชาอะไรเลย เวลาจำเป็นให้ท่านช่วยอะไรอย่างนี้ โอ๋ย เรียบๆ เลย  ท่านเก่งทุกด้านทุกทาง วิศวปรมาณูก็มีอยู่นี้ ของเล่นเมื่อไร องค์นี้เก่งทางนี้ องค์นั้นเก่งทางนั้นๆ ท่านปฏิบัติหน้าที่ดี เวลามาบวชเป็นพระจึงไม่ได้ต้องตินะ เราจะรับมากก็รับไม่ได้พระฝรั่งก็ดี เราจึงพูด ตะกี้นี้ก็พูด เราอยากให้ฝรั่งนี้บวชมากๆ หน่อย พวกนี้มันตัวเก่งมันรังแกคนทั้งโลก ไปที่ไหนก่อความเดือดร้อน มีตัวนี้ตัวสำคัญ ถ้าได้มาบวชรู้จักศีลจักธรรมแล้ว มันจะมีเมตตาให้ความร่มเย็นแก่ผู้น้อย เราว่างั้นนะ เดี๋ยวนี้มันใหญ่เท่าไรมันยิ่งกินใหญ่พุงใหญ่มันไม่มีธรรม เอาพุงเป็นธรรม โอ๋ย กินไม่ถอย พอกินจะเต็มแล้วมันก็ถ่ายออกเสียแล้วกินใหม่เรื่อย อย่างนั้นนะ

เรื่องศาสนาพุทธของเรานี่กระจายไปไหนเป็นคุณทั้งนั้นๆ เพราะเป็นศาสนาโครงการของธรรม ระงับสิ่งเป็นฟืนเป็นไฟคือกิเลสทั้งหลายออกเป็นลำดับ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ระงับดับความทุกข์ที่เกิดจากกิเลสสร้างขึ้นมา แต่ศาสนาเหล่านั้นท่านทั้งหลายแปลเอา เราพูดได้เพียงเท่านี้ คำว่า ศาสนะ แปลว่า คำสอน โครงการของกิเลสก็มี โครงการของธรรมก็มี เช่น พุทธศาสนา ศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เป็นโครงการของธรรม ระงับสิ่งชั่วช้าลามกที่เป็นฟืนเป็นไฟทั้งหลายออกจากตัวเอง แล้วทำความสงบให้ส่วนรวมนับแต่ตัวเองออกไป ส่วนศาสนะธรรมดานี้เป็นโครงการของกิเลสทั้งหมด ใหญ่เท่าไรเป็นเจ้าของของศาสนาเป็นผู้มีกิเลส เป็นผู้มีกิเลสก็โรงงานใหญ่ของกิเลสอยู่ที่นั่น เวลาระบายกระจายสั่งสอนบริษัทบริวาร ก็เอาจากโครงการของกิเลสนี้กระจายออกไปๆ มันก็มีแต่กิเลสทั่วบ้านทั่วเมือง

เราจะเห็นได้ชัดเจนในโลกอันนี้ศาสนามีน้อยเมื่อไร เต็มโลก แต่หาความสงบจากศาสนาไหนมีไหมล่ะ ไม่มี ดีไม่ดีฆ่าเขาแล้วไปสวรรค์ด้วย จนกระทั่งฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็ไปสวรรค์ ฟังซิศาสนา ส่วนพระพุทธเจ้าแม้แต่สัตว์อยู่ในครรภ์ก็ไม่ให้ทำลาย ต่างกันอย่างนั้นนะ พุทธศาสนาไม่คับแคบตีบตัน พูดอย่างตรงไปตรงมา สอนอย่างตรงไปตรงมา เราผู้ถือพุทธศาสนานี้ ศาสนาสอนเราให้เป็นคนตรงไปตรงมา ชำระความชั่วช้าลามก แต่มันกลับตาลปัตรไปแล้วนะ ความปลิ้นปล้อนหลอกลวงมันอยู่ในใจของเรา ถ้าจะว่าไปสร้างคุณงามความดี กิเลสมันแทรกมันแซงมันกีดมันขวางไม่ให้ไปทำ ถ้าจะไปทำความชั่วแล้วมีสองขาไม่พอเดินไม่พอวิ่ง อยากยืมขาโน้นอยากยืมขานี้ คนหนึ่งอย่างน้อยให้ได้สัก ๕ ขาวิ่งเร็ว วิ่งตามกิเลส เข้าใจเหรอ ถ้าจะชวนไปวัดไปวาฟังศีลฟังธรรมนี้ ปวดแข้งปวดขาไม่สบายไปแล้วนะ อะไรก็กุดด้วนเข้ามาๆ ถ้าเป็นด้านธรรมะ ถ้าเป็นด้านของกิเลสแล้วไปเที่ยวหยิบยืมคนอื่นมาเพื่อจะได้วิ่งให้ทันกาลเข้าใจไหม เป็นอย่างนั้นนะพวกเรา

กิเลสนี่แหลมคมมาก ให้ขึ้นเวทีเสียก่อน ถ้ายังไม่ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเรายังจะไม่ทราบว่ากิเลสละเอียดแหลมคมขนาดไหน กิเลสทั้งหมดมาเป็นตัวของเราทั้งคน จึงไม่มีใครมองเห็นโทษของกิเลสซึ่งมีอยู่ในตัว เพราะมันมาเป็นเราเสียทั้งหมด มีธรรมเท่านั้นเข้าแยก ถ้าธรรมเข้าแยกปั๊บอยู่ในตัวของเราก็ตาม เมื่อธรรมเข้าไปแล้วมันจะเห็นทางแยกทางแยะ อะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิดอะไรถูกในใจของเรา ทีนี้ก็แยกแยะออกมาด้วยธรรม นั่นละธรรมเหมือนว่ากล้องส่องเข้าไปเลย ใครมีธรรมมากธรรมน้อยมีความสงบร่มเย็นมากน้อย ถ้าไม่มีธรรมมืดตื้อไปเลย แต่ละคนๆ มีร้อยตาก็ตาบอดทั้งหมด บอดทางใจ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้ามีธรรมแล้วตาบอดก็สว่างภายใน

อย่างพระจักขุบาล จักขุบาล แปลว่า ผู้รักษาตา ท่านอธิษฐาน ๓ เดือนนั้นท่านจะไม่นอนเลย พอดีตาท่านเสียขึ้นมา เอาหมอมาตรวจเขาบอกให้นอนหยอดยาก็ไม่ยอม เมื่อไม่ยอมหมอเขาก็ปฏิบัติไม่ได้รักษาไม่ได้ ไม่ได้ก็ตามเราจะรักษาเราเอง ทีนี้ท่านก็รักษาท่าน ตาท่านแตกใจท่านจ้าขึ้นมา นั่นท่านเห็นแก่ธรรม ไม่เห็นแก่ร่างกายจนเกินไป ตาในจ้า ตานอกจะบอดก็บอดไป ถ้าตาในมืดแล้ว ตานอกสว่างขนาดไหนมันก็เป็นภัยต่อตนและส่วนรวมได้ทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก

พากันสนใจในอรรถในธรรมนะ บ้านเมืองของเราจะมีความสงบ คำว่าธรรมนี้กระจายไปหมด ตั้งแต่ความเห็นอกเห็นใจทั้งเขาทั้งเรา เอาใจเราวัดใจเขา ใจเขาเป็นยังไง ใจเราเป็นยังไง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ประสานกันได้ เห็นอกเห็นใจกันคนเรา เอามาเทียบเคียงเหตุผล มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่ด้วยความเมตตาต่อกันได้ นี่เรียกว่าธรรม คนที่มีธรรมต้องเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางทั้งนั้นแหละ เพราะธรรมเข้าไปตรงไหนจะเบิกกว้างความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวออก ความเห็นแก่เพื่อนแก่ฝูงทั่วโลกดินแดนนี้จะกระจายออกไป ไปที่ไหนมีความเสียสละมีความเมตตาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมทั้งนั้นๆ

มนุษย์เราใครจะไม่ต้องการความช่วยเหลือ ตั้งแต่เศรษฐียังมีคนใช้เป็นผู้ช่วยจะว่าไง เราทุกคนเกิดมาหวังพึ่งผู้อื่นทั้งนั้นแหละ ตั้งแต่เริ่มต้นพึ่งพ่อพึ่งแม่ ต่อมาก็พึ่งเพื่อนฝูง พึ่งไปเรื่อยๆ ตลอดตาย เมื่อคนเราหวังพึ่งซึ่งกันและกันก็ต้องให้เห็นใจกัน เมื่อเห็นใจกันแล้วเฉลี่ยเผื่อแผ่แก่กันได้คนเรา นี่เรียกว่าธรรม มีความเสียสละ ถ้าไม่มีความเสียสละแล้ว อยู่ด้วยกันมากเท่าไรก็พึ่งกันไม่ได้ เหมือนว่าตัวคนเดียวๆ ถ้ามีธรรมแล้วช่วยกันได้ เพราะคนเราหวังพึ่งกัน เมื่อหวังพึ่งกันแล้วต่างคนต่างเห็นใจกัน นี่เรียกว่าศาสนธรรม ให้พากันนำไปปฏิบัติ

ศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้วคือพุทธศาสนา เลิศเลอแล้ว นี่เราได้ปฏิบัติพิสูจน์ในภาคปฏิบัติ เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนหาที่สงสัยไม่ได้ ในพุทธศาสนานี้ไม่มีที่คัดค้านได้เลย ยอมรับๆ ปฏิบัติไปเท่าไรรู้ไปเท่าไร พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วๆ สิ่งที่เรารู้เราเห็นเป็นสิ่งที่ทรงสอนไว้แล้วทั้งนั้นๆ นั่นมันจะทะนงไปไหนคนเรา ก็ต้องยอมรับละซิ ยิ่งความจริงต่อความจริงถึงกันแล้วยอมรับกันได้หมด วันนี้ก็พูดเท่านั้นละเหนื่อย เอาละไม่พูดมากละวันนี้ พอสมควร

ทองคำนี้ก็ค่อยไหลเข้ามา คือเราให้ได้ ๑๐ ตันนี้แล้ว ที่มันยังคี่อยู่อีก ๑ ตันเราไม่พูดอะไรละ ทีนี้พอทองคำจวนจะถึงจำนวน ๑๐ ตันแล้วก็ค่อยแย็บๆ ออกมา ทองคำที่เราไม่สบายใจอยู่เวลานี้มันคี่อยู่ ๑ ตันนะเราว่าอย่างนี้ คือพันกิโล ถ้าหากว่าได้อันนี้เข้ามาเป็นคู่กันแล้วก็จะพอใจอย่างมาก คือเช่นคี่นี่คือว่า เช่น มีอยู่ในคลังหลวงเจ็ดตัน หรือเก้าตัน หรือสิบเอ็ดตัน เราอยากให้มันคู่ ถ้าเจ็ดตันให้เป็นแปดตัน จึงได้พยายาม ทีนี้พอมอบทองคำเรียบร้อยแล้วก็พูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังว่า ทองคำเรายังไม่คู่ มันคี่อยู่หนึ่งตัน อยากให้มันคู่ แต่คราวนี้จะไม่ขอ แต่ก่อนทั้งขอทั้งทุบกระเป๋านั้นกระเป๋านี้ เห็นหน้า ไหนทองคำ ทีนี้จะไม่ขอ เราบอก

ขอให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณาถึงชาติของตัวเองมีความสำคัญขนาดไหน แล้วต่างคนต่างขวนขวายเข้ามาในจุดบกพร่องนี้ เรียกว่าหนึ่งตัน ให้เป็นคู่แล้วเราเป็นที่พอใจ แต่เราไม่ขอคราวนี้ บอก ทุบกระเป๋านั้นกระเป๋านี้ก็ไม่เอา ขอก็ไม่ขอ อย่างมากก็จะออดอ้อนเอาเท่านั้นแหละเราว่างั้น ทีนี้ทองคำก็ค่อยไหลค่อยซึมซาบเข้ามาเดี๋ยวนี้ ค่อยไหลเข้ามาซึมซาบเข้ามา รวมจาก ๑๐ ตันที่มอบเรียบร้อยแล้ว เศษเหลือไปเท่าไรเวลานี้ ตั้งแต่วันมอบก็เศษไปตั้ง ๓๑๒ กิโลครึ่ง เราก็บวกจำนวนนี้กับต่อไปที่จะได้มาข้างหน้าให้ได้หนึ่งตัน เวลานี้มันก็ได้ ๓๕๐ กว่าแล้ว ค่อยไหลซึมเข้ามา เราคิดว่าคงไม่นานจะครบจำนวนหนึ่งตันที่มันคี่นั้น ทีนี้เมื่อมันครบนี้แล้วก็เป็นอันว่า พวกเราที่ช่วยชาติของตัวเองคราวนี้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๑ ตันเลยละ อย่างไร ๑๑ ตันนี่ได้แน่นอน เวลานี้ก็คืบเข้าไปๆ แล้ว ให้มันไหลซึมเข้ามาอย่างนี้ละ ไหลเข้ามาเรื่อย ซึมเข้ามาเรื่อย ต่อไปก็ถึงตันแล้วเราพอใจ ได้ทองถึง ๑๑ ตันแล้วพอใจ

ส่วนดอลลาร์นั้นเราก็ได้เรียนให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกันแล้วว่า ดอลลาร์นี้เคียงข้างกันมาจนกระทั่งถึงวันมอบทองคำและดอลลาร์ จากนั้นดอลลาร์นี้จะไม่แน่นอนนักเราบอก คือเราพูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น เราหลอกๆ หลอนๆ ไม่เป็น ภาษาธรรมตรงไปตรงมา ดอลลาร์คราวนี้จะไม่ไปเคียงข้างทองคำนะ คือเงินสดนี้ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือจากเรานี้รอบด้านๆ ยิ่งนับวันมากขึ้นทุกวันๆ ทีนี้เงินสดเราไม่เหมือนแต่ก่อนที่เราออกช่วยชาติที่ได้มาบ่อยๆ นั้น คราวนี้เราหยุดการช่วยชาติแล้ว เงินจำนวนเหล่านั้นก็ไม่มา แต่คนที่มาขอร้องให้ช่วยเหลือนี้มีมากต่อมาก เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาเงินสดมันหมดไปๆ เราอาจจะเอาดอลลาร์นี้เข้ามาช่วยหนุนกันกับเงินสดเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองก็ได้ เราจึงไม่แน่นักกับดอลลาร์ ส่วนทองคำนั้นร้อยทั้งร้อยตลอดไปเลยไม่มีรั่วไหลไป ส่วนดอลลาร์นี้อาจจะไหลออกไปทางเงินสดเงินไทยเราเพื่อช่วยโลก ถ้ามีแต่เงินไทยล้วนๆ มันไม่พอ ก็เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบอย่างนี้

เราพูดอะไรตรงไปตรงมาไม่มีเคลื่อนคลาดเลย กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้ ดอลลาร์ที่เข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ทีนี้ดอลลาร์ที่ได้มาทีหลังไม่แน่นะ อาจจะแปรสภาพออกไปช่วยทางเงินสดเรา ออกช่วยชาติบ้านเมือง คิดดูซิเวลานี้ทางลาดยาวตึกสองหลัง สร้างให้นักโทษหญิงไม่มีที่อยู่ที่อาศัยเลย ไปสร้างให้สองหลังๆ ละสามชั้น ทั้งสองหลังนี้ประมาณ ๓๕ ล้าน เวลานี้กำลังสร้างอยู่ แล้วโรงพยาบาลหลังวัดไปนี้อีกสองหลังๆ หนึ่ง ๒๒ ล้าน หลังหนึ่ง ๘ ล้าน กำลังสร้างเวลานี้ คิดแล้วเป็นเงิน ๖๕ ล้านนะ เมื่อเช้านี้ทางพังงา ภาคใต้ก็บอกมาว่าให้โอนเงินไปให้ เพราะทางโน้นก็สร้าง โรงพยาบาลสองตึก โรงเรียนสองหลัง โอนเงินไปจากนี้ไปให้ทางพังงา

ท่านคลาดเป็นพระวัดนี้ เป็นคนภาคใต้อยู่จังหวัดพังงา แต่เป็นพระวัดนี้ไปอยู่ที่โน่น ทีนี้เวลามีความจำเป็นทางโน้น ต้องใช้ท่านคลาดให้เป็นผู้ดูแลการเงินการก่อสร้างต่างๆ นี่ก็กำลังจะโอนไปแล้ว วันอังคารหน้านี้จะโอนแล้ว วันนี้วันจันทร์ วันอังคารข้างหน้าจะได้โอนไปทางโน้นและโอนไปทางเรือนจำลาดยาวไปหาชายปั๋มให้เป็นผู้จัดการ นี้ละที่ว่าเงินไทยเราออก ออกอยู่อย่างนี้ มันไม่พอ ต้องได้ไปเอาเงินดอลลาร์มาช่วยกันหนุนกันไป เพราะเงินช่วยชาติเวลานี้ เราหยุดช่วยชาติแล้วเงินประเภทนั้นก็ไม่มี ก็มีแต่เงินที่เขาเอามาถวายตามอัธยาศัยของเขา เราได้เท่าไรเราก็ช่วยโลกมาประจำอยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มมาสร้างวัดนี้เราไม่เคยมีเงินเป็นของตัว มีเท่าไรออกช่วยชาติมาตลอด ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด สถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล เราสร้างมาตั้งแต่ก่อนแล้วนะ เราช่วยมาตั้งแต่เราสร้างวัด ทีนี้เวลามีการช่วยชาติขึ้นมานี้มันก็เลยไปใหญ่ เป็นอย่างนั้นละ กรุณาทราบตามนี้

(หลวงตาเจ้าขา หลวงปู่อ่อนสาไม่สบายเจ้าค่ะ) โรคภัยมันมีอยู่กับทุกคน ใครอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายๆ อยู่ที่นั่นแหละ มันมีอยู่กับทุกคน เราก็มีคนมาถาม เป็นยังไงหลวงตาสบายเหรอ ปั๊วะเลย เข้าใจเหรอ มาถามให้รำคาญ ไอ้เราไม่มีอะไร เฉย ใครมามีแต่ถามเรื่องยุ่ง อันนี้เราก็คันมือยิบๆ มันอยากตีปากคน รำคาญ ถ้าถามก็ต้องได้ตอบ ยุ่ง เพราะฉะนั้นจึงเอานี้ทำหน้าที่แทนดีกว่า ตีปากปั๊วะเลย อย่าถามมาก เราพูดจริงๆ สำหรับเราๆ ตายง่ายที่สุด บอกจริงๆ นะ เหมือนอย่างที่เทศน์กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย เอาความจริงออกเทศน์จากหัวใจที่จริงอยู่สุดส่วนนี้แล้ว เวลาจะเป็นจะตายจริงๆ ปั๊บไปที่ไหนไปเลย ไปอย่างง่ายดายเลย

นี่ก็ไปเห็นถ้ำผาแดง เราไปเยี่ยม พระเล่าให้ฟังว่ามีถ้ำอยู่ข้างหลังฟากถ้ำทางนี้ โหย สวยงามมาก อย่างนั้นเหรอ ไหนพาไปดูซิ ก็เลยข้ามเขาไป อู๋ย สวยงามมาก เราก็เลยพูดว่า ถ้ำนี้เหมาะมาก เราพูดจริงๆ นะ สวยงามมากถ้ำนี้ เวลาตายเราจะมาตายที่นี่แหละ ธรรมลีพอเห็นว่าเราจะไปตายที่นั่น เลยไปประดับประดาตกแต่งเสียหมดเลย ไปดูทีหลังหมดขลัง ความขลังไม่มีเลย โอ๊ย เราไม่มาตายแหละอย่างนี้ เราก็บอกตรงๆ อย่างนี้ คือทำให้สวยงามให้เหมาะสมทุกอย่างเลย เขามาตกแต่งหน้าถ้ำอะไรๆ ฟาดทางลาดยางเข้ามาถึงเลย ตั้งแต่หน้าวัดรอบภูเขากี่ทวีปไม่รู้เข้ามาถ้ำ เลยเป็นทางสะดวกไปหมดเลย เปิดโล่ง โอ๊ย ไม่เอาเราไม่มาตายที่นี่ละ มันไม่ขลังแล้ว

นี่พูดถึงเรื่องตาย อ้าว พูดจริงๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะฉะนั้นบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายท่านนิพพานที่ไหนจึงไม่ค่อยได้ทราบข่าวคราวของท่านนะ นอกจากองค์ที่ท่านมีชื่อเสียง เช่นอย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เหล่านี้ที่มีชื่อเสียง พระอานนท์ ท่านนิพพานที่ไหนๆ บอก นอกจากนั้นไม่ค่อยได้ยินข่าว เพราะพระอรหันต์ท่านตายง่าย ถึงเวลาแล้วเหรอ อย่างพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระรัตตัญญู ผู้ที่รู้โลกมานาน ท่านไปอยู่ในฉัททันตสระกับช้าง ไม่สอนใคร พอถึงเวลาแล้วก็มาทูลลาพระพุทธเจ้า ท่านมาอย่างสบายเลย มาทูลลาพระพุทธเจ้าจะนิพพาน ออกจากนั้นท่านก็ไปเลย ท่านนิพพานที่ไหนก็ไม่ทราบ เพราะท่านตายง่าย ท่านไม่มีอะไรเป็นกังวล ก็มีแต่ธาตุขันธ์ที่รับผิดชอบกันอยู่เท่านี้ ความยึดถือของท่านก็ไม่มี แต่สัญชาตญาณที่รับผิดชอบระหว่างขันธ์กับจิตนี้มี

ยกตัวอย่างเช่นเราเดินไป พระอรหันต์กับคนธรรมดาสามัญเดินไป เวลาไปพลาดจะหกจะล้มนี้ จะหาวิธีช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยวในขณะนั้น ลื่นไม่ควรจะล้มไม่ล้มง่ายๆ พลิกไปพลิกมา จนกระทั่งสุดวิสัยถึงจะล้ม ทั้งคนธรรมดาทั้งพระอรหันต์ นี่เรียกว่าสัญชาตญาณ แต่มีต่างกันอันหนึ่งที่ว่า คือพระอรหันต์ท่านไม่กระเทือนใจ แต่คนปุถุชนเรากระเทือนใจ เช่นเดินไปนี้ ไปเห็นรากไม้เหมือนงู ก้าวลงกำลังจะเหยียบนี้นึกว่าเป็นงู โดดผึง นี่คนธรรมดา พระอรหันต์ท่านก็โดดผึงเหมือนกัน แต่ต่างกันที่คนที่เป็นสามัญชนโดดผึงทั้งจิตใจร้อนเป็นไฟในขณะนั้น แต่พระอรหันต์ท่านไม่มี แย็บว่างูนี้ท่านโดดผึงเป็นสัญชาตญาณรักษาขันธ์ตัวเอง เป็นอย่างนั้น มีต่างกันเท่านี้ เรื่องป้องกันตัวนี้เหมือนกัน เป็นเองอยู่ในนั้น เรียกว่าสัญชาตญาณ ท่านไม่ยึดไม่ถือ เป็นแต่เพียงว่ารับผิดชอบกันตามสัญชาตญาณในหลักธรรมชาติที่อาศัยกันอยู่ระหว่างจิตกับขันธ์เท่านั้นเอง แต่คนเราธรรมดานี้ร้อน

นี่ก็พูดตรงๆ ให้สมที่ว่าเราเทศน์สอนโลกมานี้เป็นเวลานานเท่าไร เฉพาะออกช่วยชาติบ้านเมืองนี้ ๖ ปีเต็ม เทศน์ทั่วประเทศไทย เวลาเป็นเรื่องของตัวจะจนตรอกจนมุมอะไรบ้าง จึงบอกชัดๆ เวลาการณ์ถึงตัวเข้ามา เช่น เวลาจะตายจะจนตรอกจนมุมไหม บอกว่าไม่จน ถึงเวลาตายง่ายนิดเดียว ปั๊บเข้าที่ไหนได้เลยไปเลย เราพูดจริงๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าลงได้อยู่ในใจแล้วกล้าหาญชาญชัย เลยโลกเลยสงสารเลยสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรสะทกสะท้านหวั่นไหวเลย เพราะเหนือสมมุติหมดแล้ว นั่น ขันธ์นี้เป็นสมมุติ เวลาจะตายจะเข้าร่มไม้ร่มไหนก็ได้ เข้าไปปั๊บกำหนดปั๊บเท่านั้นเอง สละปุ๊บไปเลย แน่ะ

ถ้าว่าทุกข์ ทุกข์ขนาดถึงตาย ทุกข์พระอรหันต์ทุกข์ในขันธ์เท่านั้น ใจท่านไม่ได้ทุกข์ ทุกข์ปุถุชนทั้งในขันธ์ทั้งจิตใจเป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กันหมด เลยไม่ได้สติสตัง ตกเตียงก็มีบางราย คือไม่ได้สติสตัง พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น ท่านกำหนดรู้ทุกเวลาๆ เอ้า พอพูดอย่างนี้ก็เอาพยานมาพูดเสียที อยู่หนองผือ ถ่าย ๒๕ หน อาเจียน ๒ หน นี่แหละมันจะไปจริงๆ ๙๙% เราจึงได้พูดว่า ในธาตุขันธ์ของเราทั้งหมดนี้มีประสาทสำหรับจิตอยู่กับประสาทๆ สัมผัสสัมพันธ์อะไรรู้หมดๆ เป็นเรื่องออกมาจากจิต เป็นกระแสของจิตออกมารับทราบ

ทีนี้เวลามันจะไปจริงๆ ความรู้ที่อยู่ตามประสาทส่วนต่างๆ นี้จะหดตัวเข้ามาหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ข้างบนข้างล่าง หดวูบเข้ามาลงทันที เอาให้ประจักษ์ ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้กำหนดตั้งใจว่าจะตาย แต่วาระของการจะตายมันมีในเวลานั้น เพราะการถ่ายท้องมันรุนแรงมาก อาเจียนนี้โน่นน่ะฝาส้วม ทำไมคนหมดกำลังขนาดนั้น เวลาอาเจียนนี้เศษอาหารนี้พุ่งติดฝา มันรุนแรง จากนั้นก็วูบเข้ามา ความรู้ทั้งหมดหดพรึบพร้อมกัน ทางนี้เข้ามาหาตรงกลาง คือใจที่เป็นผู้รู้รับผิดชอบอยู่ที่ตรงกลางอก ทางนี้หดขึ้นมาวูบ ทางนี้ลงมาพร้อมกันปึ๊บเข้าไปหาจิตดวงนั้นแหละ พอเข้าไปหมดร่างกายของเรานี้เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ไม่รู้อะไร แต่มีแปลกอันหนึ่ง นั่งอยู่บนเขียงส้วมไม่ล้มนะ แต่ความรู้ก็อยู่ในนั้นหดเข้ามาหมด เหลือแต่ความรู้อันเดียวเตรียมจะไปแล้วนั่น หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ กำหนดปั๊บเข้าไปนี้ปั๊บมันเลยไปช่วยกำลังกันอีก เลยซ่านออกมา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ค่อยรู้เรื่องรู้ราวได้ยินสิ่งนั้นสิ่งนี้

ในขณะที่หดเข้าเต็มที่แล้ว เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนนะนี่ ไม่มีความหมายอะไรเลย มีแต่ความรู้อันเดียว พอทางนี้ขยายออกมาปั๊บ ไม่ตาย พุ่งออกมาความรู้นี่วิ่งขึ้นวิ่งลงพร้อมกัน ทีนี้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อยหิวอ่อนเพลียในขณะนั้นเลย พอมันจะไปจริงๆ แล้วไม่มีนะ เวทนาจะไม่มีกวนเลย หมด พอกายหมดความรู้สึก เวทนาความทุกข์ทั้งหลายหมดไปพร้อมกัน เวลานั้นจะมีแต่จิตล้วนๆ ทุกขเวทนาในขันธ์จะดับไปหมดเลย นั่นแหละไปตอนนั้นแหละผึงไปเลย นั่นฟังซิน่ะ สะทกสะท้านที่ไหน มีแต่ถาม หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ นั่น เอ้า จะไปก็ไป พอจิตปั๊บเข้า สตินี้เป็นสมมุตินะไปหนุนจิตอันนั้นไว้รอกันไว้เลยไม่ไป อยู่มาจนกระทั่งป่านนี้ นี่ฟังซิ

นี่แหละการเทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จึงเทศน์อย่างอาจหาญชาญชัย จะเผ็ดจะร้อนจะดุจะเดือดขนาดไหนมีแต่เรื่องของธรรมล้วนๆ ออก จะไม่มีกิเลสแฝงแม้เม็ดหินเม็ดทราย เพราะในหัวใจมันไม่มี เข้าใจหรือ กิริยาที่แสดงนี้จึงเป็นเหมือนคนมีกิเลสทั้งหลาย แต่คนมีกิเลสนั้น กิเลสพาแสดงออกเป็นฟืนเป็นไฟตัวแดงขึ้นนี้ฆ่าฟันรันแทงได้หมด เป็นเถ้าเป็นถ่านได้ แต่เรื่องของธรรมที่รุนแรงด้วยอรรถด้วยธรรมนี้ ทำโลกให้ชุ่มเย็นไปหมด เหมือนน้ำดับไฟ จะรุนแรงขนาดไหนเป็นพลังของธรรมทั้งนั้น มันจึงต่างกันเข้าใจไหมล่ะ ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือของทั้งกิเลสของทั้งธรรม

เมื่อกิเลสสิ้นไปหมดแล้ว เหลือแต่จิตล้วนๆ ร่างกายนี้มันก็เป็นเครื่องมือของธรรมไป จะใช้วิธีผาดโผนโจนทะยานอะไรตามหน้าที่การงานหนักเบามากน้อย จะแสดงเหมือนคนมีกิเลส เป็นแต่เพียงจิตใจไม่มีกิเลสแทรก ถ้าเป็นคนมีกิเลสแสดงความผาดโผนโจนทะยานขนาดนั้นฆ่ากันแหลก เข้าใจไหมล่ะ เพราะจิตมันเป็นตัวโทสะอย่างสุดขีดของมัน จิตของพระอรหันต์ท่านไม่มี มีแต่พลังของธรรมออกมาแทนกัน นี่แหละต่างกัน จึงเรียกว่านี้เป็นเครื่องมือของใจ

เทศน์เราก็เทศน์อย่างไม่เคยสนใจกับอะไร เรื่องสะทกสะท้านหวั่นไหวในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่มี ไม่ว่าจะเทศน์ในสถานที่ใดๆ ก็ตาม ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ เพราะถ้าพูดถึงเทียบว่าโลกก็เรียกว่าสัตว์โลกเหมือนกันหมด แล้วธรรมนี้เหนือทุกอย่าง เวลาจะออกแสดงแก่กลุ่มต่างๆ ของประชาชนที่จะได้ยินได้ฟังในขณะนั้นปั๊บ กำหนดปั๊บมันรู้ไปหมดแล้ว เอ้า ฟังเสียนะมันจวนจะตายแล้ว จะควรเทศนาว่าการในธรรมขั้นใด นั่น มันบอกว่าธรรมขั้นใดเท่านั้นนะ มันไม่ได้บอกว่าสมาคมนี้ใหญ่สมาคมนี้สูง สมาคมนี้น่ากลัวสมาคมนี้น่ากล้าไม่มี เข้าใจหรือ ธรรมเหนือกว่าหมดแล้ว นี่มองๆ ปั๊บไปนี้ ควรจะแสดงแก่กลุ่มนี้อย่างไรบ้าง กลุ่มนั้นอย่างไรบ้าง เทศน์ในที่ต่างๆ จะกำหนดดูพับรู้กันทันที แล้วธรรมะจะออกให้พอเหมาะพอสมๆ กับขั้นกับภูมิของผู้มาได้ยินได้ฟัง

ถ้าหากว่าเป็นภูมิสูงธรรมะจะไปเอง ดึงไว้ก็ไม่อยู่ดึงลงก็ไม่ลง พุ่งเลย ถ้าเป็นธรรมะขั้นสูงเช่นจิตตภาวนา แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วที่จะมุ่งต่อพระนิพพาน จิตใจก้าวขึ้นจวนจะถึงนิพพานแล้ว ส่งปึ๋งๆ เลย นั่น ถ้าจิตใจยังเป็นธรรมดาอยู่ก็สอนให้พอเหมาะพอดีกับขั้นธรรมดาของคน เข้าใจหรือ ที่จะให้มีสูงมีต่ำมีสะทกสะท้านมีกลัวมีกล้าไม่มี เรียกว่าธรรมเหนือหมดแล้ว นี้เราก็ได้เทศน์มาทุกแบบ ที่ว่านี้เราได้เทศน์มาหมดแล้ว เทศน์สอนพระก็แบบจรวดดาวเทียมพุ่งเลย เหมือนกับว่าเจ้าโทสะเจ้าโมหะเต็มอยู่ในนี้หมด เวลามันออกกำลังธรรมออกจนจะฟังไม่ทัน นี่เพราะอำนาจแห่งธรรมพุ่งๆๆ นี่เข้าใจแล้วหรือนี่เป็นธรรมขั้นสูง ถ้าเป็นขั้นธรรมดาก็สะเปะสะปะตีที่นั่นแล้วตีที่นี่ไปอย่างนั้นแหละ สักเดี๋ยวก็ไปกลับบ้าน ไล่ นี่เป็นประเภทๆ เข้าใจหรือนี่

มันจวนจะตายเปิดให้ฟังเสียนะ ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน จริงขนาดไหน หัวใจถ้าลงได้ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจริงเหมือนกันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้ายเหมือนกันหมดเลย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เช่นอย่างสอนโลกสอนอย่างไรๆ ไม่ต้องบอก แล้วจะไปยืมธรรมพระพุทธเจ้ามาก็ไม่มี เป็นอยู่ในหัวใจนี้หมดตามนิสัยวาสนาของตน นี่แหละธรรมพระพุทธเจ้าท้าทายความจริงอยู่ตลอดเวลา เอื้อมมาแต่มันไม่อยากรับ สัตว์โลกมันมืดบอดมากทุกวันนี้ พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่อยากฟัง ถ้าพูดเรื่องฟืนเรื่องไฟแล้วเป็นบ้ากันทั้งเขาทั้งเรา เข้าใจไหมล่ะ เอาละวันนี้ ให้พรแล้วนะ

พูดเรื่องพระอรหันต์ท่านตายง่าย เราไม่ได้เป็นอรหันต์เราก็จะหันไปกุฏิเรา เข้าใจไหมล่ะ พูดเรื่องพระอรหันต์เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เราก็จะหันไปกุฏิเรา เข้าใจหรือ หันไปทางโน้นหันไปทางนี้ได้เหมือนกัน เรามีหันอย่างนี้เราก็เอาแบบนี้ เข้าใจไหม

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com  หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก