เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
สำหรับผู้มุ่งธรรมล้วนๆ
ในวัดนี้ก็ไม่ให้มี ในครัวก็ไม่ให้มีไฟฟ้า ให้มีเฉพาะรับสาธารณชนนี้เท่านั้น ไฟฟ้าเป็นไฟฟ้าอะไรก็ไม่รู้ เราก็อนุโลมให้เขาเอามาที่นั่น มีโรงไฟฟ้าอยู่นั้นเล็กๆ ให้เข้ามาแค่นี้ๆ แล้วออกไปโน้น ไม่ให้ทะลึ่งเข้าไปข้างใน นี่ก็เรียกว่าอนุโลมเต็มที่แล้วนะ ให้เป็นหลักธรรมชาติของผู้บำเพ็ญธรรมจริงๆ เรียกว่าอนุโลมให้ทำอย่างนี้ ถ้าหากมันเป็นอย่างนี้มันก็กลายเป็นโลกไปหมด โลกเพื่อความสะดวกๆ แต่ความยุ่งนั้นโลกไม่มอง สะดวกของโลก เพราะโลกชอบยุ่งอย่างนั้นเป็นหลักธรรมชาติ ใครไม่ได้ว่าละว่าชอบยุ่ง หากเป็นในตัวของมัน หมุนไปเอง โลกต้องยุ่งตลอด ธรรมะนี่ปัดออกๆ เพราะตัวยุ่งนี้นำมาซึ่งทุกข์ นั่น ปัดเอาตัวยุ่งออก ตั้งแต่ตัวยุ่งอยู่ภายในก็มีแล้ว ที่นี่แก้ภายในออก
เราเห็นปัจจุบันนี้ พ่อแม่ครูจารย์นี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เปรี๊ยะเลยกับตำรา ไปอยู่ที่ไหนปั๊บเข้าไปกั้นห้องศาลาอยู่เลย กั้นห้องปั๊บอยู่นั้นแหละ ศาลาเล็กๆ ก็กั้นห้องอยู่นั้น นี่ละที่เราว่าไปบ้านโคก ไปพักอยู่นั้นท่านกั้นห้องศาลาอยู่ ทางจงกรมเราอยู่ทางโน้น กลางคืนเงียบๆ เดินที่ไหนก็ได้ แต่เราก็มีทางจงกรมอยู่ทางด้านทิศเหนือ เดินจงกรมมันสะดวกตรงนั้น ท่านก็อยู่นี่ โอ๋ ท่านสวดมนต์เก่งหนา ใช่เล่นเมื่อไร ทุกค่ำเวลาเงียบๆ จะได้ยินเสียงท่านสวดมนต์ ท่านเพลินในธรรมของท่านในระหว่างขันธ์กับจิตอยู่ด้วยกัน มีธรรมเป็นเครื่องชโลมไว้ แต่เรื่องแก้กิเลสท่านจะเอาอะไรมาแก้ หมดโดยสิ้นเชิง ก็มีระหว่างขันธ์กับจิต เอาธรรมเข้าชโลมประสานไว้
เราสนใจ ไม่ใช่ดื้อนะ ความรู้สึกของเราไม่มีละ แต่มาพิจารณาทีหลังจึงรู้ว่ามันดื้อนะ ได้ยินท่านสวดมนต์พุมๆ เราก็ด้อมเข้ามาแหละ ท่านสวดสูตรไหนบ้าง เพราะเราก็เรียนมาเหมือนกัน ฉบับหลวงเกือบจบนะมันของเล่นเหรอ เรียนสวดมนต์ ไปวัดนี้เขามีกฎกติกาสวดมนต์อย่างนั้น ออกจากวัดนี้ไปวัดนั้นมีกฎกติกาสวดมนต์อย่างนั้นๆ มันหลายกฎต่อหลายกฎ เรียนตามกฎ ให้ได้ตามกฎ มันก็มากต่อมาก เกือบจบฉบับหลวงโน่นของเล่นเมื่อไร ทีนี้ท่านสวดอะไรบ้างเราก็ค่อยด้อมเข้าไป พอเข้าไปขนาดต้นเสานี่กับห้องท่านนะ มาถึงนั่นท่านหยุดแล้ว เงียบเลย เราก็ยังเถ่ออยู่คอยฟังท่านจะสวด เงียบเลย เลยถอยออกไป
พอถอยออกไปแล้วยังไม่รู้ตัวนะ พอถอยออกไปเสียงพุมๆ ขึ้นอีก มาอีก ด้อมมาอีก มาถึงนั้นหยุดอีก อ้าว ยังไม่รู้ตัวอีกนะ ยังคอยจะฟังอีก ต่อไปครั้งที่สามนั่นซี พอเราออกไปทางจงกรม เสียงขึ้นอีก พุมๆๆ ด้อมมาอีก มาถึงนี้หยุดอีก อ้าว ยังไง เอ หรือท่านรู้เราแล้ว พอว่าอย่างนั้น โอ๋ย ทีนี้ร้อนเป็นไฟ เผ่นเลยทีเดียว ถึงขนาดนั้นตื่นเช้าเราคอยจะจับเรื่อง พอเปิดประตูปั๊บมองดูตา จ่อ นี่ตัวสำคัญเมื่อคืนนี้ คงว่างั้นแหละ แต่ท่านไม่ได้ว่า ท่านจ้องมันก็รู้แล้ว เพราะวัวมันหลังหวะแล้วนี่ใช่ไหมล่ะ การ้องที่ไหนก็มีแต่จะจิกหลัง นั่นละเราแอบไปดู เราอยากฟังว่าท่านสวดสูตรไหนบ้างๆ เราก็เรียนมามากต่อมาก ระยะนั้นสวดมนต์สวดพรยังไม่หลงไม่ลืม ท่านสวดสูตรไหนมันก็รู้ ไปแอบฟังท่าน ตั้งแต่นั้นไม่เข้าอีกเลยเข็ดใหญ่เลย
เพราะถึงสามหน พอเข้าไปถึงนั้นหยุดแล้วๆ ทุกที หยุดทุกทีเลย ยืนนานเท่าไรท่านก็นิ่งเงียบอยู่นั้น จนกระทั่งเห็นไม่ได้การณ์เราก็ถอยออกไป พอถอยออกไปไม่นานเสียงพุมๆ ขึ้นอีก ด้อมมาอีก ครั้งที่สามจึงมาสะดุดใจ มารู้ตัว โอ๋ย ท่านรู้เราแล้วนะนี่ พอว่าอย่างนั้นก็ร้อน..ใจเรา พอตื่นเช้ามาท่านเปิดประตูออกจากห้อง เราจะเข้าไปเอาของบริขารพวกบาตรพวกกาน้ำอะไรออกมา ตาท่านจ้องเรา โธ่ แล้วกัน ท่านไม่ว่าอะไรแหละ ความหมายก็คือว่า นี่ละตัวสำคัญเมื่อคืนนี้ คงว่างั้น ตั้งแต่นั้นเข็ด ไม่เข้าเลย
นั่นละท่านกั้นห้องอยู่ ศาลาหลังเล็ก เราไปทีแรกไปเห็นศาลาหลังเล็กๆ เราก็ไปยืนเถ่ออยู่นั้นแหละ มันมีแต่เผลอไปหาท่าน อย่าว่าฉลาดเลยนะ ไปก็ยืนมอง ไปกลางคืนนะ เขาบอกทางให้แล้วเราก็ไปกลางคืน เราเข้าไปเงียบหมดเลย พระ ๙ องค์อยู่กับท่าน ดูเหมือน ๙ องค์หรือ ๘ องค์นี้แหละ เราเข้าไปนั้นแล้วก็ดู เพราะมันมืดนี่ กุฏิหลังเราผ่านเข้ามานั้นก็หลังเล็กๆ เข้ามานี่มาเห็นศาลา มีใหญ่บ้าง เราก็คิดว่า นี่ถ้าเป็นกุฏิกรรมฐานจะโตไปสักนิดหนึ่ง ถ้าเป็นศาลา ครูอาจารย์ขนาดนี้ เรียกว่าเล็กไปนิดหนึ่ง เราว่างั้น ท่านยืนอยู่นี้ ท่านเดินจงกรมนะนั่น
ใครมานี่ ท่านว่างั้น ใครมานี่ ทางนี้ก็บอก กระผมเอง พอว่ากระผมเองเท่านั้น เสียงแผดขึ้นเลยเทียว อันผมๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เห็นไหมล่ะ แย้งซิ เราก็เปลี่ยนทันที กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ว่างั้นซิ นี่ผมๆ แม้แต่เด็กก็มีผม เอาอีกแหละ โอ๋ย เสียงลั่น พระอยู่ตามนั้นมาละที่นี่นะ เพราะเสียงท่านลั่นขึ้นเลย อยู่เงียบๆ จากนั้นท่านก็ขึ้นไปกุฏิ ศาลาหลังนั้นแหละเล็กๆ ตะเกียงดอกบัวตูม โป๊ะเล็กๆ ท่านกำลังจะจุด พระก็รีบไปจุดให้ เราจับทุกกระเบียดเลย
ทีนี้สรุปเอาเรื่องศาลา ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน บ้านนามนก็เหมือนกัน อยู่บ้านโคกก็เหมือนกัน อยู่ที่ไหนมีแต่กั้นศาลาๆ พอยังอัตภาพให้เป็นไป คือธรรมชาตินั้นจะไม่มีอะไรเหมือนแล้วในโลกอันนี้ จิตใจที่สว่างจ้าครอบโลกธาตุนี้ แต่ร่างกายของท่านเป็นเหมือนโลกทั่วๆ ไป เต็มไปด้วยของสกปรกโสมม เต็มอยู่ในตัวของท่าน แล้วสภาพที่จะรับกันคืออะไร อยู่ที่ไหนพออยู่ได้ก็อยู่ไป พอวางศพทั้งเป็นนี้เท่านั้น ความหมายนะ จะไปหาความสะอาดสะอ้านสวยงามที่ไหน อันนี้เป็นอย่างนี้แล้วจะหาความสะอาดเหนือนี้ไปไหน มันก็อันเดียวกันๆ นี่ท่านปลงลงตรงนี้ อันนี้กับอันนั้นมันเหมือนกัน ปลงลงตรงไหนก็เหมือนๆ กัน อยู่ที่ไหนท่านก็อยู่ได้ นั่นความหมาย
คือจิตนั้นเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง จะเอาอะไรไปเทียบไม่ได้แล้วสามโลกธาตุนี้ สวยงามขนาดไหน ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ไม่มีชั้นใดที่จะแข่งธรรมชาตินั้นได้เลย ท้าวมหาพรหม ๑๖ ชั้นต่ำกว่าธรรมชาตินั้นทั้งนั้นๆ ธรรมชาติที่ท่านทรงไว้นั้น ทีนี้ธรรมชาตินี้มันเหมือนโลกทั่วไป ท่านก็เอานี้เทียบกับสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นสมมุติด้วยกัน อันนั้นเป็นสภาพนั้น อันนี้เป็นสภาพนี้ สภาพนี้กับสภาพนั้นมันก็อยู่กันได้ เหมือนกับว่าวางศพทั้งเป็นๆ ไว้เท่านั้นแหละ ยังไม่ตายก็อยู่อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นท่านอยู่ที่ไหนท่านจึงอยู่ได้สบายๆ ตลอดการอยู่การกินก็เยียวยาไปเหมือนโลกทั่วๆ ไป มิหนำซ้ำท่านมีธรรมในหัวใจๆ อีก ละเอียดกว่านั้นอีก กว่าโลกเขาอีก อยู่ที่ไหนท่านอยู่อย่างนั้นๆ ทั้งนั้นแหละ
กุฏิที่อยู่เป็นกระต๊อบ เป็นร้านเล็กๆ ตามป่าๆ เพื่อบำเพ็ญนี้ให้เป็นความสะดวก นี้คือการแก้กิเลสท่านแก้อย่างนี้ ท่านไม่แก้แบบหรูหราฟู่ฟ่า พอสร้างวัดที่ตรงไหนนั่นละสร้างความกังวล ให้กิเลสเข้าไปตีตลาดในวัดนั้นๆ มีแต่การก่อการสร้างด้านวัตถุเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เรื่องของธรรมไม่ยุ่ง มีแต่จะชำระที่ตัวมันยุ่งนี้ออกเรื่อยๆๆ อยู่ไหนอยู่ได้อยู่ไป แต่อันนี้มุ่งตลอดไม่มีถอยกัน ชำระออกเรื่อย สิ่งที่อยู่ภายในก็กำจัดออก สิ่งภายนอกไม่เอาเข้ามา กำจัดภายในออก กำจัดออกๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ยุ่งกับเรื่องการก่อการสร้าง ธรรมแท้ไม่ยุ่งกับการก่อการสร้างภายนอก แต่ก่อสร้างภายในจิตตภาวนาทุกระยะไปเลย นั่นละท่านชำระกิเลสชำระอย่างนั้น
ทีนี้ศาสนาเวลานี้ก็แทบไม่มองเห็นแล้วนะ ทั้งๆ ที่ว่าพุทธศาสนาว่าวัดว่าวา วัดไหนตรงไหนดูซิตำรับตำราท่านสอนว่ายังไง กับสิ่งที่เห็นอยู่นี้มันคืออะไร อันนี้มันแปลกปลอมมาจากไหน มาแสดงเป็นความจริงอย่างท้าทายธรรมะอยู่เวลานี้ในวัดในวา มีแต่วัตถุสิ่งก่อสร้างหรูหราฟู่ฟ่าแบบโลกทั้งนั้นๆ เลย จากนั้นผู้ครองวัดผู้อยู่ในวัดก็เป็นแบบโลกเข้าไปอีก ภายในไม่มีชำระ มีแต่กว้านฟืนไฟเข้ามาๆ เลยสุดท้ายพูดให้เต็มยศก็คือว่า วัดหนึ่งๆ เหมือนส้วมเหมือนถาน
แล้วพวกพระพวกเณรทั้งหลายก็เหมือนกองมูตรกองคูถอยู่ในนั้นหมด เพราะจิตเป็นมูตรเป็นคูถทั้งหมด ไม่ได้เป็นอรรถเป็นธรรม วัดหนึ่งๆ เลยกลายเป็นส้วมเป็นถาน ไม่ได้เป็นวัดเป็นวาสถานที่ชำระกิเลสเลย กลายเป็นสถานที่สั่งสมกิเลสขึ้นมายิ่งกว่าโลกเขาอีก โลกเขาไม่ได้รบกวนใครนะ พระนี่รบกวนมาก จะสร้างอะไรขึ้นมากวนญาติกวนโยมยุ่งไปหมด เลยกลายเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมืองไป นี่ละตามตำรับตำราจริงๆ เป็นอย่างนั้น
มันไม่มีแล้วนะพุทธศาสนาเรานี้ มีแต่อันนี้ทับไปหมดเลย แล้วก็เอาอันนี้ทำท่าออกอวดว่าเป็นวัดเป็นวา ที่ไหนสร้างหรูหราฟู่ฟ่าสวยงามเท่าไรยิ่งเป็นที่เกรงขาม ฟังซิน่ะ เกรงขามอิฐปูนหินทรายเหล็กหลา เกรงขามมันอะไร เรานั่งอยู่นี้เกรงขามมันอะไร เกรงขามธรรมต่างหาก ท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมภายในสว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา นี่ธรรมชาตินี้โลกไม่เห็นละซิ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านเห็น ท่านก็สนุกดูเรื่องโลก ความสกปรกของโลกเขาถือว่าสะอาดสุดยอด ทำอะไรๆ ต้องขัดต้องถูต้องเช็ดต้องล้างให้เรียบร้อยทุกอย่าง นี่สะอาดสุดยอดของกิเลส อะไรขัดเกลากันทั้งนั้นละเป็นเรื่องภายนอก
แม้ที่สุดห้องน้ำห้องส้วมก็ขัดก็เกลากัน ถูกัน สถานที่อยู่ของอันนั้นมันคืออะไร คือมูตรคือคูถ ขัดถูกันเสียอย่างเข้าไปในห้องน้ำนี่ต้องระวังนะ ไม่ระวังล้มหัวแตกเลย ต้องได้ระวัง นี่ละเป็นความสวยงามที่สุดของกิเลส สะอาดสะอ้านที่สุด ยอดที่สุดแล้วเป็นเรื่องของกิเลส แต่สายตาของธรรมมองพับเข้าไปนี้ นี้คือตัวที่สกปรกสุดยอด นั่นเห็นไหม นั่นละธรรมชาตินั้นกับอันนี้ทำไมตำหนิได้ลงคอถ้าอันนั้นไม่เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้
วัตถุเหล่านี้ๆ มีแต่สิ่งสกปรกโสมม เป็นเรื่องของวัฏวนวัฏจักร วิวัฏจักรคือจิตใจที่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยว มองไปที่ไหนมันจ้าไปหมด ทีนี้โลกไม่เห็นละซิ เพราะฉะนั้นโลกจึงสนุกเหยียบย่ำทำลายธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะโลกเป็นคลังกิเลสทั้งนั้นๆ ใครมาก็มีความรู้สึกความเห็นเป็นอันเดียวกัน สกปรกเหมือนกัน แล้วธรรมมีที่ไหนล่ะ มันก็เหยียบแหลกๆ เป็นอย่างนั้นนะ ฟังเสียนะท่านทั้งหลาย นี่เรายกตัวอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปอยู่ที่ไหนท่านสบายมากทีเดียว กุฏิกับกระต๊อบอยู่พอๆ ขึ้นมานั่งปั๊บเป็นยังไงภาวนา นั่นเห็นไหมล่ะ
ท่านไม่ได้ถามว่ากุฏิหลังนั้นเป็นยังไง การก่อสร้างเวลานี้เป็นยังไง โบสถ์หลังนั้นเป็นยังไง กุฏิหลังนั้นเป็นยังไง วิหารเป็นยังไง ศาลาการปะรงเปรียญ พูดเรียกโก้ๆ เป็นยังไง มันก็เหมือนขี้นั่นละถ้าให้ธรรมตอบนะ มันจะเป็นอะไรก็เหมือนขี้นั่นละว่างั้นเลย ถ้าให้ธรรมตอบนะ ตอบกิเลสว่าเป็นยังไงๆ เวลานี้กุฏิถึงไหนแล้ว ศาลาถึงไหนแล้ว โบสถ์ถึงไหนแล้ว หมดไปกี่ล้านๆ ยังขาดเท่าไรๆ นี่เรื่องกิเลสมันพรรณนาที่จะประดับประดาตกแต่งให้สดสวยงดงาม ให้เป็นที่เกรงขามของคลังกิเลสด้วยกัน แต่คลังของธรรมท่านไม่เป็นอย่างนั้น เป็นยังไงสร้างถึงไหนแล้ว ถึงส้วมถึงถาน ว่างั้นพอดี
เอาพูดให้มันยันอย่างนี้เลย มันจ้าอยู่นี้ ในหัวใจนี่ว่าไง เราตายแล้วจะไม่มีใครพูดนะอย่างนี้ นี่พูดอย่างท้าทายสามแดนโลกธาตุเราไม่เคยหวั่นกับอะไรเลย ในโลกธาตุนี้เท่าเม็ดหินเม็ดทรายไม่มี ธรรมจ้าไปหมดแล้ว ครอบไปหมด เพราะฉะนั้นจึงตอบได้อย่างถนัดใจละซี เวลานี้โบสถ์หลังนั้นได้สร้างไปเท่าไรๆ เวลานี้หมดเงินเท่าไร เท่านั้นล้าน เท่านี้ล้าน เขาพรรณนาไป ทีนี้มาถามธรรมให้ธรรมตอบ เป็นยังไงโบสถ์หลังนั้นเวลานี้ถึงไหนแล้ว ถึงส้วมถึงถาน ถึงขี้ ว่างั้นเข้าใจไหม มันไม่ใช่เรื่องของธรรมพระพุทธเจ้า
มันเรื่องของกิเลสไปประดับตัวของมันให้สวยให้งาม สวยงามอะไรเอามูตรเอาคูถไปประดับ เอาขึ้นไปชั้นไหนก็มูตรคูถ กิเลสไปชั้นไหนมันก็คือวัฏวนวัฏจักร มันจะเอาความสวยงาม ความดิบความดี ความสุขความเจริญ ให้ได้รับความร่มเย็นแก่โลกได้ที่ไหนมันไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้น ถ้าธรรมแล้วอยู่ที่ไหนๆ เจ้าของก็สบาย ไปที่ไหนเย็นไปหมดนะ นั่นละธรรม ที่ว่าสะอาดสุดยอดเอาอะไรไปเทียบไม่ได้เลย ถ้าถามก็ตอบว่างั้นละ ศาลาถึงไหนแล้ว ถึงส้วมแล้วถึงถานแล้ว ว่างั้นเหมาะ สวยงามขนาดไหน สวยงามเหมือนส้วมเหมือนถาน
นี่ละที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นไปอยู่ พอปลงสังขารร่างกายซึ่งเป็นสภาพเดียวกันลงอยู่ได้แค่ไหนพอๆ ทางนี้พอทุกอย่างแล้ว สง่าจ้าไปหมดเลย นั่นละธรรม เอามาพูดให้โลกฟังนี้โลกโจมตีแหลก แต่ทีนี้ธรรมท่านไม่แหลก ท่านยิ่งได้ปลงธรรมสังเวชที่โลกเป็นหมาเห่าฟ้า หมาเห่าส้วมหมาเห่าถานวอกๆ แวกๆ ก็อันนี้เป็นสมมุติอันนั้นเป็นวิมุตติจะไปเห่าถึงยังไงวิมุตติ ฟังซิน่ะ อันนี้มันอยู่ในวงสมมุติมันก็เห่าวอกๆ แวกๆ โจมตีท่านั้นโจมตีท่านี้ โจมตีวิมุตติไปโจมตีอะไร ฝั่งหนึ่งเป็นวิมุตติ ฝังหนึ่งเป็นสมมุติมันเข้าถึงกันได้ยังไง นี่ละเข้าใจไหม
อย่างพระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต เขาจ้างคนมาด่ามาว่าพระพุทธเจ้าตามสายทางบิณฑบาต ไอ้อูฐไอ้ลา ไอ้หัวโล้นโกนคิ้ว ไอ้ขอทาน อะไรๆ ว่าไป พระองค์ก็บิณฑบาตเฉย พระอานนท์ที่ตามเสด็จนั้น โอ๋ย ขวยเขินอายจะตายไปละ ทูลพระพุทธเจ้าว่าขออาราธนาพระองค์เสด็จไปเมืองอื่นเถอะ เมืองนี้ไม่ไหวแล้วพิลึกพิลั่นด้วยการถูกโจมตีดุด่าว่ากล่าวทุกประเภทเลย เวลาท่านถาม จะไปเมืองไหนล่ะอานนท์ ฟังซิน่ะคำรับสั่งของพระพุทธเจ้า จะไปเมืองไหนล่ะอานนท์ ไปเมืองนู้น เมืองนู้นเขาก็มีปาก ไอ้เราก็มีหู นั่นฟังซิน่ะ ไปเมืองนู้น ถ้าเมืองนู้นเขาว่างี้ไปไม่ได้ ไปเมืองนู้น เมืองนู้นเขาก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วจะไปทางไหน สุดท้ายพระอานนท์ไม่มีที่อยู่ ไปที่ไหนเขาก็มีปากเราก็มีหูก็ไปโดนอย่างนี้เหมือนกัน ไปหาอะไร
เรานี่เหมือนพญาช้างที่ออกสู่สงคราม ไม่พรั่นพรึงหวั่นไหวกับลูกศรที่มาจากทิศต่างๆ มุ่งหน้ามุ่งตาเข้าสู่สงครามเท่านั้น โลกทั้งหลายเป็นโลกอย่างนี้เองมีมาดั้งเดิม ไม่ใช่มีมาวันนี้วานนี้นะ มีมาดั้งเดิมตื่นหาอะไร เรื่องความดีความชั่วมีอยู่อย่างนี้แหละ นี่พระพุทธเจ้ารับสั่งพระอานนท์ เขาเห่าวอกๆ ก็เห่าซิปากเขามี หูเรามีเราฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็เป็นหูของเราเอง ก็ไปสบายพระพุทธเจ้า แต่พระอานนท์เป็นบ้าไปเลย เข้าใจไหมล่ะ
โลกธาตุนี้เป็นโลกที่สกปรก พอใจมันก็ชมเชย ไม่พอใจตำหนิติเตียนเหยียบย่ำทำลายทุกประเภทที่มันจะเป็น แต่มันก็เหยียบกองขี้ของมัน มันอยู่ในวงกองขี้ คือส้วมคือถานในวัฏวน จะไปเหยียบถึงวิมุตติธรรม ธรรมธาตุ มหาวิมุตติ มหานิพพานนี้ไม่ได้ มันก็เห่ามันก็เหยียบย่ำของมันเอง เปื้อนเท้าของมันเอง เข้าใจไหมล่ะ ธรรมชาตินั้นจะเข้าไปถึงได้ยังไง นั่นพากันเข้าใจเอานะ ให้ปฏิบัติซิธรรมพระพุทธเจ้าท้าทายตลอดเวลา มีพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ เท่านั้นท้าทายต่อดีชั่ว มรรค ผล นิพพาน มาตลอด เอ้าใครปฏิบัติแล้วจะเจอขึ้นในตัวเอง เจอขึ้นเท่านั้นคนเดียวเท่านั้นไม่ต้องไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน จ้าขึ้นนี้พอหมดเลย นั่นเป็นอย่างนั้น
เวลานี้ศาสนาเรากำลังถูกเหยียบย่ำทำลายทั้งเขาทั้งเรา ไม่มีเจตนาก็ตาม มีเจตนาก็ตาม เพราะกิเลสมันเป็นนายอำนาจ เป็นหัวหน้า มันพาเหยียบพาย่ำ เจ้าของก็เป็นตุ๊กตาให้มันพาเหยียบย่ำไปอย่างนั้น บางคนเจตนาจริงก็มี บางคนไม่มีเจตนา ผิดก็ต้องเป็นผิด เจตนาไม่เจตนาผิดเป็นผิด นั่นมันอยู่จุดนั้นนะ นี่พูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นตัวอย่างได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่านไม่สนใจกับเรื่องภายนอกเพราะภายในของท่านพอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ร่างกายอาศัยสิ่งสมมุติ เขาเป็นยังไงพออยู่ได้อยู่ไป อันนี้ก็สมมุตินั่นสมมุติ สภาพเดียวกันไม่เห็นมีอะไรเลิศเลอกว่ากัน ก็พอปล่อยร่างกายลงได้วันหนึ่งๆ ยืน เดิน นั่ง นอน ท่านก็อยู่ไปของท่านอย่างนั้น เพราะธรรมชาตินั้นเลิศเลอสุดยอดแล้ว อันนี้มันอยู่ในธาตุในขันธ์รับผิดชอบอยู่ มันพาไปไหนก็ไปพอถึงกาลเวลา พอถึงเวลาแล้วสลัดปั๊วะเดียวเท่านั้นผึงเลย หมดรับผิดชอบ จิตใจนี้เป็นอนุปาทิเสสนิพพานล้วนๆ สมมุติไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเลย เรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพาน
สอุปาทิเสสนิพพานคือสิ้นกิเลสแล้ว จิตที่สง่าจ้าแล้วแต่ยังมีความรับผิดชอบในธาตุในขันธ์อยู่เพราะยังมีชีวิตอยู่ จึงเรียกว่าผู้บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้ว แต่ยังต้องอาศัยธาตุขันธ์ซึ่งเป็นของสกปรกโสมมเหมือนโลกทั่วๆ ไปอยู่ พอสลัดธาตุขันธ์หมดปุ๊บแล้วไม่มีแล้ว อนุปาทิเสสนิพพานขึ้นชื่อว่าสมมุติแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง ท่านจึงว่านิพพานแปลว่าดับ สมมุติทั้งหมดดับจากจิตโดยสิ้นเชิง ท่านว่าปรินิพพาน ดับรอบไปหมดเลย หมดทุกอย่าง เที่ยงก็อยู่ที่นั่น ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา อดีตอนาคตไม่มี ธรรมชาติที่บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้วเที่ยง คงเส้นคงวาหนาแน่น
อันนี้เกิดขึ้นจากการพยายามอุตส่าห์ของพวกเราที่สร้างบุญสร้างกุศล จะเป็นเครื่องหนุนขึ้นหาธรรมจุดนี้แหละ บุญกุศลมากน้อยเราสร้างไป เป็นเครื่องหนุนขึ้นไปๆ พอถึงที่แล้วบุญกุศลนี้ก็เป็นบันไดส่งเจ้าของขึ้นถึงบ้านถึงเรือนแล้ว บันไดก็เป็นบันได บุญก็เป็นสมมุติ บาปก็เป็นสมมุติ อยู่ในขั้นสมมุติด้วยกัน อันนั้นเป็นวิมุตติผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ถึงบ้านถึงเรือน หรือเรียกว่านิพพาน ว่าบ้านเรือนก็ได้เทียบกันนะ นั่นถึงนิพพานแล้ว เรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพาน พ้นจากธาตุจากขันธ์ จากสมมุติไปโดยสิ้นเชิง ถึงธรรมธาตุล้วนๆ ท่านเรียกว่านิพพาน
นี่ธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก สอนถึงขั้นนั้นเอง ตั้งแต่พื้นๆ ไป เหมือนบันไดขั้นหนึ่งขั้นสองขั้นสาม แล้วค่อยก้าวไปตามๆ สุดท้ายก็ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ นี่เราเคยพูดซ้ำๆ ซากๆ มันจวนจะตายเท่าไรความห่วงโลกนี้ยิ่งมากมายเข้าไป แทนที่จะมาห่วงตัวเองไม่มี เราบอกไม่มี คอยที่จะปล่อยของมันไปเท่านั้นเอง นี่เป็นเครื่องมือทั้งหมด สังขารร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องมือสำหรับจะทำประโยชน์ให้โลก ที่จะมาเป็นภัยต่อเจ้าของไม่มี ทำคุณให้ประโยชน์แก่โลกเท่านั้น
เวลามีสิ่งเหล่านี้อยู่ทำไป พออันนี้หมดไปแล้วก็หมดเครื่องมือที่จะทำประโยชน์ให้โลกอย่างเปิดเผยอย่างนี้ไม่มี ส่วนที่ลึกลับมันพูดไม่ได้นะ จิตของท่านที่เป็นธรรมธาตุ ล้วนๆ แล้วพูดไม่ได้ แต่ท่านไม่สงสัยในท่านเอง อันนี้ไม่เรียกว่าเปิดเผย ที่ทำประโยชน์อยู่เรียกว่าเปิดเผย อาศัยธาตุขันธ์ นี่ละทำให้เปิดเผยพาไปพามา การแนะนำสั่งสอนโลกทุกสิ่งทุกอย่าง เอากิริยานี้ออกจึงเรียกว่าเปิดเผย ถ้ามีแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ กิริยาอย่างนี้ไม่มี จึงว่าเปิดเผยไม่ได้ แต่ท่านไม่สงสัยท่าน
เอาแค่นั้นละพอ พูดไปพูดมามันก็นานเหมือนกัน (ค่าไฟฟ้าได้ทั้งหมด หนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันห้าสิบบาท ยังขาดอยู่อีกหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) ขาดก็ขาดไปเถอะ ยังไงก็ไม่พ้นมือพี่น้องของเราทั้งหลายนี้ไปได้ ให้มันขาดไปบอกงั้นเลยนะ (ได้มาอีกสามพันแล้วครับค่าไฟฟ้า) ก็อย่างนั้นแล้ว มันจะมาท้าได้ยังไงว่าขาดเท่านั้นแสนเท่านี้แสน เอ้า ขาดมาๆ ซัดสามตูมสี่ตูมเข้าไปหงายเลย
ให้พากันฟังเอานะเรื่องส้วมเรื่องถาน มีแต่ประดับประดาตกแต่งขัดถู มิหนำซ้ำยังเอาชะแล็กมาทาอีก สวยไหมนี่ สมมุติว่าถามธรรมนะ กิเลสถามธรรม คืออยากเอาความสวยๆ อวดธรรม แล้วก็ถามธรรมว่านี่สวยไหม ทางนั้นก็ตอบ ธรรมท่านก็ตอบ สวยเหมือนขี้ กิเลสก็หงายเลยเข้าใจไหม คือตอบแบบถนัดเลย สวยเหมือนขี้
วันนี้ได้เปิดธรรมเอาความจริงมาให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ซึ่งเป็นผู้มุ่งธรรมล้วนๆ ด้วยกัน จึงเปิดอย่างนี้ให้ฟัง ถ้าสะเทินน้ำสะเทินบก ไปเทศน์ในที่ต่างๆ เราไม่พูด ถ้าในที่ที่ควรจะพูดจะพูดอย่างนี้ละให้ฟังเป็นกันเอง เอาความจริงออกมาพูด ต่างกันอย่างนี้ระหว่างกิเลสกับธรรม เช่นอย่างกิเลสถามเป็นยังไงสวยไหม ทางธรรมตอบออกมาสวยเหมือนขี้ นั่นเอาเต็มยศออกมานะ สามโลกธาตุจะมีอะไรเหมือนธรรมชาตินั้น เหนือหมด และใครจะออกมาพูดอย่างนี้ได้ ถูกกิเลสต่อว่าต่อขาน เกรงเขาเกรงเรา ลูบหน้าปะจมูก ติดเขาติดเราพูดไม่ได้ แม้ท่านผู้ไม่ติดท่านก็รู้โลกสมมุติ ว่ามันติดอยู่อันนี้ท่านก็ไม่พูดเสีย ถ้าเป็นผู้มุ่งจะไปจริงๆ แล้วผึงทันทีเลย เข้าใจเหรอ
เอาละทีนี้จะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|