เทศน์อบรมฆราวาสเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
บูชาพระพุทธเจ้าด้วยความพากเพียร
ทองคำเราเวลานี้ได้ ๓๕๑ กิโลครึ่ง ยังขาดอยู่ ๖๔๘ กิโลครึ่ง ก็ไม่นานละจะครบจำนวนหนึ่งตัน อันนี้ละที่มันคี่ มันข้องใจเราอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นจึงพยายามเอาให้ได้ ในเวลาที่เรามีชีวิตอยู่นี้จะพยายามเอาให้ได้ ๑๐ ตันกว่าเราก็ยังได้มาแล้ว นี่ขาดอยู่เพียง ๖๔๘ กิโลครึ่ง ค่อยขยับเข้าไปๆ ให้ได้เต็มพันกิโล แล้วคราวนี้ก็ประกาศให้เป็นปรกติ หยุดโดยประการทั้งปวง เวลานี้ยังหยุดไม่ได้ทองคำ ที่มันแหว่งอยู่นั้นยังข้องใจอยู่ตลอด ถ้าทองคำไม่ได้คู่ หลวงตาตายแล้วกลัวจะมาเป็นเปรต ใครเข้าไปแถวคลังหลวงเที่ยวตีขาแหลกหมดเลย เข้าใจไหมล่ะ
หลวงตาเป็นเปรตไม่ได้เหมือนใครเป็นนะ เป็นเปรตนี้ก็พิสดารมาก เราจึงไม่อยากเป็นเปรต คือเราไม่อยากตีขาคน ถ้าเราตายตอนที่ยังไม่ได้นี้ตายแล้วไปเป็นเปรตเที่ยวตีขาคน ใครไปรอบๆ คลังหลวงไม่ได้เลย เราจึงไม่อยากเป็นเปรตเพราะไม่อยากตีขาคน ให้ได้เสียนะจำนวนนี้ ได้เท่านี้แล้วรวมทั้งหมดก็เป็น ๑๑ ตัน คราวนี้คู่ แล้วก็พอใจ ในทองคำของเราที่มีอยู่เก่ากับเพิ่มเข้าไปอีก ๑๑ ตันนี้เราพอใจละ เบื้องต้นใจหายวาบเลยเทียว เพราะฉะนั้นจึงออกมาประกาศลั่นโลกเลย นี่ก็ได้เข้าไปๆ จวนจะถึงที่ประกาศแล้ว ทีนี้เราก็พอใจหายห่วง
วันนี้เป็นวันเดือนหกเพ็ญ ตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมนำมาประกาศสอนโลกเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปี ธรรมได้กระจ่างแจ้งในโลกมาจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ซึ่งตรงกับวันนี้ วันที่ท่านจะตรัสรู้ในวันนี้ ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ไม่นานนัก ๔ อสงไขย แสนมหากัป ฟังซินานแสนนาน อสงไขยแปลว่านับไม่ได้ ถึง ๔ หน ถ้าเราเทียบก็ไปยุติกันที่ล้านๆ ทุกวันนี้เอาล้านเป็นประมาณ พอไปถึงล้านก็หนึ่งล้าน สองล้าน สามล้านไปเลย อันนี้ไปถึงนั้นก็เรียกว่าหนึ่งอสงไขย สองอสงไขย สามอสงไขยไปเลย พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท ประเภทหนึ่ง ๑๖ อสงไขย ติดด้วยแสนมหากัป กัปหนึ่งๆ ท่านเทียบไว้ในหนังสือนี้แหม ถ้าธรรมดาแล้วนี้ใจอ่อนไปเลย กัปหนึ่งนานแสนนาน แล้วยังมีอสงไขยอีกด้วย
ประเภทแรก ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป
ประเภทที่สอง ๘ อสงไขยแสนมหากัป
ประเภทที่สาม ๔ อสงไขยแสนมหากัป
พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท ความตรัสรู้เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์เสมอกันหมด แต่อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของพระพุทธเจ้าเป็นไปตามประเภท ประเภทที่หนึ่ง การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกนี้ได้กว้างขวางมากมายทีเดียว ประเภทที่สองก็ลดลงมา พระพุทธเจ้าเรานี้เป็นประเภทที่สาม ขนสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ได้น้อยกว่าสองประเภทเบื้องต้น ถึงจะได้น้อยก็ตาม ขอให้ได้เราเป็นเบอร์หนึ่งเลย ใครจะไปไหนก็ตาม เราขอให้พ้นไปได้คนหนึ่งเป็นที่พอใจ คนจำนวนเท่าไรนับเราเป็นคนที่หนึ่งเลยละ
วันนี้เป็นวันที่ทางราชการเปิดโอกาสให้บรรดาชาวพุทธเรา ทั้งวงราชการ ทั้งประชาชนทั่วๆ ไปได้มีเวล่ำเวลาโอกาสเช่นนี้ในปีหนึ่งๆ ได้บำเพ็ญกองการกุศล ระลึกถึงความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าแล้วน้อมเข้ามาสู่ความพากเพียรของเรา เช่นวันนี้สำหรับผู้ที่อยู่ในวัดนี้ ควรจะฝึกหัดอบรมตนในคืนวันนี้ไม่ควรนอนไม่นอนก็ดี บูชาพระพุทธเจ้าด้วยความพากเพียรของเราวันนี้ทั้งทางพระทางฆราวาส ไม่นอน เพื่อจะบำเพ็ญกองการกุศลผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่บูชาพระพุทธเจ้า แล้วกว้านเอาความดีทั้งหลายเข้ามาสู่หัวใจเราจากการบำเพ็ญของเรา ในวันเช่นนี้จึงถือเป็นวันพิเศษ ควรจะได้อรรถได้ธรรมในวันเช่นนี้
เพราะตามธรรมดากิเลสจะแย่งไปกินหมดทั้งวันทั้งคืน ตลอดเวลาไม่มีเวลาว่าง สำหรับวันนี้เป็นวันว่างอันยิ่งใหญ่ทั่วประเทศไทย เปิดโอกาสให้บำเพ็ญกุศลกันทั้งหมด คือหยุดราชการต่างๆ ให้เป็นโอกาสอันดีงามสำหรับชาวพุทธเราจะได้บำเพ็ญความดีงามของเราในวันเช่นนี้เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า และพระธรรม พระสงฆ์ ไปพร้อมกัน ทั่วประเทศไทยเราวันเช่นนี้ถือเป็นวันสำคัญมีการทำ วิสาขบูชา ประชาชนมาจำนวนมากในวัดต่างๆ มารวมประชุมกันแล้วก็สวดมนต์ไหว้พระ และเดินประทักษิณ คือเดินเวียน ๓ รอบ
ในครั้งพุทธกาลถือการเดินเวียนสามรอบนี้เป็นความเคารพ เดินเวียนนี่เรียกว่าเดินเคารพท่าน ผู้ที่เดินก็ระลึกพุทโธรอบที่หนึ่ง ระลึกถึงธัมโม ภาวนาไป ธัมโมในรอบที่สอง สังโฆเป็นรอบที่สาม เพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า คำว่าเดินเวียนรอบสามหนบางคนไม่เข้าใจ นั่นละคือการเคารพในครั้งพุทธกาล ท่านเดินเวียนรอบ เรียกว่าเวียนเคารพ เดินบูชาหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ เป็นการเดินบูชาระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ติดแนบไปด้วยพระธรรม พระสงฆ์
ในวันเช่นนี้จึงไม่ควรให้พลาดไปสำหรับเราชาวพุทธ วงราชการงานเมืองก็เปิดโอกาสให้หมด เราควรจะได้บำเพ็ญตามเจตนารมณ์ของทางรัฐบาล ทางราชการใครจะบำเพ็ญก็แล้วแต่ ประชาชนเรียกว่าบำเพ็ญเป็นพื้นฐาน ส่วนวงราชการมักจะแฉลบๆ ไปหาที่สนุกสนานรื่นเริงบันเทิง สมัครตัวเป็นขนโค วันนี้คนมักจะเป็นขนโคกันมาก สมัครลงนรกกันเสียมากกว่าผู้ที่จะสมัครตนเป็นเขาโคเพื่อไปสวรรค์ พวกเราจะเป็นเขาโคหรือเป็นขนโคกันในวันนี้ ให้ทำความเข้าใจกับตนเองนะ
วันนี้จะปฏิญาณตนเองให้เป็นเขาโค ด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดี บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในวันวิสาขบูชาเช่นนี้ ปีหนึ่งๆ จะมีหนหนึ่ง บางคนพอมีอย่างนี้แล้วไม่ถึงปีหน้าตายเสีย ก่อนที่จะตายให้ได้บำเพ็ญกุศล ให้คิดถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญมาตั้ง ๔ อสงไขยแสนมหากัป ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ไม่มีใครเกินโพธิสัตว์ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เรื่องความทุกข์ความทรมาน ความอดความทน ทุกอย่างรวมอยู่ในโพธิสัตว์นั้นทั้งหมด จึงเรียกว่าแบกกองทุกข์มาตลอด จนกระทั่งได้ตรัสรู้
อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี่ตรัสรู้แล้วยังทรงท้อพระทัยอีก ทั้งๆ ที่ปรารถนา จะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแทนที่จะสั่งสอนโลกด้วยความสบาย ความสะดวก โล่งพระทัย กลับกลายเป็นความท้อพระทัย เพราะความสว่างกระจ่างแจ้งของจิตดวงนั้น เวลาจ้าขึ้นมาแล้วโลกที่เคยอยู่มากี่กัปกี่กัลป์ ซึ่งเป็นเหมือนโรงลิเกละคร สนุกสนานรื่นเริงกันมาทั้งๆ ที่กองทุกข์เต็มอยู่ในนั้น มันก็เพลินกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เพลินเหมือนกับเขา เศร้าโศกเหมือนเขา ได้รับความสุข ความทุกข์ ความทรมานเหมือนโลกทั่วๆ ไป
ในบรรดาภพของสัตว์ประเภทต่างๆ ตั้งแต่สัตว์ธรรมดาไปจนกระทั่งถึงเปรตถึงผีถึงนรกอเวจี บรรดาสัตว์ทั้งหลายนี้ได้เที่ยวจับจองเอาหมด ไม่มีใครที่จะไม่ได้จับจองเอาสถานที่เหล่านี้นะ แม้พระพุทธเจ้าตั้งแต่เป็นสามัญชนธรรมดาเหมือนเราทั่วๆ ไปท่านก็เที่ยวจับจองกำเนิดเหล่านี้แหละมาเป็นลำดับ สวรรค์-พรหมโลกก็ไป ขึ้นไปลงมา ขึ้นไปลงมา จนกระทั่งถึงนรกอเวจีก็มีการตกลงไปขึ้นมาเหมือนกัน ต่อเมื่อได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ แล้วก็ค่อยเปลี่ยนแปลงภพชาติ ขึ้นมาเรื่อยๆ
พอเป็นโพธิสัตว์ขึ้นมาแล้วเรื่องนรกหมกไหม้ทั้งหลายก็ห่างไกลๆ ภพที่ดีงามทั้งหลายก็เป็นสมบัติของพระโพธิสัตว์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้มาตรัสรู้ พอตรัสรู้จิตใจที่หุ้มห่อไปด้วยกิเลสตัวมืดดำทั้งหลายนี้แตกกระจัดกระจายไปหมดแล้ว ตรัสรู้จ้าขึ้นมาเท่านั้น แล้วมองดูความสว่างจ้าของพระองค์ในขณะนั้น กับมองดูความมืดบอดของสัตว์ทั้งหลายที่จมลงในนรกมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วเข้ากันไม่ได้ นี่ละให้ทรงท้อพระทัย ความมุ่งหมายก็ว่าตรัสรู้แล้วจะเป็นศาสดาสอนโลกได้อย่างสะดวกสบาย แต่กลับกลายมาเป็นความท้อถอยน้อยพระทัยไม่อยากจะสั่งสอนสัตว์โลก เพราะมันหนาแน่นเกินประมาณที่จะทรงสั่งสอนได้
ด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องได้เลือกได้เฟ้นมาสั่งสอนสัตว์โลกจำนวนมากมายที่มืดบอดทั้งหลาย แต่ก็ยังมีผู้มีอุปนิสัยปัจจัยแทรกอยู่ในนั้นๆ ไม่มากก็มี นี่ที่ทำให้พระองค์ทรงทำความอุตส่าห์พยายามสั่งสอนโลกมาโดยลำดับ ผู้ที่มันหลุดมันลอยออกไปไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ไม่ฟังเสียงบาปเสียงบุญเลย ก็ปล่อยให้มันไปตามขนโคเสียพวกที่ชอบความชั่วช้าลามก พวกที่ชอบความดียังมีอุปนิสัยติดใจอยู่ พวกประเภทนี้เป็นเขาโค พระองค์ก็ทรงแนะนำสั่งสอนเรื่อยมา
จนกระทั่งป่านนี้ พวกขนโค-เขาโคก็ยังมีเจือปนกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง ๕๐๐๐ ปี นั่นแหละที่นี่เขาโคจะหลุดลอยไปหมดเป็นโคหัวโล้น ในตัวของโคมีแต่ขนโคทั้งนั้น เหล่านี้สัตว์ทั้งหลายจมนรกไปหมดเลย คำว่าบาปว่าบุญระลึกไม่ได้ ไม่ระลึก ระลึกตั้งแต่ความทะเยอทะยานเอาตามชอบใจๆ ซึ่งเป็นทางลงหลุมลงบ่อตกนรกอเวจีไปเสียทั้งนั้นแหละ นี่ละคำว่าศาสนาหมด ได้แก่ผู้ที่เชื่อถือศาสนาตามทางของศาสดานั้นกลับพลิกแพลงไปเชื่อกิเลสตัณหาเสียทั้งหมด ไม่เชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าก็กลายเป็นขนโค ลงนรกอเวจีกันเสียทั้งหมด นั่น
นี่ละเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ตรัสรู้แล้วทรงท้อพระทัย แต่ก็ทรงเลือกทรงเฟ้นหาที่พอจะเป็นประโยชน์ได้เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เวลาปรินิพพานแล้วก็ประทานพระโอวาทคือทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ ไว้ถึง ๕๐๐๐ ปี บรรดาพุทธบริษัทที่มีความเคารพเลื่อมใสในคำสอนซึ่งเป็นทางเดินที่พระพุทธเจ้าพาดไว้ให้แล้ว กรุยทางเรียบร้อยไว้ให้แล้วก็ก้าวเดินไปตามทางสายนี้ ก็หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
พอถึง ๕๐๐๐ ปี กิเลสตัวหนาตัวแน่นติดตายเลยที่นี่ ไม่มีใครจะระลึกถึงบุญถึงบาปไม่มี มีแต่ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นเต็มหัวใจ ตายแล้วจมไปเลยๆ นี่เรียกว่าศาสนาหมด มันหมดที่หัวใจของสัตว์เพราะอำนาจของกิเลสมันหนาแน่น มันปิดไม่ให้มีช่องว่างพอจะมองเห็นเดือนดาวตะวันอะไรเลย มืดมิดปิดตายไปทีเดียว นี่ ๒๕๐๐ กว่าปี เราก็ดูเอาซิศาสนาทุกวันนี้เป็นยังไง แม้ในเมืองไทยของเราเราก็ทราบได้อย่างชัดเจนแล้ว กำลังระส่ำระสาย ชาวพุทธของเราเลยกลายเป็นหมากัดกันไปเวลานี้ ทั้งๆ ที่แบบแผนธรรมวินัยความถูกต้องดีงามมีอยู่ แล้วผู้ศึกษาก็ศึกษามาด้วยกัน รู้อยู่เห็นอยู่แต่มันไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มากไปกว่าความดิ้นรนไปตามกิเลส ความเอาตามใจชอบของตนที่ไม่มีบาปมีบุญติดหัวใจนั้นเลย
เพราะฉะนั้นจึงสร้างความทุกข์ความลำบาก ความวุ่นวายส่ายแส่ ระส่ำระสายเข้าภายในชาวพุทธในเมืองไทยของเรานี่แหละ ให้ท่านทั้งหลายดูเอา เห็นอยู่อย่างทุกวันนี้ สิ่งที่เป็นคนที่เป็นเหล่านี้ไม่ใช่คนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนมาทั้งนั้นแต่กิเลสเป็นเจ้าของเสียทั้งหมดในวิชาความรู้ ธรรมไม่ได้เป็นเจ้าของ จึงคัดเลือกเอาความดีงามมาพาเพื่อนฝูงประพฤติปฏิบัติไม่ได้ เอาตั้งแต่ความเลวความร้ายเข้ามาปฏิบัติฉุดลากกันไปด้วยอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ทีนี้มันก็เกิดเป็นฟืนเป็นไฟ ผู้เชื่อถือก็วิ่งตามเข้าไป ผู้ไม่เชื่อถือก็คัดค้านต้านทาน กลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกันในวงชาวพุทธของเราดังที่เห็นอยู่เวลานี้ ดูเอา
นี่ละแบบแผนคัมภีร์วินัยมีอยู่ ดังที่พระท่านออกมาประกาศยืนยันในเรื่องความสัตย์ความจริงทั้งหลายมีอยู่ ท่านก็ออกมาประกาศ นี่เห็นกันอยู่นี้ ประกาศให้ทราบทั่วกัน ไม่ใช่พวกนี้ไม่รู้ ไม่ยอมรับ จะเอาตามใจอย่างเดียวซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ เข้ารบธรรม เมื่อรบธรรม ธรรมที่ดีงามก็ต้องออกชะล้างต้านทานกันดังที่เห็นอยู่เวลานี้แหละ นี่ ๒๕๐๐ กว่าปี อลัชชิตากับลัชชิตากำลังรบกันเวลานี้ อลัชชิตาหาความละอายบาปไม่ได้มีมากขึ้นทุกวันๆ ลัชชิตาของผู้มีความดี รักษาความดี ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นคนดี เป็นคนสะอาด เมื่อสิ่งสกปรกโสมมที่เกิดขึ้นจากพวกอลัชชิตานำเข้ามา โปะเข้ามาๆ เลอะเทอะทางนี้ก็ชะก็ล้างกัน
นี่เรียกว่าเป็นข้าศึกในวงพุทธศาสนาให้เห็นชัดเจนอยู่ในเมืองไทยของเรานี้ ดูเอา พวกนี้เรียนมาด้วยกันแต่ไม่ยอมรับฟังความสัตย์ความจริง ยิ่งกว่ากิเลสตัณหาที่เต็มอยู่ในหัวใจแล้วดึงออกมา ยิ่งได้เรียนความรู้สูงๆ ขึ้นมายิ่งเป็นเครื่องเสริมทิฐิมานะให้สูงขึ้นๆ อำนาจป่าเถื่อนก็แทรกเข้ามาด้วยกัน เลยกลายเป็นเรื่องของกิเลสความชั่วช้าลามกไปเสียทั้งหมด แม้วิชาความรู้ที่เรียนมามากน้อยกลายเป็นเครื่องมือของโจรของมาร ของมหาภัย เพื่อรบราสิ่งดีงามทั้งหลายให้แหลกเหลวไปตามๆ กันหมดเช่นเดียวกัน
นี่ละมันเห็นอยู่อย่างนี้ในชาวพุทธของเรา ทีนี้ย่นเข้ามาหาตัวของเรา ต้องให้ได้ประโยชน์ซิ การเทศน์ไม่ได้เทศน์เพื่อจะตำหนิติเตียนผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ตำหนิก็ตำหนิเพื่อแก้เพื่อถอดเพื่อถอน เพื่อชะเพื่อล้าง ชมก็ชมเพื่อส่งเสริมสิ่งที่ดีงามแล้วให้ดีงามยิ่งขึ้นๆ นี่ท่านเป็นอย่างนั้น ธรรมท่านสอนไปกลางๆ อย่างนี้ แล้วพวกที่เลอะเทอะก็เลอะเทอะ นี่ละที่กิเลสเอาความรู้วิชาที่เรียนมามากน้อยมาเป็นเครื่องมือของกิเลสทำลายชาติศาสนาของตนให้แหลกเหลวไปหมด
ทีนี้ย่นเข้ามาหาตัวของเรา วันหนึ่งๆ ตื่นขึ้นมานี่ ประเภทเขาโคในใจของเรานี้มีมากขนาดไหน กับประเภทขนโค เขาโคคือความดีงาม ความอุตส่าห์พยายามที่จะฝึกหัดดัดแปลงตนให้เป็นคนดี ให้เป็นไปด้วยความพากความเพียร เช่นนักปฏิบัติถือการเดินจงกรม-นั่งสมาธิภาวนาเป็นการเป็นงานเพื่อความดีทั้งหลาย อันนี้มันก็ไม่ค่อยปรากฏ มีแต่ความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ เห็นเสื่อเห็นหมอนเป็นมรรค ผล นิพพาน ยิ่งกว่าสวรรค์ พรหมโลก นิพพานไปเสียอีก มันก็บืนเข้าหาเสื่อหาหมอนพวกขนโค เข้าใจไหม ไม่อยากเดินจงกรม-นั่งสมาธิภาวนา มีแต่ความขี้เกียจขี้คร้านเต็มเนื้อเต็มตัว เต็มหัวใจ นี่เราก็แบกความทุกข์ความทรมานอยู่ในใจของเรา ด้วยความเป็นขนโคของตัวเองนั้นแหละ
ส่วนผู้ที่จะได้ดิบได้ดีก็เสาะแสวงตน และบำเพ็ญตนให้เป็นคนดีงามขึ้นไป ก็เป็นเขาโคที่แหลมเข้าไปเรื่อยๆ ทะลุถึงนิพพานเลย นี่ผู้สั่งสมเขาโค และกำจัดขนโคออก เราพิจารณาในตัวของเราเอง ความขี้เกียจขี้คร้านซึ่งเทียบเหมือนกับขนโคนี้มีมากในหัวใจของเรา ให้รีบชำระสะสางมันออกไปเขาโคจะได้แทรกขึ้นมาๆ แหลมเขาเข้าไปทุกวัน เขาโคก็แหลมแทงอะไรขาดทะลุ แทงกิเลสขาดทะลุไปหมด ดังที่เคยพูดให้ฟังถึงเรื่องธรรมที่มีกำลังมากแล้วเป็นเขาโคแทงทะลุไปหมดเลย คือท่านผู้บำเพ็ญธรรมถึงขั้นที่ว่าเป็นเขาโคแหลมเข้าไปแล้วนี้ มีแต่แหลมเสี้ยมเข้าไป แหลมเข้าไปเรื่อยขาดทะลุ เอาจนถึงนิพพานปึ๋งเลย
นี่ละธรรมที่มีกำลังแล้วเป็นเขาโคโดยอัตโนมัติ สร้างความดีงามของตนเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องได้บีบบังคับให้สร้างคุณงามความดีทั้งหลายดังที่เป็นอยู่ ด้วยความตะเกียกตะกายทุกวันนี้ แต่เป็นไปด้วยความราบรื่นในความดีงามทั้งหลาย จิตใจจะไหลไปตามทางเดินเพื่อแก้กิเลสโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าธรรมมีกำลัง เขาโคเริ่มแหลมขึ้นแล้วๆ แหลมสุดยอดแล้วแทงทะลุวัฏจักรที่มันหนามันแน่นขาดสะบั้นออกไปจากใจ แล้วใจก็ถึงนิพพานปึ๋งเลย พากันจำเอานะ
วันนี้เทศน์ถึงเรื่องวันพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรามาบำเพ็ญเช่นอยู่ในวัดให้เอาจริงเอาจัง อย่าทำพอเป็นพิธี ดังที่เขาทำทั่วๆ ไปมักจะเป็นพิธี จิตใจไม่ค่อยใฝ่ฝันกับอรรถกับธรรม บางรายก็ไปเพื่อความเพลิดเพลินกับเพื่อนกับฝูงไปอย่างนั้นมีเยอะ ไม่ได้ไปเพื่ออรรถเพื่อธรรม นี่เราอยู่ที่นี่เพื่ออรรถเพื่อธรรม ฟังแล้วก็ฟังเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไปอยู่ในบ้านในเรือนวันเช่นนี้ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าติดแนบภายในหัวใจเสมอ วันนี้วันท่านตรัสรู้ เราบำเพ็ญธรรมทั้งหลายเพื่อตรัสรู้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าด้วยพุทโธ หรือด้วยธัมโม หรือด้วยสังโฆ ก็พยายามเต็มกำลังของตนในที่ต่างๆ ที่ตนพักอยู่ที่ไหน อย่าห่างเหินจากพุทโธนะวันนี้ ธัมโม สังโฆให้ติดกับใจ ทุกวันมีแต่กิเลสติดกับใจลากเข็นกันไปตลอด ถูกันไปตลอด วันนี้ให้ธรรมลากตัวของเราไป ปัดกิเลสออกจากใจ
พากันจำ วันนี้ไม่เทศน์มากนักละ เหนื่อยนะ วันนี้เทศน์วิสาขบูชาพอเป็นคติตัวอย่างแก่พี่น้องทั้งหลาย เอาละเพียงเท่านี้พอ (สาธุ)
ผู้กำกับ ปัญหาธรรมะจากอินเตอร์เน็ตหลวงตาวันที่ ๒ มิถุนายน ๔๗ คนที่หนึ่งครับ เขาถามดังนี้ครับ ผมนั่งภาวนาเมื่อเกิดเวทนาขึ้น กระผมก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูบางทีก็นั่งกำหนดรู้เท่านั้น ปรากฏว่าเวทนานี้ก็ไม่ได้กระทบจิตใจอย่างใด จิตรู้แต่ว่าไม่ทุกข์ แต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งไปสี่ชั่วโมงกว่า ครั้งนี้ปรากฏว่าจิตรู้กับตัวเวทนามันแยกกันชัดมาก มันรู้ชัดว่าตัวรู้กับตัวเวทนามันคนละส่วนกัน
หลวงตา นั่นถูกต้อง
ผู้กำกับ แต่ก่อนมันไม่ได้เป็นอย่างนี้มันไม่ได้แยกกันแบบนี้ เมื่อก่อนมันรู้เวทนา แต่ไม่รู้สึกกระทบกัน แต่ว่าครั้งนี้มันกลับรู้ชัดเลยว่ามันคนละส่วน ไม่เกี่ยวข้องกันระหว่างตัวจิตรู้กับเวทนาขันธ์ ผมเลยรู้ชัดว่าจิตตัวรู้กับขันธ์ห้ามันคนละส่วนกัน จิตตัวรู้นี้มันไม่มีรูปร่างอะไรเลย มันเป็นความว่าง ผมทำได้แค่ครั้งเดียวและมันเป็นของมันเอง วันหลังผมพยายามทำให้เป็นอีกมันก็ไม่เป็นอีก ก็เลยปล่อยมันตามธรรมชาติไม่ไปใช้สัญญาเก่าๆ หลวงตาโปรดเมตตาช่วยชี้แนะนำเพิ่มด้วยครับ
หลวงตา อันนี้ที่พิจารณาแยกเวทนากายกับจิตได้แล้ว ไม่กระทบกระเทือนกันนี้เป็นความถูกต้องแล้ว ที่เราพิจารณาทีหลังมันไม่เป็นอย่างนั้นอีก คือเราไปหมายสิ่งที่เราเคยเป็น เช่นทุกขเวทนากับจิตแยกกันในเวลาพิจารณา เราเอาอันนี้ไปเป็นสัญญาอารมณ์ให้ได้อย่างนั้น แต่เราไม่ได้ทำปัจจุบันธรรม แยกแยะทุกขเวทนาเหล่านี้โดยหลักปัจจุบัน เราเอาสัญญาความหมายที่เคยได้แล้วมาเป็นผลเสียทีเดียวมันจึงไม่เกิด ให้ลงในปัจจุบัน วันนี้แยกแยะได้แล้ว วันหลังจะไปเอาความรู้อันนี้มาเป็นแบบเป็นฉบับก้าวเดินไปด้วยความสำคัญไม่ได้ ต้องเกิดขึ้นในปัจจุบัน
เอาที่มันรู้มันเห็นมาแล้ว แยกแยะได้แล้วปัดออกหมด จะเอาตั้งแต่ทุกขเวทนากับร่างกายและจิตที่มันคลุกเคล้ากันอยู่เวลานี้ มันเป็นเพราะเหตุไรมันจึงคลุกเคล้ากัน ให้เป็นวิชาใหม่ขึ้นมาในหลักปัจจุบัน วิชาเก่าที่รู้แล้วเห็นแล้วปล่อยออกให้หมด ไม่ให้เข้ามายุ่ง มันจะเป็นสัญญาอารมณ์ ให้พิจารณาแยกแยะดังที่เคยแยกแยะนั้นแหละ แต่ไม่ไปหมายอันแยกแยะได้นะ หมายลงปัจจุบัน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เวลามีชีวิตอยู่อะไรก็เจ็บก็ปวดไปตามๆ กันหมด เวลาคนตายแล้วทำไมสิ่งเหล่านี้มันจึงไม่เจ็บไม่ปวด เผาไฟจนเป็นเถ้าเป็นถ่านมันก็ไม่เจ็บไม่ปวด มันเป็นไปจากจิตใจตัวยึดตัวหมายนี้แหละ ให้พิจารณาอย่างนี้
ถามถึงเนื้อถึงหนังถึงเอ็นถึงกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ทุกอวัยวะ ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นสุข เป็นขึ้นมาเพราะจิตใจครองตัวอยู่และไปสำคัญมั่นหมายเขาต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงให้พิจารณาในปัจจุบัน อย่าพิจารณาแบบเป็นสัญญาอารมณ์ ไปยึดเอาที่เคยรู้แล้วมาเป็นผล ทั้งๆ ที่เป็นผลแล้วผ่านไปแล้ว อย่ายึด ให้เอาปัจจุบันเป็นหลัก
ผู้กำกับ ข้อสอง ผมเคยฝันเห็นหลวงปู่มั่นสองครั้ง ครั้งแรกหลวงปู่มั่นท่านมาพร้อมกับหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านยื่นพระธาตุกับฟันท่านมาให้ผม ผมเลยยื่นมือไปรับ ครั้งที่สองท่านมาลูบหัวพร้อมปลอบใจว่า ค่อยทำไปเดี๋ยวถึงเอง หลวงตาครับครูบาอาจารย์ที่ท่านนิพพานไปแล้ว ท่านยังคอยมาดูแลลูกศิษย์ท่านใช่ไหมครับ
หลวงตา ถ้ายังไม่ใช่กว่านี้ให้หาไม้มายื่นใส่มือหลวงตาบัว หลวงตาบัวจะฟาดมันแหลกหมด เตือนยังไม่เตือนเอาไม้บอกเข้าเลยถ้ามันยังไม่รู้ ตีปั๊วะเข้าๆ นี่เตือนหรือไม่เตือน เข้าใจเหรอ ไอ้เรามันเป็นบ้าเฉยๆ
ผู้กำกับ การที่ผมฝันถึงหลวงปู่มั่นถึงสองครั้งทำให้ผมมีกำลังใจปฏิบัติต่อไปถึงแม้ผมจะไม่ได้บวชเป็นพระ แต่ผมก็รักการภาวนามาก จาก เอกชัย ครับ
หลวงตา ถูกต้องๆ บวชไม่บวชก็ตามหัวใจนั้นน่ะเป็นนักบวช นักบวชนักแก้ไขดัดแปลง ถูกต้องแล้ว ใจไม่มีเพศ นักบวชไม่นักบวชไม่สำคัญ กิเลสอยู่กับใจไม่อยู่กับเพศ ถ้าอยู่กับเพศให้ครองผ้าเหลืองโกนผมไปหมดแล้วเป็นอรหันต์ทั้งดิบไปเลย แต่นี้ไม่อยู่ในเพศ กิเลสมันไม่ได้ฟังเสียงผ้าเหลือง โกนผมโกนคิ้ว มันฟังแต่เสียงอรรถเสียงธรรม ถ้ากำจัดมันมันก็จะตกออกไปทันทีในหัวใจของเรา เข้าใจเหรอ
ผู้กำกับ คนที่สองครับ ผมบริกรรมคำว่าธัมโม โดยตั้งสติอยู่กับคำบริกรรมดังที่หลวงตาสอน พอทำไปสักพักคำบริกรรมหายไปและเห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ความรู้สึกเหมือนกับหลับแล้วฝันไป ผ่านไปสักพักก็เริ่มรู้สึกตัวระลึกคำบริกรรมได้อีกครั้ง แล้วสักพักก็เหมือนหลับแล้วฝันไปอีกสลับกันไปมา ผมขอกราบเรียนถามว่าช่วงที่เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนหลับแล้วฝันไปนี้ เป็นเพราะผมเผลอสติจากคำบริกรรมหรือไม่ครับ
หลวงตา อันนี้เป็นกิริยาที่จิตเคลื่อนไหวออกจากคำบริกรรม ออกรู้ในสิ่งต่างๆ เมื่อกลับเข้ามาก็ระลึกคำบริกรรมได้ จะว่าเผลอหรือไม่เผลอ เราออกจากบ้านไปเที่ยวนั้นเที่ยวนี้แล้วก็กลับมาหาบ้านของเก่าเรา เผลอหรือไม่เผลอก็พิจารณา คนออกจากบ้านไปทำงานกลับมา อันนี้ออกจากพุทโธนี้ไปรู้นั้นรู้นี้ๆ แล้วกลับมาก็มาระลึกพุทโธได้ มันเหมือนกันนั้นแหละ เวลามันออกก็ให้มันออก ไม่ว่าละ ไม่ผิด มีออกมีเข้าแต่อย่าเตลิดเปิดเปิงก็แล้วกัน อันนี้ยังไม่ผาดโผน เพียงออกไปรู้นั้นรู้นี้ ที่ผาดโผนกว่านี้ยังมี แต่ไม่ตอบเมื่อยังไม่มีเหตุการณ์ เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ คนที่สาม เมื่อภาวนาไปพยายามต่อสู้กับสัญญาตลอดค่ะ บางช่วงก็ปรุงแต่งตามสัญญา พอรู้สึกตัวก็กลับมาพุทโธ แล้วก็เกิดสัญญาอีก บางช่วงก็แป๊บๆ หลานปฏิบัติเช่นนี้ถูกหรือเปล่าเจ้าคะ
หลวงตา ยังไม่สนิทใจ ให้สติเน้นหนักกับคำบริกรรมให้ดี ความคิดปรุงต่างๆ มันจะระงับตัวลงไป เพราะความคิดปรุงทางด้านอรรถธรรมนี้ปิดมันไว้ ไม่ให้มันออก ไม่ให้มันมีช่องออก เช่นน้ำพุ ปิด ปิดด้วยธรรมที่นี่นะ เช่นมันออกคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องของกิเลส เหมือนกับน้ำพุออกไปสั่งสมฟืนไฟมาเผาเรา ทีนี้น้ำพุอีกอันหนึ่งคือพุทโธก็เป็นสังขารเหมือนกัน แต่สังขารนี้เป็นธรรมเป็นการปิดกิเลสไม่ให้มันออก เข้าใจเหรอ ให้สติหนักแน่นอยู่กับพุทโธมันจะไม่ปรุง เข้าใจไหม แล้วจะสั่งสมความสงบเย็นขึ้นที่ใจ เมื่อสติบังคับไม่ให้มันปรุงได้มากเข้า ๆ จิตยิ่งสงบลงไปๆ ความผลักดันจะน้อยลงๆ ให้สติกำกับคำบริกรรมคือพุทโธให้แน่นหนามั่นคง อย่าเผลอไปทางอื่น เข้าใจเหรอ กิเลสจะเกิดขึ้นที่นี่ มรรค ผล นิพพานจะเกิดขึ้นที่นี่ด้วยธรรมที่บริกรรม กิเลสจะเกิดขึ้นด้วยการเผลอสติ เอาแค่นี้ก่อน
ผู้กำกับ ต่อมาหลานจำเทศน์องค์หลวงตาได้ว่า เมื่อมันปรุงให้พิจารณากรรมฐาน ๓๒ ก็เลยพิจารณาตามนั้นค่ะ ได้หลายรอบ ย้อนไปมาจนนิ่งไป รู้อยู่ที่ท้อง หลานกราบขอเมตตาองค์หลวงตาชี้แนะการปฏิบัติต่อไปด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา ก็ถูกต้องแล้ว แต่ถ้ามันอยากคิดก็ให้มันคิดไปทางที่ว่านี่นะ อย่าให้มันคิดเตลิดเปิดเปิงไปเป็นแบบกิเลส อันนี้คิดเป็นแบบธรรม ออกจากธรรมคำบริกรรมนี้ พิจารณาตามสังขารร่างกายต่าง ๆ นี้ก็เป็นแบบธรรมท่องเที่ยวไม่ผิด ทั้งสองนั่นแหละ เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ คนที่สี่ครับ สถานการณ์พระพุทธศาสนาปัจจุบัน มีฆราวาสกำลังจะออกกฎเพื่อใช้ปกครองสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎเหล่านี้ออกมาแล้วจะกระทบต่อหลักพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติใว้
หลวงตา นี่คือกองทัพกิเลสเข้าเหยียบย่ำทำลายธรรม
ผู้กำกับ และจะกระทบต่อพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างมาก เกล้ากระผมเห็นว่าหลวงตาอายุมากแล้วยังเมตตาต่อโลกสงสาร ยากที่จะหาอะไรมาประมาณได้ในพระคุณของหลวงตา พระคุณอันเอนกอนันต์จากหลวงตานั้น เกล้ากระผมขอตอบแทนพระคุณหลวงตาบ้างครับ ขอให้กระผมมีส่วนร่วมบุญกับหลวงตาที่จะช่วยรักษาพระศาสนาเอาไว้ เกล้ากระผมพร้อมที่จะปกป้องหลักพระธรรมวินัย และปกป้องพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตครับ
หลวงตา แลกก็แลกไปเลย เกิดมาตายทั้งนั้น เกิดกับตายมันแลกกันทันที เป็นแต่เพียงว่ามันยังไม่ตัดสินเท่านั้น แลกกันแล้ว เกิดกับตายมาพร้อมกัน แต่วันตายจะตัดสินทีหลัง เข้าใจไหม ก็ไม่เห็นมีอะไร
ผู้กำกับ เขาเห็นใจหลวงตา
หลวงตา เอาละไม่ต้องพรรณนาคุณหลวงตา หลวงตามีแต่มุ่งที่จะให้เป็นประโยชน์แก่โลกเท่านั้น หลวงตาจึงไม่เคยเสียดายชีวิต พูดจริงๆ ไม่มี ถ้าลงเหตุผลตรงไหนแล้วผางเลยๆ ไม่รอ เราเพื่อชาติเพื่อศาสนาซึ่งเป็นของมีคุณค่ามาก ยิ่งกว่าจะมากัดกันเหมือนหมา หมามันมีคุณไหมมันกัดกัน พวกเรากำลังกัดกันนี่พวกสร้างโทษขึ้นมาไม่ใช่คุณ เอ้าสร้างความสงบซิ ใครผิดใครถูกก็รู้กันอยู่ทุกคน แก้ไขดัดแปลงสิ่งที่มันผิดให้ถูกด้วยกันแล้วมันก็สงบร่มเย็น ศาสนาท่านร่มเย็นมาแล้ว มีแต่พวกเราเท่านั้นไปโจมตีท่านตลอดเวลา เป็นข้าศึกต่อศาสนาอยู่ตลอดเวลา
ฆราวาสมันมีอำนาจมากจากไหนที่จะมาปกครองพระ มันไม่เคยภาวนา มาหาแต่เรื่องโจมตีศาสนาๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยการภาวนา พระทั้งหลายท่านปฏิบัติอยู่นี้เพื่อตรัสรู้ด้วยการภาวนา แล้วท่านก็ยุ่งยากเพราะพวกนี้ละพวกอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ ฆราวาสญาติโยมตั้งอำนาจป่าเถื่อนเข้ามาปกครองพระ ตั้งกฎนั้นขึ้นมา ตั้งกฎนี้ขึ้นมา กฎอะไรกฎหมอยนั่นละ เข้าใจไหม กฎหมอยกฎหมา มันไม่ใช่กฎของธรรม กฎของธรรมพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้สมบูรณ์แล้วมายุ่งทำไม ยุ่งตัวเองซิที่มันกำลังยุ่งศาสนาอยู่นั้นซี ให้ปราบตัวเองตรงนี้ซิ เข้าใจเหรอ เท่านั้นแหละไม่พูดมาก พวกนี้พวกอำนาจป่าเถื่อนทำลายศาสนา มีอะไรอีก หมดแล้วเหรอ
เออ หลวงปู่สังวาลย์ท่านเสียเสียแล้วตอนตีสาม ๒๔ นาที เมื่อคืนที่ผ่านมานี้ พอดีเขากลับไปถึงท่านแล้วก็ไปหาท่านก็คงจะเล่าเรื่องให้ฟังก่อนที่ท่านจะล่วงลับไป คำขอบบุญขอบคุณของเรานะ จากนั้นแล้วท่านก็หายห่วงละที่นี่นะ หายห่วงแล้วท่านก็ไปเลย นี่ละหายห่วง เวลามาทำบุญให้ทานจิตก็หน่วงเหนี่ยวไปอยู่เรื่อยๆ พอกลับมาแล้วมีผู้มากราบเรียนท่านเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมกับคำอนุโมทนาสาธุการแล้วท่านก็หายห่วง แล้วไปเลยในคืนวันนั้น เหมาะสมกัน ก็มีเท่านั้นละนะ
อู๊ยเหนื่อยมาก เราทนเอานะ เราทนกับพี่น้องทั้งหลายเราทนแสนทน คิดดูซินั่งธรรมดาเราต้องเหยียดเท้าออกไปเราจะสบายเรา แต่นี้ก็นั่งพับเพียบเพื่อสังคม โลกสมมุติว่างั้นธรรมดาจะทำยังไงจะเป็นอะไร ขาคู้อยู่มันก็ขาเหยียดออกนี้มันก็ขาจะเป็นอะไร แต่สังคมเขาก็ถืออย่างนั้นๆ เราอยู่ในสังคมเรามีธาตุมีขันธ์ มีสมมุติอย่างเดียวกัน ก็ปรับธาตุขันธ์นี้เข้าสู่สังคม เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นมันอยากเหยียดเท่าไรก็คู้เข้ามาอย่างนี้แหละ ให้จำเอานะ โอ้พูดถึงขนาดนั้นมันถึงจะเข้าใจ
กับโลกนี้เราพูดจริงๆ เราไม่มีอะไร มันจะดิ้นจะดีดอะไรก็ไม่มีอะไรกับโลก ที่เราดิ้นนี่ก็ดิ้นเพื่อพี่น้องทั้งหลายนั่นละ เพื่อชาติเพื่อศาสนา เราไม่ได้ดิ้นเพื่อเรา ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ดิ้นขนาดไหน เผ็ดร้อนขนาดไหนก็เพื่อชาติเพื่อศาสนาเท่านั้นเอง สำหรับเราไม่มี ไม่มีอะไรเลย รอแต่ขันธ์เท่านั้นละ หายใจฝอดๆ ฟังเหตุฟังการณ์ไป ปฏิบัติกันไปอย่างนี้ พอยุติแล้วก็ผางเท่านั้นละ เอาละ
(หน้าศาลาได้เงินสด ๒๘,๗๙๐ บาทครับ) เออ เอาละพอใจ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |