ความรู้ของคนหยาบหนา
วันที่ 22 พฤษภาคม 2547 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ความรู้ของคนหยาบหนา

 

         เคยเห็นไหมขอนซุง ไม่เคยเห็นก็ดูตัวเองซิ นอนเหมือนตายแล้ว ถ้าไม่มีลมหายใจก็เรียกว่าคนตายแล้ว มันเป็นวัยๆ นะ ธาตุขันธ์นี้เป็นวัย วัยมันดีดของมัน โห ไม่ใช่เล่นนะ เครื่องมือเสริมกิเลสตัณหา เหล่านี้เป็นเครื่องมือทั้งนั้น ใจเป็นเจ้าของ ทีนี้ใจธรรมดาเราใจนั้นก็มีกิเลสตัวพิษตัวภัยอยู่ในนั้นด้วย ส่วนมากตัวพิษภัยจะเป็นผู้บังคับการบังคับงาน ธรรมออกไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่ร่างกายมีทุกสัดทุกส่วน มันเป็นเครื่องมือของใจล้วนๆ แต่ใจพาให้เป็นกิเลส เหล่านี้ก็กลายเป็นกิเลสไปตามๆ กัน เหมือนมีดเรานี่ ไปฟันฟักแฟงแตงโมมากินก็ได้ ไปฟันหัวคนก็ได้ นี่ละเครื่องมือ ร่างกายของเราทุกส่วนเป็นเครื่องมือ เมื่อใจเป็นพิษ เครื่องมือก็พร้อมที่จะเป็นพิษตลอด ขยับออกช่องไหนมีแต่จะเป็นพิษเป็นภัย ถ้าจิตใจได้รับการอบรม มีคัดมีเลือก อันไหนดีอันไหนชั่ว อันไหนผิดอันไหนถูก จะนำเครื่องมือไปใช้ในทางที่ถูกโดยธรรมเป็นผู้แนะเป็นผู้บงการ ถ้าไม่มีธรรมแล้ว กระดิกออกทางไหนมีแต่กิเลสออกบงการไปหมด

ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหล่านี้มีใจเป็นผู้รับผิดชอบ ใจหนาใจบาง ถ้าใจหนามีแต่กิเลสเป็นผู้รับผิดชอบ แสดงเคลื่อนไหวอะไรออกมาเป็นภัยทั้งนั้น ถ้าใจนั้นมีธรรมเป็นผู้รับผิดชอบ เคลื่อนไหวออกมาทางไหนเป็นธรรมๆ ทั้งนั้น นั่นละมันอยู่กับใจนะ อันนี้เป็นเครื่องมือคอยจะเคลื่อนไหวไปตามใจที่สั่ง ใจปุถุชนเรานี้ส่วนมากเป็นภัยมาก ระบายออกมาทางเครื่องมือเป็นภัยไปเรื่อยๆ เมื่อได้รับการอบรมเข้า ธรรมมีกำลังมากขึ้น ร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กายทั้งหมดนี้ก็เป็นเครื่องมือของธรรมไป หมุนไปทางดีไปเรื่อยๆ เช่นอย่างพามาวัดมาวา มานี่มุ่งเจตนาเพื่ออรรถเพื่อธรรม นี่เรียกว่าธรรมบงการให้มา มาเพื่อเพลิดเพื่อเพลินเหมือนลิงเหมือนค่าง นี่กิเลสพามา

ดูการแต่งเนื้อแต่งตัวนั่น กิเลสหรืออะไรพามาก็ไม่รู้ เราเดินมาเมื่อเช้าจนดูไม่ได้ก็มี อย่างนี้อย่าเข้ามานะวัดนี้ เราไม่ต้องการอะไรจากหัวใจของโลก ที่มีธรรมเราต้องการทั้งนั้น เราไม่ต้องการล็อกแล็กๆ เหมือนลิงเหมือนค่าง มันเต็มอยู่ทุกแห่งทุกหน เหล่านี้เกลื่อนไปหมด ไม่เฟ้อนะ พวกกิเลสไม่เฟ้อในตัวเอง แต่ธรรมมองดูแล้ว แป๊บเดียวเป็นพิษแล้ว มันต่างกันนะเมื่อมีสิ่งที่จับกันดูกัน เพราะฉะนั้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้าจึงไม่มีอะไรเป็นภัย ดูได้เต็มตาไม่เป็นภัย ฟังได้เต็มหู ทุกสิ่งทุกอย่างสัมผัสสัมพันธ์ได้หมดแต่ไม่เป็นภัย เพราะใจเป็นคุณมหาคุณแล้ว นั่นมันอยู่ที่ใจ ใจของพระพุทธเจ้า ใจพระอรหันต์เป็นธรรมล้วนๆ กิริยาอาการแสดงออกไปจะมีเหมือนโลกเหมือนอะไร ธรรมนั้นไม่ได้เป็นโลก แต่กิริยาบางทีมีนิสัยดั้งเดิมแฝงมา คนเราจึงมีนิสัยต่างกัน ท่านจึงเรียกว่านิสัย ไม่เป็นบาปเป็นบุญ เป็นนิสัยเคยชินมาต่างหาก

ถ้ามีอะไรที่เป็นภัยอยู่ในนั้น ไม่เรียกว่านิสัย ใจของพระพุทธเจ้า ใจของพระอรหันต์เป็นมหาคุณล้วนๆ แสดงออกอะไรๆ ทางร่างกายที่เป็นเครื่องมือนี้ไม่เป็นภัย ตาจะดูเท่าไรก็ได้ไม่มีภัย หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรได้ทั้งนั้นไม่เป็นภัย เพราะใจไม่เป็นภัย ถ้าใจเป็นภัยเสียอย่างเดียวแสดงออกมาอะไรเป็นภัยเสียทั้งนั้น จึงให้อบรมใจซึ่งเป็นเจ้าของของร่างกายที่เป็นเครื่องมือนี้ในทางที่ถูกที่ดี ถ้าระลึกถึงธรรมบ้างก็จะระลึกถึงผิดถึงถูกได้บ้างคนเรา ถ้าไม่ระลึกถึงธรรมก็จะไปตามกิเลสทั้งหมด คนก็เป็นลิงเป็นค่างไปหมดนั่นแหละ หัวใจมันพาให้เป็น

นี่เราเคยดุในวัดนี้ อย่ามาเล่นนะเล่นกับหลวงตาบัวไม่ได้นะ ไม่มีหน้าอินทร์หน้าพรหม สามโลกธาตุนี้เหยียบแหลกไปหมดแล้ว ทีนี้ก็สนุกดูเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ป้างๆ ไปเลยเทียว ตามเหตุตามผลตามอรรถตามธรรม ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านหรือกลัวหรือกล้ากับสิ่งใด ไม่มีในโลกนี้ เหตุผลกลไกเป็นยังไงจะพูดไปตามเหตุตามผลของอรรถของธรรม จะไม่มีคำว่าลูบหน้าปะจมูก เมื่อจะเอาความจริงจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมล้วนๆ เลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ควรหนัก-หนัก เพราะตัวเป็นภัยมันหนัก ตัวเป็นคุณปราบกันก็ต้องให้หนัก ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน นั่นละกิริยาของธรรมกับกิริยาของกิเลสรับกัน มีหนักมีเบาเหมือนกัน ไม่ใช่อะไรก็มีแต่เจริญพรๆ ธรรมควรหนักต้องหนัก ควรเบาต้องเบา

พี่น้องทั้งหลายมาหาอรรถหาธรรมในนามว่าเป็นชาวพุทธ มีพุทธติดหัวใจบ้างไหมล่ะ หรือมีแต่ลิงแต่ค่างสัตว์เดรัจฉานเต็มตัว อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่เห่อไปตามกิเลสหาคุณค่าไม่ได้ หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ไม่มีฝั่งมีฝา ดิ้นดีดไปตามกิเลส ถ้ามีธรรมแล้วมีฝั่งมีฝามีขอบมีเขต รู้จักผิดจักถูกชั่วดี แก้ไขดัดแปลงตนเองไป นั้นเรียกว่าธรรม ถ้ามีแต่กิเลสล้วนๆ โลกนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย ก็เหมือนกับสัตว์ทั่วไปนั่นแหละ มนุษย์เราเย่อหยิ่งต่างหากว่าตัวสูงกว่าเขา มันสูงขี้หมาอะไรก็ไม่รู้แหละ ความเลวทรามสัตว์สู้ไม่ได้นะ

จะเรียนมาสูงต่ำมากน้อยเพียงไรก็ตาม ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปแฝงไปเป็นเจ้าของแล้ว เป็นความเลวอยู่กับผู้รู้มากๆ เรียนมากๆ ความทะนงอวดตัวเองนี้เก่งอยู่ในนั้นหมด อยู่กับคนที่เรียนมากๆ ไม่มีธรรม หยาบโลนที่สุดคือผู้นั้นเอง ทำความเดือดร้อนแก่โลกได้ก็ผู้นั้นเอง ทำได้มากกว่าเพื่อน กว่าใครๆ ถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมมีมากเท่าไรยิ่งทำความร่มเย็นให้มาก เช่น พระพุทธเจ้าของเรา นั่นละธรรมเต็มพระทัย สอนโลกได้สามแดนโลกธาตุ ไม่เคยมีที่ไหนว่าพระพุทธเจ้าเป็นภัยต่อผู้ใดในสัตว์โลกเรานี้ มีแต่เป็นคุณล้วนๆ นั่นละธรรมมีในใจเป็นอย่างนั้น

ถ้ากิเลสมีในใจก็ต่อสู้กับพระพุทธเจ้า เช่นพระเทวทัต แล้วก็ต่อสู้กับพุทธศาสนา เหยียบย่ำทำลายพุทธศาสนา กลืนพุทธศาสนาไปด้วยความหยาบโลนของตัวเอง ด้วยความเย่อหยิ่งจองหองว่าตนนี้รู้ ว่าตนนั้นมีอำนาจ อำนาจนี้มีแต่อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ไม่ได้เอาอำนาจของมนุษย์ที่ใช้กันมาใช้เลย นี่ความรู้ของกิเลส ความรู้ของคนหยาบหนาเป็นอย่างนั้น ถ้าความรู้ของคนมีธรรม มีดีมีชั่ว มีหนักมีเบา แยกแยะได้ตามสัดตามส่วนของอรรถของธรรมที่จะแยกแยะได้ขนาดไหน แยกแยะออกไป เป็นประโยชน์ไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเรื่องกิเลสล้วนๆ แล้วไม่มีคุณค่า

ตัวเองจะหยิ่งขนาดไหนก็หยิ่งเถอะ ต่ำยิ่งกว่าหมาอีก หมาเขาถือว่าเป็นสัตว์ต่ำ แต่มนุษย์ผู้ใจหยาบโลนนี้ต่ำกว่าหมาอีก เลวกว่าหมา มนุษย์เขาเห็นหมาเขาไม่ค่อยรังเกียจ แต่เขาเห็นคนที่หยาบโลนเลวทรามที่สุดนี้ สูงต่ำขนาดไหนการศึกษาเล่าเรียนมาไม่มีความหมาย ต่ำกว่าหมาทั้งนั้น จำให้ดีพี่น้องทั้งหลาย อย่าเรียนมาเฉยๆ ให้มีธรรมในใจประดับใจ จะได้มีความสงบร่มเย็น ตัวเองเป็นที่ยึดเหนี่ยวตัวเองได้ กลางค่ำกลางคืนอย่างน้อยไม่มีเวล่ำเวลาอะไร เวลานั้นเป็นเวลาที่จะหลับจะนอน ขอให้มีพุทโธติดหัวใจก่อนจะหลับจะนอน เราเป็นชาวพุทธเราเป็นมนุษย์ สูงที่สุดก็คือธรรม เอามาประดับมนุษย์เราที่ว่าเป็นชาวพุทธ

เมื่อเป็นเช่นนั้นเวลาจะหลับจะนอนขอให้กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เสียก่อน เวลาจะหลับนอนก็ให้นึกคำบริกรรม พุทโธ คำว่าพุทโธคำเดียวกระเทือนทั่วโลกธาตุ พระพุทธเจ้ามากขนาดไหนอยู่กับคำว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นอันเดียวกันหมด ระลึกคำไหนเหมือนกันหมด เข้าในจุดธรรมอันเลิศเลออย่างเดียวกัน ให้ระลึกหลับกับคำบริกรรม จะเอาพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ ให้หลับกับธรรมนั้นแหละดี อย่าให้หลับกับความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความดีดความดิ้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะนี้มันเคยพาดีดพาดิ้นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้ว ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ให้ธรรมพาดีดสักหน่อยเถอะน่ะ ถ้าธรรมพาดีดจะดีดไปในทางที่ถูกที่ดีสงบร่มเย็น สมเราเป็นชาวพุทธ ควรจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เวลาจะหลับจะนอน

เพราะเวลานั้นไม่มีอะไรแล้ว อย่างอื่นกิเลสเอาไปกินหมด ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาดีดดิ้นตลอดจนกระทั่งถึงขณะหลับ ขณะนั้นให้ธรรมได้ทำงานบ้างจะได้รู้เนื้อรู้ตัว แล้วยิ่งมีการทำภาวนาจริงๆ ด้วยแล้ว เราจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในจิตใจของเรา แม้แต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ไม่เคยเห็นก็ตาม แต่เราภาวนาเข้า หากมีขณะใดขณะหนึ่ง วันใดวันหนึ่งที่ธรรมจะสัมผัสกับใจของเรา ให้เกิดความตื่นเต้นภายในจิตใจ เห็นเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ที่หัวใจเราเอง ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหนไม่มี ใครอย่าไปหาความสุขจากท้องฟ้ามหาสมุทรก็ไม่มีอะไรเกิดประโยชน์ ถ้าหากับอรรถกับธรรมเข้าสู่ภายในใจนี้จะเจอวันใดวันหนึ่ง จึงขอฝากธรรมะนี้ไว้กับท่านทั้งหลาย

เราสงสารนะ หลวงตาจะตายแล้ว จวนจะตายแล้วเท่าไรการเทศนาว่าการยิ่งเร่งออก เพื่อโลกทั้งหลายจะได้รับผลประโยชน์จากธรรมของพระพุทธเจ้า แม้ไม่มาก ได้ก็ยังดี ดีกว่าเกิดตายเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เกลื่อนอยู่เหมือนขอนซุง เราตายทับเขา เขาตายทับเรา เราตายทับเรา เกิดตายทับเรามานี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ เพราะใจดวงนี้ไม่เคยตาย พาดีดพาดิ้นไปตามบุญตามกรรมของตนตลอดมา แล้วยังจะไปอีก ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะแล้ว จะย่นวัฏวนคือการเกิดการตายกองกันนี้เข้ามาไม่ได้นะ ถ้ามีอรรถมีธรรมแล้วจะย่นการเกิดตายกองกัน ทับเขาทับเรานี้เข้ามา หดย่นเข้ามาๆ

ดังที่ท่านแสดงไว้ในธรรมว่าพระโสดา โสตะ แปลว่า กระแสแห่งพระนิพพานพาดพิงเข้าถึงแล้ว ผู้นั้นอย่างนานที่สุดก็จะมาเกิดตายในโลกมนุษย์เรานี้เพียง ๗ ชาติ ใน ๗ ชาตินั้นจะไม่ตกนรก ออกจากมนุษย์ไปสวรรค์ ลงจากสวรรค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ ปิดอบายภูมิทั้งสี่ไม่เข้ามาสัมผัสได้เลย นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน นี่เรียกว่าอบายภูมิ ๔ เหล่านี้พระโสดาผ่านได้หมดแล้ว อย่างกลาง ๓ ชาติ มาเกิดมาตาย ๓ ชาติแล้วก็ผ่านถึงนิพพานล้วนๆ ทีนี้เป็นบรมสุขตลอดอนันตกาล เรียกว่านิพพานเที่ยง คือใจดวงนี้เมื่อธรรมได้บรรจุเต็มหัวใจแล้วถึงนิพพานเที่ยง อันที่สามเรียกว่าอุกฤษฏ์ อย่างเอก มาเกิดเพียงชาติเดียว บรรลุธรรมผึงไปเลย

นี่ละที่มีธรรมในใจ เป็นความแน่นอนในการเกิดตายของตัวเอง ถ้าไม่มีธรรมในใจนี้เป็นมาฉันใด กี่กัปกี่กัลป์เกิดตายกองกันทับเขาทับเรามานี้เท่าไร นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน สวรรค์ ชั้นพรหม มันไปเที่ยวจับจองไว้หมด เที่ยวไปหมดทั้งนั้นแหละ ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมสั้นยาวต่างกัน แล้วก็มาเกิดมาตายๆ อยู่อย่างนี้ แต่เกิดในสถานที่ดียังดีกว่าผู้เกิดในสถานที่ชั่ว จึงขอให้มีความดีก่อนที่จะถึงมรรคผลนิพพาน หลังจากบารมีของเราสร้างเต็มเหนี่ยวแล้วถึงมรรคผลนิพพาน ก่อนที่เช่นนั้นเราจะเกิดจะตายก็ให้ได้สถานที่เหมาะสมบ้าง อย่าใส่ลงไปตั้งแต่กำเนิดพวกเปรตพวกผีพวกสัตว์นรก ไปเที่ยวจองเอาไว้หมดด้วยความชั่วของตัวเองนั้นแหละ ไม่มีอะไรไปจองให้นะ เจ้าของเป็นผู้จองเอง จับจองเอง ความดีเจ้าของจับจองเอง สวรรค์นิพพานเจ้าของจับจองเอง พากันสร้างความดี ความชั่ว นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ เป็นความชั่วที่เจ้าของจับจองด้วยการกระทำของตัวเอง แล้วผลเป็นของตัวทั้งหมด นี่ลงไป นี่เรียกว่าไปหาจับจองเอาด้วยการกระทำความชั่ว การกระทำความดีก็ไปทางดี จับจองไปทางที่ถูกที่ดี

เราเป็นมนุษย์มานานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์เรานับไม่ได้ คราวนี้เราจำได้แล้วว่าเราเป็นมนุษย์ ควรให้มีศีลธรรมติดเนื้อติดตัวบ้างเถอะ เราจะมีจุดหมายปลายทางที่ไปที่เกิดที่อยู่ จะมีความสุขความเจริญบ้างพอประมาณ จะไม่ตายเกิดๆ เฉยๆ ไม่เป็นประโยชน์อะไร ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ

บรรดาลูกหลานทั้งหลายมาเยี่ยมนี่ เราสั่งสอนด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ อย่ามาคิดนะว่าเราดุเราด่า เราไม่มีดุด่าใคร มีแต่เจตนาที่จะให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้รับความดีงาม ส่วนแง่หนักเบานั้นมีเป็นธรรมดา เหมือนเขาถากไม้ ไม้ต้นไหนที่มันคดมันงอมากๆ เขาถากหนักมือ ขวานถากหนักมือ ต้นไหนที่มันตรงแน่วแล้วเขาก็ถากไปธรรมดาๆ นี่ละไม้ต้นเดียวกัน ที่ตรงมี ที่คดที่งอก็มี การถากจะให้เหมือนกันไม่ได้ คนเรามีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงหนาบางคดงอซื่อตรงต่างกัน ผู้ที่ควรจะได้รับผลอย่างรวดเร็วนี้ก็ถากเรียบๆ ผึงไปเลย ผู้ที่ต้องถากหนักๆ เพราะมันยังจะเป็นประโยชน์อีก ถึงคดถึงงอก็ยังเป็นประโยชน์อยู่ก็ถากหนักมือ

เราคดงอในเราก็ให้ถากหนักมือ มันขี้เกียจทำความดีงามทั้งหลายก็ให้หนักมือในทางความพากความเพียรแก้ไขความชั่วของตัวเองอย่างหนักมือๆ นี่เรียกว่าเราเป็นผู้ถากเราเอง เป็นนายช่างถาก ถากเราเองให้เป็นคนดีงาม ถากไม่หยุดไม่ถอยก็สวยงามเหมือนกันหมด นี่เห็นไหมต้นเสาที่เอามา ออกมาจากอิฐจากปูนจากหินจากทรายจากไม้ นายช่างเอามาประกอบดีไปหมด นั่น สำคัญอยู่ที่นายช่างนะ เราต้องเป็นนายช่างเรา ถ้าไม่มีการดัดแปลงแก้ไขเจ้าของหาวันดีไม่ได้ ปรารถนาเท่าไรก็ไม่มีวันดี มันอยู่กับความกระทำของตัวเอง ปรารถนาดีให้ทำความดี

ดีมีอยู่ในโลก ชั่วมีอยู่ในโลก ไม่มีสิ่งใดเสียหายสูญหายไปไหน แล้วแต่ใครจะคว้าทางไหน คว้าทางชั่ว ชั่วก็ติดตัวมา ทุกข์ติดมาด้วย คว้าในทางดี ความดีติดตัวมา ความสุขติดตัวมาด้วยมากน้อยตามความขวนขวายของตัวเอง เราให้คว้าให้ดัดแปลงเป็นนายช่างเราเอง ฝึกหัดดัดแปลงเรา คนอื่นแนะนำสั่งสอนบางทีก็ว่าดุด่าว่ากล่าวเสีย ให้เราดุเรานั้นแหละดี ไม่มีที่จะไปยกโทษโกรธแค้นให้ผู้ใดละ ถ้าเราเป็นผู้ฝึกฝนอบรมตัวเอง

ศาสนามันมีแต่ชื่อนะเวลานี้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เวลานี้เราเป็นชาวพุทธจะมีแต่ชื่อว่าถือศาสนาพุทธนะ ตัวใจของเราระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ วันหนึ่งหนหนึ่งหรือสองหน มีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ มันเสียตรงนี้ซิ เอาชื่อมาว่าเฉยๆ ชื่อตั้งที่ไหนก็ได้ มันสำคัญอยู่กับการกระทำของคนต่างหาก ให้เราฝึกฝนอบรม พระพุทธเจ้าฝึกจนได้เป็นศาสดาเอก ไม่ใช่อยู่เฉยๆ เป็นศาสดาขึ้นมานะ พระสงฆ์สาวกฝึกจนกระทั่งเป็นผู้เลิศเลอขึ้นมาได้มีแต่ฝึกทั้งนั้น ผ่านการฝึกไปไม่ได้ ต้องเอาฝึกนำหน้าๆ เลย แล้วสุดท้ายก็ดี เลิศขึ้นมาโดยลำดับจากการฝึกฝนอบรมตัวเองนั้นแล

เราก็อยากเป็นคนดีด้วยกันไม่ว่าหญิงว่าชาย ใครอยากเป็นคนดีด้วยกัน เด็กผู้ใหญ่อยากเป็นคนดี ให้พากันทำดี เราอย่าลบล้างความดีว่าไม่มี แต่ทำตั้งแต่ความชั่ว ความชั่วก็ว่าจะไม่มีความทุกข์ติดตามมา มันมีทั้งสองอย่างนะ ขวนขวายหาทางดี-ดี ขวนขวายทางชั่วชั่ว เพราะดีกับชั่วมีอยู่กับโลกมาดั้งเดิมไม่เคยบกพร่องไปไหน ขึ้นอยู่กับผู้กระทำ ผู้เสาะแสวงหา ถ้าใครแสวงหาทางดีคนนั้นก็ได้ดีขึ้นมา ถ้าแสวงหาทางชั่วก็ได้ชั่วขึ้นมาเท่านั้น ให้พากันเอาธรรมนี้ไประลึกถึงตัวเองนะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรืออย่างหนึ่งระลึกถึงความตายมันก็สะดุดใจนะ

มีแต่ความเพลิดความเพลินรื่นเริงบันเทิง ไม่ได้ระลึกถึงความตาย คนนี้ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ คนที่ระลึกถึงความตายย่อมมีเบรกห้ามล้อ จะทำความชั่วช้าลามกอะไรก็สะดุดใจไม่ทำ แล้วเร่งทางความดีงามขึ้นมาเรื่อยๆ  นี่ละคำว่า มรณัสสติ คือความตายนั่น เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจเราให้สร้างความดี ให้รู้เนื้อรู้ตัวได้ ถ้าไม่ได้ระลึกถึงความตาย ทั้งๆ ที่ความตายเต็มเนื้อเต็มตัวอยู่กับทุกคน แล้วตายทิ้งเปล่าๆ ไม่ระลึกถึงความตายพอเป็นสารประโยชน์เลย ก็มีตั้งแต่ความชั่วช้าลามกติดตัวตลอดไปนั่นแหละ พากันจดจำเอานะ

มาวัดมาวาให้ดู ดูวัดดูวาดูพระดูเณรท่านปฏิบัติยังไง ท่านผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมท่านปฏิบัติยังไง เป็นธรรมมันจะงามตา ท่านผู้มุ่งธรรม การปฏิบัติแสดงออกทุกอย่างจะงามหูงามตาเป็นที่ระลึก เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส เราก็พลอยได้ประโยชน์จากท่านด้วย นี่ละลูกศิษย์ตถาคตปฏิบัติ เอาธรรมเอาวินัยเป็นแบบเป็นฉบับ เป็นเครื่องประดับตัว เป็นชีวิตจิตใจตลอดไป ไม่ห่างเหินจากธรรมจากวินัย เป็นตาย อดอยากขาดแคลนอะไร ไม่ห่างเหินจากอรรถจากธรรม กอดอรรถกอดธรรมกอดวินัยตายไปด้วยกันเลย นี่เรียกว่าผู้ตายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสภายในจิตใจ ต่างกันนะ

บวชมามีตั้งแต่หัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ การทำความชั่วช้ายิ่งกว่าประชาชนเขาไปอีก อันนั้นพวกสัตว์นรก เอาเพศของพระพุทธเจ้า ผ้าเหลืองไปโปะเข้าเฉยๆ เวลานี้มีมากนะ อย่าไปดูที่อื่น ดูเราเอง ดูเราจะได้คติจากตัวเองที่คิดขึ้นมา ถ้าไปดูตั้งแต่คนอื่นก็จะตำหนิเขาเรื่อยไปแล้วลืมดูตัวเอง คนนี้หาความดีไม่ได้นะ ดูเขาแล้วก็ดูเรา เขาไม่ดีเราแก้ไขของเราให้ดี อย่าเอาเขามาเป็นตัวอย่าง ของไม่ดีอย่างนั้นปัดออก เอาแต่สิ่งดีงาม ไปเห็นผู้ใดท่านดีงามเอามาเป็นคติเครื่องเตือนใจ

ธรรมเป็นของเลิศเลอมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ทำไมเราเกิดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ปรากฏเห็นของเลิศเลอในใจเรานี้มันเป็นยังไงมนุษย์เรา ให้ถามตัวเองนะ เราอย่าไปหวังเอาความสมหวัง หรือความเลิศเลอจากดินฟ้าอากาศ ฟ้าแดนดินลม ท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มี ให้ดูตัวของเรา ชั่วก็คือเรา สิ่งเหล่านั้นไม่ชั่ว สิ่งเหล่านั้นไม่ดี เราเป็นผู้ดี เราเป็นผู้ชั่ว จากการกระทำดีชั่วของเราเอง ให้คัดเลือกตัวเอง ความสุขทั้งหลายจะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา พากันจำให้ดีนะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านั้น ไม่เทศน์มากนักละ เอ้า ใครมีอะไรว่ามา

ผู้กำกับ                 มีบทความต่อจากเมื่อวานนี้ครับ

หลวงตา        มาจากไหน

ผู้กำกับ                 จากหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ครับ หัวข้อเรื่องว่า พระพุทธศาสนาจะสิ้นก็คราวนี้

หลวงตา        เอ้า ฟังให้ดี

ผู้กำกับ                 ข้อความมีดังนี้นะครับ

พระพุทธศาสนาจะสิ้นก็คราวนี้ !

   จั่วหัวเรื่องขึ้นมาเหมือนกับเจ้า ณ หนูแก้ว (ผมเอง) มันจะเว่อมากไป จะเป็นไปได้อย่างไรความเป็นปึกแผ่นของพระพุทธศาสนาจะสิ้นก็คราวนี้

   ครับ ถึงผมจะไม่ใช่สมณะที่พูดอะไรก็ต้องพูดด้วยอรรถด้วยธรรม แต่ถ้าผมจะนำเรื่องสำคัญเรื่องใดมากล่าวท่ามกลางท่านผู้ชมทั้งหลายแล้ว ผมจะกล่าวเรื่อยเปื่อยไปโดยไร้หลักไร้ฐานผมจะกล่าวไม่ได้เลย เพราะเท่ากับเป็นการหลอกพระหลอกเจ้า นรกจะกินหัว

         พระพุทธศาสนาจะไม่สิ้นได้อย่างไร ในเมื่อต่อไปนี้พระสงฆ์ไม่มีวัดจะจำพรรษา หรือจะมีให้ แต่ก็ต้องมาตกอยู่ภายใต้อาณัติการควบคุมบังคับบัญชาของบุคคล หรือคณะบุคคลที่มีชื่อเรียกว่า “คณะกรรมการบริหารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา” ที่เขากำลังจะจัดตั้งขึ้นเร็ว ๆ นี้ สมบัติของพระพุทธศาสนา โบสถ์   วิหาร เสนาสนะสงฆ์ จะไม่มีเหลือให้เป็นสมบัติของสงฆ์เลยสักชิ้น หากพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา (องค์การมหาชน) พ.ศ… มีผลบังคับใช้

         ผมจะนำข้อมูลที่แท้จริงมาแฉให้ท่านผู้ชมได้ยินได้ฟังโดยทั่วกัน เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า ต่อไปพระพุทธศาสนาจะถึงคราวสูญสิ้น ซึ่งในมาตรา ๓ ของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้ให้ความหมายของคำว่า “ทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา” หมายถึง

(๑) ที่ดินซึ่งเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนา หรือที่ศาสนสมบัติและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดิน มีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินดังกล่าวนั้น

(๒) วัตถุหรือสิ่งของอันเป็นที่เคารพในทางพระพุทธศาสนา และให้หมายความรวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับวัตถุ หรือสิ่งของดังกล่าวนั้นด้วย

                  ครับ จะให้หมายความว่าอย่างไรในเมื่อกฎหมายตีความไว้อย่างนี้

                  ในมาตราเดียวกัน ได้ให้คำจำกัดความคำว่า “ศาสนสมบัติ” หมายความว่า

(๑)    ศาสนสมบัติกลาง ได้แก่ ทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา ซึ่งมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง 

(๒)    ศาสนสมบัติของวัด ได้แก่ ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่ง

                  ส่วนคำว่า “วัด” ให้หมายความว่า

(๑) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา (๒) สำนักสงฆ์  

         “ที่วัด” หมายความว่า ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งวัด และให้หมายความรวมถึงบริเวณเขตของวัดนั้นด้วย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม

   “ที่ธรณีสงฆ์” หมายความว่า ที่ดินซึ่งวัดมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง

   “ที่กัลปนา” หมายความว่า ที่ดินซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัดหรือพระพุทธศาสนา

   ทั้งสิ้นทั้งปวงเหล่านี้ จะต้องตกอยู่ในกรรมสิทธิ์การครอบครองของสำนักซาตานแห่งนี้ทั้งหมด นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีผลบังคับใช้

         ในมาตรา ๗ ระบุว่า ให้สำนักงานมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการดูแล บำรุงรักษา พัฒนา ส่งเสริม และบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา(หมายถึงทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้น) รวมทั้งการจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าว

   มาตรา ๘ ให้สำนักงานมีอำนาจหน้าที่หลักดังต่อไปนี้ (๒)  ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินซึ่งเป็นที่วัด (อ่านย้ำอีกครั้งนะครับว่าเป็นที่วัด) ที่ธรณีสงฆ์ (ที่ของวัด) ที่กัลปนา (ที่ซึ่งเจ้าของถวายให้แต่ผลประโยชน์) หรือที่ศาสนสมบัติ และทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินดังกล่าวนั้น เพื่อจัดหาผลประโยชน์และพัฒนารายได้

   มาตรา ๙ นอกจากอำนาจหน้าที่หลักตามมาตรา ๘ ให้สำนักงานมีอำนาจกระทำกิจการต่างๆ ดังต่อไปนี้ด้วย 

(๑) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง และมีทรัพยสิทธิต่างๆ

(๒) ก่อตั้งสิทธิ หรือทำนิติกรรมผูกพันทรัพย์สิน ตลอดจนทำนิติกรรมอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการของสำนักงาน 

(๓)    เข้าร่วมทุนกับบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ประกอบกิจการต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของสำนักงาน

(๔)    ทำความตกลงและร่วมมือกับองค์กร หรือหน่วยงานในประเทศหรือต่างประเทศ

รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนอื่น ฯลฯ

   ขอให้ลองพิจารณาข้อความในมาตรา ๑๔ ดูบ้าง วรรคสอง “ให้สำนักงานมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ จำหน่าย และจัดประโยชน์จากทรัพย์สินของสำนักงาน” นอกจากทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาและของวัดจะถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของสำนักงานแล้ว สำนักงานยังมีสิทธิ์จำหน่าย หรือจะขายให้แก่ใครเมื่อไรก็ได้

จัญไรแท้ๆ แม้ที่ดินของพระพุทธเจ้ามันก็ยังคิดจะขาย!!

 

                       ณ.หนูแก้ว

หลวงตา        ใครจะไปซื้อก็ไปซี ก็มีเท่านั้นแหละเรา ใครอยากไปซื้อไปซื้อซี นี่ละแผนทำลายพุทธศาสนา ที่เด่นชัดขึ้นมาในระยะ ๓-๔ ปีนี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่นู้น ตั้งข้อบังคับบีบขึ้นมาโดยลำดับ ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ผู้ทรงอรรถทรงธรรมท่านก็รวมหัวกันระงับลงได้ๆ เป็นระยะๆ เวลานี้กำลังขึ้นอีกแล้ว อันนี้เอาให้หมดเลย เรื่องพุทธศาสนาจะไม่ให้มีเลย ฟังเอาซิพี่น้องทั้งหลาย สำหรับเราดูตามหลักธรรมหลักวินัยแล้วเราดูเราฟังไม่ได้ว่างั้นเถอะ คือเรื่องยักษ์เรื่องผีล้วนๆ ทีเดียวที่จะกลืนศาสนาเอาไปเป็นสมบัติของตน เอาไปซื้อขายจำหน่ายอะไรๆ ก็ได้ ว่างั้นพูดง่ายๆ อย่างนี้ รวมลงมาแล้วเป็นอย่างนั้น

ใครจะมาติดต่อซื้อขายวัตถุสิ่งของเงินทอง ซึ่งเป็นสมบัติของพุทธศาสนานี้ได้ทั้งนั้น แบมือรับหมด เพราะไปเป็นเจ้าของแล้ว ยึดอำนาจเต็มสัดเต็มส่วนแล้วเมื่อประกาศออกมาใช้อย่างนี้ เวลานี้กำลังเตรียมพร้อมที่จะประกาศ “งาบ” เอาให้หมด เรื่องตับปอดของพระพุทธเจ้าจะไม่ให้มีเข้าใจเหรอ ว่าอย่างนั้นแหละ เอา เราเป็นเจ้าของของชาติของศาสนาทุกคน ให้นำไปพิจารณาทุกคน ควรจะแก้ไขดัดแปลงคัดค้านต้านทานแบบไหน เรามีสิทธิ์เต็มตัว เราเป็นเจ้าของพุทธศาสนาด้วยกัน ไม่เป็นเจ้าของแต่ผู้ที่มาพูดแว้กๆ ออกประกาศเพื่อจะกลืนประชาชนทั้งชาติทั้งศาสนาอยู่เวลานี้เท่านั้น

เราเป็นประชาชน เป็นเจ้าของของชาติ เป็นเจ้าของของศาสนา มีสิทธิที่จะคัดค้านต้านทานได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดียวกัน ให้พากันจำเอานะอันนี้ มันจะเอาไม่ให้เหลือจริงๆ พุทธศาสนา กลืนศาสนาแล้วซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โต เป็นอำนาจใหญ่หลวง แล้วก็จะไปกลืนชาติไปพร้อมๆ กันให้หมด พูดให้ชัดเจนอย่างนี้เลย จะไม่ให้เหลือชาติ ศาสนาไทยติดอยู่ในแผ่นดินไทยเลย แผ่นดินก็เขางาบเอาหมด อะไรก็งาบเอาหมด ว่างั้นเลยนะไม่มีเหลือ เอาไปพิจารณาก็แล้วกัน เราพูดอย่างตรงไปตรงมา เราไม่มีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคมเหมือนพวกนี้ อันนี้ออกมาแง่ไหนมีแต่เล่ห์แต่เหลี่ยมร้อยสันพันคม ปากหวานทีเดียว ไพเราะเพราะพริ้ง เคลิ้มไปละ ถ้าพวกเซ่อๆ อย่างพวกเรานี่เคลิ้มหลับได้นะไม่สงสัย เพราะมีตั้งแต่เครื่องหลอกลวงต้มตุ๋นแบบหวานๆ หอมๆ มาทั้งนั้น

อะไรก็จะไปทำให้เจริญๆ คำว่าให้เสื่อมไม่มี คำว่าจะงาบให้ฉิบหายไม่มี นี่เวลาสวนหมัดกันเป็นอย่างนั้นนะ เอาให้ฉิบหายไม่ให้มีเหลือ ทั้งชาติทั้งศาสนา แผนการใหญ่นี่กำลังขึ้นเป็นพักๆ พี่น้องชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของของประเทศ เป็นเจ้าของของศาสนา ให้คิดเต็มหัวใจทุกคนก็แล้วกัน ฝากไว้กับทุกคนนั่นแหละ เท่านั้นละ

ผู้กำกับ                 หลวงตาครับ ตอนนี้พระประมาณ ๓๐๐ รูปอยู่ที่สวนแสงธรรม กทม.กำลังฟังเทศน์หลวงตาทางอินเตอร์เน็ต หลังจากฟังเทศน์เสร็จเรียบร้อยแล้วท่านจะประชุมกันวันนี้เลยครับ

หลวงตา        อันนี้ก็เพื่อชาติเพื่อศาสนา ที่พระท่านอยู่ในป่าในเขาก็ไม่พ้นความเดือดร้อน ต้องได้วิ่งออกมาระงับดับไฟซึ่งกำลังเผาชาติเผาศาสนาอยู่เวลานี้ พระเหล่านี้อยู่ในป่าทั้งนั้นนะ แต่ก่อนท่านไม่เคยออกมาเกี่ยวข้องกับบ้านกับเมืองอะไรแหละ แต่พอบ้านเมืองของเราตั้งแต่ ๒๕๔๐ กระเทือนขึ้นอย่างหนักมากทีเดียว ถึงขั้นที่จะได้กุสลากัน ชาติไทย ศาสนาไทยจะจม ก็ได้พยายามฟื้นขึ้นมาโดยลำดับลำดามาจนกระทั่งบัดนี้ เรื่องราวก็เกิดขึ้นเรื่อย จึงกระเทือนกับทางพระปฏิบัติ ท่านเหล่านี้ท่านไม่สนใจอะไรยิ่งกว่าหลักธรรมหลักวินัยเป็นหัวใจของพระ กราบพระพุทธเจ้าด้วยธรรมด้วยวินัย นั่นคือองค์ศาสดาตลอดมา

นี่ท่านก็ได้อุตส่าห์พยายามออกมาหลายครั้งแล้วนะ ที่มาระงับเหตุเลวร้ายทั้งหลายเหล่านี้ เหตุเหล่านี้เกิดขึ้นไม่มีอันใดที่เป็นชิ้นดีเลย ที่พอจะหยิบเอามาไว้สำหรับพินิจพิจารณาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเรา ไม่มี ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่เป็นมหาภัยทั้งนั้นๆ จึงต้องระงับกันลงด้วยธรรมที่สะอาด ดังที่พระทั้งหลายออกมาประชุมกัน นำหลักเกณฑ์ของอรรถของธรรมที่เป็นที่รับรองยืนยันมาจากองค์ศาสดา มาประกาศให้ทราบทั่วถึงกันเป็นลำดับลำดามา นี่ท่านก็จะประชุม ก็จะแบบเดียวกันนั่นแหละ ท่านจะประชุมวันนี้ไม่ใช่เหรอ (ครับ)

นี่ละเป็นอย่างนี้ เดือดร้อนจนกระทั่งถึงพระป่าอยู่ในป่าในเขาก็อยู่ไม่ได้ ต้องเดือดร้อนไปตามๆ กันหมด เพราะสิ่งสกปรกเลวร้ายมันเผาได้หมด ไม่ว่าลำเป็นลำตายลำสดลำแห้งมันเผาทั้งนั้น จึงต้องได้เตรียมน้ำดับไฟไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เช่นนั้นชาติและศาสนาของเราจะจมได้โดยไม่ต้องสงสัย จึงต้องอาศัยกำลังวังชาทุกสิ่งทุกอย่าง ความอุตส่าห์พยายามของพวกพี่น้องชาวไทยเรา เอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยกันทุกคน เราอย่าปล่อยให้คนนั้นจะทำ คนนี้จะทำ ให้ถือเป็นสิทธิหน้าที่ของกันทุกคน ใครบกพร่องตรงไหนเตือนกันตรงนั้น หนุนกันเข้าไปในสิ่งที่ดีงาม นี่ละถูกต้องแล้วนะ วันนี้ท่านก็จะประชุมเรื่องอันนี้แหละ เรื่องที่ว่ากันอยู่เดี๋ยวนี้ เราก็คอยฟัง

ต่อไปนี้ก็จะให้ศีลให้พร โอ๊ย เหนื่อยมาก วันนี้ฉันจังหันไม่ได้ ฝืนเอาได้สองสามคำ ถ้าธรรมดาไม่ลงมา แต่นี้ก็ยั้วเยี้ยๆ จะว่าไง เราก็ทนลงมา ถ้าธรรมดาไม่ฉัน ปรกติเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยิ่งเราอยู่คนเดียวแล้วเท่านั้นแหละ เรื่องอาหารการกินอะไรไม่มีเป็นอารมณ์ อยากฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันไม่ฉันเลย อย่างนั้น เราเคยปฏิบัติตัวมาอย่างนั้น แบบสบายเลย ไม่มีอะไรยุ่งเรา โฮ้ เหนื่อยมากวันนี้ เมื่อวานก็นวดเส้นเอาเสียจน... เมื่อคืนนี้มันเป็นอยู่ในตัว มันจะไม่เป็นแต่เส้นอย่างเดียวนะ มันมีโรคอยู่ภายใน นวดเมื่อวานก็อย่างที่เล่าให้ฟัง เหมือนว่าขาดสะบั้นไปหมดเลย แทนที่มันจะเบาลงมันก็ไม่เบา มันเป็นของมันอยู่ลึกๆ เหนื่อยมากจริงๆ วันนี้ ไปละ ขัดเข่าจนจะลุกไม่ขึ้น นวดเส้นเมื่อวานนึกว่ามันขาดสะบั้นไปหมด เอาเต็มเหนี่ยวนะเมื่อวานนี้ บอกว่าเอาให้เต็มที่เลย อะไรขาดให้ขาดไป ฟัดเสียจน.. แต่ไม่ขาดนะ

พอเสร็จแล้ว เป็นยังไงนวดเส้นวันนี้ เคยเห็นนวดที่ไหนมีไหม ว่าไม่มี นวดอย่างนี้ไม่เคยมี เป็นยังไงมีเสียงร้องไหม ไม่มีเลย แน่ะอย่างนั้นแหละ เห็นไหมธรรมพระพุทธเจ้า ไม่งั้นมาสอนโลกได้เหรอ จริงตามนั้นทุกอย่างยังบอก พอบอกว่าปล่อย เอา อะไรจะขาดให้ขาดไป ก็ซัดกันเต็มเหนี่ยวเลยเมื่อวานนี้ แต่ไม่ขาดนะ นึกว่าเส้นมันจะสะดวกสบายวันนี้ ก็ไม่สบาย มันมีของมันอยู่ข้างในลึกๆ นั่นแหละ เส้นไม่ค่อยดี ปวดขาเดี๋ยวนี้จนจะลุกไม่ขึ้น ปวดแข้งปวดขา

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก