เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
สติมีกิเลสไม่เกิด
(ผอ.โรงเรียนบ้านนาอุดม อ.หนองหาน ขอเมตตาเรื่องอาคารโรงเรียน) ขอก็ขอเรายังให้ไม่ได้นะ เรากำลังหนักมากเวลานี้ จนจะโงหัวไม่ขึ้นเลย เรื่องขอนี่มาทุกทิศทุกทางไม่ใช่เล่น เมื่อวานนี้จ่ายไป ๕ ล้านกว่า จ่ายทางเช็คๆ อย่างนั้นแหละหนักอยู่ตลอด ที่พักไว้ๆ เยอะนะมันไม่ไหว อันจำเป็นจริงๆ อันดับหนึ่งก็เครื่องมือแพทย์ เราติดหนี้ก็ติดแต่เครื่องมือแพทย์ อย่างอื่นไม่ค่อยติด แม้แต่จำเป็นก็ยังไม่ติด แต่เครื่องมือแพทย์นี้ติดบ่อย คือมาแบบปุบปับเลย เขาพูดให้ฟังมีแต่ของสำคัญๆ เครื่องมือแต่ละเครื่องมีความจำเป็นต่อคนไข้มากมาย ถ้าอย่างนั้นไม่มีก็จำต้องติดหนี้ เอ้า เอาเลย อย่างอื่นไม่ติดแหละ หนักเบาเราก็ค่อยแบกค่อยหามไปตามนั้นๆ ถ้าหนักมากก็ให้พักไว้ก่อนๆ ถ้าพอถูไถกันได้ตรงไหนก็ถูไถกันไปๆ
โห ไม่ใช่เล่นๆ นะ บางรายมาขอแบบลืมตัวก็มี ถ้าแบบลืมตัวแล้วดุเอาเลยนะ แบบความจำเป็นหนักเบามากน้อยมี มาขอแบบลืมตัวก็มี เห็นเขาขอก็ขอ ขอโก้ๆ ดุเอาเสียแหลกเลย จิตเรานั้นไม่เหมือนใครนะ เราให้-เราให้จริงๆ ด้วยเหตุด้วยผลทุกสิ่งทุกอย่าง คือทุกชิ้นทุกอัน ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าให้ๆ นะ ให้ด้วยความจำเป็นด้วยเหตุด้วยผลแล้วให้ๆ เมื่อวานนี้ก็ทางศรีธาตุมาขอ เรือนจำบึงกาฬนี่ก็ให้ดูว่าห้าหรือหกแสน อยู่ที่ไหนมันก็คนด้วยกันจะว่าไง นักโทษก็คน ไม่ใช่นักโทษก็คน ความจำเป็นที่จะต้องอาศัยกันมันมี เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องดูแลให้ทั่วถึง เราไม่เคยได้เข้าไปเรือนจำบึงกาฬนะ สว่างก็ไม่ได้เข้าแต่ได้ช่วย เรือนจำสว่างแดนดิน บึงกาฬก็ช่วยแต่ยังไม่ได้เข้าไป
อุดรก็ช่วยมากแต่ยังไม่ได้เข้าไป อุดรได้มากกว่าเพื่อนในบรรดาเรือนจำ หนองบัวลำภูก็ช่วย เข้าไปดูเองแหละ ความจำเป็น-จำเป็นยังไงๆ เราเข้าไปดู ความจำเป็นที่หลับที่นอนไม่พออะไรๆ เขาก็บอกที่หลับที่นอนเป็นอย่างนี้ๆ แล้วขาดเท่าไร โห ไม่ใช่น้อย เป็นร้อยๆ เราให้หมดเลย ก็เราไปดูเอง ความจำเป็นเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาจะทำไง นี่ก็ให้ เข้าไปด้วยอันนี้ แต่อุดรไม่ได้เข้าไปทั้งที่ช่วยมากมาย สร้างตึกสำหรับพยาบาลก็มี จากนั้นเป็นที่ตรวจโรคอะไรๆ หมอดูว่ามาอาทิตย์ละครั้งๆ เราสร้างตึกให้ ๒ ล้าน หลายปีมาแล้วนะ จากนั้นก็ห้องน้ำห้องส้วมตั้ง ๕๐ กว่า อ่างอาบน้ำสองอ่าง เท่าที่จำได้นะ เพราะอุดรช่วยหลายหน ไม่ได้ช่วยหนหนึ่งหนเดียว มันหลายครั้งหลายหน เลยจำไม่ได้ว่าแต่ละครั้งๆ ช่วยอะไรบ้าง
อันนี้ให้พักไว้ก่อนนะ ที่ว่านี่ ยังรับไม่ไหวเวลานี้ ๘ ตึกกำลังสร้างอยู่เวลานี้ของน้อยเมื่อไรฟังซิ ยังอีกสองหลัง ตกลงให้แล้วจะสร้าง ยังแต่วันที่จะลงมือเท่านั้น ศรีเชียงใหม่กับพิบูลย์รักษ์ ถ้ารวมนี้ด้วยแล้วก็สิบหลัง แต่ยังไม่ได้ลงมือจึงยังไม่นับ ที่ลงมือมาก็ ๘ หลัง ของเล่นเมื่อไร หลังละ ๑๗-๑๘ ล้านก็มีหลายหลัง หลังละ ๒๐ กว่าล้านก็มีเวลานี้กำลังสร้าง แล้วจะหาเงินมาจากไหนหลวงตาฟังซิน่ะ ราคาสูงกว่าเพื่อนมีอยู่ ๓ หลัง เราไม่มีอะไรแหละ เรามีแต่ความเมตตาล้วนๆ บอกว่าไม่มีเหลือเลย สมบัติที่ตกมาหาเรานี้ไม่เหลือเลย เราบอกตรงๆ อำนาจเมตตานี้กวาดออกหมดเลยไม่มีอะไรจะเหลือละเรา อย่างนั้นตลอดมานะตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ช่วยมาตลอดเลย ทีนี้พอมาช่วยชาติบ้านเมืองนี้ก็ช่วยหนักเข้าอีก วันนั้นคนนั้นมาขออันนั้น คนนี้มาขออันนี้อยู่ตลอดนะ ก็ไม่ทราบว่าจะหาเงินจากไหนมาให้ ก็ไม่ใช่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ผู้ขอก็ควรจะคำนึงบ้าง
เรานี้หนักมาตลอดเรื่องเหล่านี้ แต่หนักด้วยความเมตตา มีเท่าไรให้เลยๆ ช่วยเลยๆ ไม่ได้หยุดได้ถอย อย่างนั้นมาตลอด ช่วยโลกช่วยด้วยความเมตตาล้วนๆ ตลอดมาเลย เราไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเราแหละ มิหนำซ้ำเวลาตายก็ยังเขียนพินัยกรรมไว้แล้ว ลงสักขีพยานเรียบร้อยสมบูรณ์แล้วไว้ในตู้นั้น บอกพระแล้ว นั่น เวลาเราตายให้เอาพินัยกรรมนี้ออกมากางอ่านเลย เวลาเขามาเผาศพเรา ศรัทธามากน้อยเขามาบริจาคทานทั้งหมด ห้ามไม่ให้ไปสร้างนู้นสร้างนี้หรูหราฟู่ฟ่าเฉยๆ หลวงตาบัวตายสร้างนั้นหรูหราฟู่ฟ่าๆ แล้วรื้อทิ้งไม่เกิดประโยชน์อะไร เราไม่เอาเราบอก ฝนตกมาหัวชนเลย แดดออกหัวชนเลย ว่างั้นเลยนะ สมบัติเหล่านี้เราจะตั้งกรรมการเข้มงวดกวดขัน ให้เก็บหอมรอมริบไว้หมด เสร็จเรียบร้อยแล้วจะซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมด นี่ได้ออกแล้วพินัยกรรม
จะไปเผาไหนก็ตามเผาเรา ไม่ว่าแต่เมรุที่ทำไว้นี้ หากจะไปเผาที่อื่นที่ใดก็ตาม อันนี้(พินัยกรรม) ต้องใหญ่กว่าเสมอ ต้องเป็นอย่างนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ พินัยกรรมทำเรียบร้อยแล้ว อย่างนั้นละเอาให้สุดขีดสุดแดนเลย ตายก็ไม่เอาอะไรติดตัว เราไม่เอาอะไรแล้วในโลกทั้งสาม ติดตัวเราไม่มี หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ ประกาศป้างๆ ในหัวใจ จ้าในหัวใจ พระพุทธเจ้าถามใคร องค์ศาสดาองค์เอกถามใคร บรรดาพระสงฆ์สาวกถามใคร ธรรมอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกันแล้วถามกันหาอะไร นั่นก็เท่านั้นเอง นี้จึงไม่ถามใคร ไม่ได้สวมรอย ไม่ได้ประมาทพระพุทธเจ้า สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศไว้แล้ว พระองค์ประกาศเอง เป็นผู้รู้เองเห็นเองในตัวของเรานั่นแหละ นี้มันก็เป็นอย่างนั้น ก็รู้เองเห็นเอง หายสงสัยแล้ว
คิดดูอย่างพระอัญญตระที่จะเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าในธรรมะขั้นสูง พอดีฝนตก ขึ้นเฝ้าไม่ได้ แล้วยืนอยู่ฝนตก น้ำตกลงบนชายคามากระทบน้ำข้างล่าง ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาแล้วดับไปๆๆ ท่านดู ท่านพิจารณาถึงเรื่องสังขารความปรุงแต่งดีชั่วดับไปๆ เทียบกับน้ำตกจากชายคานั้น แล้วบรรลุธรรมปึ๋งนั้นเลยนะ พอฝนตกหยุดแล้วกลับเลย ไม่ขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้า ก็เห็นชัดๆ อยู่นั้น ตั้งหน้าจะไปถามแท้ๆ พอบรรลุธรรมปึ๋งหายสงสัยกลับมาเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ตั้งหน้าจะทูลถามก็ยังไม่ทูลถาม ธรรมะอันเดียวกัน ใครจะตั้งหน้าไม่ตั้งหน้าก็ตาม ขอให้รู้ธรรมนี้ขึ้นมาจะเป็นอันเดียวกันหมดเลย กับบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงได้เทียบแล้วว่าเท่ากับน้ำมหาสมุทร จ่อลงตรงไหนเป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมดเลย นี้จ่อลงตรงไหนเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมด แบบเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องถามกัน
นี่เราก็จวนจะตายแล้ว เปิดออกเรื่อยๆ นะ ใครจะมีสติสตังพินิจพิจารณาให้พิจารณา อย่ามากว้านเอาส้วมเอาถานไปใส่หัวใจ เอาฟืนเอาไฟไปใส่หัวใจ การเทศนาว่าการนี้เราเทศน์ด้วยความเมตตาล้วนๆ นะ อย่ามาคิดเป็นอกุศลแก่ตัวเอง แก่เรามันไม่ได้ละ มันไม่มาละ ใครคิดเป็นอกุศล ความเชื่อก็เป็นมงคลแก่ตน ความไม่เชื่อแล้วดูถูกเหยียดหยามไปต่างๆ นั่นละมันจะเผาเจ้าของอีก พูดตรงๆ เรื่องสมมุติเหล่านี้ไม่มีรับในจิตดวงนั้น จิตธรรมธาตุไม่รับสมมุติดีชั่ว สรรเสริญชมเชยเป็นสมมุติทั้งหมด เข้าไม่ถึงว่างั้นเลย มีเท่าไรใครก่อขึ้นก็หาคนนั้น ไม่ว่าดีว่าชั่วใครก่อขึ้นเข้าหาคนนั้นๆ
เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนพี่น้องทั้งหลาย เราสอนด้วยความเมตตาล้วนๆ ประกาศป้างๆ มาได้ ๕-๖ ปีนี้แล้ว ที่ออกเต็มเหนี่ยวเลย ๖ ปี ที่ควรจะทราบได้ รู้ได้ เห็นได้เราก็เปิดออกหมด ผู้ควรจะทราบในแง่ใดขั้นใดออกมาจะตอบให้ทันทีเลย นี่หมายถึงธรรมะขั้นสูง ธรรมะทั่วๆ ไปนี้ก็พูดอย่างที่ว่านี่ละ ถ้าธรรมะขั้นสูงก็ให้เฉพาะรายๆ ไปเรื่อยๆ เราสอนด้วยความเมตตาล้วนๆ สอนโลก นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาเอง เอาเราเป็นสักขีพยานอย่างไม่สะทกสะท้านเลยเชียว ธรรมะพระพุทธเจ้าแม่นยำสุดยอด
ขึ้นเวทีแล้วมันถึงรู้ธรรมพระพุทธเจ้า เวทีฟัดกับกิเลส กิเลสนั้นละปิดบังธรรมของจริงเอาไว้ พอตัวนี้กระจายออกหมดแล้วมันจ้าออกหมดเลย จะถามใคร สิ่งเหล่านั้นที่มีอยู่เป็นเพียงตาบอดในหัวใจมันไม่เห็น พอมันเปิดจ้าออกแล้วถามใครทำไม พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน โลกวิทู ท่านไปหามาจากไหน ออกจากพระองค์ โลกวิทู รู้แจ้งโลก อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ตลอด ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ก็ออกจากพระทัยพระพุทธเจ้าที่กิเลสเปิดออกหมดแล้วเหลือแต่ธรรมล้วนๆ จ้า ท่านไม่ถามใคร
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ท้าทายเรื่องบาปเรื่องบุญ นรก-สวรรค์ มรรค ผล นิพพาน ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปเลย แม้นิดหนึ่งไม่มี ใครจะอวดดิบอวดดีเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เอ้าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี สิ่งที่มีก็คือฟืนคือไฟเผาไหม้เข้ามา โกยเข้ามาเผาตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนไว้นี้พระองค์ไม่ได้เอานะ สอนไว้เพื่อรู้คุณรู้โทษของมัน สิ่งใดที่เป็นโทษเป็นภัยสอนให้ละให้ถอน ให้หลีกเว้น สิ่งใดที่ดีงามแล้วพยายามส่งเสริมขึ้นไป นี่พระพุทธเจ้าก็สอน พระองค์ไม่เอาอะไรกับใคร โลกอันนี้พอทุกอย่าง
พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่าน ท่านพอทุกอย่าง พวกเราที่ยังไม่พอมันจะไปคว้าเอาอันไหนให้ดูตัวเองนะ ไปคว้าเอาบาปก็เป็นบาปขึ้นมา ไปคว้าเอาบุญเป็นบุญขึ้นมา อยู่ในตัวของเราผู้คว้า ท่านจึงสอนแนวทางเอาไว้ ให้เลือกนะ อย่าคว้าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ ผิด เสียเรานั้นแหละไม่ได้เสียใคร ศาสดาองค์เอกคือพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ว่าพระองค์ใดมาแบบเดียวกันหมด นี่พิจารณาเล็งตลอดเลย หาที่ค้านไม่ได้ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆ มาแถวเดียวกันๆ มีแบบมีฉบับๆ เป็นอันเดียวกันเลย กิเลสมันก็ไปแถวเดียวกันอีก ไม่มีแบบมีฉบับ นี่มันค้านกันตรงนี้นะ
ธรรมมีแบบมีฉบับไปตามแถวตามแนว กิเลสมันก็มีแบบฉบับของมัน แบบฉบับเรียกว่าหาความจริงไม่ได้ คือมันมาตามแถวนี้เหมือนกัน ที่จะหาแบบฉบับที่แน่นอนไม่มีกับกิเลส มีมากมีน้อยหลอกลวงตลอดไป สิ้นอันนี้แล้วไม่มีอะไรหลอกหัวใจ ไม่มี มันอยู่ในหัวใจเรานะ ไม่รู้ได้ง่ายๆ นะกิเลส ไม่รู้ได้ง่ายๆ ละ ละเอียดแหลมคมมาก มาเป็นตัวของเราเสียหมด ความโลภก็เป็นเรา ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาเป็นเรา เรารักเราชัง เราโกรธเราเกลียด เราอยากได้ มีอยู่ในหัวใจของเราหมด มันมาเป็นเรา
เพราะฉะนั้นจึงแยกออกยากนะ เวลาธรรมจับเข้าไป ซักฟอกออก คัดออกๆ ความโลภคัดออก ความโกรธคัดออก กิเลสราคะตัณหาคัดออกๆ ตั้งแต่ส่วนหยาบถึงส่วนละเอียดขัดออก คัดออก ขัดออกเรื่อยจนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือ จ้าขึ้นมา ทีนี้หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ไม่ไปถามใครละ พอเปิดออกแล้วมันเห็นไปหมดจะว่าไง ถามอะไร สิ่งที่โลกตาบอดไม่เห็น ท่านเห็น ที่เราไม่รู้ท่านรู้ แน่ะมันต่างกันอย่างนี้ จึงสมควรเป็นศาสดาของสัตว์ ถ้าเป็นอย่างท่านๆ เราๆ สอนกันหาอะไร ใครจะไปยอมรับกัน ความรู้ความเห็นเราๆ ท่านๆ ไม่มีอะไรเหนือกัน นั้นเหนือตลอด เลยตลอด สิ่งที่โลกละไม่ได้ท่านละได้หมด สิ่งที่โลกไม่รู้ท่านรู้หมด แน่ะมันต่างกันอย่างนี้นะ ท่านจึงสอนได้หมดตามแต่กำลังของผู้มาศึกษาจะรับได้มากน้อย จะสอนไปตามนั้นเลย
ให้เร่งเสียนะเวลานี้ พุทธศาสนานี้เอกแล้ว ไม่มีสงสัย เราเอาตัวยันเลยเชียว ใครจะว่าเราบ้าก็ว่า ยันตั้งแต่ย้อนอดีตพระพุทธเจ้า อนาคตพระพุทธเจ้า ยันอยู่ในปัจจุบันนี้หมด หายสงสัยหมดเลย เป็นแถวแนวอันเดียวกัน บอกเลย แม่นยำเหมือนกันหมด เป็นธรรมที่รื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์โดยลำดับเหมือนกันหมด นอกจากนั้นเหลวไหลคือกิเลสสิ่งเหลวไหลหลอกลวง เป็นภัยต่อธรรม ให้พากันระมัดระวังตัว อย่าเห็นแก่ความอยากความทะเยอทะยาน ไม่คิดไม่อ่านไม่ได้นะ ความรับผิดชอบอยู่กับเรา ผิดถูกเรารับผิดชอบเอง เป็นสมบัติของเรา ดีชั่วเป็นของเราทั้งนั้น ท่านจึงเรียกว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมดีกรรมชั่วเป็นของเรา จะแจกจ่ายให้คนไหนอื่นไม่ได้ เป็นของเราโดยแท้ ให้ระมัดระวัง
จากพุทธศาสนาแล้วเราพูดตรงๆ ไม่มี ว่างั้นเลย มีที่แยกออกไปว่าเป็นศาสนาเซน เซนเราก็พิจารณาแล้วมันวิ่งถึงกันเลยเชียว คำว่าเซนนั้นพวกนี้เป็นพวกธรรมขั้นสูง ในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเราเป็นธรรมขั้นสูง ใช้ปัญญาล้วนๆๆ เลย พวกเซนผู้ที่จะบรรลุธรรมด้วยธรรมขั้นสูงโดยขิปปาภิญญา ท่านก็บรรลุธรรมผึงด้วยปัญญาของท่าน ทีนี้ผู้มาทีหลังก็เลยมาตั้งอันนี้เป็นศาสนาขึ้นมา ศาสนาเซน ผู้ที่เป็นจริงๆ ท่านไม่ได้ตั้งนะ ผู้หลังมานี้หูหนวกตาบอด ตั้งมาเป็นศาสนาของตนว่าเป็นศาสนาเซน เวลาพิจารณาแล้วเป็นธรรมะขั้นสูง ขั้นของปัญญา พุทธศาสนานี้ละเป็นธรรมะขั้นสูง อยู่ในพุทธศาสนา กิ่งก้านสาขาของศาสนาทั้งนั้น ตั้งแต่ต้น รากแก้วรากฝอยขึ้นมา หากิ่งก้าน ต่ำ สูง สูงขึ้นไปเป็นลำดับ เป็นยอดไปเป็นลำดับต้นไม้ต้นนั้น
นี่ก็ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมขั้นละเอียดไปโดยลำดับ ศาสนาเซนนี้เป็นศาสนาออกทางด้านปัญญาแล้ว บรรลุธรรมปึ๋งๆ เลย ทีนี้ผู้ที่มาปฏิบัติมาถือศาสนาเซนท่านให้ใช้ปัญญา ก.ไก่ ก.กายังไม่ได้ ไปฟาดเรียนดอกเตอร์ มันมีเหรอพิจารณาไหม ก่อนที่จะไปเรียนดอกเตอร์มันได้ชั้นไหนๆ ขึ้นไปแล้ว นั่น ถึงไปขั้นดอกเตอร์ อันนี้ก็เหมือนกันก่อนที่จะถึงขั้นปัญญานี้ไปตามลำดับลำดาเรื่อย ท่านจึงบอกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเป็นพื้นฐานแห่งความดีงาม เพื่อความอบอุ่นแก่ผู้รักษาได้ สมาธิคือความสงบเย็นใจ ปัญญาคือความเฉลียวฉลาดเป็นขั้นๆๆ ขึ้นไปปัญญานะ ปัญญาพิสดารมากทีเดียว เป็นขั้นๆ ขึ้นไป
จนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัตินี้เรียกว่าละเอียดแหลมคม รวดเร็วมาก นี่ละศาสนาเซนเอาจุดนี้ไปใช้ บรรลุธรรมในจุดนั้นแล้วก็เลยลืม พวกมาสุดท้ายภายหลังมาลืมเสีย เรื่องศีลเรื่องสมาธิเลยลืมเสีย แล้วไปคว้าเอาปัญญาทีเดียว มันไม่ได้ ปัญญาของศาสนาเซนปัญญานั้นเป็นปัญญาที่ฆ่ากิเลสโดยตรง ปัญญาของเราปัญญาของกิเลสมันเอามาใช้สังหารเจ้าของได้ไม่สงสัย ผู้ถือศาสนาเซนจึงไม่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ใช้แต่ปัญญา ปัญญาขี้หมาเราอยากว่างั้นนะเรา อย่าเอามาอวดนะอวดเรา ว่างี้เลย มันจังขนาดนั้น มันรู้ประจักษ์ขนาดนั้น
นี่เป็นพุทธศาสนา ที่เขาไปตั้งชื่อว่าเซนออกจากพุทธศาสนา เป็นกิ่งก้านสาขาส่วนบนของพุทธศาสนาโดยแท้ อยู่ในพุทธศาสนา เขาก็ไปตั้งเป็นเซน เซนก็เซนไปเถอะ แต่อย่าหลงเซนของตัวเองก็แล้วกัน ส่วนมากมาหลงเซนตัวเองก็เป็นเชือกมาพันขาตัวเอง พิจารณาตั้งแต่เรื่องปัญญาๆๆ ปัญญานั้นกับปัญญาของเรามันต่างกันยังไงบ้าง ปัญญานั้นปัญญาขั้นดอกเตอร์แล้วที่จะสำเร็จแล้ว ปัญญานี้เป็นปัญญาขั้น ก.ไก่ ก.กา เข้าใจไหม อะไรมาก็มีแต่พิจารณาให้เป็นปัญญา มันไม่เป็น ยังไม่ถึงขั้นจะเป็นไม่เป็น เมื่อถึงขั้นเป็นแล้วอย่างที่ปัญญาขั้นนั้นอยู่ที่ไหนก็เป็น
ดังที่เคยเทศน์ให้ฟังแล้ว นี่ละเอามาพูด ถอดออกจากหัวใจมาพูดนะ เรื่องศาสนาเซนศาสนาใดนี้มาพิจารณาเข้ากันได้หมด เป็นธรรมะขั้นใดๆ ของพุทธศาสนา เป็นธรรมะขั้นปัญญาขั้นละเอียด ก็บอกแล้ว นอกนั้นมองไม่เห็น เรื่องศาสนาที่จะรื้อสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ได้เป็นลำดับลำดาคืออันนี้เท่านั้น นอกนั้นไม่พูดถึง แล้วแต่ใครมีสติปัญญาพิจารณาเอา เพราะศาสนานี้เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา รู้บาป บุญ นรก สวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ควรไม่ควร ปัดออกๆ พูดตั้งแต่สิ่งที่เป็นความจริงให้โลกฟัง
ศาสนาของคลังกิเลสมันจะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่พิจารณาเอา กิเลสบงการว่ายังไงก็จะสั่งสอนไปอย่างนั้น ผู้มาเชื่อถือตามนั้นแล้วก็เป็นแบบเดียวกัน เลอะเทอะไปตามๆ กันหมด ดีไม่ดีสร้างบาปสร้างกรรมไปด้วยกันนั่นเลย เพราะอันนี้เป็นโครงการของกิเลสต่างหาก ไม่ใช่โครงการของธรรมจากท่านผู้บริสุทธิ์ ต่างกันอย่างนี้นะ (หลวงตาคะ เซนนี้มาจากคำว่าฌาน คือใช้เพ่งแล้วออกมาพิจารณา เทียบได้กับพวกมาณพ ๑๖ คน เพราะมาณพ ๑๖ คนในสมัยพุทธกาลเป็นประเภทติดอยู่ในฌาน)
เทียบไม่เทียบก็บอกแล้วขั้นปัญญาก็บอกแล้ว จะมาณพ ๑๖ คน ๑๘ คนก็แล้วแต่ ใครมาเข้านี้-เข้านี้หมด ร้อยคนพันคนก็เข้านี้หมด จะว่าอะไรแต่มาณพ ๑๖ คนเท่านั้น มันรวมไปหมดแล้วขั้นนี้ ใครเข้ามานี้แล้วเป็นธรรมะขั้นสูงๆ ที่จะหลุดพ้นได้ตลอดๆ ไปเลย ที่จะถอยไม่มีธรรมะขั้นนี้ มีแต่จะพุ่งๆ เลย ฌานก็แปลว่าเพ่ง ผู้พิจารณาทีแรกนั้นก็จะเพ่งอย่างนั้นบ้างละ คำว่าเพ่งก็คือสมาธินั่นเอง สมาธิจิตจ่ออยู่ตลอดเวลาเรียกว่าฌานหนึ่ง เรียกว่าสมาธิหนึ่ง ดูในนี้มันก็รู้กันหมด ฌาน แปลว่าอะไร แปลว่าเพ่ง สมาธิเพ่งอยู่นั้นเหมือนกัน ท่านให้ชื่อ
ดังที่ว่าพระโคธิกะ ท่านเสื่อมจากฌาน ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เสื่อมจากสมาธิ พูดง่ายๆ ไม่ใช่วัดรอย เหมือนเราเสื่อมจากสมาธิของเรา ฟาดเสียปีห้าเดือนเกือบตาย จนจะสลบไสล เข็ดเสียจนขนาดนั้น พอก้าวขึ้นทีหลังจิตตั้งตัวใหม่ ก้าวขึ้นทีหลังแล้วต้องขีดเส้นตายตัวเองเลย ถ้าหากว่าจิตของเราได้เสื่อมในคราวนี้เราต้องตายเท่านั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ เราก็เชื่อหัวใจเราด้วยนะ มันเด็ดจริงๆ ถ้าว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลย นี่มันไปในทางผิดมันก็ขาดสะบั้นไปได้เหมือนกัน เพราะมันทนไม่ได้ ที่ทนมานี้แสนทน ปีห้าเดือน แสนทุกข์ทรมานคือจิตเสื่อมนะ
เวลาไม่ได้อะไรก็เหมือนเราๆ ท่านๆ ตาสีตาสาหากินอยู่ตามท้องนาเขาก็พอปากพอท้องเขาวันหนึ่งๆ ไม่เหมือนเศรษฐี เศรษฐีมีเงินเป็นล้านๆๆ แต่มาถูกล่มจมด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเสีย เงินแม้จะมีเหลืออยู่ในบ้านในเรือนเป็นแสนๆ ก็ตาม เงินเหล่านี้ไม่มีความหมาย จิตใจจะไปเกาะไปติดไปยึดอยู่ที่เงินที่ล่มจมไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งนั่นแหละ นี่ละผู้นี้ละทุกข์มาก ตาสีตาสาไม่มีเงิน ๑๐ บาท ๒๐ บาทเขาก็ไม่ทุกข์ ไอ้ผู้ที่มีล้านๆ ไปจมเสีย แม้เงินนี้จะเหลืออยู่ในบ้านเป็นแสนๆ ก็ตาม เงินเหล่านี้ไม่มีความหมายนะ มันไปอยู่ที่เสียไป นี่เป็นอย่างนั้น
เราเป็นอย่างนั้น จิตเวลามันสง่างาม มันสว่างไสว มันแน่นหนามั่นคง เราไม่รู้มันจิตเสื่อมได้นะ เพราะสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นก็ไม่รู้จักวิธีปฏิบัติ นึกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเรื่อยๆ ไป บทเวลามันเสื่อมลงแล้วถึงรู้สึกตัวพลิกใหม่ แก้ยังไงก็ไม่ตก ทีนี้ก็มีแต่เจริญกับเสื่อมๆ ตลอดไป ถึงปีห้าเดือนลืมเมื่อไร เดือนพฤศจิกาในปีนี้ เลยเดือนพฤศจิกาปีหน้าไปถึงเดือนเมษา เป็นปีกับห้าเดือน เราไม่ลืม ทุกข์แสนทุกข์แสนทรมาน จิตใจที่เสื่อม อยู่ที่ไหนไม่สะดวกสบายเลย มันสุมอยู่ภายใน ทั้งเสียดายธรรมที่ได้มาแล้ว ทั้ง โอ๋ย พูดไม่ถูกแหละ ฟังแต่ว่ากองทุกข์อยู่นี้หมด
ทีนี้พอตั้งตัวใหม่ได้ขึ้นคราวนี้แล้วจึงได้ขีดเส้นตายให้กันเลย พอขึ้นแล้วๆ ถึงขั้นมันขึ้นแล้วมันจะลงจะลดก็ให้มันลดไปด้วยอำนาจของพุทโธที่ติดแนบ ไม่ยอมปล่อย อะไรจะเจริญจะเสื่อมให้เสื่อมไป แต่พุทโธกับสตินี้เสื่อมไปไม่ได้ ฟัดอันนี้ไม่หยุดไม่ถอยทีนี้มันก็เจริญขึ้นๆ ถึงขั้นมันควรจะเสื่อม เอ้า เสื่อมไปเราไม่สนใจ พุทโธติดแนบตลอด พอถึงขั้นนั้นแล้วมันก็เลยของมัน เลยเรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเป็นที่แน่ใจในตัวเอง ว่าเหล่านั้นเจริญแล้วเสื่อมๆ อันนี้จะไม่เสื่อม ถึงมารู้ อ๋อ จิตของเราที่เสื่อมไปเพราะขาดคำบริกรรม จิตอาจเผลอไผลไปก็ได้ เวลาเจริญแล้วเสื่อมๆ มันจึงมีประจำตัวของมัน เมื่อเอาพุทโธติดแนบตลอดไปเลย ไม่มีถอยมีปล่อยมีวางแล้ว ฟาดมันขึ้นๆ ขึ้นเรื่อยเลย
ก็ดังเคยเล่าให้ฟัง พอก้าวเข้าขั้นนี้แล้วก็ฟาดนั่งตลอดรุ่ง เพราะมันเข็ดมันหลาบ คือ จิตนี้ถ้าหากว่าลงเสื่อมคราวนี้เราต้องตายเท่านั้น เมื่อเรายังไม่ตายจิตเรานี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าว่าเป็นผู้ต้องหาเป็นนักโทษ เอาโซ่มัดคอ จับอยู่ในคอ ไม่ล่ามนะ อันนี้พุทโธหรือสติธรรมเหมือนกับโซ่มัดไว้ไม่ให้ความเสื่อมโผล่หน้าออกมาได้ ฟาดมันจนทะลุของมัน จึงเป็นบทเรียนทั้งหมดเรื่องเหล่านี้ เราทุกข์แสนสาหัสได้ปีหนึ่งกับห้าเดือน ทุกข์เพราะจิตเสื่อมแหมทุกข์จริงๆ แต่ก่อนเราไม่ได้อะไรเราก็อยู่สบายเหมือนโลกทั่วๆ ไป อยู่ธรรมดาๆ สบาย แต่เวลาจิตได้หลักได้เกณฑ์ได้ของแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาแล้ว มาเสื่อมเอาต่อหน้าต่อตา ยังเหลือแต่อีตาบัวเท่านั้น แหมเสียใจมากทีเดียว
เพราะฉะนั้นพอเอาได้คราวนี้แล้วจึงพุ่งเลย เอา ถ้าจิตอันนี้เสื่อมเราต้องตายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ไม่ทนที่จะรับความทรมานต่อไปอีกได้แล้ว ทนไม่ได้แล้วต้องตาย เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่ตายนี้จิตจะเสื่อมไม่ได้ ต้องฟัดกันหนัก ความระมัดระวังทีนี้เอาติดแจเลยไม่ให้เผลอ มันก็ขึ้นได้ซิ นี่ละจำเอาไว้นะ เรื่องจิตเสื่อมแหมทุกข์มาก ทีนี้เวลามันขึ้นไปแล้วก็มารู้ทีหลัง เสื่อมเพราะเหตุนั้นๆ นั่นรู้นะ พอถึงขั้นจะไม่เสื่อม มีแต่ก้าวหน้าก็รู้ๆ เป็นลำดับลำดามา จนกระทั่งอย่างทุกวันนี้มันก็ยังไม่ลืมโทษแห่งความประมาทของตัวเอง ไม่รู้จักวิธีรักษา ปล่อยให้จิตเสื่อมได้ มันก็ฝังใจเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นใครก็ตามถ้าลงจิตเจริญขึ้นไปแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชเรา ต้องรักษาไว้ด้วยสติบังคับ สตินี่ประคับประคองเอาไว้ กิเลสก็ไม่เข้าไม่ออก เผลอสติเมื่อไรกิเลสออกไปหาฟืนหาไฟมาเผาตัวเอง ถ้าไม่เผลอสติรั้งไว้ได้นะ จากนั้นพิจารณาเข้าไปก็เพิ่มเข้าไปๆ
สติเป็นของสำคัญมากการพิจารณา ไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถใด สติเป็นของสำคัญมากทีเดียว ในขณะที่สติมีอยู่กับใจกิเลสจะไม่เกิด เอาพูดยันกันเลย สติตั้งอยู่นั้นกิเลสจะไม่เกิด ต่อจากนั้นสติติดแนบไปเรื่อยๆ มันก็สั่งสมความแน่นหนามั่นคงของใจขึ้นเรื่อย จากนั้นปัญญากระจายออกไปก็ยิ่งเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ สติจึงสำคัญมากทีเดียว ปล่อยไม่ได้นะสติ ไม่ว่าธรรมขั้นใดสตินี้จะปล่อยไม่ได้ เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก ยับยั้งกิเลสทั้งหลายไว้ที่มันจะพาผาดโผนก็คือสติ ถ้าสติได้ติดตัวแล้วมันไม่ผาดโผนแหละ เข้าใจแล้วนะที่นี่ สอนทุกวันๆ วันนี้ก็ว่าจะไม่สอนมาก เอาเสียจนเจ้าของเหนื่อยแล้ว เอาละพอ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |