หย่อนบัตรให้คนชั่ว ตัดคอคนทั้งประเทศ
วันที่ 25 พฤษภาคม 2547 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

หย่อนบัตรให้คนชั่ว ตัดคอคนทั้งประเทศ

 

ผู้กำกับ         ปัญหาธรรมจากอินเตอร์เน็ต คนแรกถามว่า เมื่อรู้ว่าจิตส่งออกไป จิตหลงออกไป เมื่อความรู้สึกตัวมากขึ้นจิตไม่หลงออกไปอย่างเช่นเคย เมื่อจิตอยู่ที่จิตแล้ว บางครั้งปรากฏเป็นจุดที่ท่ามกลาง มีลักษณะเกิดดับๆ อยู่ที่จุดเดียวนั้น  ตรงนี้ลูกจะสังเกตได้ว่าจุดนี้มีความดึงดูด ให้จิตหลงเข้าไปจมกับจุดนี้มากที่สุด ลูกจึงถอยออกมา ทวนออกมารู้ เอาสติตั้งมั่นอยู่กับภาวะที่ดู ความรู้สึกในจุดรู้ที่ท่ามกลางนี้ก็หายไป แล้วก็เกิดดับๆ อยู่อย่างนี้  กราบเรียนถามท่านหลวงตาว่า

๑.ภาวะผู้รู้ที่เป็นกลางไม่มีต่อมไม่มีจุดนี้ ลูกควรเอาสติตั้งมั่นอยู่ที่นี้ จะว่าอยู่ที่ภายในก็ไม่เชิง ภายนอกก็ไม่ใช่  แต่เป็นภาวะที่ทวนกระแสออกมาจากความหลงออกไปนอกกาย นอกจิต ใช่หรือไม่เจ้าคะ

หลวงตา ขอให้มีสติในวงอันนี้ถูกทั้งนั้นแหละ ที่รู้ที่เห็นต่างๆ นี่ ให้รู้เห็นด้วยสติ รู้ด้วยสติ มันจะเปลี่ยนแปลงอะไร สติจะรู้ชัดๆๆ มันจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยจะเป็นไปเอง สติเป็นสำคัญ อยู่ในจุดนี้ไม่ผิดแหละ ว่างั้นนะ

ผู้กำกับ ๒.จุดที่ท่ามกลางนี้คืออะไร  ทำไมเวลาภาวนาสงบว่างเป็นกลางเขาจึงปรากฏขึ้นมา เหมือนเป็นนิมิตหมายว่าจิตสงบตัวเป็นกลางดี  แต่ลูกเห็นความทุกข์ที่ยึดอยู่กับจุดผู้รู้นี้  ลูกเข้าใจว่าเลิกสนใจกับทุกๆ อาการที่เกิด  แต่จะเอาสิ่งที่เกิดทุกๆ ชนิดที่จิตนั้นรู้ เพื่อให้เห็นว่ายังมีอีกภาวะที่ดูอยู่ เห็นอยู่ สิ่งที่ยังเห็นได้รู้สึกได้นั้นไม่จริงใช่ไหมเจ้าคะ  แต่สิ่งที่ดับหมดไม่เหลือว่าง ให้เอาสติอยู่ตั้งมั่นสบายเบา เป็นกลาง ไม่หลง อย่างนี้ถูกผิดอย่างไรเจ้าคะ (จาก สลัดบาร์)

หลวงตา ก็เหมือนข้อข้างต้นนั้นแหละ สติเป็นสำคัญ จะเป็นที่ตรงกลางตรงไหนก็ตาม ให้สติจับอยู่ตรงนั้น มันจะขยายตัวไปยังไงก็คืออาการของจิตนั่นแหละ เอ้า ว่าไป

ผู้กำกับ คนที่สอง ถามครับ

ดิฉันนั่งสมาธิโดยใช้คำบริกรรมพุทโธ พร้อมกำหนดลมหายใจ เมื่อความปวดเกิดขึ้นก็พิจารณาว่าที่ปวดไม่ใช่ขา แต่เป็นเวทนาเฉยๆ จนความปวดหายไปใช้เวลาถึงหกชั่วโมง แต่ไม่เห็นจิตรวม มีแต่ลมหายใจที่แผ่วเบา บางครั้งก็แทบไม่มีลมหายใจ ไม่ทราบการปฏิบัตินี้จะถูกหรือผิดประการใด

หลวงตา ถูกต้อง พิจารณาอย่างนั้นละ มันจะขยายไปยังไงๆ จะรู้ทีหลัง แล้วค่อยพูดมาทีหลังอีกนะ เอาวงนี้ก่อน ถูกต้อง ที่สู้ทุกขเวทนา ๖ ชั่วโมงนั้นแต่ไม่เห็นจิตรวม นั่นละมันรวมอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว อันนี้ถูกต้อง

ผู้กำกับ         ทุกวันนี้ก็นั่งได้ถึงเจ็ดชั่วโมง แต่จิตไม่รวม

หลวงตา ไม่รวมแต่มันรู้เรื่องของอริยสัจคือทุกข์เป็นต้น นั้นก็ถูกต้องแล้ว รวมไม่รวมก็ตามเมื่อมันพอของมันแล้วไม่บอกมันก็รวมเองๆ ปล่อยเอง

ผู้กำกับ         อยากกราบเรียนขอคำแนะนำจะทำอย่างไรจิตจึงจะรวม (จาก บัวใต้น้ำ)

หลวงตา ไม่รวมก็พิจารณาอยู่ตามแถวนั้นนะไม่ผิด ไม่รวมมันจะรวมเอง ขอให้มันพิจารณารู้แจ้งชัดในสิ่งเหล่านี้ มีกาย อาการทุกสิ่งเป็นสิ่งนั้นๆ เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต เมื่อแยกกันแล้วมันไม่กระทบกัน ถูกต้องแล้ว มันไม่รวมก็ช่างมันเถอะ อย่าไปกังวลกับรวมไม่รวม ขอให้รู้แจ้งสิ่งเหล่านี้มันจะรวมเข้ามาเอง เอาเท่านั้นละ

         เราอยากให้ชาวพุทธเราสนใจทางด้านภาวนา จะได้เห็นของแปลกประหลาดขึ้นตามหลักพุทธศาสนาที่เราถือมาตามปู่ย่าตายายถือมาเป็นธรรมดานะ พอเวลามันไปเจอที่จิตนี้มันจะจังเข้าไปเลย แน่เข้าไปๆ องค์ศาสดานะ จึงอยากให้ภาวนา เรื่องหกชั่วโมง เจ็ดชั่วโมงก็ถูกต้อง เขาพิจารณาเวทนา จิตไม่รวมก็ช่าง พิจารณานั้นให้แยกกาย กายก็เป็นกาย เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต มันไม่ใช่อันเดียวกัน มันอาศัยกันอยู่เฉยๆ  เช่น เวทนาก็ไม่รู้กาย กายก็ไม่รู้เวทนา จิตต่างหากเป็นผู้ไปรู้ เป็นผู้ไปหมาย จิตเป็นผู้หลงต่างหาก เมื่อพิจารณานี้เข้าใจแล้วมันก็ถอยเข้ามาเท่านั้นเอง

เราอยากให้ชาวพุทธเราสนใจทางด้านภาวนา ไม่ควรปล่อยวาง ให้เป็นหลักอันหนึ่งไว้เสมอเรื่องภาวนา การทำบุญให้ทานอย่างอื่นเราเคยทำมาอยู่แล้ว แต่เรื่องภาวนาที่เป็นรากฐานที่รวม และเป็นที่แน่ใจของความดีทั้งหลายนั้นจะอยู่ที่ภาวนานะ ลงตรงนี้ และแน่นอนต่อองค์ศาสดาโดยลำดับถ้ามีภาวนา ความรู้ความเห็นในจิตเป็นของเล่นเมื่อไร ถึงขนาดออกอุทาน โอ้โหๆ ฟังซิน่ะ เกิดมาตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่ของหลวงตาบัวก็ไม่เคยเห็น มันอุทานอย่างสะดุ้งทีเดียว ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันเห็นขึ้นมารู้ขึ้นมา ตั้งแต่ปู่ย่าตายายโคตรแซ่ของเราไม่เคยทำก็ไม่เคยมีใครพูดให้ฟัง แต่เราทำก็รู้ขึ้นมา ก็อย่างนี้แล้วเป็นของแปลกประหลาดขนาดไหน

พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลกเพราะเหตุนี้เอง ถ้าเป็นความรู้เราๆ ท่านๆ จะไปสอนกันได้ยังไง ให้รู้ภายในจิตนี่ซีสอนได้ทั้งนั้นแหละ รู้แบบโลกไม่รู้นะ เรียนมาชั้นไหนๆ ก็มีแต่เรื่องของโลกของกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของธรรม เรียนธรรมแล้วปฏิบัติธรรมให้รู้ธรรมขึ้นมาซี ความรู้เหล่านั้นมันจะลบล้างกันไปหมดเลย ความรู้ที่เรียนมาจากที่ไหนๆ ในแหล่งแห่งโลกธาตุนี้ เป็นความรู้ที่กิเลสผลิตให้ทั้งนั้นแหละ ถ้าความรู้ธรรมผลิตขึ้นมาแล้วมันจะลบล้างสิ่งเหล่านี้ เหนือสิ่งเหล่านี้เป็นลำดับลำดาไป ชั้นภูมิของธรรมท่านก็บอกไว้อริยธรรม โสดา สกิทา อนาคา อรหัตธรรม มี ๔ ชั้น ท่านว่าไว้เป็นกลางๆ เมื่อปฏิบัติเข้าไปรู้เข้าไปมันก็รู้เองสิ่งเหล่านี้ เป็นเอง ไม่ต้องมีใครเอาใบประกาศนียบัตรมาให้แหละ มันรู้ขึ้นมาในตัวเองๆ

ความรู้ในธรรมนี้กว้างขวางไม่มีประมาณนะ ใจกับธรรมเข้าเป็นอันเดียวกันแล้ว ความรู้นี่กว้างขวางไม่มีประมาณ ไม่มีอะไรมาเทียบ ใครจะเรียนชั้นใดๆ ก็ตามเถอะเป็นวงงานของกิเลสทั้งนั้น ธรรมนี้เป็นวงงานของวิวัฏธรรม ถึงวิมุตติธรรมได้ เรื่องของธรรมเป็นอย่างนั้น จึงต่างกันมากนะ เวลาได้รู้ขึ้นมามันถามใครเมื่อไร มันจ้าขึ้นมาเลยๆ ไม่ได้ถามใคร ความรู้ภาคปฏิบัติเมื่อรู้ขึ้นมาแล้วก็เป็นสมบัติของเราด้วย ส่วนความรู้จากความจำนั้น จำร่องรอยมาเฉยๆ ไม่จัดว่าเป็นสมบัติของเรา แต่เมื่อรู้ขึ้นกับเราแล้วเป็นสมบัติของเราด้วย เป็นที่ยืนยัน เป็นเครื่องป้องกันตัวเราด้วยไปในตัวเสร็จ นั่นต่างกันอย่างนั้น

ที่แปลกประหลาดที่สุดคือความรู้จากจิตตภาวนา ไม่มีความรู้ใดเหมือน ว่างั้นเลยนะ บรรดาความรู้ในสามโลกธาตุนี่ ไม่มีความรู้ใดเหมือนความรู้เกิดจากจิตตภาวนาเป็นชั้นๆ ขึ้นไป มันจะแปลกทุกสิ่งทุกอย่าง แปลกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นๆ ไม่ได้เหมือนนะ แปลกไปหมดนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านไปหาเรียนมาจากที่ไหนมาสอนโลก พระสงฆ์สาวกท่านไปเรียนมาจากที่ไหนมาสอนโลก เรียนจากภาวนาของท่าน พอกิเลสพังออกไปๆ ธรรมกระจ่างขึ้นมาๆ ความรู้อันนั้นแหละสอนโลกละ จากที่ท่านสอนท่านได้แล้วท่านสอนโลกได้ การพูดทั้งนี้เราไม่ได้ประมาทโลกนะ คือต่างกันต่างหากถ้าพูดถึงว่าต่างกัน และเหนือกันเป็นลำดับลำดาไป

ความรู้ของทางโลกเรียนรู้เรียนมากเท่าไรยิ่งสั่งสมทิฐิมานะขึ้น เป็นการเย่อหยิ่งจองหองไป ลืมเนื้อลืมตัวไป เพราะความรู้ที่เรียนมาจากกิเลสนั้นแหละ ทั้งหมดเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล แต่ความรู้นี้เรียนไปเท่าไรยิ่งลดยิ่งละทิฐิมานะความเย่อหยิ่งจองหองไม่มีๆ สุดท้ายเข้าได้หมดจนกระทั่งสัตว์เดรัจฉานอยู่ในครรภ์ก็ไม่แตะกัน ให้ความเสมอภาค เสมอกันหมด ท่านไม่มีนะเรื่องเย่อหยิ่งจองหอง เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น มันต่างกัน จึงเรียกว่าเป็นแบบฉบับของโลกได้ นี่มันไม่มีใครทำละซี

ถ้าพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมขึ้นมาละเห่ากันวอกแวกๆ พวกส้วมพวกถานมันเห่าวอกแวกๆ มันไม่ได้ทำ มันเอาเรื่องส้วมเรื่องถานมาอวดทีเดียว เพราะมันทำทุกวัน มันนอนกองกันอยู่กับส้วมกับถานทุกวัน มันไม่ได้เห็นธรรมเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึดเลย แล้วจะเอาอะไรมาพูด เมื่อมีผู้ทำ มีผู้รู้ผู้เห็นออกมาพูด มันก็มาเห่ากันวอกแวกๆ อย่างที่เขาว่าหลวงตาบัวไปอยู่ในป่าในเขาแล้วออกมาแสดงอุตริมนุสธรรม ว่าตัวเป็นพระอรหันต์ โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยภาวนา ตัวมันเองที่เห่าวอกๆ ก็ไม่เคยภาวนา หลวงตาบัวนี้ภาวนามาแทบตาย ตั้งแต่ขึ้นเวทีมาแต่พรรษา ๗ ก็เคยพูดแล้ว เรียนจบแล้ว เรียนจบนี้ตามคำอธิษฐานของเจ้าของ จบประโยค ๓ แล้วพอ การก้าวเดินแห่งการปฏิบัติธรรมพอเป็นพอไปแล้วพอ ออกเลย

เราปฏิบัติ ฟัดตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ ก็เคยพูดแล้ว วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เราเคยคาดเคยคิดเมื่อไร เราปฏิบัติมาเป็นเวลา ๙ ปี ได้แสดงขึ้นผาง นี่เราภาวนา ใครจะว่าเป็นอรหันต์ไม่อรหันต์เราไม่สนใจกับใคร เขาว่าอรหันต์นั้นอรหันต์นี้ก็ว่าไปเฉยๆ ว่าแล้วติด เพ่งโทษเพ่งกรณ์โจมตีแล้วติดคำของเจ้าของ ท่านไม่ติด ใครจะว่าท่านก็ไม่ติด อะไรท่านก็ไม่ติด ไม่มีอะไรเหนือนั้น อย่างนี้ละมันเห่าวอกๆ แวกๆ ใช่ไหมล่ะ ให้มันภาวนาดูซิน่ะ ภาวนาแล้วมาสนทนากับหลวงตาบัวที่ว่าอยู่ในป่า ที่ว่าอวดอุตริมนุสธรรม มันอวดจริงๆ หรือไม่อวด เอามาว่ากันซิน่ะให้มันได้เห็นชัดๆ

ธรรมพระพุทธเจ้าโกหกโลกเมื่อไร ไม่มีอะไรท้าทายได้เลยถ้าลงเข้าในจิต ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน ผางขึ้นมาเท่านั้นจ้าไปหมดเลย นี่เห่าวอกๆ อยู่ในกองมูตรกองคูถ มันเห่าหาอะไร อยากให้เขายกตนว่าเป็นผู้วิเศษวิโสเหรอ ไปโจมตีท่านว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เจ้าของไม่เคยทำไม่เคยภาวนา แล้วเอาความโง่ความตาบอดหูหนวกมาอวดความตาดีหูดีของท่านผู้ปฏิบัติได้รู้จริงๆ นั้นมันเป็นไปได้ยังไง มันก็ยังกล้าทำได้เห็นไหมนี่ พวกนี้มันพวกเรียนน้อยเมื่อไร นิยมชมชอบกัน โถ เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ พันตรี พันโท พันเอก พลตรี พลโท พลเอก เอกตาข้างเดียวเท่านั้น ถ้าข้างนี้มันบอดแล้วตาบอดหมดเลย มันมีแต่เอกอย่างนี้ละนะ ไม่ใช่เอกหนึ่งไม่มีสองไม่มีคู่แข่งเหมือนพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าเป็นเอก เอกมีอันเดียวไม่มีคู่แข่ง อันนี้เอกมันเอกตาข้างเดียว ข้างหนึ่งมันบอดไปแล้วยังเหลืออยู่ข้างเดียว ถ้าข้างนี้บอดอีกก็เสร็จ เรียกว่าคนตาบอดหมดทั้งตัว งุ่มง่ามต้วมเตี้ยม ชนนั้นชนนี้ไป คือพวกเอกแบบตาข้างเดียวนี้ ชอบโม้ชอบคุย เรียนมาได้มากน้อยทิฐิมานะขึ้นสูงจรดเมฆนู่น ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีเรื่องทิฐิมานะ ใครจะว่าอะไรๆ ก็ว่า ท่านไม่มีอะไรเข้ามาติดใจของท่าน อันนั้นสมมุติมันก็เหมือนกองมูตรกองคูถ จะไปเข้าในวิมุตติธรรมได้ยังไง มีแต่ความสลดสังเวชเท่านั้นเอง อย่างนี้ละทุกวันนี้กิเลสมันหนา ผู้ท่านทำท่านทำอยู่ ท่านรู้-รู้อยู่ เห็นอยู่มาตั้งแต่องค์ศาสดา เป็นตัวอย่างของโลก เป็นสรณะของโลก เช่นชาวพุทธเราได้นับถือ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ตลอดมา ล้วนแล้วตั้งแต่ความรู้อันเอกของท่านทั้งนั้น ไม่ใช่ความรู้เอกตาเดียวมาเห่าฟ้อๆ แฟ้ๆ  ตรงนั้นตรงนี้ โจมตีที่นั่นที่นี่ นี่พวกเทวทัต ในวงกิเลสมันเป็นอย่างนั้น มันไม่มีอะไรวิเศษวิโส ได้ว่าคนอื่นแล้วก็ว่าตัววิเศษวิโส ได้โจมตีคนนั้นคนนี้ก็ว่าตัววิเศษวิโส เพราะฉะนั้นไปที่ไหนมันถึงชอบเห่าไปเรื่อยๆ โจมตีไปเรื่อยๆ เอาความวิเศษวิโสจากการเห่าในกองมูตรกองคูถ เหมือนหมาเข้าใจไหม

         ธรรมท่านไม่หลงนะ ท่านไม่ตื่น พวกนี้มันเป็นอย่างนั้นละ ให้ภาวนาลองดูซิ ค้านพระพุทธเจ้าก็ให้ไปค้านจากจิตตภาวนา เอ้าลองดูซิน่ะ ศาสดาเอกของโลกเป็นหัวใจของชาวพุทธมานานสักเท่าไรแล้ว ทำไมเราเกิดมาจากแดนไหน ถึงได้มาเห่าฟ้อๆ พระพุทธเจ้าก็อยู่ในป่า บำเพ็ญในป่า ตรัสรู้ในป่า และสอนสัตว์โลกทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์สาวก สอนให้อยู่ในป่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นั่นเห็นไหม นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้เธอทั้งหลายไปอยู่ในป่าในเขา ร่มไม้ชายเขาหรือในถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ แล้วให้อุตส่าห์พยายามอยู่ในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด เพราะที่เหล่านั้นเป็นที่ไม่กังวลวุ่นวายกับพวกเห่าฟ้อๆ แฟ้ๆ เข้าใจไหม ปราศจากเห่าฟ้อๆ แฟ้ๆ

         ให้บำเพ็ญอย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่พระพุทธเจ้าสอน ท่านก็บำเพ็ญอย่างนั้น ท่านก็รู้อย่างนั้นตามพระพุทธเจ้ามา แล้วท่านมาอวดอุตริที่ตรงไหน พิจารณาซิ ศาสดาองค์เอกอยู่ในป่าตรัสรู้ในป่า นั้นอวดอุตริเหรอ  พระสาวกทั้งหลายอยู่ในป่าตามทางของศาสดาที่สอนไว้ และบำเพ็ญรู้เห็นตามในป่าในเขานั้นเป็นการอุตริแล้วเหรอ ไอ้ผู้ที่มันเห่าฟ้อๆ มันอุตริขนาดไหนจนฟังไม่ได้ ในสายตาของธรรมนี้เรียกว่าฟังไม่ได้เลย แต่พวกเดียวกันเห่าฟ้อๆ นี้ชอบกัน ยกยอปอปั้นกัน โอ้คนนี้เขาเก่งนะ เก่งขี้หมาอะไรเก่งอยู่ในกองมูตรกองคูถ ใครจะไปชมเชยมัน ก็มีแต่พวกอันเดียวกันนั่นละ ชมเชยก็อยู่ในกองมูตรกองคูถอันเดียวกัน ท่านผู้เหนือนั้นท่านไม่ได้มาชมนะ มีแต่สลดสังเวชเท่านั้น ว่าหนาขึ้นทุกวันๆ มนุษย์นี้ เรียนมากเท่าไรยิ่งหนาขึ้นไปๆ

         นี่ละเรียนทางโลกเป็นอย่างนั้น เรียนสูงเท่าไรทิฐิมานะยิ่งสูง เย่อหยิ่งจองหอง ไม่มีใครเกินพวกเรียนสูงๆ ละ ถ้าไม่มีธรรมแทรก ถ้ามีธรรมแทรกรู้ตัวนะ ไม่ลืมตัว เพราะฉะนั้นคนดี ต้องมีธรรมจึงเรียกคนดีได้ ถ้าไม่มีธรรมมีแต่ความรู้หาความดีไม่ได้ ทำความชั่วช้าลามก นักเลงโตที่สุดก็คือพวกที่เรียนสูงๆ เก่งๆ นั่นละ วิชาต่างๆ ทางชั่วมันเรียนมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอุบายวิธีการที่มันทำชั่วจึงมองแทบไม่ทัน นี่ละพวกชั่ว พวกหยาบช้าลามก

         ตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยได้ภาวนา อันเป็นทางของความรู้ความเห็นกระจ่างแจ้ง เป็นที่ยอมรับในตัวเอง และกราบไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นองค์ศาสดาประสิทธิ์ประสาทธรรมมาให้นี้ กราบทันที อันนี้ไม่ต้องบอกกราบเลย แต่พวกเห่าฟ้อๆ แฟ้ๆ ไม่มีทางกราบ พวกนี้ ตายจมไปเลยละมันก็พอใจ ลงไปจมในกองมูตรกองคูถมันก็พอใจ ไปเที่ยวโจมตีคนอื่นก็เอาความวิเศษวิโสจากการโจมตีเขา ทั้งๆ ที่ไม่ได้อะไร สร้างแต่บาปแต่กรรม ท่านที่ถูกโจมตีท่านจะมีอะไร เราต่างหากเป็นบ้า

         เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ภาวนา อย่าเห่าฟ้อๆ แฟ้ๆ เฉยๆ ให้ภาวนาตามทางศาสดาเสียก่อนเอามาทดสอบกัน นี้ไม่ได้ทำแล้วมาอวดกันซิ ใครจะเชื่อถือได้วะ  พระพุทธเจ้ามาสอนโลกท่านเชื่อถือท่านได้แล้ว สาวกทั้งหลายท่านเชื่อถือท่านได้แล้วท่านมาสอนโลก ใครจะว่าอะไรท่านไม่หลงไปตาม ท่านไม่เป็นบ้าเหมือนฟ้อๆ แฟ้ๆ เห่าอยู่ตามมูตรตามคูถนั่นน่ะ ให้พากันภาวนาบ้างซิ อย่างนี้ละไอ้เรื่องโลก ของดิบของดีมันไม่ยอมรับ ถ้าเป็นของชั่วมูตรๆ คูถๆ มันชอบทั้งนั้น ชอบกันทั้งบ้านทั้งเมือง

         เราถ้าชอบอย่างนั้นก็เอ้าไปเรียนวิชากับพวกนี้น่ะ พวกเห่าฟ้อๆ นี่ละ พวกวิชาสูงๆ ทิฐิมานะจรดฟ้านั่นน่ะ มันจะได้ทิฐิมานะมาเหยียบศาสนาให้แหลกหมดเลย เวลานี้ศาสนาก็กำลังกระจาย ก็มีแต่พวกนี้ละพวกเห่าฟ้อๆ นี่เหยียบศาสนา เหยียบลงทุกวันๆ ไปทำหน้าที่ในวงการศาสนา กลับเข้าไปทำลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ศาสนาแหลกหมดคือพวกนี้เอง พวกอื่นเขาไม่ได้เข้าไป พวกที่ถือว่าตนมีอำนาจนี่ละ ว่าจะไปทำศาสนาให้เจริญ เจริญอะไรไปเผาศาสนาจนแหลก

         เวลานี้กำลังเกิดเรื่องกันอยู่นี่ จะไปโกยเอาศาสนสมบัติไปเป็นสมบัติของส่วนตัวด้วยอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ คณะนั้นประชุมคณะนี้ รัฐมนตงมนตรีอะไร รัฐมนไหนมันก็ไม่มีอำนาจเหนือศาสนสมบัติละนะ ศาสนสมบัติเป็นสิ่งที่พระองค์ประทานให้เรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์เป็นใหญ่ในสิ่งเหล่านี้ ใครจะมาอาจเอื้อมที่ไหนไม่ได้ ตั้งขึ้นมากี่คณะรัฐมนตรีก็ตั้งขึ้นมาเถอะน่ะ มีแต่เห่าฟ้อๆ ทั้งนั้นละ ไม่มีความจริงที่จะเข้ามาพอเป็นบูชาพระพุทธเจ้าได้เลย มีแต่เข้ามาทำลาย

         นี่เวลานี้มันกำลังเกิดกำลังเป็น ชำระเรื่องนี้แล้วชำระเรื่องนั้น มีแต่พวกเปรตพวกผี พวกความรู้สูงๆ นี้แหละที่ปฏิญาณตนหรือประกาศตนว่าจะทำชาติบ้านเมืองของเราให้มีความเจริญรุ่งเรือง มีแต่พวกที่จะทำลาย มีแต่พวกที่จะเผาบ้านเผาเมือง เผาชาติเผาศาสนาอยู่เวลานี้ทั้งนั้น มันเอาคำพูดหวานๆ ออกมาพูดเฉยๆ สิ่งที่จะเป็นภัยต่อชาติมันไม่เอามา มันไพล่หลังเอาไว้ แล้วก็จี้เข้าไปตรงไหนเผาแหลกหมดๆ มีแต่พวกนี้แหละ ตาสีตาสาตามท้องนาเขาไม่ไปทำลายศาสนา พวกนี้ละตัวหัวหน้าทำลายเก่งๆ อวดตนอวดตัว ทิฐิมานะไม่ลงใคร อวดอำนาจป่าเถื่อนของตนนั่นแหละ คือพวกนี้เอง ไม่จี้พวกไหนเราจี้พวกนี้ เพราะได้รับความกระทบกระเทือนเพราะพวกนี้เอง ต้องได้ชำระสะสางกันตลอดมา ตาสีตาสาไม่เห็นไปชำระเขา พวกนี้พวกตัวเก่ง มันทำลายชาติทำลายศาสนา

         เวลานี้กำลังเร่งตีเข้าทางศาสนานะ ตีเข้าไปๆ ได้ศาสนาเป็นอำนาจบาตรใหญ่โตเรียบร้อยแล้ว ประชาชนยินยอมเป็นเหยื่อ เป็นอาหารว่างของมันด้วยการเสี้ยมสอน ด้วยการบังคับบัญชาเป็นลำดับลำดามา ตั้งแต่เจ้าคณะภาคใหญ่ภาคไหนก็แล้วแต่เถอะ เจ้าคณะใหญ่ลงมา เจ้าคณะภาค เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะตำบล ลงมา นี่เป็นอาหารว่างของมันแล้ว เป็นเครื่องมือของมันเรียบร้อยแล้ว มันสั่งเสียพวกนี้ให้ไปสอนประชาชน ให้สอนตามอุบายของมันที่มันจะกลืนศาสนาได้แบบไหน กลืนชาติได้แบบไหน เอานั้นไปสอนประชาชน ถ้าประชาชนยินดีในเรื่องนั้นแล้ว ก็ประชานั้นแหละที่เคารพนับถือพุทธศาสนาและเคารพนับถือชาติของตน กลายเป็นข้าศึกต่อศาสนาต่อชาติของตนไปโดยไม่รู้สึกตัว เพราะอำนาจแห่งการเสี้ยมสอนของพวกเปรตพวกผีที่กำลังกลืนชาติกลืนศาสนาอยู่เวลานี้แหละ พี่น้องทั้งหลายให้จำเอานะ

         เวลานี้มันกำลังหาเครื่องมือ ตีลงมาตั้งแต่เจ้าคณะใหญ่ๆ พวกนี้ก็พวกดินเหนียวติดหัว เห็นแก่ยศแก่ลาภ สรรเสริญเยินยอยิ่งกว่าชาติยิ่งกว่าศาสนาซึ่งเป็นของมีคุณค่ามาก ไม่มองดูเลย ดูชาติดูศาสนา มองดูตั้งแต่ดินเหนียวติดตัว แล้วถูกมันเอาเบ็ดเกาะปากไปทั่วประเทศไทยแล้วเวลานี้ เต็มไปหมดนะ เกาะปากไปหมด จากนั้นแล้วก็ไล่เบี้ยลงมาโดยลำดับตั้งแต่เจ้าคณะภาคคณะแภค ไล่เบี้ยเข้าไปถึงประชาชน เอาเพศอันนี้แหละ เพศพระเรานี่ที่โลกทั้งหลายตายใจ แต่มันเอายาพิษฝังไว้ในนั้น

         ครั้นเข้าไปก็ชี้แจงอย่างนั้นอย่างนี้ นี้เป็นพระสมัยใหม่ เป็นพระทันสมัย เป็นพระล้ำยุคล้ำสมัย พระทั้งหลายนี้ไม่ทัน ยิ่งพระอยู่ในป่าในเขาแล้วพวกนี้มีแต่พวกวิกลจริต อย่าไปเชื่อมันเลยนะพวกนี้พวกวิกลจริต ให้เชื่ออาตมานี่ นอนกอดกองขี้หมูขี้หมา นอนกอดซากหมูซากหมาอยู่ในตลาดนี้น่ะ ตัวนี้ละตัวเก่ง มาเชื่ออาตมานี่นะท่านทั้งหลายจะร่ำรวย มันจะสอนไปแบบนั้น พวกพระยุคที่ทันสมัยนี่น่ะ อาตมาอยู่กลางบ้านกลางเมืองไม่จำเป็นจะต้องไปหาธรรมในป่าในเขาให้เป็นวิกลจริตละนะ อาตมาไม่ใช่วิกลจริตเวลานี้ แต่การต้มคนไม่มีใครเกินอาตมานี้มันไม่เอาออกใช้ มันไพล่หลังเอาไว้ การต้มโลกต้มสงสารให้แหลกเหลวไปหมดนี้คืออันนี้แหละ คืออาตมานี่แหละมันไม่บอกนะ มันมากับเพศผ้าเหลือง เห็นว่าเพศผ้าเหลืองเป็นที่เคารพนับถือของคน ถ้าจะคัดค้านต้านทานอะไรก็กลัวเป็นบาปเป็นกรรม ทีนี้มันก็กลืนเอาๆ

         ระวังนะพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้มันกำลังลุกลามเข้ามาทางศาสนา จะเอาศาสนาเป็นเครื่องมือ เหยียบย่ำทำลายศาสนาแหลกหมดแล้วก็เข้าไปเหยียบย่ำชาติไทยของเรา ซึ่งพี่น้องชาวไทยนั้นละเป็นผู้ยกขึ้นเป็นรัฐบาลก็ดี และเมื่อความรู้ความเห็นเป็นพิษเป็นภัยต่อรัฐบาลแล้วมันก็เหยียบย่ำรัฐบาลให้จมไปได้เหมือนกัน เพราะอำนาจของศาสนาป่าเถื่อนของมันนั้นแหละ ศาสนาพระพุทธเจ้าแท้ไม่มี มันอาศัยอันนี้ละเป็นตัวสำคัญที่สุดที่กำลังทำลายอยู่เวลานี้ ท่านทั้งหลายรู้ไหมกลอุบายของมัน นี่จะเปิดให้ฟังถ้าไม่รู้น่ะ มันออกมาแง่ไหนๆ มันก็คนเราก็คนทำไมจะไม่รู้วะ ศาสนธรรมยิ่งละเอียดลออยิ่งกว่าความรู้มูตรๆ คูถๆ เหล่านี้นะ นอกจากท่านไม่แสดงเท่านั้น

         นี้เปิดออกให้ฟังเสียทุกคน หลวงตาบัวนี้ตัดคอรองชาติและศาสนามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ที่ออกหน้าออกตาจริงๆ ก็เป็นเวลา ๖ ปี ถูกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาโจมตีทุกแบบทุกฉบับ ไม่สนใจเลย ชาติศาสนาของเราจะเจริญรุ่งเรืองแน่นหนามั่นคงได้ด้วยเหตุใด เราจะหมุนเข้าไปตรงไหน ไม่มีคำว่าท้อถอยอ่อนแอท้อแท้ หรือกลัวใครๆ ไม่มี หลวงตาไม่มีคำว่ากลัวใคร เพราะไม่มีคำว่ากล้าต่อใคร มีแต่ธรรมล้วนๆ ที่นำมาสอนโลก เทศน์ผิดถูกประการใด เอ้าฟังไปนะ ถ้าหลวงตาบัวพูดไปทั้งหมดนี้เป็นความผิดเอาคอหลวงตาบัวไปตัดเลย มันไม่ผิด เอาธรรมมาสอนผิดยังไง

         มีตั้งแต่พวกต้มตุ๋นหลอกลวงอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองนี้ผิดขนาดไหน มันก็หาอุบายมาเป็นน้ำหวานน่าดื่มน่ากินไปหมด มันหลอกโลกอย่างนี้ ให้ดูเอาพวกนี้ อย่ามาดูเสียงอรรถเสียงธรรมที่เป็นความจริง ให้ดูเอาพวกนี้ พวกที่กำลังจะต้มตุ๋นชาติบ้านเมืองอยู่เวลานี้ ดูซิชาติบ้านเมืองท่านทำความดีมาขนาดไหน พวกนี้มีแต่พวกโจมตี ที่จะมาส่งเสริมหรือแนะนำไม่มี มีแต่ค้าน อย่างนี้ไม่ดี ทำยังไงดีแนะกันซิ ในฐานะรัฐบาลกับฝ่ายค้าน พยุงกันขึ้นเพื่อเป็นรัฐบาลที่แน่นหนามั่นคง ต้องอาศัยฝ่ายค้านไม่อย่างนั้นรัฐบาลจะลืมตัว ต้องให้มีฝ่ายค้าน ค้านตรงไหนแล้วให้มีคติเป็นเครื่องสอนรัฐบาล รัฐบาลจะยอมรับทันทีๆ แต่นี้เข้ามามีแต่โจมตีหาเหตุหาผลไม่ได้ เป็นอย่างนั้นละ

         ไปที่ไหนมีแต่โจมตี คนหนึ่งสร้างแทบเป็นแทบตาย คนหนึ่งเอาไฟไปเผาๆ นี่พวกเผานะนี่ ถ้าเป็นฝ่ายค้านที่ชอบธรรม ค้านตรงไหนให้เป็นคติเตือนกันๆ ให้ได้หลักได้เกณฑ์จากกัน นี้เรียกว่าเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมเข้าเป็นรัฐบาลโดยสมบูรณ์ นี่รัฐบาลที่ว่าสมบูรณ์ไม่ได้ก็เพราะฝ่ายค้านเอาไฟเผาอยู่เรื่อยๆ ผู้ทำนี้ทำแทบเป็นแทบตาย เราเห็นไม่ใช่เหรอทุกวันนี้ ตาบอดหรือพวกเรา รัฐบาลที่ทำอยู่ทุกวันนี้ บ้านเมืองของเราได้เงยหน้าอ้าปากได้บ้างเป็นยังไง เพราะผู้ที่อุตส่าห์พยายามทำดีทำแทบเป็นแทบตาย แต่ผู้ตามเอาไฟเผาตามคัดค้านต้านทานเพื่อความเสียหายเต็มบ้านเต็มเมือง คอยติดตามอยู่งั้น นี่เรียกว่าฝ่ายแค้น ฝ่ายเพชฌฆาต ไม่ใช่ฝ่ายค้านถ้าเป็นอย่างนี้

         ถ้าเป็นอรรถเป็นธรรมค้านตรงไหนชี้แจงออกมา เอาเหตุผลออกมา บอกเตือนกันให้ได้คติจากกันระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล ก็เป็นประโยชน์แก่ชาติของเรา อันนี้มันค้านเพื่อเผานะ ไม่ได้ค้านเพื่อส่งเสริม มันน่าตำหนิต้องตำหนิ นี่ภาษาธรรมว่าอย่างนี้ เราไม่ได้เข้าใครออกใคร ใครดีบอกว่าดี ใครชั่วบอกว่าชั่ว เขาทำดีที่ไหนมันเอาไฟไปเผาตรงนั้น มันถือเอาไฟเผานั่นละเป็นของดี ว่าไฟมันนี้ดีนะ สิ่งที่ถูกทำลายนั้นมีคุณค่าขนาดไหนมันไม่พูด มันยกไฟมันขึ้นว่าไฟมันดีนะ เผาที่ไหนไหม้ที่นั่น เอาไปเผาหัวมันลองดูซิ มันไม่เห็นเผาหัวมัน มีแต่เผาคนอื่นทั้งนั้น

         ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ เวลานี้กำลังคืบคลาน บริษัทบริวารมันเต็มบ้านเต็มเมืองที่จะกลืนชาติศาสนาของเรา ผู้ที่พยุงก็เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มกำลังความสามารถ เราก็ไม่เคยเห็นรัฐบาลของเราที่ไหนมาที่เด่นชัดอย่างปัจจุบันนี้เราไม่เคยเห็น มองไปไหนๆ มีแต่การทำประโยชน์ๆ การจะทำความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองตรงไหนเรายังไม่เคยเห็นมี แต่พวกนี้มีแต่ตามไปเผา ทำดีที่ตรงไหนไปเผาที่ตรงนั้น แล้วตัวเผานั่นหรือเป็นตัวดี ตัวแสบละนั่นรู้ไหม นี่ละมันเป็นอยู่อย่างนี้ นี่ละเรื่องความเป็นธรรม ผู้หนึ่งทำให้โลกมีความร่มเย็นเป็นสุข ไปที่ไหนประชาชนยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยโลกช่วยสงสาร

         เดินผ่านมานี้ เห็นไหมเมื่อเร็วๆ นี้นายกรัฐมนตรีผ่านมาตั้งแต่จังหวัดเลยมาอุดรนี้กระจายไปหมดที่ช่วยโลก ยื่นให้ๆ เมืองอุดรนี้กี่พันล้านเหอ (สองพันเจ็ดร้อยกว่าล้านครับ) นั่นฟังซิ ยื่นให้เมืองอุดรนี่สองพันเจ็ดร้อยกว่าล้าน ช่วยนั้นๆๆ ฟังซิน่ะ มาทางจังหวัดเลย จากนี้ไปไหนเหมือนกันนี้หมดนะ มีความจำเป็นยื่นให้ๆ ยื่นให้หมดทั่วประเทศไทย ชาติไทยของเราได้รับความยิ้มแย้มแจ่มใส่ พวกนี้ตามเผาๆ เป็นอย่างนั้นนะ เผาแบบไหนมันก็เผาของมันตามเพลงของมันที่เคยเผามานั่นแหละ

         มิหนำซ้ำยังว่า นี่เพื่อคะแนนเสียง ตัวหัวมันตัวงาบคะแนนเสียง ทุจริตในคะแนนเสียงไม่มีใครเกินพวกนี้นะ เข้าใจไหม มันงาบเอาแบบนี้ละ มันไม่เห็นพูดมันเลยมันงาบแบบนี้ ทุจริตเก่งพวกนี้น่ะ ตลบตะแลง เสียไปมากมายนะ นี่เราดูซิทำประโยชน์ให้โลกด้วยความเป็นธรรม เมื่อวานนี้ก็ยกขึ้นพูดแล้วถึงเรื่องกี่ครอบครัวที่ถูกจม (๔๐ กว่าครอบครัวที่ถูกน้ำท่วมครับ) นี่ก็รัฐบาลนั่นแหละ ไม่เป็นธรรมฟาดเอาเสียจนจม  รัฐบาลเรามานี้ได้สืบสาวได้เรื่องได้ราวเสร็จเรียบร้อยแล้วรื้อถอนที่ดินคืนให้หมด ๔๐ ครอบครัวที่เขายึดเป็นกรรมสิทธิ์ทำนบน้ำเพื่อจะทำน้ำประปามาใช้ มาพิจารณาดูเหตุดูผลแล้วยอมรับเลย รัฐบาลของเราคนนี้ นายกฯคนนี้ยอมรับ เอายกให้ประชาชนราษฎรคืนตามเดิม หาจัดทำอย่างใหม่ให้ นั่นเห็นไหมล่ะ ก็เป็นอย่างนี้ละ

         มันผ่านมาเท่าไรตั้ง ๒๐ กว่าปีแล้วนี่ กลืนกินเขามาได้ ๒๐ กว่าปี พึ่งมาฟื้น จนกระทั่งจะหมดลมหายใจแล้วถึงมาฟื้นได้ มาฟื้นในคราวนี้ ฟื้นขึ้นมาแล้ว นี่เราเห็นไหมรัฐบาลไหนตั้งขึ้นมากี่ครั้งกี่หนเห็นอย่างนี้ไหม ความเป็นธรรมอย่างนี้เราไม่เคยเห็น  ใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยกัน แล้วก็ถูกโจมตีตลอดนะ ไอ้ผู้ทำดีมากเท่าไรยิ่งถูกโจมตีจากพวกเปรตพวกผี พวกโจรพวกมาร เวลามันขึ้นมาครองบ้านครองเมืองมันจะเอาแบบของมันนี้เหยียบหมดประชาชนราษฎร

         ท่านทั้งหลายไปหย่อนบัตรให้มันนะพวกนี้ ถ้าอยากคอขาดกันทั้งประเทศ ให้ไปหย่อนบัตรให้พวกนี้นะ เวลานี้ข้ากำลังโฆษณาเผานั้นเผานี้เพื่อหาบัตร เมื่อข้าได้บัตรแล้วตัดคอเลย ไม่มีเหลือละพวกชาติไทยทั้งชาติ ศาสนาก็จม ชาติไทยคอขาดๆ มีแต่คนหัวกุ้นทั้งนั้น อยากหัวกุ้นไหม เหอ ถ้าอยากหัวกุ้นไป ไปยื่นให้มันตัวแสบๆ ตัวสำคัญนี้ รัฐบาลจะตั้งขึ้นมาในเวลาต่อไปนี้ไม่นาน ให้เลือกไว้นะ ให้ดูคอของใครๆ บ้าง นี่จะพาไปหย่อนบัตรตรงนั้นนะคอเราจะได้ขาดในเวลานั้น ถ้าหย่อนบัตรให้ผู้ที่ถูกต้องดีงามนี้คอเราจะไม่ขาด ให้ไปหย่อนนี้นะถ้าอยากคอขาด ให้ประกาศกันนะ พวกเผาบ้านเผาเมืองเผาคอเราด้วย

         นี่เหรอที่จะเอามาปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข คนประเภทนี้เหรอ ท่านทั้งหลายฟังเสียตั้งแต่บัดนี้ ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นเป็น เดี๋ยวนี้มันก็ก่อเรื่องก่อราวเผาบ้านเผาเมืองไว้แล้ว ก่อร่างไว้เรียบร้อยแล้ว พอได้ถึงกึ๊กแล้วก็เผาเลยไม่มีเหลือ กินไม่มีถอยอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ กลืนไปตลอดเวลานะ จำให้ดี อันนี้ก็เป็นเครื่องหมายของอนาคตข้างหน้าสำหรับคนดีและคนชั่ว เอ้าหย่อนให้คนดี เสริมชาติบ้านเมืองให้ดีเป็นลำดับลำดาแน่นหนามั่นคง ถ้าหย่อนให้คนชั่วตัดคอคนทั้งประเทศขาดสะบั้นไปหมด ท่านทั้งหลายจะเลือกหย่อนบัตรให้คนดีหรือคนชั่ว จำอันนี้ให้ดีนะ เอาละพอ (สาธุ)

         เราพูดเป็นอรรถเป็นธรรม เราไม่ได้เข้าข้างไหนออกข้างไหน ธรรมเหนือโลกตลอดเวลา ใครผิดบอกว่าผิด ใครถูกบอกว่าถูกอย่างนี้ เอาละทีนี้ให้พร

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก