เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
สติเป็นพื้นฐานแห่งการปราบกิเลส
ก่อนจังหัน
พระมาภาวนา ภาวนาแบบไหนล่ะ เราเคยพูดเสมอนะ สติเป็นพื้นฐานของความเพียร ถ้าไม่มีสติแล้วเป็นขอนซุงทั้งนั้นแหละ สติเป็นสำคัญ ถ้าสติได้จับติดแนบแล้วกิเลสจะไม่เกิด ในเวลาสติติดแนบอยู่กับใจไม่ให้เผลอ เพราะกิเลสจะเกิดขึ้นจากสังขารความคิดปรุง เผลอเมื่อไรสังขารออก กิเลสออกไปกว้านเอาไฟมาเผาเรา จำให้ดีนะคำนี้น่ะ สติเป็นสำคัญ บีบบังคับไว้ทั้งวันกิเลสไม่เกิดทั้งวัน นั่น พอสติเผลอความคิดความปรุงนี่เกิดละ เกิดขึ้นมาปั๊บนั่นละกิเลสออกพร้อม มันดันอยู่นั้น บังคับไว้ให้มันดีซิ
ถ้าลงสติดีแล้วยังไงตั้งได้ นักภาวนาเราใครมีสติดี ตั้งสติดีเท่าไรมีหวังที่จะตั้งรากฐานของจิตใจเพื่อความสงบร่มเย็นได้ ถ้าสักแต่ว่าทำๆ ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ การพูดทั้งนี้เราได้ผ่านมาหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาสอนหมู่เพื่อนนี้ถอดออกมาจากหัวใจ ทั้งผิดทั้งถูกเป็นครูเป็นอาจารย์ทั้งนั้นนำมาสอนได้ทั้งหมด ให้ตั้งสติให้ดีนะความเพียร อะไรก็ตามไม่หนีจากสติไปได้ จากนั้นก็สัมปชัญญะรอบตัวไป สติจ่ออยู่กับที่ สัมปชัญญะรอบตัว หน้าที่การงานทุกอย่างเป็นสัมปชัญญะไป สติ-สัมปชัญญะมันซ่านไปด้วยกันนั่นละ
นี่สงสารหลั่งไหลเข้ามาๆ ไม่มีวันบกบางเลยพระ ครั้นออกไปแล้วไม่ทราบว่าได้หน้าได้หลังอะไร พระที่ออกไปจากวัดป่าบ้านตาดนี้มากจริงๆ ไม่ใช่น้อยๆ นะ แต่มันไปไหนหมดก็ไม่รู้ ฉิบหายหมด ไม่มีโผล่ขึ้นตรงไหนว่าพอมีชื่อมีเสียงเป็นที่น่ากราบไหว้บูชา หายเงียบๆ ปลาฉลามเอาไปกินหมด นี่ละเรื่องความเพียรแบบนี้จมทั้งนั้น ต้องเอาจริงเอาจังซิทำอะไร อย่าเหลาะๆ แหละๆ พุทธศาสนาของเรานี่ไม่มีคำว่าเหลาะแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่ากิจย่อยการใหญ่เป็นการเป็นงานทั้งนั้น ทำด้วยความจงใจๆ ทำอะไรไม่ค่อยผิดพลาดนะ ถ้าสติไม่มีนี้ทำอะไรก็เถอะแหลกเหลวไปหมด ใช้ไม่ได้ จำให้ดี
ตั้งให้ดีสติ ให้มันอยู่กับจิตกิเลสจะไม่เกิด แม้จะมีอยู่ก็ไม่เกิด เกิดขึ้นจากสังขาร สังขารถูกผลักดันออกมาจากกิเลสออกมาเป็นสังขาร ก็เป็นสังขารกิเลส เป็นสังขารสมุทัย ลำพังสังขารเฉยๆ เป็นเครื่องใช้ของจิตทั้งนั้น ทั้งกิเลสทั้งธรรม ถ้าหากมีสติแล้วสังขารก็เป็นมรรคไปได้ๆ พากันจำให้ดี เหลาะๆ แหละๆ ไปเก้งๆ ก้างๆ ทั่ววัดทั่ววา ไปไหนจนจะดูไม่ได้นะเวลานี้ ออกไปข้างนอกก็จะดูไม่ได้ เข้ามาข้างในก็ดูไม่ได้ ไปไหนดูนะดูจริงๆ มันเลอะเทอะไปหมดนะวัดป่าบ้านตาดเวลานี้
เวลาเข้าออกในวัดนี่เหมือนกัน ค่ำมืดยังดันเข้ามาดันออกไปอยู่ตลอดเวลา เลอะเทอะจริงๆ นะ เมื่อวานนี้หรือวันไหนได้ดุเอา เราออกค่ำๆ แหละ ส่วนวันๆ ออกไม่ได้ มันรุม พูดตรงๆ อย่างนี้ละ เราไปนี้ออกไปดูการดูงาน บกพร่องตรงไหนๆ เข้ามาก็สั่งๆ นี่ต้องได้ออก ตอนเช้าบ้างหรือตอนเย็นเงียบคนหมดแล้ว นึกว่าหมดคนแล้ว ออกมานี้ยังยั้วเยี้ยๆ อยู่นี่ มันยังไงกัน เมื่อวานก็ได้ดุเอาตรงประตูวัด มันเป็นยังไงวัดนี้เวลานี้มันเป็นตลาดสำเพ็งไปหมดแล้วเหรอ มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะ ดูแลไม่ทั่วถึง เพราะเอานิสัยเลอะเทอะเข้ามาก็มาเหยียบย่ำทำลายวัดให้แหลกเหลวไปหมด ผู้รักษาจะเป็นจะตายแล้วนะ จำให้ดีทุกคน ที่เข้ามาวัดให้มีกฎมีระเบียบ มีสติสตังนะ อย่ามาแบบนิสัยเลอะๆ เทอะๆ อย่างนั้นเข้ามาก็มาเหยียบวัดเหยียบวาให้แหลกเหลวไปหมด เลยไม่มีอะไรดีนะ ศาสนาพุทธว่าศาสนาๆ ให้กิเลสเหยียบธรรมตลอดเวลาในบุคคลคนหนึ่งๆ จำให้ดีคำนี้ก็ดี ให้พร
หลังจังหัน
(คณะชาวบ้านตาดมานิมนต์พระไปในงานทำบุญหมู่บ้านตาดประจำปี กำหนดกันวันที่ ๒๗ พฤษภา เป็นวันงาน) อันนี้ก็เป็นการทำบุญประเพณีพื้นฐานของบ้านมาดั้งเดิม เพราะฉะนั้นเราจึงไม่อาจห้ามหรือระงับได้ เพราะเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ทำบุญประจำปี เดือนพฤษภา นี่เราก็จะแยกให้พระนะ แยกแบ่งไปทางนู้น แบ่งไว้ทางนี้ พวกชาวบ้านทั้งบ้านเขาทำบุญที่โรงเรียน แล้วก็สวดมนต์และฉันเช้าที่นั่น เพราะฉะนั้นจึงแบ่งพระให้ไปฉันที่นั่นเสีย พระที่อยู่ที่นี่ก็มี เวลาจำเป็นเราก็แยกให้อย่างนั้น ถ้าธรรมดาแล้วไม่ให้ เขาจะนิมนต์พระไปสวดมนต์ที่นั่นที่นี่ ฉันเช้าที่นั่นที่นี่ เราบอกตั้งแต่ต้นมือแล้วแต่สร้างวัด เราบอกไม่ให้ เราชี้แจงเหตุผลให้ทราบ ตั้งแต่บัดนั้นมาพระวัดนี้จึงไม่ได้ไปฉันที่ไหนๆ
เพราะเราเห็นใจท่านที่อุตส่าห์มา ไม่ได้มาเพื่อขบเพื่อฉัน เพื่อนั้นเพื่อนี้ในที่ต่างๆ นอกจากขบฉันธรรมดาของท่าน แล้วก็ประกอบความพากเพียรให้เป็นความสะดวกสบาย เราจึงสงวนพระไว้เพื่อความหวังของท่านจะได้เป็นไปเพื่อความสะดวก หวังมาประกอบความเพียร เราจึงให้ความสะดวกแก่ท่าน ใครมานิมนต์ที่ไหนๆ เราประกาศไว้เลยว่าไม่ให้ ว่างั้นเลย หากว่ามีความจำเป็นเหตุผลลงรอยที่ควรจะให้ เราจะจัดการให้เอง เช่นอย่างหมู่บ้านตาดนี่เราก็จัดการให้เอง
ในครั้งพุทธกาลก็มี เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งสู้แบ่งรับกัน ครั้งพุทธกาลก็มีที่เขานิมนต์พระไปฉันที่นั่นที่นี่ในหมู่บ้านเขา มีมานะ ครั้งพุทธกาลมี ก็มีมาเรื่อยๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องแบ่งสู้แบ่งรับตามเหตุผลกลไกที่เห็นสมควร ถ้าว่าไม่รับก็ไม่ใช่ไม่รับโดยประการทั้งปวง โดยหาเหตุผลไม่ได้ รับหรือไม่รับให้มีเหตุผลทุกอย่าง ที่ว่าไม่รับก็เพื่อพระทั้งหลายจะได้บำเพ็ญความเพียรด้วยความสะดวกของท่าน เพราะท่านมามุ่งอรรถมุ่งธรรมมาสู่ที่นี่ การอยู่บำเพ็ญท่านให้สะดวก ถ้านิมนต์ไปฉันที่นั่นที่นี่ งานภายนอกเลยมาทำลายงานภายในใจคือการบำเพ็ญธรรมให้เสียไป
เพราะเมื่อรับแล้วมันก็มีเป็นประจำๆ สุดท้ายพอตื่นเช้าก็ไปแล้ว ไปฉันบ้านนั้นบ้านนี้ กว่าจะกลับออกมาเราเคยดูนาฬิกาแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วโมงนะทั้งไปทั้งกลับมา อย่างน้อย ๓ ชั่วโมง ถ้าเป็นงานใหญ่ก็เพิ่มเข้าอีกๆ เราพิจารณาอย่างนี้จึงต้องปฏิบัติอย่างที่ว่านี่ เพื่อความสะดวกสำหรับการบำเพ็ญของพระ อย่าให้ท่านกังวลกับสิ่งใดเลย ท่านมุ่งมาอาศัยเรา เราผู้รับท่านไว้เราก็ต้องพิจารณา จึงว่าไม่รับเป็นพื้นฐานเอาไว้ ส่วนที่จะแยกจะแยะตามเหตุผลกลไกอะไรนั้นเราจะพิจารณาเอง แยกแยะให้เอง หลักใหญ่ให้พระสะดวกสบายในการภาวนา เราจึงปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา
อันนี้ในครั้งพุทธกาลก็มี เขานิมนต์ไปฉันในที่ต่างๆ สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ทีนี้ทุกวันนี้เลยกลายเป็นกิเลสออกหน้าไปเสีย ไม่ได้ไปโดยธรรมนะ กิเลสลากไปเสีย นี่เสีย ในครั้งพุทธกาลก็ยังมี หมาไปรับพระมาฉันที่บ้าน ก็เคยอธิบายให้ฟังแล้ว เขาจะลองหมาของเขา เขามานิมนต์เรียบร้อยแล้ว พระท่านรับให้แล้ว เขาบอกตอนเช้าจะให้หมามารับ ให้หมามารับพระไปฉันที่บ้าน หมาก็มา เพราะเขาฝึกไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เป็นการดูถูกเหยียดหยามกัน เป็นการแสดงความสามารถของหมาว่างั้นเถอะน่ะ เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วตอนเช้าหมาจะมารับไป ให้ไปกับหมาเลย
ถึงเวลาแล้วหมาก็มา พอหมามาท่านก็ไป ครองผ้าไป พอไปแล้วมีทางแยกทางแยะตรงไหน ทางที่ตรงไปหมาพาไปท่านไม่ไปเสีย ถึงทางแยกทางไหนท่านก็แยกไป หมาก็ไปคาบชายจีวรดึงกลับมา คาบชายจีวร ชายสบงท่านดึงกลับมาแล้วก็ไป เอ้า ทางแยกทางนี้ พระท่านจะลองหมา ทั้งหยอกหมาด้วย ทดลองภูมิของหมาด้วย ถึงทางแยกท่านก็แยกไปนี้เสีย หมาก็วิ่งไปคาบแล้วดึงมา นี่ในตำราเป็นอย่างนั้น มันรู้จริงๆ หมา มันก็มีแต่หมาของพระนางเจ้ารำไพพรรณนี หมาตัวนี้กับหมาตัวนั้นแปลกกัน พระนางเจ้ารำไพพรรณนีท่านให้หมาคาบกระเช้าเล็กๆ ตามท่านไปจ่ายตลาด เขามาเล่าให้ฟังขบขันดี คือมันเป็นความจริง วันไหนไปตลาดคนเขาก็รุมดูหมาคาบกระเช้าไปข้างหน้า
ทีนี้วันจะเกิดเหตุ ในตลาดมันมีหมาด้วย พอเห็นหมาตัวนี้คาบกระเช้าไป หมาทั้งหลายก็มาไล่กัด โอ๊ย กระเช้าไม่ทราบตกไปไหน หมาร้อง วิ่งใหญ่เลย หลงทิศไปเลยหมาตัวนั้น มันเกิดเหตุตรงนั้น หมาตัวนี้เกิดเหตุ หมาตัวไปนำพระไม่เกิด หมาตัวนำพระนางเจ้ารำไพพรรณนีนี้เกิดเหตุ ตั้งแต่นั้นท่านไม่เอาหมาไปอีกเลย ทุกวันไปไม่มีหมามันก็ไปสบาย ทีนี้หมาในตลาดมันมีหลายตัวรุมไล่กัดเอาเลย ร้องวิ่งหลงทิศไปเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่เอาหมาไปอีกละ
เมื่อวานนี้ก็อุตส่าห์ไปสองด่าน หล่มสัก ไม่ใช่เล่นนะ ไปด้วยความสงสารนั่นละ มีอยู่สองด่าน รวมทั้งหมดดูเหมือน ๒๗ ครอบครัว เราจัดให้แต่ละครอบครัวเสมอกันหมด ข้าวสารครอบครัวละหนึ่งถุงเป็นพื้น ถุงละ ๑๒ กิโล จากนั้นก็น้ำตาลครอบครัวละหนึ่งกิโล คือเอามากกว่านั้นไม่ได้มันหนัก..รถ ได้พอดีเท่านั้น กับปัจจัยให้ครอบครัวละห้าร้อยๆ ทุกครอบครัว ส่วนเด็กไม่กำหนด เด็กมีเท่าไรก็ให้คนละหนึ่งร้อยๆ ไม่กำหนด เด็กมีมากมีน้อยเท่าไรให้หมดทุกคนคนละร้อยๆ ทั้งนั้น ไปไม่ลงรถนะ ตั้งแต่ขึ้นรถไปจนกระทั่งกลับมาไม่ลงที่ไหนเลย นั่งอยู่ในรถ เปิดท้ายรถแล้วก็เอาของออก นับครบจำนวนแล้วก็ปิดประตูรถกึ๊ก พูดกับเขาสองสามคำ ไม่ลงแหละ เราเคยมาส่งมาเสียธรรมดาของเรา มาตามอัธยาศัยเรา เขาก็มารุมอยู่ข้างๆ ไม่พูด พอของลงเสร็จแล้วก็ว่า ไปละนะ ปิดประตูกึ๊กแล้วไปเลย ทางด่านโน้นก็เหมือนกัน ไม่ลงรถเลยตั้งแต่ออกจากวัด นั่งรถตลอด มาลงรถทีเดียวนี้
พอลงรถนี้คนมาจากที่ไหนบ้าง จังหวัดตากหรือไง มากันมากมายเต็มอยู่นี้ เราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที่แล้ว ลงจากนั้นยังจะมารับแขกมันไม่ไหวแล้ว เขามาธุระอะไรบ้าง ถามเหตุผลกลไก ว่าอยากมากราบมาไหว้เฉยๆ เอ้อ ถ้าอย่างนั้นให้ไปกราบไหว้เสีย อย่าให้ลงไปเถอะเหนื่อยมาก ลงรถแล้วไปเลย ไม่ลงมาเลย อย่างนั้นซิถ้าเล่นกับแขกแล้วตายจริงๆ นะ ไม่หวาดไม่ไหว ไปที่ไหนเหมือนผู้ต้องหา ปิดม่านไว้ภายในไม่ให้ใครเห็น จะสั่งเสียอะไรก็สั่งออกมาจากภายในๆ ต้องการอะไรๆ ตามข้างทาง สั่งเสียออกมาแล้วให้เขาไปรับ เราไม่ให้ใครเห็นแหละ ไปที่ไหนแบบเดียวกันหมดเลย
ไปสกลนครเมื่อวานซืนนั่นก็เหมือนกัน ไปทีแรกดูไม่เห็นใคร เราลงรถปั๊บแล้วก็เข้ากราบพระธาตุพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่พิพิธภัณฑ์ประมาณอยู่ในย่าน ๑๒-๑๓ นาทีเสร็จนั้นแล้วออกมา โอ๋ย มาเต็มอยู่แล้ว ตั้งเก้าอ้งเก้าอี้ต้อนรับอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็มายืนอยู่ที่เก้าอี้ ชี้แจงเหตุผลให้ทราบทุกอย่างๆ ขออย่าให้นั่งเลยเถอะ มาจากนู้นก็ออกจากแขกแล้วก็มาที่นี่ ให้รับที่นู่นที่นี่ไม่ไหวละหลวงตา เวลานี้ไม่สบายอยู่แล้ว ต้องขออภัยนะไม่นั่งละ พอว่างั้นแล้วก็ไปเลยไม่นั่ง ถ้านั่งนี้จะเสียเวลาไปเท่าไร คุยไปเท่าไร กำลังออกเท่าไรๆ ไม่นั่งแหละดี ออกมาก็ยืนพูดให้เขาทราบเหตุผลแล้วขึ้นรถมาเลย มันเหน็ดเหนื่อยแล้วไม่อยากเล่นกับอะไรแล้วทุกวันนี้ ไปนี้ก็ไปเพราะความเมตตาทั้งนั้นนะ ถ้าไม่ใช่เมตตาไม่ไปแหละ แต่นี้อำนาจความเมตตา ซอกแซกซิกแซ็กไปหมด ยิ่งโรงพยาบาลที่ไหนจำเป็นเข้าไปเลย ที่ไหนอยู่นอกๆ ไม่ค่อยเข้า ไปอย่างนั้นเป็นประจำๆ ด้วยความเมตตาสงสาร
นี่ที่พูดไปเมื่อวานนี้ เสาไฟฟ้าจะเอาเข้ามาที่ตำหนักนี้นะ ทางบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายเห็นดีกันอย่างนั้น แน่ะ ตกลงเราก็อนุโลม แต่ที่จะให้เราทำอย่างนั้นเราไม่ทำ วัดป่าพระพุทธเจ้า-พระสาวกทั้งหลายไม่เห็นมีไฟฟ้า มันก็จ้าอยู่ข้างใน เอาไฟฟ้ามาข้างนอก มาจ้าอยู่ข้างนอก ข้างในนี้หลับหูหลับตามืดบอดทั่วโลก พระพุทธเจ้าไม่เห็นมีไฟฟ้า สาวกไม่เห็นมี ท่านอยู่ในป่าในเขาแต่จิตใจของท่านจ้าไปหมด นี่หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ แต่เราไม่เคยพูด เฉย เป็นแต่เพียงว่าในวัดนี้เราไม่เอาไฟฟ้า
นี่อย่างอนุโลม เห็นไหมมันลุกลามเข้ามาก็มามีที่นี่ ตั้งโรงไฟฟ้าเล็กๆ อยู่ที่นั่น ถึงเวลาแล้วให้ปิดไฟฟ้า นอกจากเวลาจำเป็นก็เปิด นอกนั้นไม่ให้มี ทีแรกไม่ให้มีเลย แต่เรื่องราวมันลุกลามเข้ามาๆ จึงอนุโลม แล้วก็ยังจะมีเสาไฟฟ้าเข้าตำหนักอีก นี่ก็เป็นบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเขาอยากทำกัน เราก็พิจารณาเหตุผลก็ เอ้อ เพื่อเฉลิมพระเกียรติท่านก็ทำเสีย เราก็ว่างั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงจะทำเป็นเสาไฟฟ้าเข้ามาตรงนั้น นี้ละเรื่องอนุโลม อนุโลมทางนั้นอนุโลมทางนี้ ทางธรรมเลยถูกเหยียบๆ เรื่อยนะ
ทางวัดเราให้มีขอบมีเขตนะ ต่อไปนี้เราจะยิ่งจำกัดแล้วนะ หมดเวลาแล้วจะให้ต.ช.ด.ยืนเฝ้าอยู่ประตูเลยนะ ไม่สมควรดีไม่ดีตรวจบัตร คือมันรุ่มร่ามๆ มากไปดูไม่ได้เลยนะ ถึงเวลาที่ควรจะงดเรื่องการไปมาหาสู่กันนี้กับไม่มีเวล่ำเวลา เมื่อวานนี้ออกไปก็เห็นเด็กรุ่นๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว ขี่มอร์เตอร์ไซค์มาเที่ยวเล่นตามวัดตามวา มาหน้าประตูก็ขนาบเอาเสีย ก็อย่างนั้นแล้ว ถ้าออกไปเจอก็เอาแหละ ไม่ว่าใครเข้ามานี้ถ้าผิดเวลา เพราะส่วนมากเราจะไปตอนเวลาคนเลิกแล้ว เราถึงจะด้อมออกไป ออกไปดูคลองน้ำนู่น เขาทำไปถึงไหนๆ แล้วถึงได้ออกไป ก็ได้ดุเอาเสียบ้างเมื่อวานนี้ ให้ระวังนะใคร
นี่ถ้ามันรุ่มร่ามๆ เข้าไปไม่ได้นะ ไล่หนีหมดจริงๆ มันยุ่งเปล่าๆ ไม่เห็นได้เกิดประโยชน์อะไรเท่าที่ควรนะ ว่ามาภาวนาหรือมานอน มาระเกะระกะ มาขวางหูขวางตา มาทำลายวัดก็ได้นี่ เราไม่ได้ไว้ใจนะสิ่งเหล่านี้ มาให้ตั้งอกตั้งใจ มีกฎมีระเบียบ มีข้อบังคับซิ ถึงเวล่ำเวลาเข้าออกท่านก็บอกแล้วควรจะจำได้แล้ว รุ่มร่ามๆ ได้ยังไง ดีไม่ดีต่อไปจะให้ ต.ช.ด.ยืนอยู่ประตูตรวจใครเข้าออกไม่มีเวล่ำเวลา ถ้าถึงเวลาแล้วตรวจละตรงนั้น ถึงเวลาที่จะปิดประตูแล้วตรวจ เวลาธรรมดาก็ปล่อยธรรมดา ถึงเวลาที่ควรจะปิดให้มีขอบเขตต้องปิด ทีนี้ต้องตรวจกันละซิ ไปอะไร เข้าไปแล้วนะ เลอะเทอะเข้าไป
ในวัดสำหรับพระนี้ใครเข้าไปยุ่งไม่ได้ นี่เราสั่งขาดตัวเลย จะมีแต่คนของวัดที่รับใช้พระเข้าออก ผู้ชายเข้าออกรับใช้พระเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้จุ้นจ้าน ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงเข้าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ให้เข้า เป็นทำเลของพระท่านภาวนา ไปดูซิทำเลของพระ สถานที่เหมาะสมๆ ร้านเล็กๆๆ หรือกระต๊อบเล็กๆ หรูหราอะไรอย่างนี้ ไม่มีในนั้น เข้าไปข้างในร้านเล็กๆ ท่านอยู่ภาวนาของท่าน ทางจงกรมติดแนบๆ อยู่ตลอดเวลา นั่นท่านทำความเพียร อะไรเจริญมันสู้ใจเจริญไม่ได้นะ ใจเจริญด้วยธรรมนี้สงบร่มเย็น ใจเจริญด้วยกิเลสตัณหามีแต่ฟืนแต่ไฟ
เห็นไหมล่ะโลก จุดไหนที่ว่ามีความสงบร่มเย็นไม่มี ร้อนเป็นไฟกันทั่วโลก นี่ก็เพราะกิเลสมันออกเพ่นพ่าน ใครก็ต่างคนต่างส่งเสริมกิเลสด้วยทิฐิมานะ อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ มาเบ่งกันละซิ แล้วก็ทะเลาะกัน กัดกัน ฆ่ากันพินาศฉิบหาย ได้ยินเป็นประจำไม่ใช่เหรอ มีแต่กิเลสออกทำงาน ถ้าธรรมออกทำงานแล้วไม่มี มีแต่ความสงบร่มเย็น ฟังเสียงเหตุเสียงผลอรรถธรรมถูกต้องดีงามปฏิบัติตามนั้น อะไรไม่ถูกปัดออกๆ ต่างคนก็ต้องฟังเสียงกัน ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยให้ถือธรรมคือเหตุผลกลไก ควรหรือไม่ควรซึ่งเป็นหลักใหญ่ เป็นอำนาจใหญ่
อำนาจของกิเลสตัณหานี้ให้ฟังเสียงธรรม ถ้าเอาธรรมมาเป็นบ๋อยแล้วฉิบหายหมด ถ้าเอากิเลสเป็นบ๋อยให้ธรรมเป็นผู้บังคับบัญชา แม้คนมีกิเลสอยู่ก็มีความสงบร่มเย็นได้นะ ถ้าไม่มีธรรมแล้วเป็นอันว่าแหลกเหลวไปหมด เห็นไหมโลกกว้างแสนกว้างหาความสงบที่ไหนได้ มันเป็นโลกแห่งกิเลส และเป็นโลกของคนที่ส่งเสริมกิเลส มันก็มีตั้งแต่ทิฐิมานะ อวดดีอวดเด่น อวดก้ามเจ้าของ อวดอำนาจเจ้าของ สุดท้ายก็ตายได้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าอำนาจมากอำนาจน้อย กิเลสจับหัวไสเข้ากัดกันตายไปเลย พินาศฉิบหายไปเลย
นี่ก็เห็นอยู่ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวนี้ก็เด่นอยู่ ใจกลางโลกเสียด้วย ผู้ใหญ่เสียด้วยพาเป็น เด็กเล็กเด็กน้อยก็เลยร้อนไปตามๆ กันหมด จากผู้ใหญ่ที่ว่ามีอำนาจบาตรหลวงเบ่งก้ามเจ้าของนั่นเอง แต่มันไม่พ้นตาย ใครจะเก่งขนาดไหนมันก็ตาย ถ้ามีธรรมไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เอาธรรมเป็นใหญ่แล้วสงบร่มเย็นไปหมด ตั้งแต่ส่วนย่อยถึงส่วนใหญ่
มีศาสนาเท่านั้นที่จะระงับดับทุกข์หรือความวุ่นวายทั้งหลายเหล่านี้ได้ แต่เป็นศาสนาที่เป็นอรรถเป็นธรรมจริงๆ นะ ไม่ใช่ศาสนาสักแต่ว่าตั้งขึ้นมาด้วยคลังของกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา อันนั้นเป็นกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา แล้วบงการไปทางใด บริษัทบริวารเคารพนับถือแล้วก็เอาโครงการของกิเลสนี้ออกเผากัน อวดกัน ดีไม่ดีก็ว่า ศาสนาเราดี ศาสนาเขาไม่ดี นั่นละที่นี่มาแข่งศาสนากัน อวดก้ามกัน แล้วสุดท้ายพวกศาสนาต่อศาสนามันก็กัดกันเหมือนหมาได้ นั่น ถ้าศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นอรรถเป็นธรรมจริงๆ แล้วไม่ได้มาแข่งกันนะ เอ้าปฏิบัติไปเถอะ ถ้าปฏิบัติตามศาสนาแล้วดีทั้งนั้น ตามธรรมนะ เย็นไปหมด ศาสนามันต่างกัน
ศาสนาของคนมีกิเลสก็มี ศาสนาของผู้สิ้นกิเลสแล้วก็มี อย่างพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส แนะนำสั่งสอนที่ไหนมีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุขไปๆ เข้ามาส่วนย่อยแม้แต่ตัวเองก็มีความสงบเย็นใจ ขยายไปถึงเพื่อนถึงฝูงเป็นกลุ่มเป็นก้อนเล็กๆ น้อยๆ ก็สงบร่มเย็นเป็นจุดเป็นดอนไป ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนกว้างออกไปก็เย็นไปเรื่อยๆ ถ้ากิเลสเข้าไปตรงไหนแตก เหมือนหม้อ หม้อเล็กหม้อใหญ่กิเลสทับแตกหมดเลย อย่างน้อยร้าวรานๆ เพื่อจะแตก กิเลสเข้าไหนไม่มีทางดีแหละ ทำให้แตกไปหมด
โลกนี้ก็ว่าเป็นโลกผู้ฉลาด แต่มันฉลาดด้วยกิเลสละซิ มันจึงฉลาดด้วยความเบียดเบียน ฆ่าฟันรันแทงกัน ก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้กัน มันฉลาดด้วยกิเลส แต่ละคนๆ ก็ปฏิญาณตนอย่างหนักแน่นมั่นคงเสียด้วยว่าถือศาสนานั้นศาสนานี้ ถ้าศาสนาเป็นสิ่งที่จะระงับดับทุกข์จริงๆ มากัดกันทำไม ถ้าไม่ใช่ศาสนาโครงการส่งเสริมกิเลสให้เอาไฟเผากันเท่านั้น ศาสนามีเต็มโลกเต็มสงสารจึงไม่มีความหมายเพราะไม่ใช่ศาสนธรรม ที่จะนำบุคคลให้มีความสงบร่มเย็น เป็นศาสนาที่ส่งเสริมกิเลสให้เอาไฟเผากัน นี้ละศาสนามันต่างกัน
ศาสนาของคนมีกิเลสก็เป็นคลังกิเลส โครงการของกิเลสออกจากเจ้าของศาสนา ตีกระจายออกไปไหนเป็นแขนงของกิเลสทั้งนั้น ก่อฟืนก่อไฟได้หมด ถ้าเป็นศาสนธรรมแล้วก่อไปที่ไหนกระจายออกไปให้สง่างามสงบร่มเย็นทั่วหน้ากันไปหมด นี่มันต่างกัน ศาสนานี้มีสองประเภท ศาสนาของผู้สิ้นกิเลสสอนให้สงบร่มเย็น สามโลกธาตุสอนได้หมด เช่นพระพุทธเจ้า แต่ศาสนาของผู้มีกิเลสมีมากมีน้อยก็มีฟืนมีไฟไปด้วยกัน เป็นโครงการของฟืนของไฟของกิเลสไปด้วยกัน เผากันได้ทั่วโลกดินแดน ศาสนาจะมีมากน้อยเพียงไรไม่มีความหมาย เพราะเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น
โลกหาความสงบร่มเย็นไม่ได้เพราะไม่มีธรรม มีแต่คำว่าศาสนาเป็นคำสอนของกิเลสก็ได้ เป็นคำสอนของธรรมก็ได้ ศาสนา แปลว่าคำสอน การสอน ถ้าว่าธรรมก็คำสอนของธรรม แน่ะ ศาสนาของกิเลสเป็นคำสอนของกิเลส ตีไปได้ทั้งนั้นละ เราดูตัวของเราซิ วันไหนที่กิเลสรุกรานจิตใจมากๆ วันนั้นภาวนาหาความสงบไม่ได้นะ เราดูหัวใจเรานี่ก็แล้วกัน ถ้าวันไหนจิตใจฟุ้งซ่านรำคาญกับเหตุการณ์ต่างๆ แล้ววันนั้นภาวนาไม่เป็นท่า กิเลสเป็นฟืนเป็นไฟนั้นเผาแหลกไปหมดเลย ต้องได้ระงับดับกันอย่างรุนแรง ความเพียรซัดเข้าไปๆ
อย่างเมื่อเช้านี้พูดถึงเรื่องการตั้งสติ การตั้งสตินี่เป็นพื้นฐานแห่งการปราบกิเลสไว้ไม่ให้พองตัว ใครมีสติอยู่ตลอดเวลานั้นละกิเลสไม่เกิดตลอด พอเผลอเมื่อไรกิเลสคือสังขารปรุงแล้ว เป็นเรื่องของกิเลสปรุงขึ้นมากว้านเอาไฟมาเผาตัวเองและเผาผู้อื่นไปได้ จึงต้องให้ระงับดับเรื่องสังขารด้วยสติให้ดี ฝึกหัดเบื้องต้นให้มีสติ อย่างผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน จริงๆ ให้มีสติกับจิต กับคำบริกรรมติดกัน ต่อไปนี้ตั้งรากฐานนี้แล้วกิ่งก้านแขนง-ความเฉลียวฉลาดจะค่อยแผ่กันไปๆ ด้วยการส่งเสริม คือการพิจารณาทางด้านปัญญา มันก็กว้างขวางออกไป
นี่ละสติเป็นสำคัญอย่างนี้เอง ถ้ามีสติอย่างนี้แล้วจะทำการทำงานอะไรก็เป็นสัมปชัญญะ รู้รอบในตัวเองและรอบในหน้าที่การงานไม่ค่อยผิดพลาดนะ ถ้าไม่มีสติเลยเลอะๆ เทอะๆ ทั้งนั้น วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ เอาละนะพอ วันไหนได้เทศน์ทุกวันๆ เหนื่อยนะ เหนื่อยมาก
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |