๑ เทศน์อบรมพระ ณ. วัดป่ าบ้านตาด
เมื่อวันที ่๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๔
อยู่ไหนก็เท่าเดิม
ใจนั้นจะเอาอะไรไปต่อ ข้างในไม่มีเชื้อให้ต่อมันจะต่อได้อย่างไร มันรู้อยู่นั้น เวลามัน ต่อมันก็รู ้ ต่อละเอียดก็รู ้ ต่อหยาบก็รู ้ เมื่อไม่ต่อทำไมจะไม่รู ้ เอาความรู้ว่ามันไม่ต่อซิมาพูด มัน ไม่มีอะไรที่จะไปต่อ ไปต่อกับอะไร ไอ้สิ่งที่จะให้มันไปต่อมันก็ไม่มี มันสักแต่รู้อยู่เท่านั้น เวลา มันหมดสมมุติมันหมดอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้นจึงได้กล้าพูดว่ามีแต่ขันธ์ทั้งนั้นละมันดิ้นอยู่ตลอด ทั้งวันทั้งคืน ได้ปฏิบัติเพื่อขันธ์นี้ทั้งนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันดิ้นของมันอยู ่ กลางถนนเหมือนกับหางจิ้งเหลนขาด อันนั้นมันไม่มีอะไรจะไปยุ่งกับมัน จิตดวงนั้น ยุ่งกับมัน เรื่องอะไร มันไม่ใช่วิสัยแล้วมันก็รู้ได้ชัด
.... พิจารณากายก็อยู่ในขั้นราคะนี้แหละ พอมันหมดอันนี้ไปแล้วมันหมดปัญหานะกาย มันหมดทางที่จะพิจารณา พิจารณาอะไร หนึ่งมันรู้เท่าแล้ว สองมันสุญญากาศไปหมด มันว่าง ไปหมด มันไม่มีอะไรพิจารณา พอกำหนดปั๊บนี้มันวูบลงหมดเลย เราจะเอาอะไรพิจารณา ความรวดเร็วของปัญญาขนาดนั้นนะ คือมันชำนาญ ตั้งภาพขึ้นมาเราจะพิจารณาให้เป็นอสุภะ อสุภังนี่มันจะไปตั้งได้อย่างไร พอตั้งปุ ๊ บ ดับพุบๆ เวลาปัญญามันทัน แล้วกำหนดทั้งรู้เท่าแล้ว ด้วย มันสองประการเสียด้วยนะ หนึ่งภาพนี้พอตั้งปุ ๊ บขึ้นดับพุบๆ ดับเร็วไปโดยลำดับ พอตั้ง พุบดับพร้อมเลย ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะเอาอะไรไปพิจารณาให้เป็นสุภะอสุภังที่ไหน แล้วจะ พิจารณาเพื่ออะไร เอาสุภะ อันนั้นมันก็เป็นสุภะอสุภะ จิตต่างหากเป็นผู้เป็น มันรู้แล้วนี ่ แล้วก็ มารู้แล้วเรื่องที่มันเป็น ที่มันเป็นรู้แล้ว มันก็รู้เท่ากันเสียหมดแล้ว พิจารณาเพื่ออะไร
นี่ซิตอนที่ได้พิจารณาจิตนี ้ มันไม่เอากับกายแล้ว มันก็เหลือตั้งแต่พวกเวทนาในจิตอย่าง ละเอียด สัญญา สังขาร วิญญาณที่มันปรุงอยู่ในจิตอย่างละเอียดๆ นั่นละตอนที่มันเป็นเครื่อง สัมผัสของการพิจารณา มันทำให้พิจารณาอันนั้นเอง มันสัมผัสอยู่เพียงเท่านั้น ในจิตขั้นนี้มัน ไม่ได้กว้าง พิจารณามันแคบนิดเดียว คือมันไม่รับแล้วเรื่องรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เรื่องภายนอก มันไม่ได้ถือมาเป็นอารมณ์ที่จะต้องพิจารณา มันเข้าใจหมด รู้หมด มันขาดไป หมดด้วย ไม่เพียงว่ารู้หมด ลบจนขาดด้วย นั่นเวลามันหมด มันหมดอย่างนั้น แต่สิ่งที่มันยัง ต่อกันอยู่นี้คื ออะไร นามธรรม เวทนาในจิต สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดจากจิต มันกระเพื่อม ๒
ธรรมเหล่านี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น มันแยกไปแยกมา คือไม่มีการพิจารณา มี เท่านั้น กายมันหมดปัญหา เราจะบังคับให้มันพิจารณายังไง เหมือนเรากินหวานอิ่ม กินคาวอิ่ม แล้วจะให้บังคับให้กิน มันกินไม่ได้ มันก็มีแต่จะกินหวานเท่านั้นซิ คาวมันพอแล้วก็รู ้ ยังหวานก็ กินหวานไป พออิ่มหวานแล้วเอ้ายังอะไรอีก นํ ้าเหรอ เอานํ ้ามาอีก นํ ้าหมดแล้วมันหมดจะกิน อะไรอีก ไม่ว่าคาวว่าหวานมันจะทรงรสทรงชาติอยู่เต็มที่ตามเดิมก็ตาม แต่ถ้ามันพอแล้วมันก็ ไม่เอา นั่น จิตก็เหมือนกัน เวลามันพอของมันแล้วก็เป็นอย่างนั้นละ ธรรมทั้งหลายจะมีอยู่ทั่วๆ ไปก็ตาม มันพอแล้วมันก็ถอยของมัน
มีแต่ธรรมภายในใจ มันแยกมันพิจารณาของมัน เกิดกับจิต ดับกับจิต เกิดกับจิต ดับ กับจิต พอมันรู้มันกระเพื่อมพับ ดับพับๆ จนอันนี้มันหมอบ พิจารณาอะไรไม่รู้กี่ตลบ ไม่รู้กี ่ ร้อยกี่พัน กี่หมื่นตลบ วันหนึ่งๆ เพราะมันอยู่ด้วยกันอย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน มันไม่ได้เผลอไป ไหน ต่อจากนั้นมันจึงทำให้เกิดความสนใจในจุดของความรู้นั้น อันนี้มันเป็นอะไรกันนา มันจึง ได้รู้ตอนนั้น แต่ก่อนนี้มีแต่ความระมัดระวัง มีแต่ความรักษามีแต่ความสงวน ไม่สนใจจะ พิจารณามันเลย ไม่ให้มีอะไรมาแตะต้อง ไม่ให้มีอะไรมาสัมผัสมันได้ ไม่ให้มันเศร้าหมองได้ มี แต่ความผ่องใส คือความกังวลรักษาตลอดเวลาในจุดที่ว่าสงสัยนั่น
เวทนาของจิตมันก็มีอยู่เป็นความสุข สุขเวทนา คือสุขในจิตมันก็เป็นอันหนึ่ง มันเป็น อนัตตาเหมือนกัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน เกิดขึ้นจากอะไรให้เสวย จนกระทั่งไม่มีที ่ ไป มันก็จ่อเข้าไปตรงนั้นละ มันอะไรกันแน่ๆ ไอ้ที่ว่านี ้ เดี๋ยวว่าดี เดี๋ยวว่าชั่ว เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยว ว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันยังไงกัน นั่นปัญญามันหยั่งเข้าแล้วที่นี ่ สนใจกับ ตรงนั้น เรียกว่าเป็นเป้ าหมายแห่งการพิจารณา เช่นเดียวกับสภาวธรรมทั้งหลายที่เราเคย พิจารณามา มันเป็นเป้ าหมายๆ มาเป็นลำดับๆ อันนี้ก็เป็นจุดที่เราพิจารณาแล้ว หากว่าเรามี สติปัญญาในด้านนั้นมันก็ไปด้านนั้น เข้ามาจ่อขณะนั้นมันก็ผางไปเลยทีเดียว
แต่ก่อนไม่จ่อมันพิจารณาไม่สงสัย มีแต่ความรักความสงวน อะไรมาแตะต้องไม่ได้ มัน เป็นกังวลซีระมัดระวังรักษา ยังไม่รู้ว่าตนเป็นกังวล บทเวลานั้นมันแตกกระจายไปแล้วมันหมด ความกังวล มันหมดอารักขา หมดความสงวน หมดอะไรเสียทุกอย่างมันถึงมารู้ว่า อันนี้เป็น อันหนึ่ง แล้วจะพิจารณาอะไร ๓
... ถ้าจะใช้แต่ปัญญาให้จิตอยู่กับความสงบเพราะการเห็นอสุภะก็ให้มันเห็นซี การ พิจารณาอะไรก็พิจารณาเพื่อจิต การสงบก็เพื่อจิต การพิจารณาก็เพื่อจิต ไม่มีอะไรผิด อย่า เข้าใจว่าสมาธิเดินก่อนปัญญาเดินหลัง ปัญญาเดินก่อนสมาธิเดินหลัง มันสับปนกันไป แล้วแต่ วาระของจิตที่จะพิจารณาอย่างไร อันนี้ก็เขียนไว้แล้วในปัญญาอบรมสมาธิ เขียนไว้ตามความรู ้ เจ้าของ เจ้าของเคยพิจารณามา จะพิจารณาปัญญานี้จิตมันไม่ลง มันไม่รวม มันไม่สงบเหรอ มันเป็นเพราะเหตุไร ไล่เบี้ยกันไปเลย นั่นเรียกว่าปัญญา มันยอมจำนนหมด มันลงของมันเอง ปั๊วะเดียวเลย
ถ้าลงด้วยปัญญานี้มันลงอาจหาญผิดกันกับลงธรรมดา ลงธรรมดามันก็อยู่ของมัน สงบ แต่ถ้าปัญญาพาให้ลงแล้ว โอ้โหมันลงอย่างถึงที่ถึงฐาน ถอนออกมาแล้วมันยังอาจหาญด้วย นั่นผิดกัน ปัญญาจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ประมาทไม่ได้เรื่องปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ขึ้นต้นหัวหน้าเลย คนโง่เขาไม่เอาเป็นหัวหน้างาน งานอะไรๆ ก็ต้องหาคนฉลาดสำคัญ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ขึ้นหน้าแล้ว สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต ค่อยไปตามหลัง เอาเรื่อง ของปัญญาขึ้นมา
ถ้าหมดเรื่องของมันแล้วมันสบาย อยู่ไหนก็สบาย มันหมดกังวลทุกอย่าง ในความ อารักขา ในความระมัดระวังจิตใจ รักษาแต่มารยาทภายนอกเท่านั้น รักษาแต่ขันธ์นี้เอง เรื่อง สถานที ่ กาล บุคคล ยังไง ที่ควรจะต้องปฏิบัติต่อ สถานที ่ กาล บุคคลนี่เป็นเรื่องของขันธ์ เพราะอันนี้เป็นสมมุติ โลกก็เป็นสมมุติล้วนๆ เราก็มีสมมุติอยู่คือขันธ์ ต้องปฏิบัติให้เหมาะสม กับภาระแห่งความเป็นพระของเรา ตามกาลสถานที ่ บุคคลที่เหมาะควรปฏิบัติอย่างไรต่อกัน นี ่ เป็นเรื่องขันธ์ เรื่องนั้นไม่เห็นมีระวัง
อยู่ไหนก็เท่าเดิม ไม่ว่าจะอยู่ในป่ า ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน จะอยู่ในกรุง ไม่ว่าจะอยู่ในสังคม ไหน มันก็เท่าเดิมว่างั้นเลย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันไม่ได้ระวัง พูดง่ายๆ มันหมดความระวัง ไม่ได้หึงได้หวง จะปล่อยทิ้งไปเสียมันก็ไม่ใช่ มันจริง ต่างอันต่างจริงแล้วจะให้ว่าอย่างไร จะไป ทำอะไรมันอีก มันหมดกังวลหมดภาระ นอนทั้งวันก็นอนได้ถ้ามันนอนหลับ นอนไปนอนมา มันก็เหนื่อยเหมือนกันขันธ์นี ้ มันก็อยากลุก กิเลสอย่าให้มันเกิด มันไม่มีทางจะเกิดแล้วมัน หมดมันก็สิ้นของมันเอง ถ้าหมดแล้วมันเป็นอย่างนั้น มันรู้เอง
จิตนี่ตัวสำคัญ ตัวคะนอง ตัวก่อกรรมก่อเวรเจ้าของ ตัวกระเพื่อม ตัวรบกวนเจ้าของ มี แต่เรื่องของขันธ์นี้ละที่อาศัยอวิชชาเป็นหัวหน้าใช้งานมัน คิดเรื่องไหนมีแต่เรื่องอวิชชาทั้งนั้น ๔
อวิชชาแต่ก่อนมันใช้ขันธ์อันนี ้ ทีนี้เวลาวิชชาเกิดขึ้นแล้วเอาอย่างอื่นมาใช้ กิริยาที่แสดง ของผู้บริสุทธิ์กับอวิชชาแสดงต้องผิดกัน แต่นี้ไม่ผิด เราจะเห็นได้เวลาจิตกับธรรมะที่สัมผัส สัมพันธ์กันมากๆ แล้วมันพุ่งออกมาอย่างเต็มที ่ ถ้าเป็นเครื่องมือของวิชชานี้จะไม่มีกิริยาแบบ โลก แต่นี้มันมีเครื่องมืออันเดียวกันมันก็มีกิริยาเหมือนแบบโลก เหมือนดุ เหมือนด่า หรือว่า เหมือนโกรธเหมือนกริ้ว อะไรต่ออะไร เหมือนโมโหโทโสไปอย่างนั้น ธรรมชาติอันนั้นมันไม่ เคยแสดง นั่นฟังซิ อำนาจของธรรมที่แสดงพุ่งๆ เป็นกำลังของธรรม แล้วเครื่องมือที่จะมา รับรองกระแสของธรรมนั้นน่ะไม่เอาอันนี้มาใช้ เพราะอันนี้เป็นเรื่องของอวิชชาเคยใช้ มันแสดง ตัวของมันไปอย่างนั้น
เอาเครื่องมืออื่นมาใช้มันจะไม่เป็นอย่างนี้นะ จะเป็นอีกอย่าง จะเป็นแบบที่น่าดูยิ่งกว่านี ้ มากมาย ยิ่งจะน่าดู คือพลังของจิตที่แสดงออกจากความบริสุทธิ์นั้นเป็นพลังอันหนึ่ง อันนี้ก็ เป็นสมมุติเหมือนกัน แต่ออกมาจากความบริสุทธิ์ของจิต เพราะฉะนั้นเวลามีเครื่องมือสอง ชนิดนี ้ อันนี้จะน่าดูมาก แสดงลวดลายออกจากความบริสุทธิ ์ จะไม่มีกิริยาของโลกมาแทรกอยู ่ เลย เวลากำลังของจิตมันแสดงออกมานี ้ กิริยาใช้มามันเป็นเหมือนโลกละซิ เหมือนโกรธ เหมือนโมโหโทโส หรืออะไรไปอย่างนั้น ทีนี้โมโหมันก็ไม่อยู ่ ไม่เห็นมี ความโมโหความโทโสไม่ ทราบมันอยู่ไหน ไม่เห็นมี มันเป็นอำนาจของจิตทั้งนั้นไปเสีย พลังของธรรมเป็นพลังของจิต นี ่ มันดับของมัน มันเกิดมันดับได้
ถ้ามีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นี้ก็ใช้งานไม่ได้นะ ต้องอาศัยสมมุติเป็นพลัง ที่เข้าสมาธิ อย่างนี้มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง เวลาจิตเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้วเราจะทราบได้ชัดว่าสมาธินี้เป็น พลังอันหนึ่ง สมาธิเป็นเครื่องอาศัย ไม่ใช่ความบริสุทธิ ์ แต่พลังที่เกิดขึ้นมาจากความบริสุทธิ ์ นั้นเป็นของเกิดได้ดับได้ เราจะทราบได้เวลาจะเทศน์อย่างนี้รอเข้าที่เสียก่อน พักจิตให้เต็มที ่ คล้ายๆ กับว่าชาร์จเข้าไป ชาร์จแบตเตอรี่เข้าไปในจิต นั่นสมมุติเท่านั้น ชาร์จเข้าไปก็เป็น สมมุติ พลังนั้นก็เป็นสมมุติ อันนั้นละออกมา ถ้ามีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นี้ใช้งานอะไรไม่ได้ ๕
. รู้สึกจะไม่ได้ใช้ในเรื่องปัญญา สติปัญญาที่ควรจะไปพร้อมกันไม่มีเลยจะทำอย่างไร คือแสดงออกมาภายนอกมันเห็นอยู่ทุกระยะแล้ว นักปฏิบัติไม่ใช้สติปัญญาไม่ทราบจะเอากิเลส ออกได้ยังไง กิเลสมันไม่ได้กลัวนะความโง่ อย่าเข้าใจว่ากิเลสจะกลัวความโง่ กิเลสกลัวแต่ความ ฉลาดเท่านั้น ความเหลาะแหละกิเลสก็ไม่กลัว กลัวแต่ความสัตย์ความจริง ความเอาจริงเอาจัง ความขยันหมั่นเพียร ความอดความทน ความคิดความอ่าน นี่กิเลสกลัว อย่างวิธีที่เราทำมาอยู ่ ทุกวันๆ นี้ที่มองเห็นอยู ่ แสดงยิบแย็บๆ อยู ่ นี่กิเลสขึ้นบนหัวเลย คือไม่รู้นะว่ามันขึ้นขี้บนหัว กิเลสมันยิ่งเก่งตัวแดงๆ ตัวมันมานี ้ ให้มันเป็นหมานะกิเลสอยู่บนหัวใจคน
มันจะไปเข้าร่องรอยเดียวกันนะกับพระเณรมาอยู่กับท่านอาจารย์มั่น เราระวังเหลือเกิน มันจะไปเข้ารอยเดียวกัน ออกไปแล้วก็จะเป็นแบบนั้น มันมีมากบางทีถึง ๔๐ คนก็มี ทั้งพระทั้ง เณร ๓๐ -๔๐ อย่างน้อย ๑๘-๑๙ เป็นชั่วระยะเท่านั้น นี่หมายถึงวัดหนองผือ วัดบ้านโคก นา มนก็ ๑๐-๑๑-๑๒ เท่านั้นไม่มาก เพราะกุฏิที่พักจำกัด ท่านต้องการเท่านั้นเป็นอย่างมาก หนองผือปลูกมากหน่อย ทางนี้เอาจริงเอาจังด้วย
ผมก็เหนื่อยทุกวันนี ้ การเทศนาว่าการนี้ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว อายุขนาดนี้รู้สึกมัน ลดลงๆ ทุกวันๆ รู้ชัดๆ มันไม่อยากจะเล่นกับอะไรเสียแล้ว มันคิดอยากเข้าป่ าเข้าเขาไปคน เดียวเท่านั้น มันเหนื่อย บวกลบมาหมดเลย กิเลสอยู่กับจิต สติปัญญาก็อยู่ในจิต ค้นหาจิต ค้นหากิเลสอยู่ในจิตดวงเดียวนี ้
... ต้องเอาปัญญา รู้ทันทีเลยต้องเอาปัญญา ตามกันแบบสละเป็นสละตายไปเลย มันจะ ไปแค่ไหนปล่อยมัน ต่างอันต่างสละตาย นี่เราก็สละตายมา มันคงสละเป็นละท่า เราสละตาย กิเลสมันคงสละเป็น ใส่กันทันกันแล้วหมอบ หมอบด้วยปัญญานี้มันหมอบราบนะ ผิดกัน ถึงจะ ถอนขึ้นมาแล้วมันก็อาจหาญ มันเห็นช่องเห็นทางของมันที่เคยปฏิบัติมาได้ผลอย่างนั้นๆ แล้ว มีช่องทางที่จะปฏิบัติต่อไปเพื่อผลอย่างนั้นๆ อีก
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที ่ ๖
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และทางสถานีวิทยุเสียงธรรม FM103.25MHz พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ |