เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
กิเลสตั้งอยู่ในจิตของพระอรหันต์
ก่อนจังหัน
ทุกองค์ที่อยู่สถานที่นี่และมาใหม่ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันเรื่อยๆ นี้ ให้พากันสังเกตให้ดีมาตาให้ดู สติติดแนบกับตากับหูไปเรื่อยๆ จะได้สิ่งที่ดีงามติดตัวๆ ไปจากทางตาทางหู ให้สังเกตด้วยดี ที่พระเราเลอะเทอะทุกวันนี้มันไม่ได้มีอรรถมีธรรมติดใจนะ มีแต่มูตรแต่คูถคือกิเลสตัณหาความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นไปกับมูตรกับคูถที่เป็นของสกปรกในสายตาของธรรมนั้นแล โลกจึงร้อน ในโลกนี้ศาสนามีเต็มโลกเต็มสงสารมีความหมายอะไรบ้างไหมล่ะ ก่อความเดือดร้อนแก่กัน ไม่ใช่ศาสนธรรม มันเป็นศาสนะของกิเลส คำสอนของกิเลส สอนคนให้ย่ำยีตีแหลก เห็นแก่ได้เห็นแก่เอา อวดอำนาจ อวดฤทธิ์อวดเดช ซึ่งฤทธิ์เดชเหล่านั้นมันก็กลับเข้ามาทำลายตัวเอง ทั้งผู้อื่นให้เดือดร้อนไปตามๆ กัน ทั้งๆ ที่ศาสนามีเต็มโลกเต็มสงสาร พิจารณาซิ มันน่าพิจารณานะ
ไม่ว่าที่ไหนศาสนามีทั้งนั้น ศาสนาเป็นกองทัพ เป็นกองฟืนกองไฟ ยกทัพตีกันแหลกอยู่เวลานี้ มีแต่ศาสนาไปตีแหลก ถ้าศาสนธรรมท่านไม่ตีแหลก มีแต่กระจาย สมัครสมาน อยู่ใกล้อยู่ไกลสนิทติดพันกันด้วยน้ำใจที่มีต่อกัน อันนี้ไม่ใช่น้ำใจนะ มันน้ำไฟเอาไปเผากัน ใครก็ว่าของใครดีๆ ต่างคนต่างดีก็เข้ามากัดกันซิ มันน่าทุเรศนะศาสนามีเต็มโลก แต่หาความสุขให้โลกผู้ถือศาสนานั้นๆ ไม่มีเลย เราอยากว่าไม่มีเลย ส่งเสริมไปทางไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็ไปสวรรค์ ฟังซิน่ะ อุดมคติ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็ไปสวรรค์ๆ
ท่านทั้งหลายอยากไปสวรรค์ อยู่ใต้ศาลานี้มีใครอยากไปสวรรค์ กลับไปให้ไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัว กลับไปบ้าน จะได้หลั่งไหลขึ้นสวรรค์ นี่ละศาสนาสอนให้คนไปสวรรค์อย่างนี้ แบบนี้แบบฆ่าฟันรันแทง ทำความชั่วช้าลามกที่ไม่พึงปรารถนาต่อกันเลย แล้วก็ไปสวรรค์ๆ มันแหวกแนว นี่ละสวรรค์แหวกแนว การกระทำแหวกแนวของอรรถของธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้าการทำโดยธรรมแล้วจะทำกันได้ลงคอยังไง พ่อแม่มาตั้งแต่วันเกิด เลี้ยงเรามาใครเลี้ยงเรา ก็พ่อก็แม่เราเลี้ยงมา ทุกข์จนหนโลกไม่ยอมให้ลูกตาย ทนทุกข์ทนทรมาน พ่อแม่จะอดจะอิ่มขนาดไหน ขอให้ลูกได้ทรงตัวได้อยู่ได้กิน กินแล้วเล่นสนุกสนาน พ่อแม่นี่ห่อเหี่ยวจิตใจ
ทั้งวันทั้งคืนวิ่งเต้นขวนขวายหามาเพื่อลูกของตนแต่ละคนๆ ครั้นโตขึ้นมาแล้วก็กลับไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ แล้วตัวเองก็ไปสวรรค์ให้พ่อแม่ลงนรก ฟังซิน่ะมันฟังได้ไหม คำสอนของมนุษย์เรามีเหรออย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันมีแล้ว เพราะมนุษย์นี้มันมีสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ภายในจิตใจ ไม่ให้ระลึกถึงบุญถึงบาปได้เลย ปีนเกลียวกันกับความจริง ความจริงไม่ยอมรับ ถ้าของจอมปลอมแล้วชอบกันทั้งนั้นๆ นี่ละพิจารณา
แล้วย่นเข้ามาศาสนามีอยู่ในเราหรือไม่ เช่นเราถือพุทธศาสนา พุทธศาสนามีอยู่ในตัวของเราหรือไม่ หรือมีตั้งแต่สิ่งที่จะทำลายตัวและผู้อื่น นี่ก็ไม่ใช่ศาสนาเหมือนกัน ถ้าว่าศาสนธรรมก็เรียกว่ากิเลสเข้าแทรก โจรมารเข้าแทรก มหาภัยเข้าแทรก ศาสนานั้นๆ จะเลิศเลอขนาดไหนก็ตามถ้านี้เข้าแทรกและเห็นตามอันนี้แล้ว จะเป็นฟืนเป็นไฟไปด้วยกัน คำว่าศาสนาเป็นลมปากพูดเฉยๆ ถ้าจิตใจไม่ใฝ่ฝันกับอรรถกับธรรมซึ่งเป็นความจริงแล้ว ศาสนาไหนก็เถอะไม่มีชิ้นดีเลย ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามความสัตย์ความจริงแล้วก็ดี
หลักใหญ่คือพุทธศาสนานี้ไม่มีที่คัดค้านต้านทานได้เลย ยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ เรากราบราบทีเดียว เพราะได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นกันบนเวทีแห่งการปฏิบัติตามทางของศาสดาที่เคยปฏิบัติมาแล้ว ได้ขุดค้นมาทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงสามารถมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเวลานี้ เราพูดเราไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ว่าอันนั้นสูงอันนี้ต่ำเราไม่มี ธรรมนี่เรียกว่าโลกุตรธรรม เป็นธรรมเหนือโลกตลอด ตั้งแต่พื้นๆ ของธรรมก็เหนือโลกแล้ว และยิ่งสูงสุดของธรรมก็เลิศเลอ นี่เป็นธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วเป็นยังไงมันติดใจเราไหมเราถือพุทธศาสนา หรือมีแต่ความดีดความดิ้น ความเพลิดเพลินไม่รู้จักเป็นจักตายนั้นเหรอ นั่นไม่ใช่ศาสนา
ศาสนาต้องรู้จักตาย มรณัสสติ ท่านสอนให้พิจารณาเรื่องความตาย อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนเกินไป ป่าช้ามีติดตัวอยู่กับทุกคนๆ ให้เล็งดูป่าช้า เมื่อถึงวันตายแล้วตายด้วยกัน ไม่ว่าเศรษฐี กุฎุมพี คนทุกข์คนจน ตายด้วยกัน เมื่อ มรณัสสติ คือความตายเตือนอย่างนี้ก็รู้เนื้อรู้ตัว รีบเร่งขวนขวายหาความดีงามใส่ตัวเอง ผู้นี้ไม่เสียท่าเสียที ท่านจึงเรียกว่ามรณัสสติ เป็นธรรมอันเลิศเลอสำหรับผู้นำมาปฏิบัติ จะได้สติสตังกลับเนื้อกลับตัว ถ้าใครเป็นคนชั่วช้าลามกก็กลับเนื้อกลับตัวได้ ถ้าใครไม่เชื่อธรรมแล้วตายทิ้งเปล่าๆ ให้พากันจำ
พระเราก็ให้มีสติสตัง จึงเรียกว่าพระ พระตามทางของศาสดาเป็นพระที่มีสติมีปัญญา มีสังวรธรรม ความสำรวมระวังตนเสมอ ไม่ลืมเนื้อลืมตัว นี่เรียกว่าพระที่จะก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพานตามทางของศาสดา ถ้าเลอะๆ เทอะๆ ไปจากนี้ใช้ไม่ได้ เวลานี้เป็นยังไง ตัวของเราเองไม่ใช่มีอลัชชีเต็มตัวแล้วหรือ ไม่รู้จักอายบาป อลัชชิตา แปลว่า ผู้หายางอายไม่ได้ ไม่มีความละอายบาปกรรมอะไรทั้งนั้น เรียกอลัชชิตา แล้วเป็นยังไงพระเณรเรา เป็นอลัชชิตาหรือไม่อลัชชิตา ตลอดประชาชนนั่งอยู่นี่ อายบาปไหม ถ้าไม่อายบาปก็พวกอลัชชีเต็มศาลาวัดป่าบ้านตาด ทั้งพระทั้งโยม มีแต่พระแต่โยมเป็นอลัชชี เมื่อมีแต่อลัชชีแล้วก็เป็นไฟทั้งกอง เราจะอาศัยที่ไหน
เวลานี้โรคนี้กำลังระบาดสาดกระจายออกไปด้วยอลัชชิตาบุคคล อลัชชิตาพระภิกษุเหล่านี้มีเกลื่อนเวลานี้ ยิ่งแสดงออกเปิดเผยมากมาย เป็นอลัชชีๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม มีตั้งแต่จะเอาให้ได้อย่างใจๆ พูดอะไรออกมาพูดด้วยความเคียดแค้น ความโมโหโทโส ความผูกกรรมผูกเวร เหล่านี้มีแต่ฟืนแต่ไฟจะมาเผาไหม้ตนเองและผู้อื่นได้ทั้งนั้น ให้เราพินิจพิจารณา เราเป็นชาวพุทธนะ อย่าเห็นแก่ดีดแก่ดิ้น อย่าเห็นแก่ได้ สิ่งที่ได้มาคืออะไร นั่นละคือยาพิษ คือฟืนคือไฟก็มี ที่ได้มาเป็นบุญเป็นคุณก็มี ถ้าได้มาด้วยการคัดเลือกโดยอรรถโดยธรรมแล้วจะมีแต่ความดีติดเนื้อติดตัวและตลอดไปด้วย ถ้าไม่สนใจในอรรถในธรรม ทำตามสันดานหยาบชั่วช้าลามก จะขนแต่ฟืนแต่ไฟมาใส่ตัวนั่นละ นั่นเรียกว่าการสร้างบาป หาบฟืนหาบไฟมาเผาหัวอกของตน ให้พากันจำทุกคนๆ นะ
พระเราให้มีข้อวัตรปฏิบัติให้ละเอียดลออ ทำข้อวัตรปฏิบัติอันใดให้มีสติติดแนบๆ จากนั้นก็ปัญญาใคร่ครวญ นี่เรียกว่าพระที่เรียบร้อย พระมีศีลาจารวัตร เข้าทางด้านของเจ้าของในการแก้กิเลสก็เหมือนกัน อย่าทำท้อแท้อ่อนแอ กิเลสไม่เคยอ่อนข้อต่อใคร ใครเผลอมันซัดทั้งนั้นแหละกิเลส กิเลสนี้ตัวเก่งมากทีเดียว มีแต่ธรรมเท่านั้นแหละเหนือ ท่านว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติเข้าไปตรงไหนกิเลสเกิดไม่ได้นะ ที่มีอยู่ก็หมอบๆ สติเป็นสำคัญ พอเผลอสติ กิเลสโผล่ออกมาแล้วเป็นไฟเผาเจ้าของพร้อมแล้วกับสังขารที่คิด ให้คิดข้อนี้ให้ดีนักปฏิบัติเรา กิเลสจะเกิดขึ้นจากสังขาร กิเลสเกิดเพราะมีสิ่งผลักดันอยู่ภายใน มันอยากให้คิดให้รู้ให้เห็น อยากทำทุกสิ่งทุกอย่างอันที่จะแหวกแนวจากอรรถจากธรรมลงสู่นรก มันอยากเต็มหัวใจ
เพราะฉะนั้นให้มีสติบังคับในหัวใจที่มันกำลังอยากๆ นั้น ตีลงไป แล้วเอาสติติดนั้น หรือเอาคำบริกรรมปิดปากช่องของกิเลสจะเกิดขึ้นมา ด้วยพุทโธ ด้วยสติ สติติดอยู่กับปากทางที่กิเลสจะเกิดขึ้นมา ช่องกิเลสจะเกิดขึ้นมา กิเลสจะหมอบ จิตใจจะมีความสงบเย็น ให้จำเอานะ สติหรือคำบริกรรม คำบริกรรมนั้นเป็นสังขารเหมือนกัน แต่เป็นสังขารฝ่ายมรรค เป็นสังขารฝ่ายธรรมดับกิเลสได้ สังขารฝ่ายกิเลสดับธรรมได้ มีสองอย่างเป็นข้าศึกกัน เพราะฉะนั้นจงเป็นผู้มีสติรอบตัวเองอยู่เสมอ ข้อวัตรปฏิบัติให้เรียบร้อยทุกอย่าง ภายนอกก็ให้เรียบร้อย ภายในก็ให้เรียบร้อย ด้วยความมีสติ เอาละทีนี้จะให้พร
หลังจังหัน
วันนี้ทั้งฆราวาสทั้งพระจะไปประชุมกันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ เวลาดูเหมือนบ่ายโมงหรือไง จะไปประชุมกันคัดค้านที่พวกเปรตพวกผีที่จะมากัดตับกัดปอดของพระพุทธเจ้า คือศาสนสมบัตินั้นไปเป็นส่วนบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักธรรมหลักวินัยหลักศาสนาอย่างยิ่ง อย่างนี้มันก็ทำลงได้ว่างั้นเถอะ นี่ละผู้หยาบมันหาแต่เรื่องขวางโลกขวางสงสาร พวกนี้ถ้าพูดถึงตามความนิยมของโลกก็ว่า เขาเป็นหนึ่งเลยละความรู้ ทั้งเป็นนักกฎหมายการปกครองทุกอย่างรอบหมดพวกนี้ แต่มันไม่ได้นำกฎหมายออกมาใช้ซิ เวลานี้มันกำลังเอากฎหมอยกฎหมามาใช้มันถึงเดือดร้อน พูดอย่างนี้หยาบไหม พิจารณาซิ ที่ทำนั้นเกิดความเดือดร้อนแก่โลกฉิบหายวายปวงไปหมด คำพูดเช่นนี้เพื่อชำระอันนั้น จะสกปรกหรือหยาบโลนไปไหน เอาเทียบกันซิ นี่ละภาษาธรรมท่านพูดอย่างนี้
น้ำชะล้างสิ่งสกปรกคือธรรมะ กฎหมายก็เป็นกฎของธรรมชาติ ที่โลกทั้งหลายอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นพวก ต้องมีขอบเขต ต้องมีกฎข้อบังคับที่เป็นธรรมให้นำไปปฏิบัติเพื่อความสงบร่มเย็นต่อกัน ใครผิดใครถูกวินิจฉัยใคร่ครวญ จึงต้องมีทั้งผู้พิพากษา ศาลฎีกา ทุกประเภท เช่น เมืองไทยของเรา ก็มีมาเพื่อระงับดับทุกข์ของสัตว์โลกที่ไม่ลงรอยกัน ให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยใคร่ครวญแล้วตัดสินออกมา และให้ปฏิบัติตามนั้น ความมีอำนาจมากก็คือศาล มี ๓ อย่างหรือไงเราลืมๆ เสีย คือศาลเป็นที่ไว้ใจของชุมชน ทางกฎหมายเป็นอย่างนั้น ถ้ากฎหมอยเข้าไปแทรกแล้วก็เอียงโน้นเอียงนี้ เห็นแก่พรรคแก่พวก ตัดสินไม่เป็นอรรถเป็นธรรม ผู้ได้รับก็เกิดความเดือดร้อนเพราะไม่เป็นธรรม ถ้าตัดสินเป็นธรรมแล้วก็ยอมรับกัน เพราะผู้พิพากษาเหล่านี้ต้องเป็นผู้มีธรรม ถือธรรมเป็นรากฐานสำคัญ คือโลกไว้วางใจ ตายใจได้ ยอมรับได้
แต่เมื่อกฎหมอยแทรกเข้าไปนั้น เช่นคนทุจริตอยู่ในนั้นไม่เป็นธรรม นั่นเรียกกฎหมอย มันจะเอากฎหมายออกมาใช้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลง เห็นแก่พรรคแก่พวก เห็นแก่หมู่แก่เพื่อนไปเสีย ยิ่งกว่าเห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ความยุติธรรมที่จะทำโลกให้เย็น โลกก็ร้อนไปตามกฎหมอยนี่ละ กฎหมอยมันแทรกศาลมันก็แทรกอย่างนี้ แล้วหยาบไหมพูดอย่างนี้ ของปลอมเข้าไป ของไม่มีค่าไม่มีราคาทำความเสียหายแก่ผู้อื่น หยาบขนาดไหนนั่น ถึงขั้นความเสียหาย การพูดเพื่อชะล้างอันนั้นเข้าไปอย่างนี้หยาบที่ตรงไหน นั่นละภาษาธรรม
เราพูดจริงๆ ที่เราพูดทั้งหมดเราไม่เคยไปนึกว่าเอาความหยาบโลนอะไรมากระแทกแดกดันกัน เราไม่มี ลงตามแง่หนักแง่เบาของเหตุผลที่จะชะล้างกัน หรือตอบโต้กัน รับกันได้แบบไหนๆ เป็นไปตามธรรมทั้งนั้น อะไรฝืนธรรมเราพูดจริงๆ เราไม่เคยมีในใจ ถ้าฝืนธรรมทำลงไปนี้เราทำไม่ได้ เราพูดจริงๆ พอฝืนธรรมปั๊บถอยกรูดทันทีเลย ถ้าเป็นธรรมแล้วออกๆ เป็นธรรมกว้างแคบขนาดไหนจะออกตามนั้นเลยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น ฟังเสียงธรรมอย่างเดียว เพราะธรรมเป็นเครื่องปกครองโลก แต่ละคนๆ ไม่สามารถปกครองได้ถ้าไม่มีธรรมในใจ และสามารถทำโลกให้ฉิบหายได้ทั้งนั้น
พวกที่ก่อความเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ ให้โลกทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนมาจากหัวหน้าๆ มีแต่คลังกฎหมอยทั้งนั้น มันไม่ได้เอากฎหมายมาใช้ มันเรียนกฎหมาย แต่เวลามาใช้เอากฎหมอยแล้วก็กฎหมามาใช้ กฎหมอยแล้วลงไปกฎหมา ต่ำลงไปๆ โลกก็เดือดร้อนมากขึ้น ถ้าเอากฎหมายมาใช้จริงๆ ที่ไหนจะสงบร่มเย็นยิ่งกว่ากฎหมายปกครองโลก ปกครองด้วยกฎหมายคือศีลธรรม กฎหมายนี่เอาออกมาจากศีลธรรม คือความยุติธรรมมาเป็นกฎหมาย เพราะฉะนั้นพูดถึงเรื่องกฎหมาย ธรรมจึงทราบกันได้ทันทีๆ เพราะกฎหมายยังหยาบกว่าธรรม เอาออกไปจากธรรมก็ยังเป็นลูกของธรรม ไม่ได้เหนือธรรม
พวกปลิ้นปล้อนหลอกลวงนี่ละ พวกสกปรกพวกเลวร้ายที่สุด เวลานี้กำลังดาษดื่น จึงได้พูดออกว่า อลัชชิตา อลัชชีกำลังเกิดในเมืองไทยของเราทั้งทางโลกทางธรรม อลัชชีคือความไม่ละอายบาปเสียอย่างเดียวมันทำได้หมด ก่อความเดือดร้อนได้ทั้งนั้น ถ้ามีลัชชิตาคือความละอายอยู่บ้างแล้วก็จะสงบร่มเย็น ถ้าอันนี้มีมากเท่าไรโลกยิ่งมีความเดือดร้อนมากขึ้น ในใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าวันไหนกิเลสออกทำงานมากๆ วันนั้นเจ้าของนอนแทบไม่หลับ หรือนอนไม่หลับก็มี นี่กิเลสออกทำงานมากๆ ถ้าธรรมออกทำงานแล้วสงบร่มเย็นภายในใจ
เช่นอย่างเรานั่งสมาธิ จิตใจของเรามีความสงบเย็น จนแปลกประหลาดอัศจรรย์ในตัวเองแล้ว ตื่นขึ้นมาวันนั้นอารมณ์ของธรรมนี้ จะคุ้มครองรักษาให้ชุ่มเย็นตลอดเวลา นั่นเป็นอย่างนั้น พิษของกิเลสกับอำนาจของธรรมต่างกัน วันไหนภาวนาไม่ดี วันนั้นไม่สบาย คือถูกกิเลสตีมันจึงไม่สบาย แพ้กิเลส คือต้องชนะเป็นพักๆ ไป ถ้าวันไหนธรรมเจริญในใจวันนั้นสงบเย็น ยิ่งจิตรวมสงบลงไปจนแปลกประหลาดอัศจรรย์ในตัวเองแล้ว วันนั้นธรรมคุ้มครองทั้งวัน เย็นตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นนะ
คำว่าธรรมก็เคยพูดให้ฟังมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน จะสัมผัสสัมพันธ์ได้ที่ใจซึ่งเป็นนักรู้ ไม่ว่าธรรมไม่ว่าอธรรม บาป บุญ สุข ทุกข์ จะสัมผัสสัมพันธ์ที่ใจนี้ทั้งนั้น ไม่มีที่อื่นที่ใดเป็นที่สัมผัสสัมพันธ์และที่อยู่ของความดีความชั่ว ความสุขความทุกข์ทั้งหลาย มาอยู่ที่ใจซึ่งเป็นนักรู้นี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงสอนใจให้รู้ผิดรู้ถูกรู้ดีรู้ชั่ว จะได้หลบหลีกปลีกตัวได้ทันกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนขึ้นมาภายในระหว่างกิเลสกับธรรม ซึ่งเกิดอยู่ภายในใจตัวเอง มีสติคอยพินิจพิจารณาเสมอ สิ่งใดที่ผิดแม้อยากคิดก็หักห้ามกันอย่างรุนแรง ถ้าปล่อยไปก็เตลิดเปิดเปิงและกว้านไฟเข้ามาเผาเราเอง
ความห้ามคิดนี่สำคัญมาก อันใดที่เป็นภัยมันชอบจะคิดสิ่งนั้น เรื่องกิเลสหนุนให้ไปทันทีเลย ถ้าอะไรไม่ดีแล้วกิเลสจะหนุนให้อยากคิดอยากทำ อยากดูอยากรู้อยากเห็นทุกอย่าง นี่คือเรื่องของกิเลส ธรรมเป็นเครื่องหักห้ามเอาไว้ ถึงมันอยากขนาดไหน ความอยากนี้เป็นภัย ไม่ให้มันอยาก บังคับลงด้วยอรรถด้วยธรรม จิตใจก็สงบ ผลแห่งธรรมคือเย็นสบายห้ามได้ ถ้าปล่อยให้มันไปมันก็ยิ่งลุกลามไปมาก ยิ่งโกรธแค้นให้ผู้ใดแล้วยิ่งคิดทั้งวัน คิดก็ไม่คิดอะไร เอาไฟเผาตัวทั้งวันไม่รู้ตัวเลยนะ เอาเขาเป็นโล่ข้างหน้า ไม่พอใจในเขา ความไม่พอใจมันเกิดจากใจของเรา มันเผาใจของเรา เราไม่คิด คิดแต่ข้างนอก เขาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
เรื่องความไม่ดีของเขาแหละเอามาเผาตัวเองตลอดเวลา นี่ละเรื่องกิเลสไม่มีว่าเก่าว่าใหม่ มันสดๆ ร้อนๆ ถ้าคิดขึ้นมาภายในจิตใจแล้ว เขาตายไปแล้วกี่ปีกี่เดือนมันระลึกได้มันก็เอามาเผาตัวเองอยู่เป็นสดๆ ร้อนๆ ขึ้นชื่อว่าความชั่วเป็นอย่างนั้น ไปติดพันกับผู้ใดความชั่วจะติดตัวเองตลอดเวลา นั่นท่านเรียกว่ากิเลส สร้างแต่ฟืนแต่ไฟ ถ้าธรรมระงับดับไฟไม่ให้คิด คิดไปหาอะไรเรื่องคิด ดีชั่วก็ผ่านไปแล้วเป็นเรื่องของเขา เราจะระงับตัวของเราแบบไหนก็ให้ระงับลง นั้นถึงถูกต้อง
นักภาวนาจะรู้เรื่องจิตใจของตนได้ดี เพราะสนามรบอยู่ที่ใจแห่งเดียว กิเลสคือฟืนไฟก็เกิดที่ใจ น้ำดับไฟก็ดับที่ใจ จึงรู้ได้สำหรับผู้สนใจภาวนา จะรู้เหตุการณ์ดีชั่วและปลดเปลื้องตนได้ ด้วยอำนาจแห่งการพินิจพิจารณาด้วยการภาวนานั้นแหละ ถ้าไม่ได้พิจารณาทางด้านจิตใจตนเอง ไม่มีภาวนาแฝงอยู่บ้าง โหย ดับไม่ลงนะ ปล่อยให้มันดับเองก็เป็นเถ้าเป็นถ่านแล้ว เหมือนไฟได้เชื้อ ปล่อยให้มันดับเองจนเชื้อไฟไม่มีเหลือ เป็นเถ้าเป็นถ่านแล้วไฟมันก็ดับไปเอง นี่ละมันเผาเจ้าของจนหมดค่าหมดราคาแล้วจะเผาอะไรอีกล่ะ นั่น นี่ละถ้าปล่อยให้ไฟเผามันเผาได้จนเป็นเถ้าเป็นถ่าน ถ้าปล่อยให้กิเลสย่ำยีเจ้าของจนหมดราค่ำราคา เหลือแต่ร่างเป็นมนุษย์เฉยๆ ถ้าไม่มีเครื่องหักห้าม
น้ำดับไฟมีแต่ไม่เอามาดับ ปล่อยให้มันไหม้เสียจนเป็นเถ้าเป็นถ่าน เป็นยังไงพิจารณาซิ น้ำดับไฟก็คือธรรมดับความชั่วทั้งหลายมีอยู่ เอามาแก้กันดับกันซิ มันอยากคิดไม่คิด อยากทำไม่ทำ อยากพูดไม่พูด เก็บความรู้สึกไว้ มันจะเผาให้เผาตัวเองคนเดียวดีกว่าลมปากมันจะโพล่งออกไปแล้วก็ไปเผาคนอื่นให้เกิดความเดือดร้อนไม่มีขอบเขต ให้ระงับตัวเอง นี่เรียกว่าธรรม ท่านสอนให้ดูจิตใจตัวเองมากกว่าอื่น ดูจิตใจตัวเองหลบหลีกปลีกตัวได้แล้ว เขาจะเป็นฟืนเป็นไฟเราก็ไม่เป็น เราก็เย็น ให้พากันไปปฏิบัติเรื่องอรรถเรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น
ที่เราสอนโลกมานี้ก็พอดี ตั้งแต่เรียนหนังสือจนกระทั่งออกปฏิบัติ ไม่เคยสนใจสอนใครเลยนะ ไม่สอน เรียนมาขนาดไหนไม่สอน เพราะมุ่งหน้าที่จะสอนเราโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จะแก้กิเลสให้สิ้นซากไปจากหัวใจอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่สอนใคร ความรู้จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงไร ที่จะแย็บออกไปสอนคนนั้นคนนี้ไม่มี ความรู้เกิดขึ้นมากน้อยทุ่มเข้ามาแก้เจ้าของๆ จนกระทั่งหมดสิ่งที่จะแก้ไม่มีอะไรเหลือ ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว ขึ้นชื่อว่าเหตุปัจจัยไม่มีแล้ว อะไรมันก็ไม่เกิด
ตัวเชื้อไฟที่สุดก็คือกิเลส ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาหนุนขึ้นให้ สงฺขารา ให้คิด อวิชชาเป็นกิเลสดันออกมาให้คิด คิดก็เป็นเรื่องกิเลส เห็นเป็นเรื่องกิเลส ได้ยินเป็นเรื่องกิเลส เพราะอันนี้ดันออกมา อยากเห็นอยากดู อยากรู้อยากฟังอยากทดลองทุกอย่าง เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ทีนี้ดับด้วยสติด้วยปัญญาบังคับเอาไว้ๆ นี่เรียกว่าฝึกหัดตน มันจะคิดทางชั่วไม่ยอมให้คิด บังคับ ต้องบังคับ เหมือนนักมวยต่างฝ่ายต่างเจ็บเหมือนกัน แต่จะหวังเอาชนะ เจ็บปวดก็ไม่ได้สนใจ นี่ก็เหมือนกัน ความทุกข์ยากลำบากมากน้อยไม่สนใจ มีแต่จะเอาชนะกิเลสให้ได้ๆ ก็ฝึกอย่างนั้น ฝึกมาเรื่อยๆ ผลก็ปรากฏขึ้นมา เป็นความสงบเย็นขึ้นมาๆ จนเป็นรากเป็นฐานแน่นหนามั่นคงภายในใจ
จากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา ปัญญามีความสว่างไสว พินิจพิจารณาธาตุขันธ์ภายนอกภายในเทียบเคียงกัน ปล่อยวางกันไป เมื่อรู้เหตุรู้ผลชัดเจนแล้วปล่อยกันไปๆ อารมณ์ที่ละเอียดของกิเลสยังมีอยู่ สติปัญญาก็เป็นนามธรรมด้วยกัน แก้กันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือภายในใจ ทีนี้หมดแล้วเชื้อแห่งทุกข์ดับไปเท่านั้น ทุกข์ก็ไม่มี เชื้อแห่งทุกข์คือกิเลสที่ละเอียดสุดยอด ท่านเรียกว่า อวิชฺชาปจฺจยา นี่ละฐานแห่งภพแห่งชาติของสัตว์ อยู่จุดนี้ พออันนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว ไม่มีอะไรจะมาก่อทุกข์ให้หัวใจดวงนั้นอีกต่อไป หมดเหตุหมดปัจจัย หมดเรื่องหมดราวทุกอย่าง หมดโดยสิ้นเชิง หมดตลอดไปเลย เรียกว่านิพพานเที่ยง คือจิตที่บริสุทธิ์เที่ยงตรง สมมุติไม่เข้าไปถึงแล้วเรียกว่าเที่ยงตรง
การที่กล่าวมาทั้งนี้ได้ปฏิบัติมาแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการสอนโลกนี้จึงไม่เคยสงสัยว่าตนสอนผิดถูกประการใดไม่มี ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใดสอนด้วยความแน่ใจ ออกมาจากความรู้ความเห็นที่ทรงธรรมทั้งหลายไว้นี้ออกแสดงแก่โลก จึงไม่เคยได้คิดระแคะระคายในตัวเองว่าได้สอนธรรมในขั้นนั้นผิดไปขั้นนี้ผิดไป ไม่มี เพราะธรรมชาตินี้ถูกต้อง ทรงไว้แล้วด้วยความถูกต้อง นำออกไปขนาดไหนก็เป็นความถูกต้องตามๆ กันไป จนกระทั่งถึงที่สุดหลุดพ้น เป็นความถูกต้องของใจที่ทรงไว้แล้วทั้งนั้น จึงไม่มีอะไรสงสัย นั่นละพระพุทธเจ้าท่านสอนโลก เรื่องของศาสดาเป็นภูมิของพระพุทธเจ้า กว้างขวางลึกซึ้งแยบคายขนาดไหน เราเพียงตัวเท่าหนูนี้ก็เต็มภูมิของเราที่จะสอนได้เต็มกำลังของตนไม่สงสัย เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าสอนโลกด้วยความไม่สงสัย พระองค์เรียกว่า โลกวิทู โลกวิทูของศาสดา โลกวิทูของสาวก ตามภูมิวาสนาของตน สอนได้เต็มภูมิเหมือนกัน ไม่ไปหยิบยืมของผู้ใด
บรรดาสาวกทั้งหลายที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จะไปหยิบยืมพระพุทธเจ้าไม่มี ปฏิบัติขึ้นมาผลเกิดขึ้นมาที่ใจๆ ได้มากน้อยประจักษ์กับใจหายสงสัยๆ เป็นลำดับ เอาเสียจนกระทั่งเต็มภูมิแล้วที่นี่สอนโลกได้เต็มภูมิไม่สงสัย คือท่านผู้บริสุทธิ์สอนโลกท่านสอนอย่างนั้น ไม่ได้ลูบๆ คลำๆ กำดำกำขาว นั้นถูกหรือผิดนาอย่างนี้ มันผิดไปเรื่อยๆ ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีลูบๆ คลำๆ อยู่แล้วผิดไปเรื่อยๆ ผิดกับถูกเลยเจือปนกันไป ทีนี้ผู้ฟังก็เลยยึดเอาหลักเอาเกณฑ์ไม่ได้ ถ้าออกไปด้วยความถูกต้องของใจทุกสัดทุกส่วนแล้ว ไปไหนถูกต้องหมด ยึดไปปฏิบัติได้ทั้งนั้นๆ
นี่เราสอนโลกเราก็สอนด้วยความไม่สงสัย จวนจะตายเท่าไรยิ่งเปิดออกให้พี่น้องทั้งหลายทราบเรื่องอรรถเรื่องธรรม ใครจะว่าโอ้ว่าอวด อันนั้นมันพวกมูตรพวกคูถมันมาอวดธรรมต่างหาก ธรรมแท้ไม่ใช่มูตรไม่ใช่คูถ ธรรมแท้เป็นธรรมสอนโลก มูตรคูถไปสอนโลกที่ไหนไม่มี ท่านจึงไม่เอาเข้ามาเกี่ยวข้อง สอนโลกด้วยธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยความไม่สงสัยของตน นี่ก็สอนโลกไม่สงสัย สอนโลกมาตั้งแต่เริ่มต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น ได้ ๕๔-๕๕ ปีนี้แล้ว สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เบื้องต้นสอนพระก่อน สอนพระนี้เรียกว่าธรรมะเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดทั้งนั้น พระล้วนๆ แล้วสอนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ธรรมะส่วนมากจะเทศน์แต่ขั้นสมาธิขึ้นไป
เพราะศีลต่างองค์ต่างระมัดระวังเข้มงวดกวดขันอยู่แล้ว ไม่ด่างพร้อยขาดทะลุไปที่ไหน มาด้วยเจตนาเป็นธรรม ฟังธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลจริงๆ ด้วยความเต็มใจฟัง ผู้เทศน์ก็เทศน์ด้วยความเมตตาสงสาร กระจายออกไปตรงไหนเป็นธรรมล้วนๆ ไม่มีคำว่าปลอมๆ ผู้ฟังก็ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไป สอนโลกเราก็สอนอย่างนั้นเราไม่สงสัย ใครจะว่าอะไรกับเราไม่มีความหมาย มันอยู่ในความหมายของเขาผู้ว่าเอง ตำหนิก็เป็นความผิดของผู้ตำหนิ ชมก็เป็นความถูกต้องเพราะเหตุเกิดขึ้นจากผู้ทำ คิดขึ้นมาก็นั้นละผู้ทำ พูดออกมาก็นั้นละผู้ทำผู้พูด กระทำออกมาก็เป็นผู้ทำ เหล่านี้ไม่ว่าดีว่าชั่วย้อนเข้าไปหาตัวเองหมด สำหรับที่จะให้ท่านผู้อื่นได้รับไม่ได้รับ ถ้าเราไม่ไปหลงอารมณ์เขา
แต่พระอรหันต์ท่านจะหลงยังไง ท่านไม่หลง ท่านเป็นธรรมทั้งแท่งอยู่อย่างนั้นตลอดไป เราสอนโลกจะว่าธรรมทั้งแท่งไม่ทั้งแท่งก็สอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราจึงไม่เคยสงสัยหวั่นไหวกับความนินทาสรรเสริญกับโลกซึ่งเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถ เป็นอีกฝั่งหนึ่ง เป็นอฐานะเข้ากันไม่ได้เลยกับธรรมชาตินั้น เราจึงนำธรรมนั้นมาสอนโลกเพื่อผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์ การตำหนิติเตียนกัน การยกยอสรรเสริญด้วยความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร การจะทำลายผู้อื่นด้วยความมุ่งหวังที่โหดร้ายทารุณ ความโกรธความแค้นของตน ก็ยิ่งเป็นโทษแก่ตนเป็นลำดับลำดาไป ที่จะให้ผู้อื่นได้รับไม่ได้ ไม่มี เป็นอฐานะ ยิ่งเป็นพระอรหันต์ท่านไม่หลง
อารมณ์อะไรมาท่านก็ไม่หลง สรรเสริญเยินยอยกขึ้นฟากจรวดดาวเทียมท่านก็ไม่หลง เขาจะเหยียบลงไปใต้ก้นนรกท่านก็ไม่ร้อนท่านก็ไม่หลง เรียกว่าท่านพอแล้ว ดังที่ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า กิเลสปงฺโก อันว่าเปือกตมคือกิเลส ติฏฺฐติ ย่อมตั้งอยู่ จิตฺเต ในจิต อรหนฺตานํ ของพระอรหันต์ทั้งหลาย น จิรติฏฺฐติ ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นานย่อมกลิ้งตกไปฉันใด เหมือนกันกับน้ำตกลงบนใบบัว ตกลงแล้วต่างอันต่างไม่มีเจตนาต่อกัน น้ำก็กลิ้งตกไป ใบบัวก็ไม่ซึมซาบกับน้ำ นั่นแหละเรื่องกิเลส
คำว่า กิเลสปงฺโก เปือกตมคือกิเลสที่ติดในพระอรหันต์นั้น พูดอันหนึ่งน่าถามกันอยู่ ก็เป็นอรหันต์แล้วกิเลสอะไรมาตกมาติดท่าน คือกระแสของกิเลสที่เคยเป็นอยู่ในขันธ์นั้นแหละ จะให้เป็นกิเลสจริงๆ ไม่ ความคิดความปรุงตามเรื่องราวของกิเลสมาแต่ก่อน ท่านผ่านไปในอารมณ์นั้นที่เรียกว่า กิเลสปงฺโก อันว่าเปือกตมคือกิเลส ตกลงในจิตของพระอรหันต์ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้นานย่อมกลิ้งตกไป ก็คือท่านคิดถึงเรื่องโลภเรื่องโกรธเรื่องหลง เรื่องรักเรื่องชัง คิดไปๆ ผ่านไปธรรมดาๆ ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้โลภไม่ได้โกรธไม่ได้หลง ท่านบริสุทธิ์แล้ว ความคิดประเภทนั้นเป็นกระแสของกิเลสมาดั้งเดิม นั่นละท่านเรียกว่ามันตั้งในจิตพระอรหันต์ คือความคิดในขันธ์นั้นแหละมันตั้งลงแล้วก็ตกไปตามธรรมชาติของมัน ที่ท่านเรียกว่าขันธ์ล้วนๆ นี้ละที่ว่าตกไปๆ จะให้กิเลสเป็นอยู่ในจิตของพระอรหันต์จริงๆ ไม่มี มีแต่อารมณ์ของขันธ์ที่เป็นสายของอดีตแห่งกิเลสทั้งหลาย เคยรักเคยชังเคยเกลียดเคยโกรธ เช่นไปรักคนนั้น ไปชังคนนี้ จิตใจมันผ่านไปๆ อย่างนี้ เหมือนกับว่าเรื่องของกิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นในขันธ์ท่าน แล้วไปตกในจิตของพระอรหันต์กลิ้งตกไปๆ ให้พากันเข้าใจเสียนะ
ที่ว่าเปือกตมคือกิเลสตั้งอยู่ในจิตของพระอรหันต์ย่อมไม่ตั้งได้นาน คือกระแสของจิตที่มันเคยคิดในอดีต เคยรักเคยชังใครๆ จิตเดินผ่านไปๆ ไม่ติดไม่พันแหละ ความคิดเหล่านี้แหละเป็นเรื่องกระแสของกิเลสมันคิดขึ้นในใจๆ มันก็ตกไปของมันๆ นี้ละที่ว่ากิเลสตั้งในจิตพระอรหันต์ คือกระแสของกิเลสที่ติดอยู่ในขันธ์นั้นแหละออกไป ตัวจิตเองไม่มี มีแต่ผ่านไปแล้วก็ตกไปตามธรรมชาติของมัน จะยึดให้อยู่ก็ไม่อยู่ ไม่ว่าความรักไม่ว่าความชังไม่อยู่ เป็นเพียงผ่านไปๆ ตามอดีตของตนที่เคยคิดมาเรื่องไร ไปรักนั้นไปชังนี้ โกรธคนนั้นโกรธคนนี้ อย่างนี้เป็นเรื่องของขันธ์ที่ไปตามกระแสของอดีตที่เคยเป็นมา ท่านจึงเรียกว่ากิเลสเฉยๆ ความที่จะเป็นกิเลสจริงๆ ไม่มี กรุณาทราบไว้อย่างนี้ มันผ่านไปจิตก็รู้เอง จะทำให้เป็นอย่างไรไม่ได้แล้วธรรมชาตินั้น เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด อันนั้นไม่ใช่สมมุติจึงเข้ากันไม่ได้
นี่ก็ได้พิจารณาและสอนโลกมานานก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่เคยมี เรื่องพระพุทธเจ้า เรื่อง กิเลสปงฺโก เหล่านี้นะ เป็นสดๆ ร้อนๆ มาตลอด พระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์สาวกองค์ใดก็มีกิริยาอย่างนี้เหมือนกันหมด ตกไปหมดๆ ไม่ได้แปลกต่างแต่เราคนเดียวอย่างนี้ เป็นเหมือนกันหมด เป็นทางเดินของขันธ์ ขันธ์ล้วนๆ มันก็เดินไปตามสายทางของมันที่เคยเป็นมายังไง ระลึกได้จำได้ก็คิดไปปั๊บผ่านไปๆ ไม่ได้สั่งสม ไม่ได้ซึมซาบ นั่นละเอาอันนั้นละมาเป็นน้ำว่า เปือกตมคือกิเลสตกลงในจิตของพระอรหันต์แล้วกลิ้งตกไปๆ มันคิดไปมันตกไปของมันเองอย่างนั้นแล ให้มันผ่านในจิตแล้วมันรู้เอง พระพุทธเจ้าจึงสดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจดวงนี้ด้วยกันทุกคน จะไปถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน อย่าไปถาม
พระพุทธเจ้าที่เสด็จที่นั่นที่นี่นั้นเป็นเรือนร่างของพระพุทธเจ้า เช่น ปรินิพพานที่เมืองอินเดียอย่างนี้ก็เหมือนกัน นี้ก็คือพระรูปพระโฉมพระสรีระของพระพุทธเจ้าหมดสภาพแล้วดับลงเหมือนโลกทั้งหลายตายกัน แต่เรียกท่านว่านิพพานเท่านั้นเอง นั่นเป็นเรือนร่างของพระพุทธเจ้า พุทธะแท้คือธรรมธาตุนี้เอง เพราะฉะนั้นจิตดวงนี้เมื่อก้าวเข้าสู่ธรรมธาตุจึงเป็นอันเดียวกันหมดเลย ไม่ต้องไปถามหาพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ใกล้ไกลมากน้อยมีเท่าไร ไม่ถาม กระจ่างถึงกันหมด เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรดังที่เคยพูดแล้ว มือจ่อลงไปปั๊บถึงกันหมดแล้ว คือแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน อันนี้จิตเมื่อถึงนี้ปั๊บเท่านั้นกระจ่างถึงกันหมด ท่านจึงไม่สงสัยพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่ามีมากมีน้อย หรือว่ามีหรือไม่มีท่านไม่สงสัย ประจักษ์อยู่ในใจของท่านแล้ว
จิตใจสูญหรือไม่สูญก็รู้อยู่นี้ว่าสูญไหม ตั้งแต่ท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตายแบกภพแบกชาติมากี่กัปกี่กัลป์ก็จิตดวงนี้ๆ ไปตกนรกหมกไหม้จะทุกข์แสนสาหัสก็ยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ยอมฉิบหายก็คือจิตดวงนี้ ทีนี้เวลาก้าวขึ้นมาๆ จนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นเป็นธรรมธาตุ ก็คือจิตดวงนี้ ฉิบหายไปไหน นี่ละตัวท่องเที่ยวมันไม่ฉิบหาย ท่านจึงสอนให้สอนจิตนะ สั่งสอนให้อบรมจิตนะ จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว ให้อบรมไปในทางที่ถูกที่ดี ท่านว่าอย่างนั้น ตัวนี้ไม่มีคำว่าดับว่าสูญ ถึงธรรมธาตุแล้วดับสูญที่ไหนอีก ก็เป็นธรรมที่เที่ยงเท่านั้นเอง เรียกว่าธรรมธาตุไปเลย
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เราไม่ได้ไปหาเอาคัมภีร์ใดมายืนมายันเพื่อความแน่นหนามั่นคงของเรา นี้พอแล้วความเป็นอยู่ในจิต การแสดงออกทั้งหมดพอแล้วในตัวของเรา พอแล้วในพระพุทธเจ้า พอแล้วในสาวกทั้งหลาย ที่เป็นแบบเดียวกันนี้ไม่มีใครถามกัน พอแล้วด้วยกันไม่ต้องถามกัน เต็มภูมิแห่งความพอแล้วของตนด้วยกันทั้งนั้น ท่านจึงสอนได้อย่างแม่นยำๆ ไม่ผิด ให้พากันปฏิบัตินะ เราอย่าเอาตั้งแต่พวกหูหนวกตาบอดลูบคลำแล้วมาสอนกัน มีแต่หลอกกันทั้งนั้น คนตาบอดมันจะพาไปถูกทางยังไง มันก็ต้องไปผิดทาง ลงเหวลงบ่อไปอย่างนั้น ธรรมะพระพุทธเจ้านี้กระจ่างแจ้ง ให้ยึดเอานี้เป็นหลัก
เราอย่าเชื่อกิเลส กิเลสมันกระซิบกระซาบ เช่นอย่างเวลานี้ฟังครูบาอาจารย์จิตใจมันก็ฟัง พอจากนี้ไปแล้วอาจารย์ใหญ่คือกิเลสจะรุมล้อมที่หัวใจ แล้วฉุดไปโน้นลากไปนี้ตลอดเวลา ให้จำให้ดีศาสดาใหญ่องค์นี้ เรานี้เป็นที่ลงใจ สำหรับสอนโลกนี้เราสอนด้วยความลงใจแน่ใจ ผู้ปฏิบัติจะได้ตามมากน้อยก็เป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมของโลกของสัตว์ไปเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าสอนโลกถึงเวลาแล้วท่านก็ผ่านของท่านไป สาวกทั้งหลายถึงเวลาของท่านแล้วท่านก็ผ่านของท่านไป สอนได้มากน้อยเพียงไร ใครจะรับได้แค่ไหน ก็เป็นกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์เท่านั้นเอง
นี่เราพูดเราไม่ได้วัดรอยเราไม่ได้เย่อหยิ่ง เราเอาหลักความจริงมาพูด นี่สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเวลา ๕๕ ปีนี้แล้ว สอนโลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรสงสัยในธรรมที่นำมาสอนโลก เต็มเม็ดเต็มหน่วยจนกระทั่งบัดนี้ จนกระทั่งถึงขั้นตายไป ใครจะยึดได้มากน้อยก็เป็นเรื่องของคนนั้น จะมาว่าเราได้เราเสียของเราไม่มี ท่านผู้สอนด้วยความบริสุทธิ์จะไม่มีคำว่าได้ว่าเสีย ท่านพอทุกอย่างแล้ว ส่วนจะได้จะเสียมันเกิดอยู่กับผู้ฟังต่างหาก ผู้ฟังคิดไปทางผิดก็เสียไป คิดไปทางถูกตามอรรถตามธรรมก็ถูกต้องไปเท่านั้นเอง พากันจำเอานะ วันนี้พูดเท่านี้ พูดธรรมล้วนๆ เอาละพอ
โยมอินโดฯ ภาวนารู้สึกเบาขึ้น ใจผู้รู้ไม่อยากรู้อะไร
หลวงตา นี่เรียกว่าธรรมชาติไม่ต้องเรียนจากใคร เป็นขึ้นมาจากการภาวนา เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยม พูดตามความจริง
โยมอินโด ต่อไปต้องทำอย่างไรบ้าง
หลวงตา เดี๋ยวนี้กายมันไม่เอาแล้วหรือ
โยมอินโด ไม่เอาค่ะ
หลวงตา อย่างนั้นแหละมันอิ่ม เหมือนเด็กรับประทานอิ่มแล้วก็หยุดเอง ป้อนลงไปมันก็ไม่เอา เด็กมันรู้ภาษีภาษาอะไร แต่เวลาอิ่มมันก็รู้ของมัน อันนี้ก็เหมือนกัน ร่างกายนี้ใครบอกเมื่อไรว่ามันจะปล่อย เวลามันพัวพันกันมันพันกันเลย เอากันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรื่องพิจารณาร่างกายนี้ โห ชุลมุนวุ่นวายมาก เราจึงไม่อยากจะพูดว่าเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือมันชุลมุน ก้าวจากนี้ไปแล้วปล่อยไปแล้ว ทีนี้ก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติที่จะหมุนขั้นของธรรมให้ละเอียดเข้าไปๆ อันนี้ก็เหมือนกัน ทีนี้มันไม่เอากายแล้วมันเป็นยังไงที่นี่
โยมอินโด เห็นร่างกายไหม้แล้วก็แตกสลายไปเอง นึกขึ้นมาก็แตกไปเองอีกอยู่อย่างนี้
หลวงตา ให้พิจารณาเรื่องอาการของจิตที่มันเกิดมันดับนะ เมื่อมันไม่เอากายแล้ว อาการของจิตเกี่ยวกับจิตมันยังเอา พวกสัญญา สังขาร ความคิดความปรุง ความจำ เห็นอะไรมันจะเข้าจิตนั้น มันไม่เอากายแต่มันเข้าไปอยู่ในจิต ให้ตามรู้ตามเห็นมันเกิดมันดับ ดีชั่วเกิดที่จิตดับที่จิต ให้ดูที่นั่น ฐานที่เกิดของมันอยู่ที่ไหนให้ตามเข้าไป
โยมอินโด ตอนนี้ไม่อยากรู้อะไรเลย
หลวงตา ไม่อยากรู้ก็ให้อยู่กับความรู้ ไม่ต้องบังคับ ให้อยู่กับผู้รู้ ไม่อยากรู้มันจะรู้ขึ้นมา แง่ใดแง่หนึ่งมันรู้ของมันจนได้ ถึงไม่อยากรู้มันก็ออก พวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้มันจะป้วนเปี้ยนอยู่กับจิต ไม่ได้มาทางกายมันก็อยู่ทางจิต เช่นเวทนาทางกายหมดไป เวทนาทางจิตยัง มันก็ยังมีอยู่งั้น แล้วสัญญา สังขาร วิญญาณ มันจะคิดจะเกิดจะดับที่จิต ให้ดูจิตที่นี่ ไม่อยากดูก็ตามแต่มันจะมีขึ้นให้ดูอยู่นั้นแหละ ให้มันอยู่เฉยๆ มันไม่อยู่ มันหากรู้ขึ้นมาของมัน โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องอยากคิดอยากปรุงอะไร ว่าอยู่เฉยๆ มันไม่อยากคิด มันก็จะคิดของมันอยู่งั้นแหละ เวลารู้มันก็รู้ขึ้นมาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะมันไม่ใช่คนตาย ระยะนี้จิตเป็นยังไงก็รู้ ครั้นมันหมดโดยสิ้นเชิงแล้วมันก็รู้เอง เดี๋ยวนี้หมดโดยสิ้นเชิงแล้วยัง
โยมอินโด ยังค่ะ
หลวงตา นั่นบทเวลาจะเอาจริงๆ มัดเข้าไปเห็นแต่ติดปุ๊บเลย นี่ละให้ตามเข้าไปหาจุดนี้แหละ ที่บอกนี้ก็เพื่อจะให้เข้าจุดเข้าใจไหมล่ะ
โยมอินโด ยังสงสัยอยู่
หลวงตา มันยังไม่หมดจึงสงสัย ถ้าหมดแล้วไม่มีสงสัย พูดแล้วสาธุ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ไม่สงสัยทันทีเลย ตัดสินผึงขึ้นมานี้จ้าขึ้นแล้วรู้หมดเลย หายสงสัย ดูจิตมันจะคิดเรื่องอะไร ที่ว่ามันไม่อยากคิดอยากรู้อะไร อันนั้นเป็นกิริยาอันหนึ่งที่เราพูดออกมา ธรรมชาติอันนั้นต้องคิดต้องรู้ต้องเป็นอยู่ในนั้นแหละ ให้ดูอยู่ในนั้น
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |