ผู้ไม่รู้แต่งไม่ได้
วันที่ 15 พฤษภาคม 2547 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ผู้ไม่รู้แต่งไม่ได้

 

         นี่ทองคำก็กำลังเริ่มไหลเข้ามาจะให้คู่ละ ไหลซึมเข้ามาเรื่อยๆ เอ้า วางไว้เลย ในเบื้องต้นที่เข้าไปดูทองคำในคลังหลวง ออกมาแล้วพูดอะไรไม่ออก (ทองคำมาหนึ่งกิโลครับ) เออ พอใจๆ เราไม่คาดไม่ฝันว่าจะหนึ่งกิโลมาตูมตามอย่างนี้ มีแต่ค่อยไหลซึมเข้ามาๆ เราไม่คิดไม่นึกว่าจะตูมตามเข้ามาเป็นกิโลอย่างนี้ นับแต่วันเข้าไปคลังหลวงมา คือวันนั้นเป็นวันที่มอบทองคำและดอลลาร์เป็นครั้งแรก มอบมากด้วยนะ พอมอบเสร็จทุกอย่างเรียบร้อย หัวหน้าคลังหลวงมานิมนต์เราเลยให้เข้าไปดูทองคำในคลังหลวง บอกว่าในคลังหลวงนี้ผู้ที่เข้ามาเห็นทองคำ คือ สมเด็จพระเทพฯ หนึ่ง กับหลวงตาที่กำลังเข้าอยู่เดี๋ยวนี้หนึ่ง นอกนั้นไม่มีใครเข้ามาได้เลย เขารักษาเข้มงวดกวดขันมาก เป็นชั้นๆ เข้าไปเทียว เราก็ทราบทันทีว่าทองคำของเราที่มามอบนี้เป็นต้นเหตุ ทางคลังหลวงคงมีหวังกับเราแหละ

เข้าไปก็ไปดูละเอียดลออ ดูทุกซอกทุกมุม ดูหมด ออกไปแล้วก็เชิญไปนั่งสองต่อสองคุยกันเป็นความลับ เวลานี้ทองคำเรา เราคาดเอาเฉยๆ แต่ก็ไม่ผิด ทองคำเรานี้เกี่ยวข้องกับประเทศหลายประเทศ แล้วทองคำเราได้แบ่งไปประเทศไหนบ้าง ประเทศนั้นเท่าไรๆ ประเทศนั้นมอบไปเท่านั้นๆ แล้วย้อนเข้ามาในคลังหลวงของเราที่ประกันตัวเองล่ะมีเท่าไร ว่ามีเท่านั้น ใจรู้สึกว่ามันวูบลงเลยนะ น้อยไปมากทีเดียวกับคนทั้งประเทศ ต่อทองคำที่มีอยู่ในคลังหลวง เป็นหัวใจของชาติ รู้สึกมีน้อยมากทีเดียว แล้วคี่ด้วยไม่คู่ พอถามเรียบร้อยแล้วก็ออกมา

ก็ประกาศตั้งแต่บัดนั้นเลยทองคำ ในเย็นวันนั้นพอมาถึง ทุกวันพวกหนังสือพิมพ์ นักข่าวจุ้นจ้านๆ จนได้ขับไล่ แล้ววันนี้ไปไหนกันหมด วันนี้เราจะประกาศ กำลังจวนจะมืดแล้ว ไม่ได้นึกว่าจะมีพวกนักข่าวยังเหลือหลออยู่นั้น ไม่นานเขาบอกว่ามีมาแล้ว เอ้า เข้ามานี่เดี๋ยวนี้ ประกาศออกทันที เขาก็ออกเลย ทางหนังสือพิมพ์อะไรก็ออก ว่าทองคำเราขาดอยู่มาก เวลานี้หลวงตาต้องการทองคำมากทีเดียว เอาให้เต็มเหนี่ยวทั่วประเทศไทยของเรา ขนทองคำเข้าสู่คลังหลวง ตั้งแต่บัดนั้นมาประกาศเรื่อยจนกระทั่งมาถึงยุติการช่วยชาตินี่ จากนั้นมาก็ไม่ประกาศละอันนั้น แต่เป็นประกาศแบบไหลซึมนะ ให้ทองคำไหลซึมเข้ามา คือทองคำที่คี่นั้นก็เป็นอีกอันหนึ่ง ที่มีน้อยอยู่แล้วก็เป็นอีกอันหนึ่ง ทีนี้เราจะพยายามหาทองคำภายในจิตใจของเรา ไม่บอกให้ใครทราบละตอนนี้ เราจะให้ได้ทองคำเท่านั้นเข้านี้จะพอหายใจโล่งบ้าง

ก็ไม่พูดเลยทองคำส่วนคี่นั้นเอาไว้ก่อน เพราะอันนี้มันหนักมากที่อยู่ในหัวอกของเราที่จะพยายามเอาทองคำให้ได้จากพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ ให้ได้เท่านั้นตันเรานึก ยังไม่พูดนะ พิจารณาอีกทีหนึ่ง จนกระทั่งพอสมควรแล้วทีนี้ก็ออกละ ให้ได้ทองคำเท่านั้น พอทองคำเราหนุนขึ้นๆ ไปใกล้จุดที่หมายแล้ว ทีนี้อันคี่ก็เริ่มออกไปด้วยกัน ค่อยออกไปเรื่อยๆ ว่าทองคำเรายังมีคี่อยู่ น้อยแล้วยังไม่แล้วยังมีคี่อยู่อีก จึงได้ประกาศนั้นมาเรื่อย ทีนี้ทองคำคี่ก็ได้ไหลซึมละคราวนี้ มันขาดอยู่หนึ่งตันที่เป็นคี่ ถ้าได้หนึ่งตันแล้วก็เป็นคู่

เวลานี้ทองคำเราก็ได้แล้ววันมอบนั้นกำหนดตายตัวไว้ ๑๐ ตัน แต่เวลาได้วันนั้นได้ ๑๐ ตันกับ ๓๑๒ กิโลครึ่ง ทีนี้ ๓๑๒ กิโลครึ่งนี้ก็แยกออกไปหาที่คี่ที่ขาดอยู่หนึ่งตัน ก็เรียกว่าเราได้แล้ว ๓๑๒ กิโลครึ่งในจำนวนหนึ่งตัน ก็ค่อยไหลซึมเข้ามาเรื่อย เวลานี้น่าจะได้มากพอสมควรแล้ว คงจะประมาณ ๓๐ กิโล เราก็จะพยายามให้ค่อยไหลซึมมา แต่เวลานี้ไม่ประกาศ ไม่ไปหาเที่ยวตีกระเป๋านั้นตีกระเป๋านี้เหมือนแต่ก่อน อย่างมากก็จะเป็นการออดอ้อนเอา เขาให้ก็เอา ไม่ให้ก็ไม่เอา ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ ค่อยไหลซึมซาบเข้ามา พยายามจะให้ได้หนึ่งตัน แล้วก็คู่ละที่นี่ เราก็พอใจละ จากนั้นก็หยุดเลยไม่เอาต่อไปอีก เรียกว่าประกาศหยุดเลยทองคำ เวลานี้กำลังเปิดทองคำให้ไหลซึมเข้ามาอยู่เรื่อยๆ

ส่วนดอลลาร์นั้นก็คงไม่แน่นักเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนเคียงคู่กันไป พอมอบทองคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้รายได้รายอะไรที่จะช่วยพี่น้องชาวไทยเรา รู้สึกว่าร่อยหรอลงทุกวันๆ เพราะไม่ได้เทศนาว่าการเหมือนแต่ก่อน แต่ผู้ที่มาขอยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ เมื่อวานนี้โรงพยาบาลอำเภอพนา จ.อำนาจเจริญ ก็มาขอรถยนต์คันหนึ่ง ได้ถูไถให้ไปนะ นี่ก็ให้ไปแล้วรถยนต์ อย่างนั้นละทางขอนี้ขอมาหนาแน่นขึ้นทุกวัน รายได้ไม่ค่อยมีแหละเดี๋ยวนี้ เพราะเราหยุดโครงการแล้ว แต่ทางขอนี้ขอมาเรื่อยๆ  นี้ละที่นี่จะไปเดือดร้อนถึงดอลลาร์เรานี้ ถ้าเงินสดไม่พออย่างนี้ จะต้องไปเอาดอลลาร์มาช่วยกับเงินสด เพราะฉะนั้นดอลลาร์จึงไม่แน่นักที่จะได้เข้าตามทองคำไปเหมือนแต่ก่อน อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนะ เรื่องเข้าคงเข้าแหละแต่ไม่มาก ที่จะออกทางนี้ตามความจำเป็นของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ จะได้มากระเทือนถึงดอลลาร์ออกไปช่วยทองคำ ช่วยเรื่อยๆ ไปอย่างนี้

ที่มาให้ช่วยนั้นมาอยู่เรื่อยๆ มาทุกทิศทุกทาง พักไว้ก็มากเพราะมันไม่พอ ความจำเป็นของพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ ไหลมาทุกทิศทุกทาง ทีนี้เงินมันก็ไม่พอ จึงต้องพักเอาไว้ๆ  เมื่อพอตามเก็บได้ก็ตามเก็บ เอ้าที่ไหลเข้ามาขอเรื่อยๆ ก็มีเยอะ นี่ละมันจึงไม่พอ ดอลลาร์ถึงเดือดร้อนไปด้วย ดอลลาร์จะออกมาช่วยเมืองไทยต่อไปนี้ กรุณาทราบไว้อย่างนี้ หลวงตาพูดอะไรไม่มีสองนะ พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ให้นอกเหนือจากนั้นไป แต่ก่อนดอลลาร์เราก็ไม่ค่อยพูดถึงอย่างนี้มากนัก แต่เวลานี้ได้พูดแล้ว จำเป็นจะต้องได้ออกช่วยแหละ เพราะเงินไทยเราไม่ได้เหมือนแต่ก่อนที่เราออกช่วยชาติบ้านเมือง ได้มาก็ช่วยๆ ไป ทีนี้เราหยุดทางนั้นแล้ว การขอมาของคนมีจำนวนมากขึ้นๆ จึงต้องกระเทือนถึงดอลลาร์ ดอลลาร์มีเท่าไรก็จะออก ส่วนทองคำร้อยทั้งร้อยตามเดิม เข้าตามเดิมๆ

ก็รู้สึกว่าเราพอใจ เต็มวาสนาของเราเหมือนกันนะ เพราะเราตั้งใจที่จะช่วยโลกนี้ เรียกว่าช่วยสุดหัวใจเลย ตอนช่วยเราเราก็พูดแล้ว ช่วยนั้นก็ช่วยเอาชีวิตเข้าแลกเลย คือจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ขีดเส้นตายให้ตัวเองเลย หลังจากได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นเป็นที่พอใจ เรื่องมรรคผลนิพพานไม่สงสัยแล้ว มีแต่จะเอาละที่นี่ มัดกันเลยตั้งแต่บัดนั้นมา ความทุกข์ความทรมานในความพากเพียรของเราจึงเหลือประมาณ ว่างั้นเถอะ แต่ไม่เคยสลบไสล หากเฉียดกันไปๆ อยู่ตลอด เรื่องความเพียรกล้าหรือความเพียรหนักต่อมรรคผลนิพพานที่ต้องการไว้แล้วนั้นอย่างสุดหัวใจ ทีนี้เราก็พยายามตามนั้นแหละ ด้วยความพากเพียรสุดกำลังๆ ความทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจจึงหนักมากตลอด เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม

ตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่เวทีพรรษา ๗ พอสอบเปรียญได้พรรษา ๗ นั้นออกเลยเทียว เพราะเราตั้งสัจจอธิษฐานเอาไว้ว่า เรียนจบชั้นเปรียญ ๓ ประโยคแล้วพอ ภาคปฏิบัติที่จะเป็นแบบแปลนแผนผังพาก้าวเดินพอไม่บกพร่อง นักธรรมก็ถึงชั้นเอกแล้ว นักธรรมตี โท เอก เปรียญ ๓ พอ แบบแปลนแผนผังที่จะก้าวเดินทางภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้นพอถึงนั้นปั๊บจึงออกทันทีเลย ผู้ใหญ่ท่านจะให้เป็นครูสอนทั้งบาลีทั้งนักธรรม ไม่เอาทั้งนั้น ตัดขาดสะบั้นไปเลย เพราะจิตมุ่งหมายต่อแดนพ้นทุกข์จากภาคปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เราจึงออกเลย

ออกก็พอเหมาะพอสมทุกอย่างเหมือนกันนะ ครั้นออกมาแล้วก็มีผู้ใหญ่ที่มีบุญมีคุณต่อเรามาก เราต้องฟังเสียงท่าน มานี่เราพูดแย็บๆ อะไรกับพระ พระเลยไปเล่าให้ท่านฟัง ผู้ใหญ่นั่นแหละ ไหนมหาบัวว่าจะออกปฏิบัติเหรอ เรียนจบประโยค ๓ แล้วจะออกปฏิบัติเหรอ เราก็ไม่ตอบ นิ่งอยู่ อย่าด่วนออกนะ ท่านว่า แน่ะเอาแล้วนะ ให้เรียนจบประโยค ๖ เสียก่อนแล้วค่อยออกถ้าจะออก แน่ะยังมีอีกนะ ถ้าไม่ออกท่านก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหมล่ะ เราก็ไม่ตอบ แต่อย่างไรจะออกแน่ๆ ลงได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว

ที่ตั้งสัจจะไว้ ๓ ประโยคนั้นเป็นขีดเส้นตายเลย จะเลยจากนั้นไปไม่ได้ มีแต่รอจังหวะที่จะออก ก็พอดีท่านออกไปต่างจังหวัด เราเข้ามากรุงเทพแล้ว นี่เตรียมจะออกแล้วนะ พอดีมากรุงเทพท่านไม่อยู่ ท่านออกไปต่างจังหวัด นี่ละจึงว่าเหมาะนะ ถ้าท่านยังอยู่นั้น โอ๊ย จะลำบากมากนะ หาอุบายวิธีการออกด้วยความเคารพ พอดีท่านไปต่างจังหวัด ได้โอกาสปั๊บเลย เข้าลาสมเด็จใหญ่มหาวีรวงศ์ วัดบรมนิวาส ท่านอนุญาตเลย ทั้งๆ ที่สมเด็จวัดพระศรีมหาธาตุท่านออกไปต่างจังหวัด ท่านยังไม่มา ลาท่านได้แล้วออกเลย โอ๊ย ท่านติดตามนะไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ออกไปได้อย่างสบาย นั่นละที่นี่จึงออกเรื่อยมา เป็นความสะดวกๆ

เวลาจะออกก็ได้พูดแล้วว่าตั้งสัจจอธิษฐานเป็นสองสามขั้นเอาไว้ ขั้นหนึ่งออกไปแล้วไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย การออกปฏิบัติไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย ก็ขอให้มีนิมิตเป็นสิ่งที่เลวร้ายไม่พึงปรารถนา ถ้าออกไปแล้วสมมักสมหมาย ขอให้นิมิตนี้แสดงอย่างอัศจรรย์ให้เห็นในคืนวันนี้ จากนี้แล้วก็จะออกปฏิบัติแล้วนี่ ตั้งสัจจอธิษฐานเรียบร้อยแล้ว จะรู้ในทางภาวนาก็ได้ จะรู้ทางความฝันก็พอใจ ดูเหมือนมีในหนังสือเราที่คำฝันของเรา พอฝันลงไปนี้ที่ว่าเลวร้ายนั่นละถ้าหากว่าไปแล้วไม่สมหวัง เหลวไหล แล้วก็ให้ฝันแบบเลวร้ายไม่ให้ดูได้เลยว่างั้นเถอะ เรียกว่าไม่เป็นท่า

         ถ้าออกแล้วได้สมมักสมหมายขอให้เป็นคำฝันอัศจรรย์ขึ้นมา ในคืนวันนั้นก็นั่งภาวนาจนกระทั่งดึก ไม่ได้เรื่องอะไรก็เลยมานอน พอนอนหลับไปเท่านั้น ฝัน โอ้โหอัศจรรย์เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ภาพยังติดตา อัศจรรย์ เหมือนเหาะขึ้นจากนครหลวงแต่ไม่ใช่นครหลวงกรุงเทพฯ เรา มันมีในคำฝัน แต่เป็นนครหลวงกว้างแสนกว้างสุดสายหูสายตา เหาะขึ้นจากนครหลวงแล้วก็ขึ้นรอบพระนคร

         นครหลวงของเราเป็นธรรมดา นครหลวงอันที่สองนี่ โหย มันสำเร็จมาด้วยสิ่งที่อัศจรรย์ทั้งนั้น ทองคำธรรมชาติ ทุกสิ่งเหลืองอร่ามในนครหลวง ได้เหาะรอบนครหลวงอันนั้นละ ออกจากนครหลวงกรุงเทพฯ เรานี้นะ ขึ้นนครหลวงนั้นในคำฝัน ปรากฏนครหลวงนั้นละสุดสายหูสายตา มองไปไหนเหลืองอร่ามงามตาไปหมด  เป็นตึกรามบ้านช่องสำเร็จแล้วด้วยทองคำธรรมชาติๆ ไม่ทราบว่าเป็นชนิดใด สิ่งที่นอกเหนือจากทองคำยังมีวิเศษวิโสต่อไปอีก เหลืองอร่ามไปหมดเลย เพลินเหาะดูรอบ ดูตึกที่สำเร็จไปด้วยทองคำธรรมชาติๆ เพชรนิลจินดาก็สำเร็จอยู่ในนั้นหมดเลย อัศจรรย์ เพลินดูที่นี่นะ เราเพลินดูตึกนครหลวงในคำฝันนะ เพลินดูรอบไปหมด

         พอรอบไปหมดแล้วก็ถึงใจ เหาะลงมาตื่นขึ้นมาพอดีนะ พอคำฝันลงมาจบปุ๊บทีนี้ก็ตื่นขึ้นมา โหย กระหยิ่มยิ้มย่องเราต้องสำเร็จแน่ๆ คำฝันอันนี้อัศจรรย์เหลือเกินไม่เคยคิดเคยคาด เป็นคำฝันอัศจรรย์ประทับใจ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังเหลืองอร่ามอยู่นะคำฝันนั่น พอตื่นเช้ามาแล้วก็ไปลาสมเด็จท่าน อนุญาตให้ออกเลย นี่มันแปลกประหลาดอยู่นะ ออกปฏิบัติบึ่งมาหาหลวงปู่มั่น นั่นละที่นี่ตั้งแต่บัดนั้นมาความพากเพียร แล้วก็ไปฟังอรรถธรรมจากหลวงปู่มั่นเสียก่อน จนเป็นที่ถึงใจทุกอย่าง

         ที่เราวาดภาพไว้ในใจของเราจากการเรียนนี่มันไม่ได้แน่นอนนะ เรียนได้ขนาดเป็นมหา เรื่องมรรคผลนิพพานยังสงสัยๆ บทเวลาจะเอาจริงเอาจังนี้ยิ่งเกิดความสงสัยมาก หากว่าเราได้ทุ่มเทกำลังลงเต็มความสามารถแล้วผลที่จะตอบแทนไม่มี เช่น มรรคผลนิพพานไม่มีก็เสียกำลังเปล่าๆ นี้ทำไง จึงหาข้อตัดสิน จึงได้บึ่งไปหาหลวงปู่มั่น ไปก็เหมือนท่านเอาเรดาร์จับไว้เลยนะ เด็ดทีเดียวเลย ไม่ได้พูดอ่อนแออะไรเลย เด็ดผึง เข้าไปกราบ เหอ ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลยทันที ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ขึ้นเลยนะ ผึงๆ เหมือนเรดาร์ท่านจับไว้เรียบร้อยแล้วกับความตั้งใจของเรา

         ท่านกระจายออกไปว่า ดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรในแดนโลกธาตุนี้ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ที่อยู่ของกิเลสและมรรคผลนิพพาน  มรรคผลนิพพานแท้ กิเลสแท้ และที่อยู่ของกิเลสและมรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่หัวใจ ท่านชี้ลงนี้เลย เอ้าให้ท่านปฏิบัติให้ดีนะ ลงตรงนั้นนะ ไม่ว่าบาปว่าบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ มรรคผลนิพพานอยู่ที่หัวใจนี้ทั้งหมด ขอให้ท่านเบิกหัวใจออก ท่านจะได้เห็นสิ่งที่อัศจรรย์ทั้งหลายภายในหัวใจของท่านนั้นแหละ เอาให้หนัก ท่านเน้นหนักๆ ลงไป

         ทางด้านจิตตภาวนาเอาให้หนักนะ ท่านบอกขนาดนั้นละ บอกอย่างเด็ดๆ ให้สมกับความตั้งใจของเราที่ไปหาท่าน แล้วเอาให้หนักทางด้านภาวนา อันหนึ่งอย่าว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ ที่ท่านเรียนมานับว่าเรียนมามากพอสมควรถึงขนาดเป็นมหา แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้าทางด้านปริยัตินะ เวลานี้การศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยนั้นยังไม่เกิดประโยชน์ ให้ท่านบูชาไว้เสียก่อน ให้ท่านเน้นหนักทางภาคปฏิบัติคือจิตตภาวนาให้มาก อย่าไปกังวลกับสิ่งที่ท่านเรียนมามากน้อย มันจะเข้ามาประสานกันและมาเตะมาถีบมายันกัน ผลแห่งความตั้งใจของเราจะไม่สำเร็จ ท่านว่า

         เพราะฉะนั้นให้ท่านพักไว้ก่อนเรื่องเรียนมามากน้อย ให้ท่านเอาตั้งแต่คำภาวนาอย่างเดียว มีภาวนาอย่างเดียว เอาให้เน้นหนัก ท่านอย่าไปกังวลในปริยัติ เวลานี้ไม่เกิดประโยชน์ ท่านบอกว่าไม่เกิดประโยชน์เลย ต่อไปนู้นถึงกาลเวลาที่ปริยัติกับภาคปฏิบัติที่จะวิ่งประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ นี่อันหนึ่งนะเราไม่ลืม บอกว่าเอาไว้ไม่อยู่ จะวิ่งถึงกันทันที แต่เวลานี้ไม่เกิดประโยชน์ ขอให้ท่านเร่งทางด้านจิตตภาวนาให้มาก เราก็จับได้อย่างถึงใจๆ

         ลงมาแล้วทีนี้เป็นยังไงฟังอรรถฟังธรรมหายสงสัยแล้ว เรื่องมรรคผลนิพพาน ไม่มีที่สงสัยแล้ว ท่านสอนอย่างจริงอย่างจังแน่นอนทุกอย่าง ไม่มีที่สงสัยแล้ว เราจะจริงไหมคราวนี้ ได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ ทางนี้ตอบทันทีว่าต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น บอกว่าไม่จริงต้องตายเท่านั้น จากนั้นมาก็ฟัดกันเลย นั่นละเรื่อยมาๆ เอาอย่างหนักแน่นตลอด เพราะอำนาจแห่งความมุ่งมั่นมันแข็งแกร่ง อะไรจะอ่อนขนาดไหนความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพาน ไม่มีอ่อนเลย เพราะฉะนั้นทุกข์ยากลำบากขนาดไหนจึงไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคได้ ที่จะมาทำลายความมุ่งมั่นของเราต่อมรรคผลนิพพานนี้ไม่ได้ ซัดกันใหญ่ๆ

         เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม นี่เรียกว่าตกนรกทั้งเป็นเลย ถ้าว่าติดคุกติดตะรางอย่าเอามาพูด พวกคนคุกคนตะรางเขาไม่ได้ลำบากอะไรนะ จักตอกเหลาตอกวันหนึ่งสี่เส้นห้าเส้นพอฆ่าเวล่ำเวลาให้หมดไปๆ แล้วเขาจะหลุดพ้นไปจากเรือนจำจากตะรางเท่านั้น เขาทำเขาไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจ แต่เรานี้ทำด้วยความเต็มอกเต็มใจ สมัครใจทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ถือเป็นอารมณ์ยิ่งกว่ามรรคผลนิพพานที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นมันถึงเน้นหนักมากทีเดียว ในความเพียรของเรานี้ก็รู้สึกว่าเด่นมาก แล้วก็สมมักสมหมายตลอดมา ความพากเพียรหนักเท่าไรๆ ผลก็ยิ่งปรากฏขึ้นๆ  เอาถึงขั้นจะเป็นจะตายผลก็ได้เป็นที่พอใจ ๆ โดยลำดับลำดามา

         ทีนี้ก็เข้าขั้นที่ท่านว่า ปริยัติที่ท่านเรียนมามากน้อยนั้นถึงเวลาแล้วมันจะวิ่งประสานกันเองเอาไว้ไม่อยู่ ท่านบอกว่าเอาไว้ไม่อยู่ นี่เข้าขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว ทีนี้ปริยัติกับปฏิบัติที่รู้เห็นขึ้นภายในใจกับปริยัติมันจะวิ่งประสานกันเลย เอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน นี่ละเรื่อยมาๆ  เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม สุดท้ายก็เลยมาเป็นวันนี้ละมั้ง วันที่ ๑๕ วันนี้ แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ แต่เราไม่รู้ว่าวันที่เท่าไร เวลาไปเทียบปฏิทินร้อยปีเขาแล้วเป็นวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ ก็คือวันนี้เอง

         นั่นละเป็นเวลา ๙ ปีเต็มที่ตกนรกทั้งเป็นตลอดมา เราพอใจด้วยความเพียรของเรา ที่หนักมากขนาดไหนคุ้มค่ากับผลที่ได้รับ เป็นที่พอใจตลอดไป ไม่มีอะไรสงสัยอีกแล้ว สำหรับในโลกนี้เราหายสงสัยหมดแล้วมาเป็นเวลา ๕๔-๕๕ ปีนี้แหละ หายสงสัยตั้งแต่บัดนั้นมา ตั้งแต่วันกิเลสตัวพาให้สงสัย ตัวมืดมิดปิดตาขาดสะบั้นลงจากใจ จิตใจสว่างจ้าขึ้นมาครอบโลกธาตุ เรื่องภพเรื่องชาติเกิดมากี่ภพกี่ชาติมันทะลุถึงไหนไม่ต้องบอก ก็มันมาเอง มันทำไมจะไม่ตามรู้เรื่องของเจ้าของ

         ที่ไหนๆ มันไปเที่ยวจับจองเอาหมดจิตดวงนี้ สวรรค์ชั้นพรหมมันขึ้นทั้งนั้นละ แล้วลงนรกอเวจีเป็นเปรตเป็นผี สัตว์เดรัจฉานประเภทต่างๆ มันไปเที่ยวจับจองเอาหมดจิตดวงนี้เพราะมันไม่เคยตาย ออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้น ออกร่างนั้นเข้าร่างนี้ ตลอดมาเป็นกัปเป็นกัลป์ เกิดไม่ถอยตายไม่ถอย สุขทุกข์ไม่ถอยตลอดมานี่ มันจะไม่รู้ยังไงก็ทางเดินของมันมา มันพุ่งไว้หมด เหล่านี้ล่วงมาแล้วทั้งนั้น มีแต่มาถือเป็นภัย แต่ภัยนั้นเราก็ผ่านมาหมดแล้ว เรื่องอนาคตตัดขาดสะบั้นไปแล้ว จะไม่มีอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว เรื่องอดีตก็ผ่านมาแล้วเป็นอย่างนั้นๆ ขาดสะบั้นมาหมดแล้ว ปัจจุบันก็จ้าแล้วเวลานี้

         มันก็ขึ้นอุทานเท่านั้นซิ เวลาขึ้นอุทานไม่ใช่ขึ้นธรรมดานะ ขึ้นด้วยกำลังใจที่อัศจรรย์ตื่นเต้นที่สุดเลย ขึ้น โอ้โหๆ เหอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ มันเป็นการวัดรอยไหมนั่น เราไม่มีเจตนาที่วัดรอย เพราะความอัศจรรย์นี้มันทนไม่ไหว เรียกว่ามันผึงออกมาเลย เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ อย่างที่เป็นอยู่ในหัวใจเราเวลานี้ หือ พุทธะแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ และพระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ นั่น เป็นอย่างที่จ้าอยู่ในหัวใจของเราซึ่งไม่เคยคาดคิด ว่ามันจะเป็นก็เป็นขึ้นมา

         แล้วก็ประมวลเข้ามา เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นี่เป็นแล้วนั่น เป็นเหมือนน้ำมหาสมุทร กว้างแคบก็เป็นอันเดียวเท่านั้นพอ กว้างขนาดไหนก็คือมหาสมุทรอันเดียวนั่นเท่านั้น ธรรมธาตุ-ธรรมวิมุตติหลุดพ้นก็เป็นอันเดียวกันนี้เท่านั้น กว้างแคบขนาดไหนก็เป็นอย่างเดียวกันนี้แล้ว หายสงสัยนะ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เราเคยคิดเมื่อไร พุทโธ ธัมโม สังโฆ ตั้งแต่วันเรารู้สึกเดียงสาภาวะมาจนกระทั่งขณะนั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดแนบในหัวใจไม่เคยคาดเคยฝันว่าจะรวมเข้าเป็นอันเดียวกัน แล้วในขณะนั้นก็มาเป็นอันเดียวกันเสียแล้ว

จึงอุทานขึ้นมา เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นี่ แม่น้ำสายต่างๆ นี้ไหลเข้ามา มาเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันได้อย่างไร ธรรมะประเภทต่างๆ ที่สร้างบารมีมามากน้อยรวมเข้ามาเป็นธรรมทั้งแท่งนี้ได้อย่างไร ความหมายก็ว่าความบริสุทธิ์เป็นแบบเดียวกันนี้ได้อย่างไร กับพระพุทธเจ้า-สาวกทั้งหลายเป็นอันเดียวกันได้อย่างไร แล้วก็เข้ากับบทธรรมที่ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ท่านผู้บริสุทธิ์พุทโธนับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงพระสาวกองค์สุดท้ายแล้ว ความบริสุทธิ์เสมอกันหมด นั่นเป็นอันเดียวกัน

แล้วก็มาเข้ากับที่ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง จากหลักธรรมชาติที่เรารู้ขึ้นมาเอง เห็นขึ้นมาเอง เราไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้า เป็นยังไงเราก็พูดตามหลักความจริง อ๋อ พุทธะแท้เป็นอย่างนี้ เรือนร่างพระพุทธเจ้าองค์นั้นนิพพานที่นั่น องค์นี้นิพพานที่นี่ เป็นเรือนร่างของสมมุติ พระสรีระ แต่ธรรมชาติคือเป็นอันเดียวกัน นั่นละมันถึงหมดปัญหาในวันนั้น ตรงกับวันที่ ๑๕ วันนี้ นี่เราพูดย่อๆ ที่ได้อุตส่าห์พยายามเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มสติกำลัง เอาชีวิตเข้าแลกๆ เลย ไม่มีเสียดายชีวิตยิ่งกว่ามรรคผลนิพพานที่ตั้งจุดมุ่งหมายไว้แล้วอย่างเต็มหัวใจ อันนี้ไม่ให้ย่อหย่อนเลย คือไม่ให้อ่อนเลย อะไรจะอ่อนก็อ่อนอันนี้ไม่ยอมให้อ่อน

จนกระทั่งถึงจุดที่ต้องการนี้แล้วหายห่วงทุกสิ่งทุกอย่าง ว่ามรรคผลนิพพานนี้เป็น อกาลิโก เป็นพื้นฐานอยู่ในหัวใจของเรา เหมือนกับสระน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำ เป็นแต่เพียงว่าจอกแหนปกคลุมหุ้มห่อน้ำอยู่นั้น มองลงไปในสระนั้นก็ไม่เห็นน้ำ เห็นแต่จอกแหนปกคลุมไว้มิดชิด ใครมองไปก็เห็นแต่จอกแต่แหนไม่เห็นน้ำ นี่ละมันปิดอยู่ ธรรมแท้เป็นพื้นฐานอยู่ในหัวใจเรา เหมือนกับสระน้ำที่เต็มด้วยน้ำ บนนั้นขึ้นมามีแต่จอกแต่แหน คือกิเลสปกคลุมเอาไว้ธรรมเลยไม่ปรากฏๆ มีแต่ความท้อถอยน้อยใจว่าเรามีวาสนาน้อยบุญน้อยอะไร เลยอยากจะทำบุญต่อไม่มีวี่มีแวว ทำไม่ไหวๆ นี่ละจอกแหนมันปกคลุมไว้

พอเปิดจอกเปิดแหนออกมาเล็กน้อยก็เห็นน้ำ เห็นน้ำแล้วก็เกิดความเชื่อความความเลื่อมใส เปิดกว้างเท่าไรก็ยิ่งเห็นธรรมอัศจรรย์ คือน้ำในสระ ได้แก่หัวใจของเราที่ธรรมเต็มอยู่นั้นแล้ว เปิดกิเลสออกมากน้อยก็เห็นเข้าไปๆ แจ้งเข้าไป เปิดออกหมดทีนี้น้ำเต็มสระอยู่แล้วแต่เมื่อไร นั่น เป็นน้ำที่สุดยอดด้วย อันนี้ธรรมก็สุดยอดอยู่ในหัวใจด้วย พอเปิดจอกแหนที่ปกคลุมหุ้มห่อสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ เป็นภัยทั้งนั้นออกหมด ให้เหลือตั้งแต่ธรรมทั้งแท่งแล้ว นั่นแหละพระพุทธเจ้า-สงฆ์สาวกเป็นแบบเดียวกันนี้หมด แล้วถามกันหาอะไร เปิดจอกแหนออกแล้ว น้ำอยู่ในสระถามหาน้ำที่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ เวลานี้จอกแหนคือกิเลสทั้งหลายมันปกคลุมน้ำอรรถน้ำธรรมอยู่ในหัวใจเราไว้ ไม่ให้มองเห็น ถ้ามองเห็นกลัวเราจะเปิดจอกเปิดแหนออก มันหากมีจนได้ละเปิดไปเปิดมา ทานก็ทำ ศีลก็ทำ ภาวนาไปเรื่อยๆ ต่อไปมันก็จะเป็นการเปิดจอกเปิดแหนออก พอเปิดออกแล้วได้สักขีพยานตักมาอาบดื่มใช้สอยเป็นยังไงๆ จิตใจเชื่อแล้ว อ๋อ น้ำในสระนี้มี รสชาติจืดสนิทดี ทีนี้ก็มีแก่ใจที่จะเปิดจอกเปิดแหนออก ฟาดเสียจนเปิดออกหมดแล้วน้ำอัศจรรย์อยู่ในนั้นหมด

ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ วันนี้ได้พูดสรุปความลงในการปฏิบัติธรรม ให้ท่านทั้งหลายฟังเป็นที่เข้าใจ เป็นคติเครื่องเตือนใจ เท่านั้นละพอ พูดไปพูดมามันก็มากไปเอง ไม่ได้คิดว่าจะพูดอย่างนี้ มันก็ออกของมันเอง

         โยมแม่เรายังไม่ลืมนะ แม่ลงลูกก็มีแม่ของเรา ลงลูกชาย ลงยังไง ทีแรกก็ลงนี้ก่อน มานั่งปั๊บ “นี่แม่ขอชมสักหน่อยเถอะ” ว่าให้เรานะ เราไปนั่งอยู่โรงครัว แต่ก่อนคนไม่ค่อยมาก ถ้าไปเทศน์ก็เอาท่านปัญญาไปด้วย มานั่งปั๊บลงนี้ “นี่ให้แม่ขอชมสักหน่อยเถอะ” ทางนี้ก็ใส่เปรี้ยงเข้าไป “ชมอะไร ตั้งแต่เป็นเด็กทั้งหวดทั้งดี ทั้งดุทั้งด่า โตขึ้นมาแล้วมาชมหาอะไร” โอ๋ย “แต่เป็นเด็กมันก็เป็นแบบหนึ่ง เป็นผู้ใหญ่ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แม่ขอชม” “ชมอะไรเอ้าว่ามา” “ชมที่แต่งประวัติหลวงปู่มั่น แหม แม่จนน้ำตาร่วง เหมือนไม่ใช่ลูกเกิดในหัวอกของเราเลย เวลาแต่งประวัติของหลวงปู่มั่นทำไมจึงไพเราะเพราะพริ้ง หยดย้อยเอาเหลือประมาณ แม่น้ำตาร่วง”

         โอ๋ “ท่านผู้ดีท่านผู้วิเศษ เรื่องของท่านก็ต้องวิเศษไปตามละซี เราจะวิเศษอะไร มีแต่เขียนตามเรื่องของท่าน” “ท่านวิเศษก็ยกให้ ผู้ที่แต่งถ้าไม่รู้แต่งไม่ได้” (สาธุ) สำคัญตรงนี้นะ ถ้าไม่รู้แต่งไม่ได้แต่งอย่างนี้ นี่เราก็ไม่ลืมนะโยมแม่มาพูดหมัดนี้แหละ “หลวงปู่มั่นก็ยกให้ แต่ผู้แต่งตามนี้ถ้าไม่รู้แต่งอย่างนี้ไม่ได้” ว่างั้น สำคัญนะ แล้วก็ตอนสุดท้ายฟังเทศน์ ตอนสุดท้ายจริงๆ คือคุณเพาพงา มา นี่ละเรามีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกฎเป็นเกณฑ์เป็นเหตุเป็นผล คุณเพาพงาเขียนจดหมายมาหาเรา ว่าเวลานี้หมอเขาทำนายแล้วว่าไม่เลยหกเดือน เป็นโรคมะเร็งหกเดือนต้องตาย และหมดหวังแล้ว ก็มีแต่การปฏิบัติธรรมมาเป็นลำดับ ยิ่งมีสิ่งที่มาตัดสินใจลงว่าไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากตาย และเพื่อหาธรรมก่อนตายเท่านั้น จึงเขียนจดหมายมาหาหลวงตา อยากจะมาปฏิบัติธรรมในวัดนี้ก่อนตาย

         เราก็เขียนจดหมายไปสองแง่ ถ้าปฏิบัติธรรมก่อนตายธรรมดาๆ นี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าปฏิบัติธรรมให้สมว่าตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ก่อนตาย ให้ได้เหตุได้ผลจริงๆ แล้ว เอ้ามาเถิด อันนั้นจะไปก็ได้ไม่ไปก็ได้อันแรกนะ อันที่สอง เอ้า ไปเลย พอแกได้รับจดหมายในตอนเย็น เตรียมของในตอนเย็นเลย พอพรุ่งนี้เช้ามาถึงแล้วตอนเช้า อ้าว ก็จดหมายไปถึงแล้วเหรอ ไปถึงเย็นเมื่อวานนี้ได้รับจดหมายนี้ก็มาเลย เอ้าถ้าอย่างนั้นให้เลือกเอานะ กุฏิสิงคโปร์นอกสิงคโปร์ใน สิงคโปร์ในนั้นที่คุณอุไร ห้วยธารอยู่ สิงคโปร์นอกก็คุณหญิงนี่อยู่นะ ให้ไปเลือกเอาต้องการหลังไหนให้เลือกเอา ต้องการหลังของคุณหญิงอยู่นี่ละ

         ตั้งแต่วันนั้นมาเราจึงไปเทศน์ให้คุณเพาพงาฟังทุกวันเลยนะ เพราะเขามาในจุดสุดท้ายนี้มาด้วยความเด็ด เราก็สงเคราะห์ด้วยความเด็ดเหมือนกัน ไม่ให้เสียเวลา ไปทุกวันๆ เอาท่านปัญญาไปอัดเทปๆ จึงมีหนังสือสองเล่มชื่อว่า ธรรมชุดเตรียมพร้อมหนึ่ง ศาสนาอยู่ที่ไหนหนึ่ง นี่ละถอดออกมาจากเทปที่เทศน์สอนเพาพงา ทีนี้เวลาคุณเพาพงาไปแล้ว นี่นะถ้าคุณเพาพงาไปแล้วอาจารย์จะไม่เข้ามาแล้วนะ แม่จะไม่ได้ฟังเทศน์ต่อไป เพราะฉะนั้นคุณเพาพงาไม่มาก็ตาม ใครมาก็ตามไม่มาก็ตาม ถ้าอาจารย์ว่างเมื่อไรขอให้อาจารย์เข้ามาเทศน์ให้แม่ฟังบ้าง ว่างั้นนะ

         ถ้าฟังเทศน์อาจารย์จิตของแม่นี้ลงได้ทุกวันๆ ไม่มีเคลื่อนเลย ไม่ต้องบังคับยาก  ถ้าบังคับโดยตัวเอง ลำพังภาวนาโดยตนเองนี้นั่งจนจะหลังหักมันก็ไม่ลง แต่พอฟังเทศน์อาจารย์นี้ทุกครั้งเลย ไม่ต้องบังคับ แน่วๆ เลย จึงอยากให้อาจารย์มาเทศน์ให้ฟัง ถ้าไม่ได้ฟังเทศน์มันไม่ลงง่าย แต่ต้องเป็นอาจารย์นะ องค์อื่นเทศน์แม่ไม่ค่อยจะสนใจ ว่างั้นนะ มีเทศน์อาจารย์เท่านั้น เวลานี้แม่หูสูงแล้วนะ เราก็แหย่เข้าไป ระวังนะหูสูงเดี๋ยวมันเป็นหูหมานะ ว้ายขึ้นเลย จะเป็นหูหมายังไงหูคนทั้งคน มันก็เป็นตรงที่สูงๆ นั้นแหละ เลยเงียบเลย

         บอกว่าฟังเทศน์อาจารย์นี้เรียกว่าจิตลงได้ทุกครั้ง ยอมรับธรรมะอาจารย์ แม่ยอมรับเลย ฟังมามากต่อมากแล้วไม่เหมือนใครเลยก็คือธรรมะของอาจารย์ นี่เรียกว่ายอลูก ก็ลงจริงๆ นะ แม่ได้หลักจวนจะไปแล้ว เราไม่เคยไปนั่งกุฏิโยมแม่สักทีนะ ไปยืน มีแต่ลูกยั้วเยี้ยๆ อยู่ในห้อง เป็นยังไงโยมแม่ เราได้แต่สอนๆ ไปเล็กน้อย จวนจะตายนี้เป็นยังไง จวนแล้วนะ มองดูอาการจวนแล้ว แล้วเป็นยังไงทางด้านจิตใจ ทางนั้นตอบมาทันที โอ๋ จิตใจแม่นี้ผ่องใสสง่างามตลอดเวลา ร่างกายเป็นอะไรแม่ไม่เป็นกังวล จิตใจของแม่สง่างามตลอดเวลา เท่านั้นเราพอใจ เราเข้าใจแล้ว นี่เป็นอย่างนั้นละ เรียกว่าได้หลักนะโยมแม่เรา จบแล้วละ

         พูดไปเกี่ยวโยมแม่กับเรื่องประวัติหลวงปู่มั่น มาเกาะเราจนได้ เราก็โยนให้ครูบาอาจารย์ที่ท่านวิเศษวิโส ก็ยกให้ แต่ผู้ไม่รู้แต่งอย่างนี้ไม่ได้นะ มัดเข้าตรงนี้ แหม แต่งได้หยดย้อยเหลือเกิน ฟังแล้วเคลิ้มไปตาม น้ำตาร่วง แล้วก็มาอัศจรรย์ผู้แต่ง หลวงปู่มั่นยกให้ท่านแล้ว แต่ผู้แต่งไม่เคยคิดเคยคาดว่าจะแต่งได้ขนาดนี้ ถ้าไม่รู้แต่งอย่างนี้ไม่ได้ น้ำตาร่วง เหมือนไม่ได้เกิดในหัวอกเรา เหมือนไม่ใช่ลูกของเรา ว่างั้น นี่โยมแม่พูดเองออกเอง

         (ขอเมตตาสนับสนุนโครงการการศึกษาสงฆ์ที่ลำปาง) เท่านั้นแหละ ก็ดีแล้วทราบแล้ว พอใจกับผู้เรียนเพื่อปฏิบัติธรรม อย่าไปเรียนแล้วเพื่อโกโรโกโส เอาธรรมเป็นโล่บังหน้าเทวทัตตามหลังกันไป อย่าให้มีอย่างนั้น เรียนธรรมเพื่อเป็นธรรม ปฏิบัติตัวให้ดี เรียนธรรมอย่าเป็นโลกเป็นกิเลส เป็นเทวทัตแทรกในธรรมใช้ไม่ได้ เอาละพอ

         วันที่ ๑๕ เช้านี้ทองคำได้ ๑ กิโล ๓๔ บาท ๗๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๑๓ ดอลล์ (สาธุ) ได้เยอะวันนี้แบบตูมตามเข้ามาเลยไม่คาดไม่ฝัน ฟาดเสีย ๑ กิโล นอกจากนั้นยังแทรกเข้ามาอีกตั้ง ๓๔ บาท ๗๕ สตางค์ เอาละพอใจวันนี้นะ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก