เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ความอัศจรรย์แห่งธรรมของพระพุทธเจ้า
ก่อนจังหัน
พระวันนี้ ๓๗ ไม่ใช่น้อยๆ ที่ไม่ออกมาฉันท่านอยู่ข้างในยังมีเยอะนะ องค์ไหนไม่ฉันก็ไม่ต้องออกมาและไม่ทำข้อวัตรปฏิบัติส่วนรวม ให้อยู่ตามอัธยาศัยเกี่ยวกับเรื่องภาวนาล้วนๆ นอกจากองค์ที่ฉันก็มาทำข้อวัตรปฏิบัติร่วมกัน ผู้ที่ไม่ฉันเราอนุญาตให้เป็นพิเศษ คือไม่ให้มาเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงกับงานหยาบๆ อย่างนี้ งานภาวนาละเอียดกว่า ตั้งใจอดอาหารก็คือตั้งใจทำความเพียรนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ไปรบกวนเรื่องงานการต่างๆ
ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะพระเรา ให้ได้มีความสง่าราศีภายในใจของตนจากเพศแห่งการบวชของเรา การบวชมันของเล่นเมื่อไร ใครจะบวชได้ง่ายๆ ถ้าบวชแบบเพื่ออรรถเพื่อธรรม แต่บวชเพื่ออยู่เพื่อกิน เพื่อลาภเพื่อยศสรรเสริญเยินยอนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง เวลานี้มันกลายเป็นบวชแบบนี้ละนะ ศาสนาถึงได้เดือดร้อนวุ่นวาย ถ้าเป็นไปตามศาสนาแล้ว พระเราบวชมาสละหมดไม่ยุ่ง อาศัยชาวบ้านเขาฉันไปวันหนึ่งๆ เพียงเท่านั้น แต่ด้านอรรถด้านธรรมกับใจแล้วติดแนบกันตลอดเวลา นี่คือบวชเพื่อปฏิบัติอรรถธรรม ไม่ใช่บวชมาเก้งๆ ก้างๆ โก้ๆ เก๋ๆ มียศเท่านั้น มีลาภอย่างนี้ เอาเครื่องภายนอกมาประดับพระ ใช้ไม่ได้เลย
สำหรับญาติโยมเป็นความสวยงาม สมบัติสิ่งของเงินทองลาภยศประดับภายนอกนั้นสวยงามสำหรับฆราวาส แต่สำหรับพระนี้เลว บอกได้จริงๆ เพราะขัดกับพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนให้บวชแล้วเป็นผู้เสียสละ บวช แปลว่า ผู้งดเว้นสิ่งที่โลกทั้งหลายทำกัน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอรรถธรรมโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ให้มีเครื่องประดับตนภายใน ศีลก็บริสุทธิ์ ทางด้านจิตตภาวนาเข้มงวดกวดขัน เพื่อชำระซักฟอกสิ่งสกปรก แสดงพิษออกมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาทั้งตัวเองและผู้อื่นนี้ให้ออกไปโดยลำดับจากใจ นี่เรียกว่าบวชมาเพื่อชำระตามทางของศาสดาโดยแท้ ไม่ได้สั่งสมยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอะไร วันหนึ่งๆ ไปบิณฑบาตอาศัยญาติโยมเขา ยังอัตภาพให้ขันธ์เป็นไปในวันหนึ่งๆ เพื่อเป็นเครื่องมือบำเพ็ญสมณธรรมเท่านั้นพอ อยู่ที่ไหนพอ นั่งนอนที่ไหนพอดีๆ จิตใจต่อเนื่องกับธรรมตลอดเวลา นี่ละศากยบุตร คือลูกศิษย์ตถาคตเป็นอย่างนั้น ให้พากันจดจำให้ดีนะ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เรื่องสตินี่พูดตลอดเวลา เป็นพื้นฐานประจำตัว ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมา หน้าที่การงานใดๆ หรืออยู่นิ่งๆ ก็มีสติติดแนบอยู่ตลอดเวลา กิเลสไม่ค่อยเกิด ผู้มีสติกิเลสไม่เกิด อยู่ภายในก็แสดงออกไม่ได้ มีแต่ธรรมปิดช่องของมันไว้อยู่เสมอๆ ผู้นี้แหละจะเป็นผู้สงบร่มเย็นภายในใจ ถ้าใครปล่อยให้กิเลสออกคิดออกปรุงออกรู้ออกเห็นตามสิ่งต่างๆ นั้นตลอดเวลา นั้นเท่ากับเอาไฟมาเผาหัวใจตนเอง แทนที่จะชำระกิเลส กลายเป็นเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง ใช้ไม่ได้ ให้พากันจำ
ข้อวัตรปฏิบัติอย่าให้บกพร่อง หน้าที่การงานทุกสัดทุกส่วนให้ถือเป็นงานของตน ไม่ใช่งานเพื่อผู้ใด เรามาบวชเพื่อตนเอง ปฏิบัติทุกชิ้นทุกอันทุกอย่างเพื่อเราทั้งนั้น แล้วก็กระจายออกไปเพื่อสังคมเป็นความดีงามด้วยกัน ให้พากันจำ ทำอะไรอย่าเหลาะๆ แหละๆ ศาสดาของเราไม่ใช่เป็นศาสดาเหลาะแหละ สุกเอาเผากิน ไม่ใช่ศาสนา นั่นคือกิเลส ชอบอะไรทำเลย ชอบอะไรทำตามความชอบๆ เรียกว่าสุกเอาเผากิน ไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองอะไรเลยนี้เสีย เพศของพระเป็นเพศที่สำรวมระวัง เป็นเพศที่พินิจพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตน จึงต้องได้ใช้สติและปัญญารอบคอบอยู่เสมอ จำเอา
ภาวนา การตั้งสติสำคัญมาก เวลามาประกอบหน้าที่การงาน เช่นเราจัดอาหารอย่างนี้ก็เหมือนกัน สติอยู่กับใจ เคลื่อนไหวไปมาที่ไหน สติจะติดแนบๆ นั้นเรียกว่าเป็นผู้ไม่ลืมตัว เอาละทีนี้ให้พร
หลังจังหัน
วันที่ ๔ กรกฎา นี้ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงก็นิมนต์ให้ไปฉันที่พระราชวัง แต่เรายังตอบไม่ได้ ยังไม่ได้รับเป็นคำตอบอะไรกัน คอยสังเกตธาตุขันธ์ของเราไป วันนั้นเป็นวันคล้ายวันประสูติท่าน ดูว่าปีกลายเราก็ได้ไปให้อยู่ ปีนี้ก็นิมนต์มาแล้ว แต่เรายังไม่ได้ตอบรับว่ายังไง เพราะเราไม่แน่ในธาตุขันธ์ของเรา เป็นคราวนี้รู้สึกว่าโรคมันดื้อๆ ชอบกล เอายาอะไรมาใส่ อาการไม่ไหวตัวเลย ผลของยาจึงไม่ค่อยปรากฏ รู้สึกว่าดื้อๆ อยู่ สำหรับเรา เราก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว เราไม่มีอะไรในโลกทั้งสามนี้ หมดโดยสิ้นเชิงจากหัวใจ ไม่มีอะไรเลย เราจึงหมดความเป็นห่วงสำหรับเราที่ประคับประคองกันมาตั้งแต่วันบวช วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๗ เป็นวันเราบวช เวลาบ่ายโมง มาถึงบัดนี้ก็ดูเหมือนได้ ๗๑ ปี นี่เราประคับประคองเรามาตั้งแต่วันบวชเป็นพระ รักษาศีลสมบูรณ์แบบมาตลอด ไม่ว่าจะเข้านอกออกใน เรียนปริยัติธรรม เข้าวัดไหนออกวัดไหนต่อไหน การปฏิบัติตัวสมบูรณ์ตลอด เราไม่ได้มีความสงสัย
เวลาเรียน ความดีงามคือศีลของเราก็เป็นเครื่องอบอุ่น ยิ่งออกปฏิบัติด้วยแล้วยิ่งแน่นหนามั่นคงเข้าไป เพราะสติละเอียด สติปัญญาความรักษาตัวละเอียดกว่าเวลาเรียนอยู่ เวลาเรียนมันเป็นงานหยาบ เวลาปฏิบัติเป็นงานละเอียด เรื่องศีลก็เป็นความบริสุทธิ์ตลอดมา นี่เรียกว่าศีล จากศีลก็บำเพ็ญธรรม นี่ละเป็นเครื่องที่จะพยุงให้เห็นประจักษ์ภายในใจของเรา คือจิตตภาวนา เราจึงได้ประกาศสอนพี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นชาวพุทธเรื่อยมา ในการออกช่วยชาติคราวนี้ เรื่องจิตตภาวนาจะติดแนบๆ ไปตลอด เพราะเห็นความสำคัญของจิตตภาวนาที่จะประกาศความสัตย์ความจริงของตนเอง ออกรับกันกับของพระพุทธเจ้า ได้ประจักษ์จากจิตตภาวนา จึงต้องได้เน้นหนัก
การให้ทาน รักษาศีลธรรมดานิสัยชาวพุทธเราเคยปฏิบัติมาตามธรรมดา พอจิตตภาวนาได้ปรากฏขึ้นภายในจิตใจแล้ว เรื่องการให้ทานรักษาศีลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะละเอียดลออเข้าไปตามอำนาจของจิตที่มีความละเอียด สอดส่องดูเรื่องความเคลื่อนไหวของตัว แม้การให้ทานก็พิถีพิถัน พินิจพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า แต่ก่อนเราก็ให้ทานตามนิสัยไปเรื่อยๆ พอจิตตภาวนาปรากฏขึ้นภายในใจ ความละเอียดของใจมันจะรอบออกไปๆ ให้ท่านทั้งหลายฟังเสียนะ หลวงตาบัวไม่นานจะตาย จึงรีบเร่งประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เรื่องความอัศจรรย์แห่งธรรมของพระพุทธเจ้า เราอยากจะพูดว่าเรายืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจึงกล้าสอนพี่น้องทั้งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ว่าจะถูกโจมตีอะไร
พระพุทธเจ้าเก่งกว่าเราเสียอีก เขาโจมตีพระพุทธเจ้า ไอ้อูฐไอ้ลาไอ้หัวโล้นโกนคิ้วไปหาขอทาน กะลามะพร้าว ยืนเป็นแถวเลยแหละ เขาจ้างวานกันมา ไอ้ผู้ที่มาว่าเขาก็คงไม่ได้ติดอกติดใจอะไร เขาก็ว่าด้วยการได้รับค่าจ้างรางวัลมา เสด็จออกบิณฑบาตเขายืนเป็นแถวเลย แทนที่จะเป็นแถวใส่บาตร กลับเป็นแถวโจมตีพระพุทธเจ้า ด่าไอ้อูฐไอ้ลาไอ้หัวโล้นโกนคิ้ว เป็นคนอนาถาหาขอทานกิน จนพระอานนท์ตามเสด็จนี้เกิดความขวยเขินละอาย แล้วทูลพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาให้ไปสถานที่อื่น เพราะสถานที่นี้เป็นฟืนเป็นไฟ เขาโจมตีเอานักหนา
พระองค์รับสั่งว่า เมื่อที่นี่ถูกเขาโจมตีดุด่าเราอย่างนี้แล้ว ไปเมืองโน้นจะเป็นอย่างไรล่ะ เมืองโน้นเขาก็มีหัวใจมีปากเหมือนกัน ถ้าเกิดว่าเขาโจมตีเขาว่าให้อย่างนี้แล้วจะไปเมืองไหน ไปเมืองนั้น แล้วเมืองนั้นเขาก็เป็นแบบเดียวกันจะไปเมืองไหน สุดท้ายพระอานนท์ไม่มีทางไป นี่ละอานนท์ เรื่องโลก ดีกับชั่วมันมีอยู่ด้วยกันจะหนีไปไหน ตัวของเราเองก็มีดีมีชั่ว แล้วคนภายนอกก็มีดีมีชั่วเหมือนกันจะให้ไปไหน เหตุเกิดที่ไหนพิจารณากันที่นั่น แก้กันลงตรงนั้น เกิดขึ้นที่ใจ ความสำคัญว่าเขาดุเขาด่าเขาโจมตีนี้ เป็นคำพูดของเขามา เรารับทราบพินิจพิจารณา นี่เรียกว่าเหตุเกิดที่ไหนดับที่ต้นเหตุ ท่านว่า
เราไม่หวั่นไหวกับอะไร เราตถาคตเหมือนช้างใหญ่ออกสู่สงคราม ไม่พรั่นพรึงต่อลูกศรหรือพิษภัยอะไร มีแต่ตั้งหน้าก้าวเดินเพื่อรบเพื่อชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น นี่ก็เพื่อชัยชนะกิเลส กิเลสเป็นข้าศึกรอบหัวใจเรา พระองค์ก็ได้ทรงดำเนินเป็นคติตัวอย่างแก่เรามาแล้ว ทั้งความชมทั้งความติไม่มีใครจะได้รับมากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า องค์ศาสดารับทุกอย่าง แต่พระองค์ทรงเป็นศาสดารอบทุกอย่างอีกเหมือนกัน ไม่ติดไม่พันกับความดีความชั่ว ความสรรเสริญเยินยอ ติฉินนินทา พระองค์ผ่านไปได้หมด เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นสมมุติ เป็นเรื่องสกปรกทั้งมวล สิ่งที่พระองค์ทรงไว้คือความสะอาดเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสมมุติที่เขามาประกาศโจมตีอยู่เวลานี้ มันเหนืออันนี้หมดแล้ว จะให้พระองค์มาติดข้องกับอะไรกับสิ่งสกปรก ความสะอาดสุดยอด สุดโลกสุดสงสารสุดสมมุติ อยู่ในพระทัยพระองค์แล้ว จะไปดีดดิ้นกับอะไรว่าดีกว่าอันนี้อีก นั่น พระองค์ทรงดำเนินมาอย่างนั้น
สำหรับเราเป็นลูกศิษย์ตถาคต เราก็ดำเนินตามนั้นมาโดยลำดับ ปฏิบัติมา รู้มาเห็นมา จิตใจที่เคยวอกแวกคลอนแคลนอะไร มันค่อยเชื่องเข้ามาๆ เพราะธรรมอารักขา จากการบำรุงรักษาด้วยจิตตภาวนาหรือสังวรธรรมของเรา เราดำเนินมาโดยลำดับ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น เป็นธรรมที่ประกาศแจ้งอยู่ในโลกนี้ เป็นแต่เพียงว่าโลกนี้เป็นโลกตาบอดมองไม่เห็นธรรม เพราะฉะนั้นจึงชนโน้นโดนนี้ หาความปลอดภัยไม่ได้ ไปที่ไหนแบกแต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวเองมา นี่เรียกว่าตาบอด จิตใจไม่สว่างไสว ไม่มีสติปัญญา หลบหลีกปลีกตัวในสิ่งชั่วช้าลามกที่มากระทบกระเทือนไม่ได้ โดนเอาๆ ๆ นี่พวกตาบอด ไปที่ไหนแบกแต่ฟืนแต่ไฟไป แบกฟืนแบกไฟมา หาความดิบความดีไม่ได้ นี่คือมนุษย์โลกตาบอด ทั่วโลกนี่ตาบอด
ศาสดาองค์เอกรอบคอบไปหมด อะไรผ่านมาๆ รู้รอบๆ โดยหลักธรรมชาติ แล้วตกออกไปๆ เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว กลิ้งตกไปๆ ความดีชั่วผ่านเข้ามาในความรู้สึกของพระองค์ตกไปๆ ไม่ได้ซึมซาบ ไม่ได้รับเอาว่าเป็นดีเป็นชั่วให้เกิดความสุขความทุกข์ในพระทัยเลย นี่พระพุทธเจ้าดำเนินมาอย่างนี้ จิตเวลาก้าวไปๆ มันก็ไปทางสายเดียวกัน ซักฟอกแบบเดียวกัน มีสิ่งที่สกปรกโสมมรอบหัวใจอยู่เช่นเดียวกัน เวลาซักฟอกไปสิ่งเหล่านี้ค่อยตกไปๆ เมื่อเต็มที่แล้ว
เอา สรุปลงถึงความเต็มที่เลย ซักฟอกไปจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็เหมือนกับใบบัว น้ำฝนตกมาจากที่ไหน ตกลงกลิ้งตกไปๆ ท่านแสดงไว้ว่า กิเลสที่ตั้งอยู่ในจิตพระอรหันต์ย่อมตกไปทันทีทันใด คำว่ากิเลสคืออาการของขันธ์ที่แสดงกิริยาของกิเลสนั้นแหละ ไม่ใช่พระอรหันต์มีกิเลสแล้วมากลิ้งตกไปนะ เป็นกิริยาของขันธ์ท่านที่ใช้ในแถวของกิเลส แล้วมันตกไปๆ ดีชั่วนั่นละสังขารปรุงขึ้นมา เรื่องดีเรื่องชั่วตกไปๆ เหมือนกับน้ำตกลงบนใบบัว สิ่งที่มาผ่านเหมือนกับน้ำตกลงบนใบบัว ใบบัวคือจิตที่บริสุทธิ์ แล้วกลิ้งตกไปๆ เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว มันเป็นอยู่ในหัวใจตัวเองแล้วจะไปสงสัยพระพุทธเจ้าอะไร ท่านสอนไว้ก่อนแล้วๆ และสอนพวกเราให้รู้ ให้หูแจ้งตาสว่างด้วยจิตตภาวนา
เรื่องจิตตภาวนานี้สำคัญมาก พุทธศาสนาของเรา อยากให้เป็นเอกให้ดูในหัวใจของเราซึ่งมีฟืนมีไฟอยู่ในนั้น แล้วชำระออก ดับด้วยน้ำคืออรรถคือธรรม เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนานี้เห็นได้ชัดมากนะ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เกิดที่ใจ ระงับดับลงด้วยน้ำคือธรรมลงที่ใจ สิ่งเหล่านี้จะสงบลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือเลย ได้ชำระล้างสะอาดเต็มที่แล้ว นี่ละเรื่องจิตตภาวนา
ที่ได้มาประกาศสอนพี่น้องทั้งหลายเหล่านี้ เราก็ได้ออกมาจากด้านภาวนา เราพูดตรงๆ เพราะจวนจะตายแล้ว รีบเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ใครจะว่าเราโอ้อวดอะไรก็ตาม อันนั้นก็อย่างที่ว่านั่นแหละ อย่างที่เราเคยพูด ดีชั่ว ตำหนิติเตียน มันก็เห่าว้อกๆ อยู่นั้น ช่าง ไม่สนใจ สิ่งที่เหนือกว่านั้นทรงไว้แล้วพระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายทรงไว้แล้ว ไปสนใจอะไรกับมูตรกับคูถซึ่งเป็นของต่ำทรามอย่างนั้น ให้มาเป็นอารมณ์กวนใจ มันตกไปเองๆ นี่ก็เป็นอย่างนั้น หัวใจดวงนี้เป็นอย่างนั้นเวลานี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นการสอนนี้จึงสอนได้หมด ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา แต่ไม่ได้กล่าวถึงพวกเทวบุตรเทวดาสอนยังไง นั่นเป็นเรื่องของเทพ
เรื่องของมนุษย์นี้ เราสอนมนุษย์ เราก็แทบเป็นแทบตายอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะเอาท้าวมหาพรหม เทวบุตรเทวดามาเป็นตัวอย่าง จะเอามาเป็นตัวอย่างได้ยังไง ท้าวมหาพรหมเป็นยังไง สอนท้าวมหาพรหมยังไง อรรถธรรมเกี่ยวกับเทวบุตรเทวดาสอนกันยังไง พวกเราไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่สอนมนุษย์เวลานี้มันยังไม่รู้เรื่อง อย่างที่การ์ตูนเขาว่า มันไม่รู้เรื่องสอนมนุษย์ อย่างที่การ์ตูนเขาเขียนเอาไว้ มีศาลพระภูมิอยู่ข้างบน ปู่ใหญ่อยู่ข้างบนศาลพระภูมิ ก็มีหลานตัวดื้อๆ มันไปจุดธูปเทียนบูชา กราบศาลพระภูมิ ปู่มองเห็นก็เลยว่า
ทำอะไรหลาน เป็นอะไรเหรอ
หลานเป็นทุกข์มากปู่
เป็นทุกข์เพราะอะไร
เป็นทุกข์เพราะปฏิบัติตามที่ปู่สอนนั้นแหละ
แล้วปู่สอนว่ายังไงถึงได้รับความทุกข์
ปู่สอนว่าให้มีความปรารถนาน้อย
แล้วหลานไปทำยังไงล่ะ
หลานไปมีเมียน้อย
นั่นเห็นไหมมันเสือกไปอย่างนั้น พวกเราพวกเสือกอย่างนี้ แล้วก็มีแต่พวกจุดธูปเต็มไปหมดไหว้ปู่ ปู่เลยจะตาย ปู่ก็ไม่มีคำจะพูดมีแต่ เฮ้อ เท่านั้น หมดท่าเลย เพราะหลานอย่างนี้มันเต็มไปหมด มีแต่พวกจุดธูปจุดเทียน พวกหลานปู่เป็นอย่างนั้น แล้วหลานปู่บัวเป็นยังไง มันก็แบบเดียวกัน ปู่เลยจะตาย นี่ละที่มันดีดออกไปมันเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหม ถ้าดำเนินตามพระพุทธเจ้าสอนมีความปรารถนาน้อย สำหรับนักบวช สำหรับผู้ครองเรือนให้มีขอบเขต มีความปรารถนาน้อย เช่นท่านยกตัวอย่างไว้เลยทีเดียว เพราะตัวสำคัญอยู่จุดนี้ว่า ให้มีผัวเดียวเมียเดียว นั่นฟังซิธรรมพระพุทธเจ้าจ่อลงจุดนี้ จุดไฟเผาโลกอยู่จุดนี้ ผัวเมียทะเลาะแตกแยกจากกันเพราะจุดนี้ พระองค์ก็ลงจุดนี้ ให้เป็นผู้มีผัวเดียวเมียเดียวไม่เอามาก หญิงชายเต็มโลกสงสารนั้นไม่ใช่ของเราเท่านั้น ปัดออกหมด ของเรามีเพียงเท่านี้ มีผัวมีเมียเท่านี้เป็นของกันและกัน นั่นท่านบอกปรารถนาน้อยสำหรับฆราวาสท่านสอนอย่างนั้น แต่เมื่อดีดออกไปจากนี้แล้วมันก็ไปจุดธูปกันทั้งนั้นแหละ เข้าใจเหรอ พวกเรานี่พวกดื้อด้าน พวกจุดธูปตลอดเวลา ให้พากันจำเอานะ
เราเป็นหลานปู่ หลานประเภทจุดธูปเหรอ ปู่เลยจะตาย พระพุทธเจ้าที่สอนโลกก็แทบเป็นแทบตาย เพราะหลานของท่านมีแต่ตัวดื้อๆ ลูกหลานหลวงตาบัวก็เหมือนกัน ลูกศิษย์หลวงตาบัวมีแต่ตัวดื้อๆ เหมือนกัน บอกอย่างนี้มันไปทำอย่างนั้น บอกอย่างนั้นมันไปทำอย่างนี้ ก็ลำบากลำบน เราก็ทนสอนโลก เพราะไม่นานเราบอกตรงๆ เราจะตาย เมื่อตายแล้วการแนะนำสั่งสอนกิริยาอย่างนี้ จะไม่มีให้โลกทั้งหลายได้ยินได้ฟังพอเป็นคติเครื่องเตือนใจ
ธรรมะที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ เป็นธรรมะที่เราตายใจได้แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่สงสัยในหัวใจของเรา ที่นำออกมาสอนโลกไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด เราถอดออกมาจากหัวใจที่รู้ที่เห็นที่เป็นอยู่ภายในใจออกมาสอน ใครจะยอมรับไม่ยอมรับ เชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นกรรมของโลก กรรมของสัตว์เท่านั้นเอง เมื่อสอนเต็มที่แล้วเราก็ไป เราไม่ได้หวังเอาความดีความชั่วผลประโยชน์จากผู้ใด เราพอทุกอย่างแล้ว เป็นแต่เพียงสอนเพื่อสงเคราะห์สงหาผู้ที่ยังไม่รู้ให้รู้ให้เข้าอกเข้าใจ ให้รู้วิธีปฏิบัติตัวเองเท่านั้นเอง
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าอาจหาญหรือไม่อาจหาญ เลยไปแล้ว เลยสมมุติไปแล้ว คำว่าอาจหาญก็เลยสมมุติ เอาความจริงออกประกาศป้างๆ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเพียงพระองค์เดียว สอนโลกได้ทั้งสามโลกเห็นไหมล่ะ พระองค์อาจหาญหรือสะทกสะท้านอะไรไหม นั่นละของจริงอยู่ในพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว สอนโลกได้ทั้งสามโลก ขอให้อยู่ในหัวใจของใครเถอะ สอนใครไม่ได้สอนตัวได้แล้วก็อยู่สบายเท่านั้นเอง ได้ก็ได้ตามนิสัยวาสนาของผู้สอนผู้มารับ
เราเวลานี้มีชีวิตอยู่ให้พากันตั้งอกตั้งใจ เรื่องจิตตภาวนานี้เรายกให้เป็นเอกเลย เป็นชั้นเอกของพุทธศาสนาเรา จะเด่นขึ้นที่จิตตภาวนาของผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าลงอันนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วไม่ไหวไม่หวั่นกับอะไรเลย หมุนติ้วไปเรื่อยๆ เลย มั่นคงไม่มีอะไรจะเทียบธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ใครจะว่าอะไรก็ตามไม่สนใจ เป็นความแน่นอนในตัวเอง นี่ละเรื่องจิตตภาวนา สร้างความมั่นใจให้ตัวเองเป็นลำดับลำดาไป มันจะรู้เป็นลำดับลำดานะ เวลาอยู่อย่างนี้มันก็มีแต่จอกแต่แหนคือกิเลส ปกคลุมหุ้มห่อจิตใจไว้ เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ไม่ทราบว่าใครได้ดิบได้ดีมาจากไหน โลกธาตุนี้ต่างคนต่างเสาะแสวงหาความสุข แล้วไปถามดูซิทั่วโลกนี้ใครได้รับความสุข มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กัน ส่วนย่อยส่วนใหญ่เต็มไปหมด ไม่มีว่างจากกองทุกข์ เพราะกิเลสเป็นเจ้าเรือน เป็นเจ้าอำนาจอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก
ใครจะใหญ่ขนาดไหนไม่เหนือกิเลส มีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน เหนือกิเลสโดยประการทั้งปวง ทุกข์จึงไม่เข้าไปแทรกในจิตใจของท่านเลย เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์มันสร้างอยู่บนหัวใจสัตว์ เพราะกิเลสอยู่ที่หัวใจสัตว์ เมื่อปัดออกหมดโดยสิ้นเชิง กิเลสตัวใดจะเข้าไปแทรก แล้วทุกข์จะเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อตัวเหตุมันดับลงไปแล้ว นั่นละท่านนำมาสอนโลก ท่านนำมาด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุไปหมดมาสอนโลก ไม่ได้สอนแบบหูหนวกตาบอดลูบๆ คลำๆ พอจะให้เราชาวพุทธทั้งหลายเกิดความสงสัย ท่านสอนไว้แม่นยำ แม่นยำมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งบัดนี้ และยังแม่นยำตลอดไป ถ้าผู้ปฏิบัติตามอรรถธรรม มรรคผลนิพพานจะตักตวงเอาเสมอไป เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ถ้าไม่สนใจแล้ว แม้แต่เกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่มีความหมาย มันสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าหรือไม่ปฏิบัติเท่านั้นเอง ให้ยึดนี้เป็นหลัก
เราอย่าเชื่อกิเลสจนล้มทั้งหงายๆ กิเลสว่าอะไรเชื่อเร็วนะ เวลานี้บุญบาปไม่มี มรรคผลนิพพานไม่มี พระพุทธเจ้าปรินิพพานเท่านั้นปีแล้วมรรคผลนิพพานหมดไปๆ นั่นฟังซิกิเลสหลอก ตัวหัวมันมันเคยภาวนาไหม มันเคยเห็นมรรคผลนิพพานไหม แล้วมันเอามรรคผลนิพพานมาจากอำนาจป่าเถื่อนที่ไหนมาหลอกลวงสัตว์โลก สัตว์โลกก็เป็นสัตว์โลกป่าเถื่อนก็เชื่อมันตลอดมา ถ้าเชื่อธรรมแล้วตีออกเลย เหล่านี้เป็นข้าศึกทั้งนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า อกาลิโก ธรรมมีอยู่ตลอดเวลา เอ้า เปิดออกๆ เหมือนน้ำที่มีอยู่ในสระ เต็มสระอยู่ตลอดเวลา เป็นแต่เพียงจอกแหนปกคลุม เอ้า เปิดจอกแหนออกถ้าอยากเห็นน้ำ มีหรือไม่มีในสระนี้ เอ้า เปิดจอกเปิดแหนออก ใครเปิดออกมากออกน้อยก็ปรากฏเห็นน้ำในสระๆ นั้น เปิดออกหมดโล่งไปหมด สระนี้มีแต่น้ำทั้งนั้น นั่นเห็นไหม
นี่ละจิตใจเราเท่ากับสระ ธรรมอยู่ในหัวใจ สระคือใจ น้ำคือธรรมอยู่ในหัวใจ กิเลสคือจอกแหนปกคลุมไว้เวลานี้ มันทำให้พวกเราทั้งหลายมืดบอด น้ำมีเต็มสระหาที่อาบดื่มใช้สอยไม่ได้ วิ่งว่อนเป็นบ้ากันทั้งๆ ที่น้ำเต็มสระอยู่ เพราะมันไม่เข้าไปหาน้ำที่มี ไม่เปิดจอกเปิดแหนให้เห็นน้ำอยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นให้พากันเปิดจอกเปิดแหน ทานเป็นการเปิด รักษาศีลเป็นการเปิดจอกเปิดแหน การภาวนานี้เป็นทางตรงแน่วเลย เปิดจอกเปิดแหนออก มันจะเปิดออกให้เห็นชัดเจนๆ เมื่อเห็นน้ำในสระเต็มเปี่ยมแล้ว ทีนี้น้ำในสระนี้มีไหม ท้าทายได้เลย หัวใจอันนี้ก็เหมือนกัน ท้าทายได้เลย ธรรมเต็มหัวใจ เหมือนว่าน้ำเต็มสระท้าทายได้เลย ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตาม น้ำเต็มสระคือธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจากจิตตภาวนาคือการบำเพ็ญของเราโดยลำดับมาได้ประจักษ์แล้ว
ธรรมพระพุทธเจ้าสอนเพื่อมรรคเพื่อผล ไม่ได้สอนเพื่อเสื่อมสูญอันตรธานของมรรคผลนิพพานนะ ให้ปฏิบัตินะ เดี๋ยววันพรุ่งนี้มรรคผลนิพพานจะหมดแล้วนะ ให้ทำเสียตั้งแต่บัดนี้ วันพรุ่งนี้วันมะรืนหามรรคผลนิพพานไม่มีนะๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น มีแต่กิเลสมันหลอก ถ้าจะก้าวเข้าสู่ความดีงามทั้งหลาย เช่นอย่างนักบวชจะก้าวเข้าทางจงกรมแล้ว หมอนมันร้องเรียกแล้ว ง่วงนอน พักเสียก่อนแล้วค่อยเดินจงกรมก็ได้ พักมันไม่เสียก่อนน่ะซี ฟังเสียงดังครอกๆ เหมือนคนตายแล้ว พระร้อยองค์มา กุสลา ธมฺมา ยังไม่ตื่นเลย เป็นยังไงกิเลสหลอกคน พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าทางจงกรมเดินภาวนา นี่ธรรมท่านสอนให้เข้าไปภาวนา แต่กิเลสมันลากเข้าหมอน นิมนต์พระกี่องค์มา กุสลา ธมฺมา ตายหรือยังนาๆ จะตายหรือไม่ตายก็ไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงครอกๆ ไปดูเอาเท่านั้นเอง
พวกเรานี่พวกเสียงครอกๆ อยู่ทั่ววัดป่าบ้านตาด เสียงทางนี้ก็เสียงพระครอกๆ ไปทางครัวก็เสียงประชาชนที่ว่ามาอบรมมันก็มาครอกๆ อยู่นั้น กอดหมอน มองไปที่ไหนเห็นแต่ ทำอะไรนั่นน่ะ กำลังปะเสื่อชุนหมอน เสื่อขาดหมอนแตก มีแต่เย็บเสื่อเย็บหมอน ปะชุนกันยุ่งไปหมดทั้งวัด งานอื่นไม่เห็นมี เพราะอะไรมันถึงได้แตกขนาดนั้น ก็นอนจมติดมันละซี หมอนทนไม่ไหวหมอนแตก พวกนี้พวกหมอนแตก เข้าใจเอานะ จำให้ดี เอาให้กิเลสแตกซี กิเลสแตกแล้วจ้าไปเลย ให้ท่านทั้งหลายจำเอา
ได้อุตส่าห์พยายามสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เปิดโล่งออกหมดในหัวใจ ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดที่จะมาเห่ามาหอนมาโจมตีอะไร ธรรมเลิศเลอเหนือสมมุติ เหล่านี้มีแต่สมมุติ คำสรรเสริญก็ดี นินทาก็ดี เป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น ธรรมชาตินั้นเหนือนี้แล้ว หวั่นอะไรกับสิ่งเหล่านี้ อะไรที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่โลกก็ทำไปๆ เท่านั้น นี่เรื่องของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่าน ท่านดำเนินอย่างนั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ
ขอให้มีพุทธศาสนาประจำใจเถอะ ไปที่ไหน พุทโธ ธัมโม สังโฆ วันหนึ่งอย่างน้อยให้ได้สักกี่ครั้งก็เอา อย่าให้มันหมดทั้งวันๆ ไปเสีย มีแต่กิเลสถลุงทั้งวัน ตื่นนอนขึ้นมาถลุงจนกระทั่งหลับ ถ้าไม่หลับแล้วกิเลสก็จะถลุงเรื่อยไป เวลานั้นกิเลสก็สงบตัว เราก็ได้หลับสนิท มีความสุขตอนนั้นเท่านั้น นอกนั้นกิเลสถลุง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ได้ปิดบังปกป้องกันบ้างเลย เป็นอย่างนั้นนะพวกเรา เปิดอ้าๆ ถ้าเป็นนักมวยขึ้นไปตายก่อนต่อยกันแล้วนะ เปิดอกให้เขาเขาก็ซัดเอาละซี นี่มีแต่พวกเปิดอกให้กิเลสมันตีเอาๆ จำให้ดีนะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้น เหนื่อยแล้ว
โยมอินโดนีเซีย ถามปัญหาธรรมะ ประมาณสี่วันแล้วค่ะหนูกำลังเดินจงกรมแล้วหนูก็ตัวเบาขึ้นๆ เหมือนจะบินเลย แล้วก็หยุด นั่งภาวนาแล้วก็แน่นมากที่หน้าอก แล้วมีความสุขความสบาย แล่นออกจากใจซ่านไปทั่วสรรพางค์ร่างกาย ลูกรู้สึกสบายมากมีความสุขมาก ความสุขนี้ไม่เคยหยุดเลยไม่เคยหมดเลย
หลวงตา ยิ่งให้ถึงบ่อธรรมธาตุแล้ว ไม่ต้องพูดว่าตลอดหรือไม่ตลอด เข้าใจไหม เตลิดเลยเชียว เข้าใจไหม เตลิดเลยไม่กลับ (หัวเราะ)
โยม เป็นอยู่ทุกอิริยาบถเจ้าค่ะ นั่งก็เหมือนกันนอนก็เหมือนกัน
หลวงตา เออ นั่นแหละ ใจไม่มีอิริยาบถ อาการเคลื่อนไหวไปมาของร่างกาย ใจไม่มีอิริยาบถ มันเป็นได้ทุกอย่างทั้งยืนเดินนั่งนอน เป็นไปได้ทุกแบบ ให้ทำไปอย่างนั้นนะ แล้วสงสัยอะไรไหมล่ะ ไม่สงสัยก็ให้พิจารณาอยู่นั่นแหละนะให้หมุนกันอยู่ภายใน ในกายในจิตนี้เป็นยังไงให้รู้อยู่ภายใน จิตเป็นหลักตั้ง สติอยู่กับจิต มันเป็นอาการอะไรออกมาให้รู้ของมันๆ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นอาการ มันเกิดได้ดับได้ทั้งนั้นแหละ เข้าใจหรือ เช่นอย่างตัวเหาะลอยนี่ มันเหาะลอยได้จริงๆ บางทีเข้าใจว่าตัวเหาะลอยแต่ไม่เหาะลอยก็มี แล้วเข้าใจว่าตนเหาะลอย เหาะลอยจริงๆ ก็มี อย่างทุกวันนี้ยังมีนะนักภาวนาเรา นั่งภาวนานี้ตัวมันลอยขึ้น มีปัจจุบันนี้ก็มีแต่เราไม่ระบุชื่อ มีอยู่ทั่วๆ ไป แต่อันนี้เป็นไปตามนิสัยวาสนาอาการของจิตเท่านั้น ไม่ใช่เป็นวิธีการถอดถอนกิเลส เป็นอาการอันหนึ่งต่างหากที่เกิดขึ้นจากความเพียรนั้น มันมีอาการแปลกๆ ต่างๆ กัน มี ตัวเหาะลอยเบาขึ้น
อย่างที่เขียนประวัติหลวงปู่เสาร์แต่ก่อน แล้วทุกวันนี้ก็เป็นพยานกันอยู่แล้วในวงนักปฏิบัติ นั่งตัวมันลอยขึ้นๆ ถ้าปล่อยก็ปล่อยขึ้นเลย ยิ่งกำหนดเท่าไรให้ขึ้น ให้ขึ้นสูงเท่าไรก็ได้ กระแสของจิตมันหนุนกันขึ้นเลย ตัวลอยขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ลอยแต่ความสำคัญนะ ลอยขึ้นจริงๆ เป็นยังงั้นละจิต อำนาจของจิตมันเบามีกำลังมาก จิตใจมีกำลังของจิตใจนี้มาก ตามแต่จริตนิสัยของใครจะออกทางไหนก็ออก อันนี้ก็เอาไปปฏิบัติอย่างงั้นนะ มันจะรู้สิ่งต่างๆ เราไม่พูดมันหากจะเป็นของตัวเองในนั้น เออ เอาละพอ
เรื่องจิตใจนี้ผาดโผนมากไม่ใช่เล่น คือตามจริตนิสัย ของผู้บำเพ็ญต่างๆ กันนะ จิตใจนี้ผาดโผนมากทีเดียว อย่างที่เคยพูด แม่ชีแก้วนั่นน่ะ แม่ชีแก้วนี้ อุ๊ย ผาดโผนมากจริงๆ พอเราไปถึงห้วยทรายทีแรก แกก็ออกมา โหย แกดีอกดีใจ ว่าอาจารย์มหาบัวมา องค์นี้แหละขึ้นเลยทันที บอกอย่างนี้เลย นี่อาจารย์ที่เคยทรมานเราองค์นี้แหละ วันนี้เปิดแล้วแต่ก่อนไม่พูด ใช่ไหมล่ะ โอ๊ย รีบตาลีตาลานออกมาเลย มาวัดห้วยทราย ไปดูซิ ใช่ๆ จริงไหม ไปดู เป๋งเลย องค์นี้แหละ องค์ที่เป็นอาจารย์ของเรา แต่เราคอยสังเกตไป ท่านจะสอนหรือไม่สอนเราคอยสังเกตนะ ว่ายังงั้น แม่นแล้วองค์นี้เอง
เวลาพวกคณะเราจะไปนี้ แกก็(เห็นในนิมิต)ปรากฏบนท้องฟ้า พวกดาวนี้กระจ่างมาเลย เหาะลอยมาบนอากาศ ลงห้วยทรายกันทั้งหมด พอเช้ามา ก็บอกว่า ปีนี้พระจะมามากนะที่นี่ มาคล้ายคลึงกันกับสมัยหลวงปู่มั่นอยู่นี้ คือแต่ก่อนหลวงปู่มั่นเราก็อยู่ที่นั่น ไปสอนแกไว้ก่อน ทีนี้ปีนั้นปีที่เราจะไปนั้นก็ปรากฏว่าดาวดวงเล็กดวงใหญ่เหาะลอยมาบนอากาศ มาลงจุดกลางห้วยทรายนี้ก็ลงไปตามนั้นๆ ก็คือ หมายความว่า พระกรรมฐานมามาก หัวหน้ามาอยู่ที่ห้วยทราย ดวงใหญ่ ดวงนั้นกระจายไปรอบๆ แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ที่เราไปอยู่นั้น ๔ ปี โฮ้ย พระกรรมฐานน้อยเมื่อไร อยู่บ้านนั้นๆ เต็มไปหมด ทีนี้ย่นเข้ามา พูดถึงแกมาเห็นแล้ว เอาละ องค์นี้แหละ องค์ที่เคยฝึกทรมานเรามาแต่ก่อน ยอมรับเลย แต่คราวนี้คอยดู ท่านจะสอนไหม ว่าอย่างงั้นนะ ก็มาเข้าจุดล่ะที่นี่ พอแกเล่าเรื่องภาวนา จิตใจแกผาดโผนมากทีเดียว เล่าเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นห้ามไม่ให้ภาวนา เราไปนี้ห้ามไม่ให้ภาวนา อย่าภาวนานะ ท่านว่า ถ้าหากว่าเป็นผู้ชาย เราจะบวชเป็นเณรให้แล้วให้ไปกับเราเลย แต่นี้มันเป็นผู้หญิง จะเป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขาก็แล้วแต่เถอะ ท่านว่าอย่างงั้น ท่านก็ไปแต่อย่าภาวนา ท่านห้ามไว้ แต่ท่านก็พูดอีกแง่หนึ่งว่า ต่อไปมันจะมีครูอาจารย์มาสอนอยู่นั้นแหละ ท่านว่าอย่างนั้น นี่แกก็เล่าให้ฟัง เราก็ฟัง ที่ว่าท่านอาจารย์มั่นไม่ให้ภาวนาเพราะเหตุไร เราจับตรงนี้นะ
ทีนี้พอแกขึ้นไปหาแกก็เล่าเรื่องความรู้แปลกๆ ต่างๆ อ๋อ อันนี้เองที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นห้ามไม่ให้ภาวนา เราจับได้ทันที หลังจากนั้นทีนี้มาสรุปเอาเลย จิตของแกผาดโผนมาก ถึงขนาดที่ว่าเราสอนนี้แกไม่ยอมฟังเสียงเลย แกเชื่อความรู้ของแก ทีแรกก็ว่าเราเป็นครูเป็นอาจารย์ เวลานานเข้าๆ ความรู้ของแกมาครอบเราเสียประหนึ่งว่าเราเป็นสามเณรน้อย สอนตีเข้ามาแกก็ไม่ยอมฟัง ที่แกว่าไปนั้นเราเข้าใจหมดแล้ว แล้วก็ค่อยตีตะล่อมเข้ามาหาจุดใหญ่ที่เป็นจุดจะถอดถอนกิเลส อันนั้นจุดเพลิดเพลินต่างหาก ถ้าสติปัญญาไม่ทันเป็นบ้าได้ เพราะจิตผาดโผนนี้เป็นได้สองอย่าง ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์เสียได้ อันนี้แกก็ไปเล่าให้ฟัง เราเข้าใจแล้วก็ตีตะล่อมเข้ามา แกไม่ยอมฟัง เถียงกันกับเราด้วยนะไม่ยอมฟัง
สุดท้ายก็เอาบทหนักซีเรา จะว่ายังไง สอนยังไงสอนมาเป็นระยะๆ ตีเข้ามาเป็นระยะๆ ก็ไม่ยอมฟังเสียงทั้งนั้นๆ จนครั้งสุดท้ายไม่ยอมฟังเสียง มีตั้งแต่เรื่องภาวนารู้นั้นรู้นี้ไปหมด สุดท้ายก็ไล่ลงจากภูเขา คือจำพรรษาที่ห้วยทรายเราจำอยู่ภูเขา บ้านอยู่นี้ภูเขาอยู่ทางตะวันตก สำนักแม่ชีอยู่ทางด้านนี้ พอวันพระเขาจะยกขบวนไปหาเรา เราอยู่บนภูเขา ไปก็ถามจุดที่เราต้องการอย่างเด็ดนะบอกอย่างเด็ด ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แกขึ้นมาแกก็บอกไม่เป็น มันเป็นไปไม่ได้ จากนั้นก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้อี๊ๆ ลงภูเขา ร้องไห้จริงๆ นะ ร้องไห้อี๊ๆ เราเฉย น้ำตาเหล่านี้ไม่มีคุณค่าอะไร แน่ะ ธรรมต่างหากมีคุณค่า คือไล่จริงๆ นี่นะ เอาจนขนาดว่านี่ไม่ใช่สถานที่อยู่ของนักปราชญ์ราชกวีทั้งหลาย เป็นสถานที่อยู่ของคนโง่เขลาเบาปัญญา ใครเป็นนักปราชญ์จอมปราชญ์ไปลงไป ไล่เลยร้องไห้ลงไปได้สี่วัน เห็นไหมล่ะ
ที่เราสอนจุดสำคัญให้อย่างนี้นะ แกยังไม่ฟัง ไม่ฟังก็ใส่กันเด็ดตรงนี้เลยไล่ลงภูเขา อยู่ได้สี่วันลงไปก็ร้องห่มร้องไห้ หมดทีนี้เราก็หวังว่าท่านอาจารย์องค์นี้จะเป็นผู้ฝึกผู้ทรมานเรา แล้วท่านก็ไล่เราลงจากภูเขา ทีนี้เราจะยึดจะเกาะใคร ไม่มีที่พึ่งเสียอกเสียใจ แล้วก็ย้อนมาพิจารณาว่า ที่ท่านไล่ลงจากภูเขาเพราะเหตุไร นี่นะที่แกจับจุดได้ เพราะเหตุไรเพราะไม่ฟังคำของท่าน แล้วท่านสอนว่ายังไง ท่านสอนอย่างนั้น แล้วฟังธรรมของท่านบ้างซิเอาไปปฏิบัติตามท่านว่าบ้างซิ เรามีตั้งแต่ทิฐิมานะไม่ยอมฟังเสียง ท่านไล่ลงภูเขาเหมาะสมแล้ว ตำหนิตัวเองนะ เอาซีพิจารณาตามที่ท่านว่า เมื่อไม่มีทางไปจริงๆ แล้วก็กลับเข้ามาจับเอาที่เราสอนให้พิจารณา พิจารณาลงไปๆ มันก็สว่างจ้าขึ้นมาเลย พิจารณาร่างกายแตกกระจัดกระจายเป็นผุยเป็นผงหมด เหลือแต่จิตสว่างจ้าขึ้นมา
พอจิตถอนออกมาหันหน้าไปภูเขากราบ กราบไปหาเราบนภูเขา ได้สี่วันนะแล้วยกขบวนขึ้นมาอีก ตามธรรมดาวันพระเขาไปทีหนึ่งๆ นั่นเพียงสี่วันเขาไป มาก็เอาอีกนะ ตอนนั้นเรากำลังปัดกวาดอยู่บนเขากับเณรหนึ่ง แล้วมาอะไรอีกจอมปราชญ์ ว่าอย่างนี้นะ เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน แกว่านะ พูดอะไรจอมปราชญ์เราว่าอย่างนี้ ตกลงเราก็เลยวางไม้กวาดทิ้ง เลยนั่งตรงนั้นเลยเราก็วางไม้กวาดกับเณร มาแกก็เลยเล่าให้ฟัง พอเล่าเรื่องให้ฟัง นั่นเห็นไหมล่ะ เราจะอวดว่าเราดีเราเก่งกว่าใครๆ ทั้งโลกไม่ได้นะเราสอน จากนั้นยอมรับเลย ทีนี้ว่าอะไรเอาอันนั้นก็ผึงๆๆ เลย นั่นอย่างนั้นแหละ
ที่พ่อแม่ครูจารย์ห้ามไม่ให้ภาวนา คือมันมีส่วนเสียได้ เรื่องราวเป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่าผาดโผนมากทีเดียว เรื่องเปรตเรื่องผีเรื่องเทวบุตรเทวดา เรื่องอะไรแปลกๆ ต่างๆ แกจะรู้ของแกทั้งนั้นๆ แต่มันไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส ตอนนั้นแกกำลังบำเพ็ญภาวนาเพื่อแก้กิเลสอยู่ เราจึงไม่ไปสนใจกับสิ่งเหล่านั้น สนใจแต่จุดที่จะแก้กิเลส เราสอนลงไปจุดนั้นแกไม่ยอมฟัง แกก็จะเอาแต่เรื่องของแกโดยลำดับๆ จึงได้ไล่ลงจากภูเขา พอไปได้สติแล้วพิจารณาตามเราว่าแล้วก็จ้าขึ้นมาแล้วกราบเรา พอจิตถอนขึ้นมาแล้วหันหน้าไปกราบเรา แล้วตอนบ่ายวันหลังก็ไปนั่นแหละจึงว่าถูกไล่ลงอีก เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ นั่นแหละเรื่องราวก็ไปยุติตรงนั้น นี่เรื่องผาดโผนต้องมีครูมีอาจารย์ ไม่งั้นไม่ได้นะ เสียได้ด้วย ก็มีเท่านั้นแหละ
เราพูดถึงเรื่องความพิสดารของจิตพิสดารมากนะ อย่างที่ว่าตัวเบาเหาะขึ้นบนอากาศได้ ทุกวันนี้ก็ยังมี แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญไม่ใช่เรื่องแก้กิเลสอัศจรรย์อะไรเลย แก้กิเลสต่างหากเป็นเรื่องอัศจรรย์ แก้ได้เท่าไรอัศจรรย์เท่านั้นๆ อันนี้เป็นกิริยาของความเพียรตามนิสัย นั่งภาวนาอย่างนี้ปั๊บขึ้นเลย ให้ขึ้นสูงขนาดไหนก็ได้ พอกำหนดๆ กำหนดมันก็ขึ้นเรื่อย พอให้ถอยก็ถอยลงๆ ปัจจุบันนี้มี เป็นแต่เพียงเราไม่ระบุชื่อ ผู้หญิงผู้ชายยังมีอยู่นะ ฆราวาสก็มีทุกวันนี้ยังมี พระก็มี นี่เครื่องยืนยันเป็นยังไง มันมีอย่างนี้ธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้ผิดที่ตรงไหน ตัวเหาะตัวลอยในปีติ ๕ หรืออะไรลืม ท่านมีไว้ในคัมภีร์ แล้วเป็นมันก็เป็นตามคัมภีร์นั้น
ทองคำก็กำลังไหลเข้ามา คือทองคำทีแรกก็ว่า ๑๐ ตัน แล้วทีนี้ที่มันแหว่งอยู่นั้นมันคี่ ทองคำในคลังหลวงที่เราไปดู ทองคำมันคี่ เช่นอย่างเจ็ดบ้างเก้าบ้างสิบเอ็ดบ้าง มันไม่คู่อยากให้เลขคู่ แล้วทองคำก็มีจำนวนน้อยมากในคลังหลวง แล้วก็มาอัดอั้นตันใจที่เวลานี้เราจะพยายามเอาทองคำให้ได้ ๑๐ ตัน อันนั้นจึงไม่พูดถึงเลยแหละ เพราะอันนี้ก็หนักอกพอแล้ว ทีนี้อันนี้พอหายใจได้แล้วจึงแย็บๆ ออกมา ว่าทองคำเรายังขาดอยู่อีก ๑ ตัน เพื่อจะให้คู่ แล้วประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน แต่เวลานี้เราไม่ขอเราบอก ขอก็ไม่ขออะไรก็ไม่ทั้งนั้นแหละ แต่ก่อนทั้งไปตีกระเป๋านั้นกระเป๋านี้เรื่อยไป ทั้งขู่ทั้งเข็ญ คราวนี้ไม่ขอ อันนี้เป็นส่วนปลีกย่อย
ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกันทั้งประเทศก็แล้วกันว่า ทองคำเรายังขาดอยู่เท่านั้น ยังขาดอยู่ที่ให้ได้ถึงคู่ เพราะฉะนั้นทองคำจึงค่อยไหลมา เราไม่ขอเราบอก เพราะพูดยังไงต้องเป็นอย่างนั้น ต้องมีคำสัตย์คำจริง บอกไม่ขอก็ไม่ขอ อย่างมากกว่านั้นเราก็จะออดจะอ้อนเอา อย่างนั้นแหละเข้าใจไหม ให้ขอจริงๆ ไม่ขอ นี่ก็ค่อยไหลมา เวลานี้ก็ดูเหมือนทองคำรวมทั้งที่มันเหลือจากวันเรามอบไป ๓๑๒ กิโลฯ นั้น เอาจำนวนนี้บวกต่อไปอีก ดูเหมือนจะได้สัก ๓๕๑ กิโลกว่าแล้ว เอ้อ นี่มันจะก้าวเข้าไปสู่ ๑,๐๐๐ กิโลฯ แล้วก็เป็น ๑ ตัน นี่แหละตรงนี้แหละ ก็ค่อยเป็นมาเรื่อยๆ ไม่นานเราคิดว่าจะพอ อันนี้ให้เป็นน้ำใจของพี่น้องทั้งหลายเอง เราเป็นเพียงว่าเปิดทางให้เท่านั้น ที่จุดต้องการคืออย่างนี้เอง ให้ได้ ๑ ตันแล้วก็คู่ที่นี่ สมมุติว่า ๙ แล้วก็เป็น ๑๐ เช่น ๑๑ ก็เป็น ๑๒ คู่พอใจ
ให้พรนะ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |