เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ปาราชิกแบบหลวงตา
ทองคำเราได้ถึงจุดหมายแล้วนะ เราได้มอบเสร็จเรียบร้อยแล้ววันที่ ๑๒ เมษา ทองคำที่กำหนดไว้ ๑๐ ตัน เวลาได้ก็ได้ ๑๐ ตันกับ ๓๑๒ กิโลครึ่ง แล้วดอลลาร์กำหนดไว้ ๑๐ ล้าน เวลาได้ก็ ๑๐,๒๑๐,๖๐๐ ได้ตามกำหนด พอใจด้วย แล้วก็เหลือเพิ่มเข้าไปอีก อันนี้ก็พูดกับบรรดาลูกศิษย์แล้ว คือวันไปดูทองคำในคลังหลวงนี้ ทองคำมันคี่ มันไม่ได้คู่ แต่พูดอะไรไม่ออกเพราะมันหนักที่เราจะเอาตรงนี้ ทองคำ ๑๐ ตันให้ได้ อันนั้นเลยพูดไม่ออก ไม่พูด เอานี้เสียก่อน พออันนี้เริ่มจะเต็มแล้วก็เริ่มระบายออกบ้าง พอเต็มแล้วก็พูดธรรมดาว่า เราจะพยายามให้ทองคำที่คี่นั้นให้เป็นคู่ คือคู่นั้นก็เป็นหนึ่งตัน เช่นอย่าง ๗ ตัน ๙ ตัน ๑๑ ตัน มันไม่เป็น ๘ ตัน ไม่ได้เป็น ๑๐ ตัน ทีนี้เราพยายามให้เป็นคู่ เวลานี้ก็ได้เรียนให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบโดยลำดับลำดาแล้ว แต่เราไม่ขอไม่ทุบไม่ตีกระเป๋านั้นกระเป๋านี้เหมือนแต่ก่อน เป็นแต่เพียงว่าประกาศให้ทราบหนึ่ง มากกว่านั้นก็ออดอ้อนเอา ไม่ขอไม่ขู่ตีกระเป๋านั้นตีกระเป๋านี้เหมือนแต่ก่อนที่อยู่ในโครงการ เวลานี้เราปิดโครงการแล้ว อันนั้นก็ปิดไปตามกัน ส่วนที่เศษที่เหลือที่ยังไม่ได้เราก็ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้ ไหลซึม
วันที่มอบ ๑๐ ตันมันก็เลยไป ๓๑๒ กิโลครึ่ง นั่นก็นับเข้าในจำนวนที่จะให้คู่ คือ ๑๐ ตันนี้เต็มแล้ว ๓๑๒ กิโลนี้เรียกว่าเพิ่มเข้าไปแล้ว อันนี้ก็ได้เพิ่มอีกอย่างนี้ เดี๋ยวนี้คงไม่ต่ำกว่า ๓๓๐ กิโล รวมที่มันเศษจากตันไปแล้วนะ คิดว่า ๓๓๐ นี้ได้ วันที่มอบทองคำก็ได้เศษเหลือมา ๑๗ กิโล หักออก ๘ เหลือ ๙ คือหักออกไปให้โรงหลอมเขาที่เราหลอมตอนนั้นทองเรายังไม่พอ ให้เขาหลอมให้พอ พอได้นี้มาเราก็เพิ่มให้เขา ยังเหลืออยู่เพียง ๙ เราก็บวกเข้าใน ๓๑๒ กิโลครึ่ง ทีนี้บวกเข้าไปเรื่อยๆ จะให้ได้ถึง ๑๑ ตัน พอ ๑๑ ตันเข้าไปแล้วบวกกับคี่ก็เป็นคู่ละที่นี่ ก็เป็นอันว่าหมดกังวล ประกาศทั่วโลกเมืองไทยเรา ไม่หาอีกแล้ว ไม่ขออีกแล้ว ไม่ขู่อีกแล้ว พูดง่ายๆ ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๑ ตัน เพราะคราวนี้มัน ๑๐ ตันแล้ว
ที่มันคี่อยู่เราไม่สบายใจ ทีนี้ถึงเวลาที่ควรจะได้เพราะของเราเต็ม ๑๐ ตันแล้ว เราจะพยายามเอาคี่นั้นให้ได้คู่ ส่วนดอลลาร์ไม่กำหนดแหละ กำหนดตายตัวตั้งแต่ที่จะมอบ ๑๐ ล้าน นี่ก็ได้แล้ว ทีนี้ก็ไม่กำหนดแหละ เบาใจแหละที่เราช่วยชาติตามโครงการ จะให้ได้ตามกำหนด เราก็ได้ตามกำหนดเรียบร้อยแล้ว ทองคำก็ตามกำหนด ดอลลาร์ก็ตามกำหนด และเหลือเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนเงินสดนั้นเราไม่นับเข้าคลังหลวงเหมือนทองคำกับดอลลาร์ ทองคำกับดอลลาร์นี่เข้าๆ ส่วนเงินสดเราบอกว่าจะไม่เข้าตั้งแต่ต้นแต่เราประกาศแล้ว เงินสดทั้งหมดนี้เราจะออกช่วยชาติทั่วประเทศไทย
เช่น การสงเคราะห์สงหาคนทุกข์คนจน สถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล ที่ราชการต่างๆ เราจะเอาเงินจำนวนนี้ออกช่วย แม้เช่นนั้นเราก็ยังห่วงใยในทองคำของเราอีก ได้พยายามเจียดเอาเงินสดนี้มาซื้อทองคำ เป็นเงินสดสองพันล้านกว่า เข้าซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง นอกนั้นออกหมด ออกช่วยชาติบ้านเมือง ส่วนทองคำร้อยทั้งร้อยๆ จะออก
คนเต็มอยู่นี้ วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันไหนก็ตามเต็มตลอด ยิ่งไปกรุงเทพด้วยแล้วยิ่งแน่นหมดเลย เต็มไปหมดเลย บางวันจนหาที่จอดรถก็ไม่ได้ คนมากต่อมาก นี่ก็เบาหน่อยเรื่องการเทศนาว่าการ คือที่มีโครงการ เทศน์ไปตามโครงการ ลำบากลำบนเท่าไรพอบึกบึนได้ก็บืนไปเทศน์ๆ ทีนี้เมื่อโครงการยุติลงแล้ว ปิดโครงการแล้ว ควรจะไปเทศน์นี่ไม่ ไปตามอัธยาศัยของเราและธาตุขันธ์ของเรา อันนี้เขาก็มาขอร้องที่ อ.กุมภวาปี เขาพูดเหตุพูดผลให้ฟัง เราเห็นว่าไม่ไกลนักก็เลยรับให้เขา วันนี้ตอนบ่ายโมงจะได้ออกจากนี้ไป กะว่าบ่ายสองโมงเทศน์ที่อำเภอกุมภวาปี เขาบอกเขาริบรวมกันมา มีศรัทธาอยาก พูดง่ายๆ ก็ว่าอยากพบอยากเห็นอยากได้ยินได้ฟัง ความหมายว่างั้นแหละ
คราวนี้ก็นับว่าเป็นประวัติศาสตร์อันหนึ่งอีกเหมือนกัน คือเทศน์นี้ไม่ได้มีเฉพาะประเทศไทยของเรานะ เวลานี้ออกเมืองนอก ทางอินเตอร์เน็ตออกทั่วโลก อย่างพูดเดี๋ยวนี้เขาฟังอยู่นู้นนะ สหรัฐ เขากำหนดเวลาของเราที่จะพูดตอนเช้า ทางนั้นเวลาเท่าไรเขากำหนดของเราให้ถูกต้องแล้วคอยฟัง เราไปเทศน์กรุงเทพก็เหมือนกัน ไปเทศน์ที่ไหนออกทั่วโลกๆ ตลอดเลย มันก็มีขบขันที่พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง เรานี่เทศน์สอนโลกมา ๕๔ ปี ตั้งแต่โน้นแหละมา ตั้งแต่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์มาแล้วนั้น ก็เป็น ๕๔-๕๕ ปีนี้มั้งที่เทศน์มาโดยตลอด เบื้องต้นก็เทศน์สอนพระอยู่ในป่าในเขา จากนั้นพระก็มากขึ้นๆ ประชาชนก็เกี่ยวข้องมากขึ้น พอดีความจำเป็นได้มาสร้างวัดป่าบ้านตาด เกี่ยวกับโยมแม่ไม่สบาย ได้มารักษาโยมแม่ เหตุที่จะสร้างวัดขึ้นมา เราไม่ได้ตั้งใจจะสร้างวัด แต่โยมแม่เป็นเหตุเหมือนกัน
โยมแม่นี้รู้สึกจะมีเกี่ยวโยงกันมาโดยลำดับ ตั้งแต่เราอยู่ห้วยทราย เราก็เปิดอกเสียเลย ทุกอย่างเปิดไปหมด มันนอกสมมุติไปแล้วธรรมชาตินี้ เราเอามาพูดในวงสมมุติต่างหาก จะปรับอาบัตินั้นอาบัตินี้อาบัติใด มันอยู่พื้นในสมมุติ เข้าใจไหม ธรรมชาตินั้นเลยไปหมดแล้ว ก็มาโดนเอาตรงนี้แหละ มหาภัยตรงกลางชาติไทยของเรานี้ มันกำลังขึ้นระบาดทุกแห่งทุกหน เที่ยวหลอกเที่ยวลวงเที่ยวต้มเที่ยวตุ๋นทุกแห่งทุกหน เขาขนของสมบัติเงินทองเข้าสู่คลังหลวงทั้งประเทศ พวกนี้มันจะไม่ฟังเสียง แม้ทองคำกิโลหนึ่งก็ไม่เคยมาให้ บาทหนึ่งก็ไม่เคยมาให้ ดอลลาร์หนึ่งดอลล์ก็ไม่เคยให้ มีแต่ทำลายท่าเดียว พวกนี้ทำลายตลอดๆ เวลานี้กำลังกระจายทั่วทุกทิศทุกทาง พวกเราทั้งหลายให้จำเอาไว้นะ
ออกทั้งใบปงใบปลิว แม้ที่สุดไปเทศน์ที่ไหน มันตั้งกองเป็นภัยเข้าไปกีดขวางที่นั่นที่นี่ทุกแห่งทุกหน โหย หยาบที่สุดเลย หลังจากนั้นมาแล้วก็มาสรุปความ ไปที่ไหนมันก็ไม่สำเร็จ ตั้งกองต้านทานกีดขวางเราที่ไหน ก็เหยียบไปๆ ตลอด พูดตรงๆ อย่างนี้แหละ มันตั้งป้อมสู้ตั้งแต่เริ่มแรกนะ สู้ที่ไหนเหยียบหัวไปเลยๆ ตลอด ถ้าเราสูงกว่าก็เหยียบไปเลย ตลอดมาจนกระทั่งวันมอบทองคำ เราเอาป้ายไปติดที่โรงใหญ่ๆ สวนอัมพร วันนั้นที่จะมอบ สมเด็จพระราชินีท่านก็เสด็จวันนั้น เจ้าฟ้าหญิงก็เสด็จ เราไปติดไว้ประกาศให้คนทราบมันไปเอาลง ทางนี้ไปว่าให้แล้วก็เอาขึ้นอีก ฟังซิมันไปกีดขวางขนาดนั้นละ พวกเปรตพวกผีพวกยักษ์พวกมาร พวกมหาภัยของชาติไทยเราอยู่ทั่วไป ให้พี่น้องทั้งหลายซึ่งเป็นเจ้าของของสมบัติของคนไทยทั้งชาติ ให้พากันพินิจพิจารณาทุกคนๆ อย่านอนใจ
คำพูดของเรานี้ออกเป็นธรรมล้วนๆ ว่ายังไงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นใครถ้าอยากให้เมืองไทยของเราแน่นหนามั่นคงถาวรต่อไป ให้ฟังเสียงธรรมนะ เราช่วยชาติมานี้ตั้งแต่เราออกบวชเราไม่เคยเป็นภัยต่อผู้ใดตลอดมา มีแต่ทำคุณประโยชน์ มิหนำซ้ำเวลาออกเทศนาว่าการทั่วประเทศไทย เราทำแต่ประโยชน์ทั่วโลกทั่วสงสาร คำพูดของเราจึงเป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ เลย ไม่มีคำว่าต้มตุ๋น เชื่อถือได้ตลอดมา จนกระทั่งโครงการตั้งขึ้นก็สำเร็จมาตามความมุ่งหมายของเราทุกประการ นี่มันก็ตีมาตลอดๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย สุดท้ายของเราก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นดีงามเรื่อยมา
เวลานี้ไม่มีจุดไหนแล้วมันก็เอาจุดนี้แหละ ว่าหลวงตัวบัว นี่ไม่ใช่ผู้น้อยๆ นะ เป็น พล.ต.ท.อุดม เจริญ ไปทำงานอยู่ในสำนักพุทธศาสนา เขาส่งเข้าไปทำงาน ตัวสำคัญตัวมหาภัยของชาติของศาสนาส่งเข้าไปทำงาน มันก็สนุกเผาศาสนาละซีที่นี่ ก่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งมหาคะนิดสงคณิสสร ชำระลงได้ๆ คราวนี้ขึ้นอย่างใหญ่หลวง ตั้งผู้อุปัฏฐากสมเด็จพระสังฆราช นี่ก็ฟัดกันเต็มเหนี่ยวเวลานี้ สุดท้ายก็มาเอาหลวงตาบัว คือผู้ใดที่เป็นผู้สำคัญอยู่ในแผ่นดินไทยที่จะช่วยชาติไทย มันจะไปเที่ยวหาตีไปหมด หายกโทษยกกรณ์โจมตีท่านั้นท่านี้
หลวงตาบัวก็กำลังถูกโจมตีอย่างใหญ่หลวง ว่าหลวงตาบัวไปอยู่ในป่าในเขา นี้เขาออกประกาศทางหนังสือพิมพ์ด้วยไม่ใช่หรือ (ออกเป็นหนังสือเวียนสั่งสำนักงานพุทธศาสนาทุกจังหวัด) เออ ออกจากมหาภัยนี่ ผู้ที่ทำงานในสำนักพุทธศาสนานี้ออกมาโจมตีเรา ว่าหลวงตาบัวอยู่ในป่าในเขาเป็นพระป่า ออกมาประกาศว่าสำเร็จพระอรหันต์ นี่อวดอุตริมนุสธรรม เป็นอาบัติปาราชิก บอกว่าหลวงตาบัวเป็นอาบัติปาราชิก ประกาศป้างๆ เราก็อดคิดไม่ได้อดพูดไม่ได้นะ เราก็เลยพูดหยอกเล่นกับลูกศิษย์เรา หลวงตาบัวนี่ ว่าอยู่ในป่าในเขาออกมาแล้วอวดอุตริมนุสธรรม ว่าเป็นอรหันต์ ปรับอาบัติปาราชิก ประกาศข้อที่หนึ่งนะ
เราก็พูดจะว่าแก้หรือไม่แก้ก็แล้วแต่ เราพูดตามหลักความจริงของเรา จิตของเรานี้สว่างจ้าครอบโลกธาตุมาตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร สว่างจ้าตั้งแต่โน้นมาไม่ลดราวาศอกที่ไหน เสมอ สว่างจ้ามาจนกระทั่งป่านนี้ แม้ที่สุดเวลาที่เขาฟ้องร้องหลวงตาบัวว่าเป็นสังฆาฯ ปาราชิก จิตนี้มันก็สว่างจ้าอยู่งั้นจะทำไง นี่เขาว่าหลวงตาบัวเป็นอาบัติปาราชิก จิตเรามันก็สว่างจ้าอยู่นี้ แล้วว่าเป็นปาราชิกได้ยังไง ถ้าปาราชิกแบบหลวงตาบัวนี้เราพอใจ เราบอกงั้นนะ ใครอยากเป็นปาราชิกแบบหลวงตาบัว ให้พยายามปฏิบัติธรรมเข้านะ คำฟ้องร้องให้เขาฟ้องร้องไป เราสว่างจ้าของเราพอ หลวงตาบัวก็จะเอาอันสว่างจ้าทำประโยชน์แก่โลก ส่วนปาราชิกราแช็ก มอบให้เขาไปเสีย ความหมายก็ว่างั้นเข้าใจไหม
(เขาไม่กลัวบาปนะคะหลวงตา) เขาไม่กลัว เขากล้าบาป เข้าใจไหม เรื่องกลัวบาปเขาไม่กลัว เขากล้าบาป นี้ข้อที่หนึ่ง เราพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังสนุกไปเฉยๆ แหละ ให้เป็นปาราชิกแบบหลวงตาบัวนะ เขาว่าอะไรก็จ้าอยู่นี้ แล้วทีนี้อันที่สอง เขาว่าหลวงตาบัวไปหาเรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับอาบัติ ผิดกฎหมายด้วย ปรับอาบัติด้วย แล้วเขาจะฟ้องร้อง คนนี้แหละที่เขาจะฟ้องร้องนี่ก่อนที่เขาจะปลดเกษียณ เขาจะปลดเกษียณเดือนกันยานี้ เขาจะฟ้องร้องหลวงตาบัว ทั้งเป็นอาบัติด้วย ทั้งผิดกฎหมายด้วย เขาฟ้องร้องว่าไง (ว่าเรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการหลอกลวงประชาชน ผิดกฎหมายอาญาครับผม) นี่ละเขาว่าผิดกฎหมายอาญา แล้วเขาจะฟ้องร้องก่อนที่เขาจะครบเกษียณออกไป นี่เขายังไม่ได้ฟ้องร้อง
ที่แสดงออกมาทั้งหมดนี้ เรานี่พูดจริงๆ เราทรงวินัยทรงธรรมไว้เต็มหัวใจเรา ที่มาโจษอย่างนี้เป็นคนรู้ธรรมรู้วินัยหรือไม่มันส่อให้เห็นชัดเจน ตีสะเปะสะปะออกมาอย่างนั้น ผู้นี้ผู้ดู กอดคัมภีร์อยู่นี้คัมภีร์ในหัวใจนี้ดู เพราะฉะนั้นจึงสนุกพูด ปาราชิกแบบนี้อย่างนั้นอย่างนี้เข้าใจไหม และเรี่ยไรเงินประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างนี้ พระวินัยของเราเป็นยังไง ไอ้ที่มันสะเปะสะปะฟ้องเข้ามานี้เป็นยังไงมันก็รู้เข้าใจไหม ทีนี้พูดถึงเรื่องหลักพระวินัยท่านแสดงไว้ชัดเจน ถ้าเรี่ยไรเพื่อตัวเองปรับอาบัติ ถ้าเรี่ยไรเพื่อผู้อื่นไม่ปรับ นี่อันหนึ่ง
อันนี้มันบอกเรี่ยไรไม่ได้รับอนุญาต ทีนี้การเรี่ยไรเหล่านี้เราก็ไม่มี ไม่ว่าเรี่ยไรเพื่อตัวเองไม่ว่าเรี่ยไรเพื่อส่วนรวมเราไม่มี อันนี้เมืองไทยของเราสะท้านหวั่นไหวจะล่มจมลงในทะเลหลวง ในปี ๒๕๔๐ เข้าใจเหรอ จนกระทบกระเทือนทั่วประเทศไทย และเรื่องราวนี้เข้ามากระทบเรา อ่านเหตุผลทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเราประกาศก้องขึ้นมา นี่เมืองไทยของเราจะจม ใครจะช่วยกันยังไงก็ให้ช่วยนะ หลวงตาบัวจะพยายามเต็มกำลังความสามารถ เอ้าเป็นหัวหน้าเลย พี่น้องทั้งหลายมีอะไรๆ เอาเข้ามาหนุนชาติไทยของเราให้ขึ้นจากหล่มลึก นี่เรียกว่าเรี่ยไรหรือ ประกาศทั่วโลกที่เมืองไทยของเราที่กำลังจะจม ให้ทราบทั่วหน้ากัน ให้ฟื้นขึ้นมา เราเป็นผู้ประกาศเอง เราเรี่ยไรหรืออย่างนั้นใช่ไหม
นี่เห็นไหมพระวินัยกับอันนี้มันเข้ากันไม่ได้เข้าใจเหรอ มันหลับตาฟ้องเข้ามา จึงน่าหัวเราะ ก็พอดีเมื่อเร็วๆ นี้ก็เอากันแล้วจะไล่ออก ตัวนี้ละตัวสำคัญไล่ออก เอาไว้ทำไมเอาข้าศึกศัตรูเอามหาภัยเข้ามาไว้แดนพุทธศาสนาทำไม ให้ขับออก คนดีกว่านี้ไม่มีเหรอ ฟาดเข้าไปจนกระทั่งถึงนายกฯ ทางนู้นก็เอากันละจะไล่ออก พอดีได้ขอจากนี้ไปถึงครบเกษียณ ยังไม่ย้ายจากนี้ไป ขอถึงวันครบเกษียณแล้วก็จะลาออก ทางนี้ก็มัดกันเข้าไป ข้อหนึ่ง ก่อนที่จะลาออกอย่าสร้างเหตุการณ์อะไรขึ้นมาในระหว่างนี้หนึ่ง อันที่สอง การโจมตีท่านหลวงตาบัวอย่างนี้อย่าทำอีกต่อไป บังคับกันไว้ ยอมรับหมด คอยดูมันจะออกแง่ไหนก็ไม่รู้ละ เราคอยฟังกับมันนะ
ก็เราไม่มีเรื่องอะไรกับใคร เราทำแต่ประโยชน์ ทางนั้นหาแต่โทษ หาแต่ฟืนแต่ไฟเข้าใจเหรอ นี่ละเรื่องราวก็มายุติตรงนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องการทำประโยชน์ให้โลกนี่ได้รับอุปสรรคกีดขวางมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ผ่านผึงๆๆ ไม่มีอะไรมากีดมาขวางได้เลย ขวางก็ฟาดขาดสะบั้นๆ มาตลอดจนกระทั่งบัดนี้ นี่ก็ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้ว และเรื่องราวกำลังขึ้นอยู่อย่างนี้ละ พิจารณาเอาพี่น้องทั้งหลาย เราอยู่ในขวากในหนามในฟืนในไฟแต่เราเย็นสบายๆ เราไม่มีอะไรกับโลก โลกมีอะไรกับเรา เราก็ไม่มี เต็มเม็ดเต็มหน่วยอยู่อย่างนี้
นี่ละการช่วยชาติบ้านเมืองที่ว่าสมบุกสมบันอยู่ในขวากในหนามก็คือเรา เพราะเราเป็นหัวหน้า เอะอะจะมาโจมตีเรา คือโจมตีเราให้ขาดความเคารพนับถือของประชาชน หลวงตาบัวไม่ดีอย่างนั้นๆ ตามที่เขาโฆษณาโจมตี เมื่อคนขาดความเคารพนับถือแล้ว เรียกว่าหมดกำลัง พวกนี้เป็นอาหารว่างของเขาแล้วเข้าใจไหม เป็นเครื่องมือของเขาหมดแล้ว เขาจะกลืนชาติไทยของเราอย่างไม่ต้องเคี้ยว กลืนเลยๆ แต่เวลานี้มันมีก้างขวางคออยู่ คือหลวงตาบัวขวางอยู่ ไม้ค้ำคางมันอยู่ มันกลืนไม่สะดวกมันจึงมาตีตรงนี้เพื่อจะกลืนสะดวก ให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน
ก็มีอยู่สองคนที่เป็นกระดาน..ทางโลกก็คุณทองก้อน คุณทองก้อนนี่ก็ตัดคอรองเพื่อประเทศไทยของเราตั้งแต่วันเริ่มแรกออกช่วยชาติบ้านเมือง คุณทองก้อนเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนเราทีเดียวเลยช่วยชาติบ้านเมือง เราก็ทำอย่างพี่น้องทั้งหลายเห็น สองกษัตริย์นี่ละ กษัตริย์บัว กษัตริย์ทองก้อน เข้าใจไหม เป็นก้างขวางคอเขา เขาจึงโจมตีเอาให้แหลกทีเดียวนะ โจมตีอย่างไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย เราจะยกตัวอย่างมาให้ฟังเพียงข้อเดียวก็พอ ว่าทองก้อนไม่มีเงินมีทองหรือว่าไง (มีเงินในบัญชีเป็นพันล้านครับ) นั่นละฟังซิ (เขาอ้างว่ามายักยอกเงินผ้าป่าช่วยชาติของหลวงตาไปครับ) นี่อันหนึ่ง ว่ายักยอกเงินผ้าป่าหลวงตาบัวเอาไปกิน จะหมดหรือไม่หมดไม่ทราบ ว่ามีเงินในบัญชีตั้งพันล้าน นี่ละอย่างนี้เป็นต้น
ความจริงแล้วคุณทองก้อนไม่เคยเดินเข้ามาดูกรรมการที่นับเงินเลย แม้แต่หนเดียว ไม่เคยเห็น เงินเหล่านี้เขาไม่เคยเกี่ยวข้อง ไม่เคยมาพบมาเห็นเลย แล้วสุดท้ายเขานั่นละเป็นผู้ยักยอกเอาเงินหลวงตาบัวไปฝากธนาคารตั้งพันล้าน อย่างนี้เป็นต้น นี่ปั้นขึ้นมาอย่างนี้ไม่มีความจริง เพื่อจะทำลายคุณทองก้อนให้ขาดความนับถือของประชาชน แล้วกลืนได้ง่าย และก็ฆ่าหลวงตาบัวแบบเป็นอาบัติปาราชิก เรี่ยไรเงินนี้ ผิดทั้งกฎหมายอาญา ผิดทั้งพระวินัย เขาก็จะเอาหลวงตาบัวลง เขาจะกลืนประเทศไทยได้ง่าย ความหมายว่า มันมีสองกษัตริย์นี่ละที่เอาไม้ค้ำคางไว้มันกลืนไม่ลงเข้าใจเหรอ
นี่พูดให้ชัดเจน มันพูดยังพูดได้ เราพูดตามเรื่องราวทำไมเราพูดไม่ได้ ใช่ไหม มันพูดได้อย่างเปิดเผย เราก็เอาอย่างเปิดเผยได้สบายๆ เลย อย่างนี้จึงเรียกว่าคู่ต่อสู้กัน หมัดไหนมา มา ว่างั้นเลยนะ สองหมัดอนุญาตให้มาทั้งสองหมัด ทางนี้ทั้งสองหมัด ถ้าหมัดเราไม่พอเราไปยืมหมัดหมามาก็ได้ ฟัดกัน หมาเราอยู่ในวัดนี้มีหลายตัว เพียงจับหมามาตัวเดียวหมัดมันเต็มหลัง พวกนี้เผ่นลงทะเลหมดสู้เราไม่ได้ เอาละพอ เวลาสนุกก็สนุกบ้างซิ
พูดได้ทุกแบบก็เราไม่มีอะไรนี่ ใครจะว่าอะไรมันก็ไม่มีอะไรกับโลก จะโจษทางนั้นทางนี้อยู่ในวงสมมุติทั้งหมด ท่านทั้งหลายฟังเสียนะ เขาจะโจมตีแบบไหนๆ อยู่ในวงสมมุติทั้งหมด อันนี้ไม่ได้อยู่ในวงสมมุติ เหนือหมดแล้วมันสนุกดูเข้าใจไหม เราพูดจริงๆ เรื่องสังฆาปาราชิกนี้อยู่ในเรื่องสมมุติทั้งหมด เหนือหมดแล้ว เทศน์เราก็เคยเทศน์ให้พระเณรฟัง มีติดเทปไว้ด้วย เอาไปฟังทั่วประเทศก็ได้ ทั่วโลกก็ได้ เทปของเราที่เทศน์ออกมานี้ บอกว่าการปฏิบัติเวลาจิตถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้ว ขันธ์กับจิต ขันธ์นี้เป็นสมมุติ จิตเป็นวิมุตติอาศัยขันธ์อยู่ รับผิดชอบขันธ์
เมื่อสมมุติคือขันธ์ยังมีอยู่ การประพฤติปฏิบัติรักษาหลักธรรมหลักวินัยก็ต้องเป็นไปตามสมมุติของขันธ์นี้ ไม่ให้แยกแยะจากกัน จิตที่บริสุทธิ์ก็เป็นความบริสุทธิ์ ธาตุขันธ์ที่จิตบริสุทธิ์ครองอยู่ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตัวไป เช่นเดียวกับพระผู้รักธรรมรักวินัยทั้งหลายปฏิบัติแบบเดียวกัน จะก้าวก่ายกันไม่ได้ ขัดข้อง แน่ะ เราก็พูดให้ฟัง บรรดาท่านพระอรหันต์ท่านปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัยเหมือนกันกับพระทั่วๆ ไป เพื่อรักษาสมมุติไว้ พระบัญญัตินี้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อย่างนี้ๆ ก็ปฏิบัติตามนั้น แน่ะ เราก็พูด อย่างนี้เราเคยพูดอยู่แล้วนี่ พูดไปตามความจริง
ถ้าพูดถึงเรื่องจิตที่บริสุทธิ์หมดแล้วเรื่องสมมุติ ไม่ว่าจะดีชั่วประการใด หนักเบาขนาดไหนผ่านไปหมดแล้ว ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกันเลย เช่นอย่างสังฆาปาราชิกนี้หมด ยกตัวอย่างเช่น พระทัพพมัลลบุตร เขาฟ้องร้องว่าท่านเป็นปาราชิก พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ตอนนั้น พระองค์พูดในตำรานั้นท่านพูดเพียงเป็นคำสวยงามธรรมดา ถ้าหากว่าเป็นคำพูดที่ให้เหมาะกันกับคำว่าเขาโจษท่านเป็นปาราชิกนั่น ทั้งๆ ที่ท่านเป็น พระอรหันต์แล้วนี้ จะมีน้ำหนักมากกว่านั้น นี่เขาว่าท่านเป็นปาราชิก
พระองค์ทรงรับสั่งว่าโจษเธอทำไม นั่นพระองค์รับสั่งนะ เพราะคำพระพุทธเจ้าก็พอแล้วแหละ ไปโจษเธอหาอะไร เธอเป็นสติวินัยรู้ไหม คำว่าสติวินัยคือรอบหมดแล้ว สติวินัยนี้ ก็ว่าอย่างนั้น พูดเพียงเท่านี้ แต่ถ้าให้พระพุทธเจ้ารับสั่งจริงๆ จะไม่เป็นอย่างนี้ ความรู้สึกของเราจะหนักกว่านี้อีก ตั้งแต่เราตัวเท่าหนูนี้มันยังหนักนะ เข้าใจไหม หมัดนั้นหนักมาหมัดนี้หนักไปเหมือนกัน นี่พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้อย่างนั้น ไม่มีคำพูดทั้งหลายก็หมดแล้ว ไปโจษเธอทำไม เธอเป็นสติวินัยแล้ว หมายความว่าพ้นหมดแล้ว ความหมายว่างั้น
วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นก็เป็นกัณฑ์เทศน์กัณฑ์หนึ่งแล้ว (มีปัญหาทางอินเตอร์เน็ตครับผม) ว่ามา
โยม คนที่หนึ่ง ผมภาวนาโดยใช้บริกรรมพุทโธกับลมหายใจ จิตสงบลงตามลำดับ แต่ยากมาก ต้องใช้ความพยายามบังคับสูง จึงลองพิจารณาอสุภะอสุภัง ในร่างกายของเขาเทียบกับของเรา ปรากฏว่าจิตสงบลงเร็วมาก จึงพิจารณาต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าอิ่มทางด้านการพิจารณา จึงเปลี่ยนมาบริกรรมพุธโธปรากฏว่าจิตสงบลงอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ผมภาวนาถูกหรือไม่ครับ
หลวงตา เออ นี้เรียกว่าถูกต้อง การพิจารณาอย่างนี้เรียกว่าถูกต้องเต็มสัดเต็มส่วนเลย พิจารณาจิตสงบนี้ออกไปพิจารณาทางร่างกาย อสุภะ ออกทางด้านปัญญา จิตก็สงบเข้าไปอีกขั้นหนึ่งอีก ทีนี้ออกจากนั้นมาพิจารณาทางสมาธินึกพุทโธ เรียกว่าถูกต้องแล้ว เอาต่อไปเลย ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ให้พิจารณาอย่างนี้ต่อไปนะ
โยม เมื่อจิตสงบกลับไปพิจารณากายอสุภะอสุภัง รู้สึกว่าละเอียดขึ้นกว่าเดิม ทำกลับไปมาทั้งวันรู้สึกว่าไม่มีงานอย่างอื่นต้องคิด ผมต้องทำอย่างไรต่อไปครับ
หลวงตา ทำอย่างนี้แหละ ทำต่อไปก็ทำอย่างนี้อย่างทำนี่ เข้าใจไหม เออเอาว่าไป มันจะคล่องตัวเข้าไป ละเอียดเข้าไป คล่องตัวเข้าไป คือทำอย่างนี้แหละอย่างที่เคยทำ เหมือนเราคราดไร่คราดนา คราดกลับไปกลับมาไม่ต้องนับเที่ยวละ คราดไปๆ มูลคราดมูลไถจะละเอียดลงไปๆ ควรแก่การปักดำ อันนี้ก็เหมือนกัน ทำตรงนี้แหละ คือคราดไปไถไปไถมา มันจะละเอียดของมัน คล่องตัวของมันเข้าไปเรื่อยๆ ถูกต้องแล้ว เอาว่าไป
โยม คนที่สอง ข้อที่หนึ่ง กระผมพิจารณากายในชีวิตประจำวัน และมีการพักจิตในอานาปานสติเป็นบางครั้ง ระยะหลังนี้พบว่าหลังจากจิตเดินปัญญาไปในระยะหนึ่ง จิตจะสงบนิ่งเข้ามาอยู่ที่จิต แต่จิตก็ยังสามารถรู้เรื่องภายนอกได้อยู่ตามปกติ เพียงแต่ว่าการพิจารณาเป็นรองจากความสงบนิ่ง กระผมขอกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ว่า ควรจะออกไปพิจารณากายต่อหรือว่าจะปล่อยให้จิตสงบนิ่งอยู่ต่อไปครับ
หลวงตา อ๋อ เวลาสงบมันก็สงบ เหมือนเรานอนหลับเวลาตื่นมันก็ตื่น อันนี้ก็เหมือนกันเวลาสงบเท่ากับนอนหลับ คือสงบจิตไม่ต้องใช้กิริยาอาการใดๆ ไม่ว่าจะปัญญาไม่ว่าอะไรก็ตาม หยุด ให้จิตมีความสงบแน่ว พักตัวอยู่นั้น เรียกว่าเอากำลัง พอจิตเคลื่อนออกมาจากสมาธิ จากความสงบแล้วให้ทำงานได้แก่การพิจารณาอย่างนี้ ถูกต้องแล้ว เอ้าว่าไป
โยม ข้อที่สองครับ ในความสงบของจิตนั้นกระผมได้พิจารณาจิตดูอีกที พบว่าจิตที่สงบนั้นมีความสว่างอยู่ แต่ในความสว่างนี้ถ้าพิจารณาเข้าไปดีๆ จะพบว่า มีโมหะความหลงครอบอยู่ ซึ่งถ้าปัญญารู้ทันความหลงก็หลุดไป แต่สักพักความหลงก็จะกลับเข้ามาใหม่ สู้กลับไปกลับมาระหว่างความหลงกับไม่หลงอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ อยากกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ว่ากระผมจะผ่านจุดนี้ไปได้อย่างไรครับ
หลวงตา อย่าไปอ่านเรื่องความหลงหรือไม่หลง ให้พิจารณาสิ่งที่เคยพิจารณาแล้ว อสุภะอสุภัง ให้อยู่ตรงนั้น เรื่องหลงไม่หลงมันเป็นสิ่งหนึ่งของมัน พอทางนี้แก่กล้าเข้าไป ความหลงของเรามันจะลดลงๆๆ พออันนี้จ้าแล้วหมดความหลง เข้าใจเหรอ
โยม ข้อที่สามครับ บางคราวจิตของกระผมก็ได้พิจารณาเห็นภพต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต ทั้งที่ดี เช่น ความสงบความเย็น และที่ไม่ดี เช่น กิเลสต่างๆ เกิดขึ้นหมุนวนไปมาเป็นวัฏจักร ซึ่งพบว่าทั้งความดีและไม่ดีล้วนเป็นทุกข์แก่จิตทั้งสิ้น แต่จิตก็มีปัญญาพิจารณาได้แต่เพียงเท่านี้ จึงอยากจะขออุบายธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ฯเพื่อความก้าวหน้าต่อไปครับ
หลวงตา อันนี้ก็แบบเดิมนั่นแหละ ให้พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า สิ่งเหล่านี้มันจะค่อยกระจ่าง จะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ เข้าใจเหรอ มีเท่านั้นไม่พูดมาก
โยม นี่เขากราบขอบพระคุณ จากคนเมืองนนท์ครับ
หลวงตา เออ
โยม คนที่สาม มาจากประเทศอังกฤษครับ
หลวงตา มาประเทศไหนก็มาเถอะน่ะ ไม่เหนือธรรมไปละน่ะ เอ้าว่าไป
โยม กราบเท้า หลวงตาที่รักเคารพอย่างสุดหัวใจ ผมเป็นนักศึกษาอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ กราบเรียนถามดังนี้คือ เมื่อตอนเด็ก ผมได้นำลูกปลานิลตัวเล็กๆ ไปให้ปลาใหญ่ที่เลี้ยงไว้กินเป็นอาหาร ภายหลังเมื่อผมโตขึ้นมาได้ศึกษาธรรมะจากครูบาอาจารย์ จึงได้ทราบว่าสิ่งที่ได้ทำไปในตอนเด็กนั้นเป็นบาป ผมรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไปอย่างมาก กลัวว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องได้ชดใช้กรรมนั้นอย่างแน่นอน ผมคอยระลึกถึงลูกปลานั้นอยู่เรื่อยๆ แม้ในขณะนั่งสมาธิบางทีจิตก็เผลอไปนึกถึง เมื่อสวดมนต์ภาวนาเสร็จผมจะแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นเสมอ กระผมอยากกราบเรียนถามหลวงตาดังนี้ครับ
ข้อหนึ่ง การที่กระผมได้แผ่เมตตาระลึกถึงเขาเหล่านั้น จะทำให้ลดการจองกรรมจองเวรกันไปได้หรือไม่ครับ
หลวงตา ลด แต่อย่าไปทำอย่างนั้นอีก มันจะเพิ่มเข้าอีก เอ้าว่าไป
โยม ทำอย่างไรจึงจิตจะไม่ระลึกถึงเรื่องนี้ขณะภาวนา ผมพยายามระลึกพุทโธแล้วบางทีมันก็แวบไปเรื่องเก่าอีก ผมกลัวว่าการภาวนาจะไม่ก้าวหน้า
หลวงตา ให้ระลึกพุทโธนั่นแหละ มันแย็บไปเมื่อยังไม่ใช่วิสัยที่เราจะระงับมันได้มันก็แวบไปของมันเอง เราก็อย่าถือเป็นอารมณ์เกินไป เข้าใจไหม ให้ถือพุทโธเป็นอารมณ์มากกว่าสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นเพียงแวบมา จรมาครู่เดียว ถ้าเราไม่ติดใจเข้าไปอีก เราก็ไม่คิดอันนั้นเสริมเข้าไป เราอยู่กับพุทโธนั้นก็ค่อยจางไปๆ เพราะเป็นสิ่งที่ทำมาแล้ว ไม่ต้องยุ่งกับมัน ผิดก็ยอมรับว่าผิดแล้ว ทีนี้เอาถูกอยู่กับพุทโธ เอาเท่านั้นแหละ
โยม ผมได้ดูภาพวันปิดโครงการแล้วชื่นใจมาก ระลึกถึงพระคุณของหลวงตาเป็นที่สุด แต่เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานที่เมืองไทยด้วย สุดท้ายนี้ผมขออาราธนาให้องค์หลวงตาเมตตาดำรงธาตุขันธ์อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ลูกหลานประเทศชาติและศาสนานานถึงหนึ่งกัปด้วยขอรับ
หลวงตา นี่ก็เมตตาให้คุณเจริญภาวนา ให้หนาแน่นขึ้นไปโดยลำดับๆๆ เหมือนอย่างขอให้หลวงตาอยู่อายุยืนนานนะ ให้เจริญพุทโธ หรือเจริญภาวนาให้ยืนนานไป อย่าให้มันกุดมันด้วนก็แล้วกัน เข้าใจเหรอ
โยม ตกลงให้เขาหมดเลยนะครับ ที่เขาขอก็ให้เขาด้วยนะครับ
หลวงตา ก็ให้แล้ว พูดเดี๋ยวนี้จะว่าอะไรอีก มีอะไรอีก (จบแล้วครับ) เขาถามปัญหาทางอินเตอร์เน็ตมาเรื่อย มาจากที่ต่างๆ เมืองนอกเมืองนาถามมาตอบไป เข้าในนี้อีกเขาก็ได้ฟังอีก การช่วยชาติคราวนี้เราได้พูดเสมอมานะ การช่วยชาติคราวนี้เราเทศน์ถึงหกปีเต็ม เทศน์ไม่ทราบว่ากี่กัณฑ์ไม่นับเลยเทศน์นะ มากต่อมาก แต่มีบกพร่องอยู่อันหนึ่งตลอดมา คือการถามปัญหาไม่ค่อยมี ถ้ามีการถามปัญหาจะเพิ่มความสนใจขึ้นอีกมากมาย จะได้คติเครื่องเตือนใจในขณะที่ตอบปัญหา คำถามนั้นจะมีแปลกๆ ต่างๆ กันตามจริตนิสัยของคนที่รู้ที่เห็นสงสัยมา แล้วมาถาม ทางนี้ก็ตอบไปตามนั้นๆๆ
เทศน์ไปกลางๆ เทศน์ไปเรื่อยๆ แต่ปัญหานั้นมันซอกแซก ปัญหาซอกแซกมา การตอบก็ซอกแซกเหมือนกัน นี่จะได้เป็นคติ สะดุดใจอยู่มากนะ อันนี้ได้เป็นคติมากทีเดียว แต่ขาดก็อันนี้เพราะไม่มีผู้ถาม ถ้าหากว่ามีผู้ถามจะเพิ่มการเทศน์เข้าไปอีกเยอะ อันนี้เราก็บอกตรงๆ ไม่มีผู้ถาม ถ้าถามมาจะตอบทันทีอย่างนี้แหละ ถามมาแง่ไหนมันจะออกทันทีๆ ไม่ใช่คุย นี่ละธรรมะถ้าเราเปิดในหัวใจแล้วเป็นอย่างนั้น เหมือนน้ำอยู่ในโอ่ง เอ้าไขก๊อกที่ไหนไขทางไหน เอ้าเปิดออกได้ทั่วไปหมดเลย ถ้าไม่เปิดก็ไม่ออกอยู่อย่างนั้นละ
ธรรมก็เหมือนกันไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เหมือนไม่มี แต่เวลามีผู้มาถามเหตุผลกลไกที่ควรจะออกมากน้อยจะรับกันทันทีๆๆ หนักเบามากน้อยจะออกตามนั้นๆ ถ้าออกมาอย่างเต็มที่ก็ผาง เหมือนว่าทุบโอ่งไปเลยทีเดียว เทให้หมดเลย มันไม่มี ธรรมะประเภทนี้ไม่มี ไม่เคยมีใครถาม เพราะธรรมะขั้นสูง ไม่รู้มันจะถามได้ยังไง คือคำว่ารู้นี้ก็เกี่ยวข้องกับภาวนาเป็นส่วนมากนะ ถ้าธรรมะขั้นใดภูมิใดใครอยู่ในขั้นใดภูมิใด ถามมาจากความรู้ความเห็นของตนธรรมะนี้จะออกรับกันทันทีๆ แต่นี้ไม่มีใครถามปัญหา จึงบกพร่อง
การนำพี่น้องชาวไทยคราวนี้รู้สึกบกพร่องในการถามปัญหา-ตอบปัญหา การเทศนาว่าการก็เทศน์ไปทั่วโลกแล้ว บกพร่องไม่บกพร่องก็พิจารณาเอาเจ้าของนะ ส่วนปัญหาเราก็บอกว่าบกพร่องก็บกพร่อง การถามมานี้ไม่มีมันก็ไม่ตอบ บกพร่องตรงนี้ละ เอาละนะเท่านั้นแหละ
เรื่องพุทธศาสนานี้สำคัญอยู่ที่ภาวนานะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน หลักการภาวนาคือเป็นแก่นของพุทธศาสนา กิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ การให้ทาน การรักษาศีลนี้เป็นกิ่งก้านของจิตตภาวนา จิตตภาวนานี้เป็นต้นลำจริงๆ ถ้าลงจิตตภาวนาได้ปรากฏขึ้นแล้วกิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ จะสดชื่นไปหมดทั่วหน้ากัน อันนี้สำคัญมาก จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้พิจารณา ที่มาคุยป้างๆ อยู่เดี๋ยวนี้ก็มาจากภาวนา เรียนก็เรียนจนเป็นมหาเราก็ไม่ได้ความแยบคายอะไร เราพูดตามความสัตย์ความจริงเราไม่ประมาทที่เราเรียนมานะ
บทเวลาจะได้อย่างจริงอย่างจัง อย่างเป็นที่แน่ใจๆ จนกระทั่งแน่ใจครอบโลกธาตุ ว่างั้นเลย ได้จากภาคปฏิบัติ จิตที่ว่าจ้าๆ นี่ก็จากภาคปฏิบัติ นี่ละภาคจิตตภาวนาสำคัญมากนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา พระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ทุกๆ องค์ด้วยภาวนาทั้งนั้น ทาน-ศีลทั้งหลายนี้เข้าเป็นเครื่องสนับสนุน สนับสนุนกัน ไปด้วยกันผึงเลย ภาวนาละพาไป เป็นต้นลำอันแน่นหนามั่นคง และกิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ จะสวยงามไปตามๆ กัน
กิริยามารยาท การพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในหน้าที่การงานนี้ จิตตภาวนานี้จะเตือนเสมอนะ ไม่ใช่ว่าภาวนาอยู่ทื่อๆ นะ ไม่ได้ทื่อนะการภาวนา เวลาไม่ภาวนาก็ไม่ทื่อ เพราะหลักของจิตเป็นหลักที่เชื่องแล้ว พร้อมเสมอที่จะรับทราบเหตุการณ์ต่างๆ นี่การภาวนาเป็นอย่างนั้นนะ ความเคลื่อนไหวของเรา การทำดีทำชั่วแต่ก่อนเราไม่คิดไม่นึก พอการภาวนาปรากฏขึ้นในใจแล้วมันจะคิดจะนึก จะรู้ผิดรู้ถูกของตัวเองแล้วหักห้ามตัวเองทันทีๆๆ เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
พุทธศาสนาปรากฏขึ้นจากการภาวนา สาวกทั้งหลายที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิเกิดขึ้นจากการภาวนา นี่จึงได้พูดเสมอ ใครจะมาว่าอะไร อย่างที่ว่าให้เราเดี๋ยวนี้นะ เพราะจวนจะตายแล้วเราจะเปิดให้เต็มที่แก่พี่น้องทั้งหลายฟัง เราไม่สนใจกับเรื่องสมมุติทั้งหลายที่พูดออกมา ทั้งเห่าทั้งหอน ทั้งจะกัดจะฉีกอะไรเราไม่สนใจ เพราะไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมชาติที่ครองตัวอยู่เวลานี้ พูดอะไรมันก็รู้หมดๆ พูดมาแบบไหนมันก็รู้หมดๆ ก็จะไปหลงกับมันอะไร
เราจึงเอาอันนี้ละที่มีน้ำหนักมาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จึงไม่สนใจเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งนั้น เทศนาว่าการ อย่างที่เขาว่าเป็นสังฆาปาราชิกเราไม่สนใจ เราสนใจตั้งแต่ธรรมที่ปรากฏอยู่ในหัวใจนี้กระจายออกไปให้พี่น้องทั้งหลายได้รับผลประโยชน์ เช่นการภาวนา ให้ทำดูซิ จริตนิสัยของคนเราไม่ว่าหญิงว่าชายมีเหมือนกัน ใครจะรู้มากรู้น้อยจะรู้ขึ้นจากการภาวนา ดังที่เขามาถามนี้เขาก็จากการภาวนาของเขา นั่นละพิจารณาซิ ยิ่งละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งความรู้ความเห็น ความเป็นต่างๆ มันจะปรากฏขึ้นๆ แตกกระจัดกระจายไปจากภาคปฏิบัติ
ภาคเรียนเราเรียนไปนี้มันเป็นทางไป แม้หนังสือเล่มเดียวถ้าเราอ่านไม่จบ เรื่องราวเหล่านั้นที่เรายังไม่ได้อ่านก็ไม่เข้าใจนะ แต่ภาคปฏิบัตินี้มันเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟได้แก่ความจริงทั้งหลายทั่วโลกธาตุที่มีอยู่ทั้งหมด ความจริงดีชั่วต่างๆ มีอยู่ทั้งหมด นั่นเรียกว่าเชื้อไฟ ทีนี้ไฟได้แก่ธรรมนี้มันจะตามรู้ตามเห็นไปหมด เหมือนกับไฟได้เชื้อ มันจะเผาของมันไปเรื่อยๆ เข้าใจเหรอ นี่ละเรื่องจิตตภาวนา พอรู้เข้าไปนี้มันจะแม่นยำๆ แน่นอนเข้าไปในจิต แน่นหนามั่นคงทั้งจิตด้วย ทั้งความรู้นี้ด้วย กระจายออกๆ จนกระทั่งเต็มหัวใจแล้วเปิดโล่งเลย เรื่องจิตตภาวนาเป็นสำคัญอย่างนี้ พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ เอาละเพียงเท่านี้เหนื่อยแล้ว เอาละให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |