ตายแล้วถึงมาเชื่อทีหลัง
วันที่ 6 พฤษภาคม 2547 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ตายแล้วถึงมาเชื่อทีหลัง

 

         ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณวัดศรีเมืองนานแล้ว ดูว่ากำหนดพระราชทานเพลิงศพจะเป็นปีหน้าละมั้ง หือ กำหนดหรือยัง (เขาว่าปลายปีนี้เดือนพฤศจิกาฯ ครับ) แล้วเป็นวัดอะไร (วัดจันทร์สามัคคีครับ) อือ ได้ยินว่างั้น ท่านเจ้าคุณวัดศรีเมือง โอ๋ย คุ้นกับเรามาตั้งแต่โน้น เหตุที่จะคุ้นกันก็เราไปพักอยู่ที่หนองคาย วัดทุ่งสว่าง ท่านอาจารย์กู่ท่านอยู่ที่นั่น เราพึ่งมาจากโคราช เพื่อมาให้ทันหลวงปู่มั่นมันไม่ทัน ท่านผ่านไปได้สองสามวันแล้วเราพึ่งมาถึง หมดหวังแล้วเลยไปหนองคาย ไปพักอยู่กับท่านอาจารย์กู่นี่ละ โอ๋ย นานหลายเดือน ได้คุ้นกันกับท่านเจ้าคุณวัดศรีเมือง แต่ก่อนก็รู้จักกันอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้คุ้นกัน ตั้งแต่นั้นคุ้นกันมาตลอดเลย อายุท่านดูเหมือนจะ ๙๖

นิสัยท่านทะเลาะกับใครไม่เป็น นิสัยท่านดีนะ ดีมาก ไม่ถือเนื้อถือตัว เข้าได้หมด ท่านชอบรื่นเริง เข้าได้หมด ไม่มีคำว่าถือเนื้อถือตัว โอ๋ย คุ้นกันมาตั้งแต่วัดศรีเมือง ตอนนั้นเรา ๘ พรรษา ดูเหมือนท่านแก่กว่าเรา ๗ พรรษาหรือไง จากนั้นมาก็สนิทสนมเรื่อย ก่อนนั้นก็รู้จักกับท่าน แต่ยังไม่สนิท ตอนไปพักวัดศรีเมืองนี่สนิท เราพักตั้งแต่ออกพรรษาแล้วจากจักราช รีบมาจะให้ทันท่าน(อาจารย์มั่น) ดูเหมือนจะเดือนพฤศจิกาหรือไง จนกระทั่งถึงเดือนเมษา ปลายเดือนเมษา พฤศจิกาถึงเมษามันสี่ห้าเดือนเราอยู่วัดทุ่งสว่าง จากนั้นก็ออกเลยไปหาหลวงปู่มั่นที่วัดบ้านโคก นามน ตั้งแต่นั้นมาก็สนิทสนมกันเรื่อย

ท่านชอบพูดเล่นพูดหยอก จึงว่าชอบรื่นเริง นิสัยท่านเป็นอย่างนั้น ทะเลาะกับใครไม่เป็นเท่าที่สังเกตดูด้วย คบกันมานานด้วย นิสัยดีจริงๆ นี่ท่านก็ล่วงไปตั้งแต่เดือนอะไรนะ โอ๊ย ไปหาท่าน รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ยกไม้ยกมืออะไร ท่านพูดไม่ได้ มีแต่อ๊าๆ พอเห็นเราไปเยี่ยมท่านดีใจ ดีใจจริงๆ นะ ชี้โน้นชี้นี้ ให้เอาเก้าอี้มามานั่งติดกับที่ท่านนอนอยู่ คุยกัน ท่านก็จับมือจับอะไรต่ออะไร ท่านดีใจมาก ตอนนั้นท่านเพียบมากแล้วแหละ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างท่านดีหมด สติสตังอะไรดีหมด เป็นแต่เพียงว่าพูดไม่ได้เท่านั้น ท่านไม่อยากให้มาง่ายๆ นะ ท่านทำมืออย่างนั้นอย่างนี้ด้วยความดีใจของท่านนั่นแหละ พอไปเยี่ยมคราวหลังนี่ อ้าว ทำอะไรไม่ได้แล้ว เราก็เลยไม่อะไรกับท่านแหละ เพราะจวนเต็มที่แล้ว ท่านไปด้วยความเรียบร้อยทุกอย่าง สงบเรียบร้อยทุกอย่าง ท่านไปด้วยความเรียบร้อย

อายุท่านไม่ต่ำกว่า ๙๖ เรานึกว่าจะเผาที่วัดอรุณฯ ที่มีเมรุมีอะไร ทำเลอะไรกว้างขวางมาก เจ้าคณะจังหวัดก็เลยดึงไปไว้วัดจันทร์เสีย เราก็ไม่ว่าอะไร ท่านชี้แจงเหตุผลให้ทราบ เราไม่ได้ถามแหละ หรือท่านอาจจะได้ยินเราพูดบ้างก็ได้นะ ว่าวัดอรุณฯ มีมงมีเมรุอะไรกว้างขวางมากยิ่งกว่าวัดจันทร์ วัดจันทร์ไม่ค่อยอะไรนัก เราก็ว่างั้น เวลาเราไปเยี่ยมทีหลังก็พบกับเจ้าคุณนี้แหละ ท่านก็เลยพูดชี้แจงถึงเรื่องวัดจันทร์ให้ฟัง อะไรพร้อม อันนั้นพร้อม อันนี้พร้อม ท่านก็ว่าของท่านไป เหมือนหนึ่งว่าท่านจะทราบเรื่องของเรานั่นแหละ เพื่อแก้ข่าวที่เราว่าวัดทุ่งสว่าง เราก็นิ่งเสีย ฟังไป ก็เป็นเรื่องของท่านจะทำ พอใจของท่านเอง เราไม่มีอะไรไปยุ่งท่านทำไม เรามีแต่คอยฟังเหตุผลเท่านั้นเอง

เมื่อวานไม่ทราบมันผิดอะไรไม่รู้นะ เมื่อคืนนี้ก็ถ่าย เราหาเหตุหาผลไม่ได้ เบื่ออาหารมากเมื่อวาน วันนี้ลดลงนิดหน่อยเบื่ออาหาร ไม่ทราบฉันอะไรผิด ผิดก็ผิดเถอะเราไม่มีอะไรกับมันแหละ เล่าให้ฟังเฉยๆ เราไม่ได้มีอารมณ์กับสิ่งเหล่านี้นะ มันจะเป็นอะไรๆ เราก็ไม่เคยมีอารมณ์กับมัน ก็ดูมันแสดงอาการอะไรเท่านั้นเอง เมื่อเราไม่มีอะไรกับมันแล้วจะเป็นทุกข์อะไรกับมันวะ ทุกข์ก็ทุกข์ธาตุทุกข์ขันธ์เฉยๆ ทุกข์ใจไม่มีก็บอกไม่มี พูดให้มันตรงเป๋งเลยว่า ทุกข์ใจนี้ไม่มีตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ ตั้งแต่บัดนั้นทุกข์ทางใจไม่เคยมีเลย มีแต่ธาตุแต่ขันธ์เจ็บนั้นปวดนี้เป็นธรรมดา ที่จะให้เข้าถึงใจนี้ไม่มีทาง มันประจักษ์อยู่ในหัวใจจะไปถามใคร

ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโก จะเป็นผู้รู้เองเห็นเองในจิตใจ นี้ก็เป็นอย่างนั้นมา ไม่เคยมีที่จะเป็นทุกข์ทางใจ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันก็เป็นของมัน การใช้สอยขันธ์ ความคิดความปรุงเกี่ยวกับหน้าที่การงานประโยชน์แก่โลก ก็คิดไปธรรมดาเป็นเรื่องของขันธ์ทำงานไป จิตใจก็เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ที่จะให้ได้รับความทุกข์ความทรมานกับสิ่งเหล่านี้ไม่มี นี่คือคุณค่าแห่งการปฏิบัติธรรมนั่นเองไม่ใช่อะไร เห็นประจักษ์อยู่ตลอด เวลากิเลสค่อยเบาลง ทุกข์ก็ค่อยเบาลงๆ เวลากิเลสหนาแน่นนี่ทุกข์เต็มตัว เวลาชำระกิเลสตัวสร้างทุกข์เบาลงๆ ความทุกข์ก็เบาลงๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งกิเลสหมดไปโดยสิ้นเชิง ความทุกข์ก็หมดไปโดยสิ้นเชิง ท่านจึงว่ากิเลสเป็นต้นเหตุสร้างกองทุกข์ มีมากมีน้อยสร้างตลอด หมดไปเสียไม่มีอะไรมาสร้าง ทุกข์ก็ไม่มี

นี่คุณค่าแห่งการปฏิบัติทาด้านจิตใจมันเห็นชัดเจนนะ เรื่องของทางโลกไปทั่วโลกดินแดนมันก็แบบเดียวกัน ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนกว่ากัน ใครจะว่าบ้านไหนเมืองใดเจริญก็ว่าแต่ปากเฉยๆ  เจริญก็ถือเอาด้านวัตถุเป็นเครื่องหลอกของใจให้เป็นบ้าไปเท่านั้นเอง ว่าบ้านนั้นเจริญ บ้านนี้เจริญ เมืองนั้นเมืองนี้เจริญ มันเจริญแต่สิ่งก่อสร้างต่างๆ หรูหราฟู่ฟ่า หลอกหูหลอกตาคนหลงด้วยกัน ก็เป็นบ้าไปด้วยกัน แล้วก็ตื่นอันนั้นว่าเจริญ แต่ความสุขไม่มีนะ เป็นบ้าอยู่กับข้างนอก ใจไม่เป็นตัวของตัว เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นตัวเป็นของตัว เป็นเครื่องประดับตัว เพราะฉะนั้นใครมั่งมีศรีสุข ไปไหนจึงเป็นผู้มีหน้ามีตาสง่าผ่าเผย คือเอาข้างนอกมาประดับ ไม่ได้เอาธรรมประดับในหัวใจเหมือนผู้ปฏิบัติธรรม

โลกต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องประดับ อยู่ได้ด้วยสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสิ่งเหล่านี้เหี่ยวห่อ เป็นทุกข์ทางใจอีกด้วย ถ้ามีอันนี้แล้วก็เป็นสุขอันหนึ่ง แต่เป็นทุกข์อีกทางหนึ่ง ให้ทุกข์ออกจากใจไม่ยอมละ มันต้องมีของมัน เราจึงสอนแล้วสอนเล่า เรื่องความสุขนี่หาที่ไหนก็ไม่เจอ ถ้าหาทางด้านจิตตภาวนาตามทางของพระพุทธเจ้านี้แล้วเจอ ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ได้ความสงบร่มเย็น และยับยั้งตัวเองได้ ไม่ผาดโผนโจนทะยานจนเกินไป การผาดโผนนั้นเป็นเรื่องของกิเลส เครื่องฉุดรั้งเอาไว้นั้นเป็นเรื่องของธรรม พอยับยั้งตัวเองได้บ้าง หักห้ามตัวเองได้ ความทุกข์ก็ไม่รุนแรง ถ้ามีธรรมยับยั้งเอาไว้แล้วความทุกข์ก็ไม่ค่อยรุนแรง

พยายามฝึกอบรมใจนะ ภายนอกใครก็ดีดก็ดิ้นด้วยกัน ไม่ทราบว่าฝึกแบบไหนๆ จะเป็นจะตายด้วยกันแล้วสอนกันหาอะไร ภายนอกต่างคนต่างดิ้นอยู่แล้ว กิเลสมันฝึกให้เป็นขนาดนั้น ให้เป็นเหมือนกันหมด ความอิ่มพอไม่มีในกิเลส เพราะฉะนั้นถึงว่าเราจะหาความสุขหาที่ปลงใจหาไม่ได้นะ ทั่วแดนโลกธาตุหาไม่เจอกันทั้งนั้น เต็มโลกนี้พูดได้อย่างชัดเจนเลย ไม่มีใครหาความสุขได้ ต่างคนต่างดิ้นหาความสุขทั่วโลกดินแดน แล้วต่างคนก็ว่าบ้านนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ อะไรเจริญ ผลิตอะไรขึ้นมาใช้ว่าเจริญๆ มันเจริญอะไร ก็กิเลสพาทำ กิเลสพาดิ้น จะเอาความสุขมาจากไหน ถ้าธรรมพาดิ้นมี ดิ้นหนักเท่าไรยิ่งฟัดกิเลสหนักเข้า ความทุกข์ก็ยิ่งเบาลงไปๆ

ทีนี้เวลาปลงได้ก็มาปลงที่ใจ มันเริ่มได้จุดตั้งแต่จิตสงบ จิตเป็นสมาธิ นี่เริ่มเป็นตัวของตัวขึ้นมา ข้างนอกก็รู้ ข้างในก็รู้ เริ่มรู้ แต่ก่อนไม่รู้ ไปรู้แต่ข้างนอก เอาข้างนอกมาเป็นใหญ่เป็นโตไปเสียหมด จิตเลยหมอบอยู่กับสิ่งทั้งหลายด้วยอารมณ์ของจิตไปยึดไปเกาะ แล้วก็มาทับหัวใจเจ้าของนั่นแหละ ทีนี้เวลาฝึกฝนอบรมจิตใจมากเข้าๆ ความสงบของใจค่อยรวมตัวเข้ามาๆ ด้วยอำนาจแห่งธรรม ก็ค่อยมีจุดมีดอนละ ถ้าเป็นแม่น้ำก็มีเกาะ มีจุดมีดอนเป็นที่พักผ่อน ถ้าเป็นทุ่งกว้างๆ ก็มีร่มไม้เป็นที่พักอาศัย นี่ละผู้อบรมจิตใจเป็นอย่างนั้น แล้วอบรมจิตใจมีความสงบเท่าไร เย็นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นเกาะเป็นดอนแน่นหนามั่นคง เรื่องภายนอกจิตค่อยปล่อยกังวลเข้ามาๆ แล้วก็มารวมอยู่ที่จิตดวงเดียวเป็นความสุขความสบาย ความสงบเย็นใจ แล้วค่อยเป็นตัวของตัวขึ้นมา นี่เรียกว่าหาความสุขเริ่มเจอแล้ว

หาได้มากเท่าไรๆ ข้างนอกไม่ต้องบอก ที่มันเที่ยวแบกอยู่รอบจักรวาลมันปล่อยเข้ามาเองเพราะสู้อันนี้ไม่ได้ ความสุขสู้อันนี้ไม่ได้ หามาแต่วันเกิดไม่เคยเจอ พอเจอนี้ปั๊บจับปุ๊บ ด้วยเหตุนี้เองที่เราเคยพูดว่า จิตเสื่อมนี้แหมเหมือนตกนรกทั้งเป็น คือไม่มีที่ปลงเลย เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ภายในใจ ร้ายยิ่งกว่าคนที่เขาไม่เคยเป็นสมาธิ ไม่เคยสงบเสียอีกนะ ร้ายกว่าจริงๆ พอฟิตกันได้ ตั้งได้คราวหลังนี่จึงเอาหมัดตายให้กันเลย มันเข็ดขนาดนั้นละ ตั้งขึ้นได้แล้วถ้าจิตเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย ดูว่าจะเป็นอื่นไปไม่ได้นะ เพราะจิตมันเด็ดของมันจริงๆ มันเด็ด ทางผิดมันก็เด็ดได้อย่าว่าแต่ทางถูก มันเด็ดได้ทั้งผิดทั้งถูก

ถ้าจิตของเราเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย เราไม่กล้าที่จะทนทุกข์ทรมานต่อไปอีกแล้วดังที่เคยเป็นมาจากจิตเสื่อม เพราะฉะนั้นจึงเน้นหนัก ฟัดกัน โอ๋ย นักโทษเอาโซ่มัดคอเลย ไม่ได้ล่ามโซ่นะ มัดคอเลย นี่ก็เหมือนกันเอาอรรถเอาธรรมมัดคอความเสื่อมไม่ให้มันเสื่อมได้เลย จนกระทั่งตั้งขึ้นได้ๆ จากนั้นก็นั่งตลอดรุ่ง เร่งใหญ่เลยเทียวนะเพราะเคียดแค้น นี่ละมันไม่เสื่อมเลยขึ้นถึงขั้นนั่งตลอดรุ่งได้ เห็นความอัศจรรย์ในจิตใจทุกคืนๆ ที่นั่งตลอดรุ่งได้ ถึงแดนอัศจรรย์ทุกคืน มันก็ยิ่งเร่งของมัน เพราะฉะนั้นถึงว่าก้นแตกไม่มีความหมาย ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย ยังจะนั่งอีก ก็เลยพ่อแม่ครูจารย์มารั้งเอาไว้ ท่านกระตุกใหญ่โต เราไม่ลืม กระตุกเรื่องจิตเรื่องกิเลส เหล่านี้ไม่มีใครสอนอย่างนั้น

พอท่านกระตุกเรื่องฝึกม้านั่น มันก็เข้ากันได้กับเราฝึกตัวเอง แต่เขาฝึกม้า พอม้าค่อยลดพยศลงการฝึกทรมานเขาลดลงๆ ท่านอธิบายให้ฟัง ทีนี้เราไม่เป็นอย่างนั้น ม้าตัวอยู่ข้างในความคึกคะนองของมันลดลงๆ ทางนี้ยิ่งหนัก ทรมานยิ่งหนักเข้าไป ท่านขนาบเอาซี แต่ก็ลงท่านทันทีนะ พอท่านกระหนาบเอาวันนั้นแล้วตั้งแต่นั้นมาไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีก ถ้าหากท่านไม่เอาใหญ่วันนั้นมันยังจะเอาอีก คิดดูซิก้นแตก ก้นแตกไม่สำคัญถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย นู่นน่ะมันจะเอากิเลสให้แตก เจ้าของจะตายมันไม่ได้ว่า

พูดถึงเรื่องจิตมันได้หลักได้เกณฑ์ๆ มาเป็นลำดับลำดา ข้างนอกหดเข้ามา ที่มันไปยึดไปอะไรมันเป็นเองนะ คืออันนี้เป็นเครื่องดึงดูด ความสุขอันนี้ดึงดูด ความกังวลเบาลงๆ ไม่ยุ่งกับอะไร ทีนี้คอยดูตั้งแต่จิตที่มันจะสร้างเหตุขึ้นมา ส่วนภายนอกไปจากสร้างเหตุ จิตไปคิดโน้นคิดนี้ มารู้ต้นตอของความคิดมันก็ไม่ออกไป เราก็หายกังวลๆ จิตเข้าไปจนกระทั่งดีดเลยเทียว พอเวลาความสุขความแปลกประหลาดอัศจรรย์เต็มหัวใจแล้ว เลยไม่รู้จักวันจักคืน การประกอบความพากเพียรเป็นความเพียรอัตโนมัติไปเลยเทียว ความเพียรก็เป็นอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติตลอดๆ จนกระทั่งก้าวเข้ามหาสติมหาปัญญา หมุนติ้วเลยนะนั่น

เวลาได้เห็นโทษของวัฏจักรมันเห็นขนาดนั้น ไม่ได้หลับได้นอน กลางคืนฟาดตลอดรุ่งๆ มันไม่ยอมหลับ ซัดกับกิเลสตลอด กลางวี่กลางวันอีกที่ควรจะพักผ่อน มันก็ไม่ยอมพักผ่อนอีก มันยังจะหมุนกันตลอด มันจะตายแล้วนะ นั่นละเวลามันเห็นโทษของการเกิดตาย ความทุกข์ความทรมานทั้งหลายอยู่กับการเกิดการตาย เวลาเห็นโทษมันเห็นขนาดนั้นเต็มหัวใจ ทีนี้เห็นคุณก็อีกแหละเท่ากัน เห็นคุณ เห็นคุณในการที่จะหลุดพ้นไปเสียจากกองทุกข์เหล่านี้ เห็นคุณของธรรม มันก็ยิ่งดีดๆ กิเลสก็ละเอียดลงไปๆ บางทีจนเงียบไปหมด

อันนี้พูดตามที่เราดำเนินมา แต่ไม่ใช่เป็นความสำคัญจริงๆ นะ เวลาพิจารณาตรงไหนมันก็เงียบไม่มีอะไรเหลือเลย มีแต่ธรรมสง่างามอยู่ตลอด เรื่องกิเลสตัวไหนที่จะยิบแย็บขึ้นมาให้เห็น คุ้ยเขี่ยที่ไหนก็เงียบๆ มันไม่ใช่เป็นความสำคัญ ลักษณะนี้ไม่ใช่มันเป็นพระอรหันต์น้อยแล้วหรือ ว่าให้เจ้าของ แต่ไม่ได้ตายใจนะ ว่าเฉยๆ ค้นหากิเลสตัวไหนมันก็ไม่มีๆ คือมันละเอียดมาก มันไม่กล้าโผล่ โผล่ขึ้นมาขาดสะบั้นเลย นี่ละธรรมอัตโนมัติฆ่ากิเลส ฆ่าอัตโนมัติอย่างนี้ เหมือนกิเลสทำลายสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติของมัน ตื่นขึ้นมาคิดแล้วเรื่องกิเลสวันยังค่ำกระทั่งนอนหลับ ระงับกันด้วยการหลับนอน ถ้าไม่มีการหลับนอนตายง่ายทีเดียวมนุษย์เรา

อันนี้เวลามันจะเป็นจะตายจริงๆ ก็มาระงับด้วยการหลับการนอนเสีย นี่เป็นอัตโนมัติ กิเลสมันหมุนของมันอย่างนี้ตลอด ไม่ว่าจิตดวงใดเหมือนกันหมด ทีนี้เวลามาปฏิบัติธรรม ที่ว่าจิตดวงไหนเหมือนกันหมดคือเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่นี้ปฏิบัติธรรมซิ เวลาสั่งสมธรรมขึ้นจนกระทั่งธรรมมีกำลัง มีกำลังจนกระทั่งถึงกิเลสโผล่มาไม่ได้ กำลังของธรรมนี่เป็นอัตโนมัติ สติก็เป็นอัตโนมัติ ปัญญาเป็นอัตโนมัติ ความเพียรหนุนตลอดเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน จนกระทั่งถึงบางที หือ นี่ไม่ใช่มันเป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ หากยังไม่สำคัญตนแหละ ค้นที่ไหนมันก็ไม่เจอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ

นี่เราพูดถึงเรื่องธรรมเป็นอัตโนมัติ ถึงขั้นธรรมเป็นอัตโนมัติเหมือนกันกับกิเลสเป็นอัตโนมัติ ไม่งั้นฆ่ากันไม่ได้ เมื่อได้ธรรมแล้วมันก็มีเครื่องเทียบกัน เวลากิเลสเป็นอัตโนมัติใครไปรู้ในโลกอันนี้ กิเลสเป็นอัตโนมัติสร้างทุกข์ขึ้นในหัวใจของสัตว์ ไม่มีใครรู้นะ เวลาปฏิบัติธรรม ธรรมเป็นอัตโนมัติ จนกระทั่งฆ่ากิเลสขาดสะบั้น ตามรู้หมดเลย อ๋อ ในวัฏวนนี้กิเลสเป็นอัตโนมัติ สร้างวัฏจักรให้สัตว์โลกทั้งหลายวัฏวน ทีนี้เรื่องธรรมวิวัฏจักรมีกำลังแล้ว ธรรมก็หมุนกลับๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลยถึงจะยุติ เรียกว่าธรรมเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ จนกระทั่งกิเลสขาดไปหมดแล้วก็ระงับเอง ไม่มีใครบอกใครบังคับ

สติปัญญาที่หมุนติ้วๆ นั้นพอกิเลสขาดปั๊บลงไปเท่านั้นหมุนหาอะไร แน่ะ มันก็ระงับเอง ความพากความเพียรเพียรหาอะไร มันรู้เองอยู่ในนั้นแหละ นี่เราแยกมาพูดเฉยๆ ระงับลงไปด้วยกันหมด ข้าศึกของวัฏจักรได้สิ้นสุดลงไปแล้วในขณะนี้มันก็ทราบชัด ข้าศึกของวัฏจักร การเกิดตายๆ มากี่กัปกี่กัลป์มาประมวลลงได้ในจุดนี้ ขาดสะบั้นหมดแล้ว แต่นี้ต่อไปจะไม่เกิดอีกแล้ว จิตสิ้นสุดเรื่องทุกอย่าง นี่คือการปฏิบัติธรรม จะไม่ได้อย่างนี้ก็ตาม ธรรมเป็นเครื่องบำรุงรักษาเราให้มีความสงบร่มเย็นมีอยู่ตลอด ขอให้บำเพ็ญ แต่ถ้าไม่มีเราจะหวังเอาความสุขดังโลกทั้งหลายหวัง เขาหวังเราก็หวัง เขาทุกข์เราก็ทุกข์ แต่ไม่สมหวังด้วยกันนั่นแหละ ถ้ามีธรรมแล้วสมหวัง ไม่มากก็น้อยเป็นลำดับลำดาไป

เราจวนจะตายแล้วก็ยิ่งเปิดออกมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพราะเราไม่มีอะไรกับโลก ใครจะมาตำหนิติเตียนฟ้องร้องอะไรๆ เราก็ไม่มี มีแต่สลดสังเวชกับมันแสดงฤทธิ์ของมันกิเลสเท่านั้นเอง เราไม่มีอะไร อยากฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็เฉยเสีย ไม่ใช่เรื่องของเรา มันเรื่องของเขา อย่างที่เขามาว่าหลวงตาบัวอยู่ในป่าแล้วอวดอุตริมนุสธรรม ว่าตัวเป็นพระอรหันต์ มันหยาบขนาดไหนมันก็เห็นชัดเจนคนที่มาว่า เราเป็นอย่างไรกับที่เขาว่า พูดให้ชัดจะแจ้งเลย มันจ้าครอบโลกธาตุอยู่นี้เอาอะไรมาอวดอุตริ ของจริงแท้ๆ เอามาสอนโลก พระพุทธเจ้าเอาของจริงมาสอนโลก สาวกทั้งหลายเอาของจริงมาสอนโลก เราก็ปฏิบัติธรรม รู้ธรรมอย่างเดียวกัน เอาของจริงอย่างเดียวกันมาสอนโลก แล้วอวดอุตริมนุสธรรมที่ไหน

ใครจะว่าจะฟ้องอะไรก็ตาม มันไม่สะทกสะท้าน มันจ้าอยู่งั้น เข้าใจไหมล่ะ นี่เหรอเป็นปาราชิกน่ะ อวดอุตริมนุสธรรมนี้เหรอเป็นปาราชิก ปาราชิกอย่างเรานี้เป็นเท่าไรยิ่งดี เอ้า ทำให้ดีนะ ปาราชิกอย่างนี้เราเอาตัวของเรายันเลย ปาราชิกอย่างนี้ให้เขาฟ้องกันไปทั้งโลกธาตุวัฏจักรนี้ ให้มันฟ้องมา ปาราชิกของเราเหยียบหัวมันไปเรื่อยเข้าใจไหม ปาราชิกไม่มีโทษ ปาราชิกไม่มีภัย ปาราชิกเหนือสมมุติ เขาว่าอะไรก็ให้ว่าไปซิ นี่เราเอามาเทียบกัน อย่างเขาว่าเขาตู่เราก็ฟังดู เหมือนหมาเห่าภูเขานั่นแหละ เห่าว้อกๆ ภูเขาก็เป็นภูเขา เหมือนหมาเห่าฟ้า ธรรมชาตินั้นไม่เข้าออกกับใครเลย

ที่ว่าเราเรี่ยไรอย่างนี้ก็เหมือนกัน คือมีตั้งแต่เรื่องหนักๆ ที่สร้างใส่ตัวเอง เพื่อให้ประชาชนเขาเชื่อถือแล้วจะได้ฆ่าหลวงตาบัวลงเสีย เอาหลวงตาบัวลงเสียจากความเคารพนับถือ เขาไม่เคารพนับถือแล้ว ทางมหาภัยก็เข้ามาเหยียบได้ง่ายๆ  ความหมายว่างั้น เหมือนอย่างว่าเรานี้เป็นก้างขวางคอเขาอยู่ เขาก็จะพยายามตีตรงนี้ พอตีตรงนี้ขาดลงแล้วเขาก็เหยียบไปเลย คนทั้งประเทศไม่มีความหมาย เขาว่างั้น มันสำคัญอยู่ตัวนี้แหละ ถ้าว่าขวางก็ตัวนี้ขวาง ถ้าว่าก้างขวางคอก็ตัวนี้เป็นก้างขวางคอ ไม้ค้ำคางก็ตัวนี้แหละ ไม้ค้ำคางว่างี้เลยนะ ฆ่าตัวนี้ไปแล้วใครจะไม่มาทำลายอะไรๆ ได้ แล้วกลืนได้สบาย เพราะฉะนั้นมันถึงโจมตีทุกแบบ เข้าใจไหม

ว่าเรี่ยไรไม่ได้รับอนุญาต ผิดพระวินัยด้วย ผิดกฎหมายอาญาด้วย ไม่ใช่เล่นๆ ว่าหลวงตาบัวเที่ยวเรี่ยไรไม่ถูกตามพระวินัย พระวินัยท่านว่ายังไง ถ้ามันเรียนพระวินัยมันก็รู้พระวินัย มันว่าอย่างนั้นเราก็รู้แล้วพระวินัยเรามีใช่ไหมล่ะ แน่ะ เราเรี่ยไรอะไร ถ้าว่าเรี่ยไร เรี่ยไรเพื่อตัวเองปรับอาบัติ นั่น ถ้าเพื่อส่วนรวมไม่ปรับ นี่อันหนึ่ง ยังมีอีกแง่ที่สาม เราเรี่ยไรใครที่ไหน แม้ส่วนรวมเราก็ไม่เคยเรี่ยไรพูดตามหลัก บ้านเมืองเราจะล่มจะจม ต่างคนต่างรับผิดชอบในบ้านเมืองของตน แล้วจะจมไปทั้งประเทศ มันก็ต้องมีผู้ประกาศออกมา ให้เห็นโทษของความทุกข์ความจน ความที่จะล่มจมลงทะเลหลวง เราประกาศออกมา นี่บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ๆ จะทำยังไง จะช่วยกันวิธีไหน ก็ประกาศออกทั่วโลกดินแดน ไปเรี่ยไรใครใช่ไหมล่ะ

เพราะต่างคนต่างรับผิดชอบในชาติของตน ก็ประกาศให้รู้ ให้ต่างคนต่างขวนขวาย วิธีใดที่จะยกชาติขึ้นได้ เอานะ จากนั้นเราเป็นหัวหน้าในการอุ้มชาติ เอ้าฟาดกันทั้งประเทศไทย แล้วเราไปเรี่ยไรใคร ใช่ไหม ก็ประกาศให้ทราบทั้งประเทศในนามของคนไทยของเราที่เป็นเจ้าของของชาติ ก็ประกาศให้ทราบทั่วถึงกัน แล้วไปเรี่ยไรที่ไหน แน่ะถ้าแยกไปอย่างนั้นมันก็ไม่มีอีก แล้วขนของขึ้นมาจากการประกาศนี้ ทองคำก็ ๑๐ ตันกว่า ดอลลาร์ก็ ๑๐ ล้านกว่า เงินสดนี้ออกทั่วประเทศ เป็นยังไง เป็นโทษหรือเป็นคุณฟังซิน่ะ มันยังหลับตามาพูดได้ ผู้มันหนา-มันหนาขนาดนี้นะ เราสลดสังเวชในคำพูดเหล่านี้มากยิ่งกว่าเราจะมาคิดถึงเรื่องของเรา เรื่องของเราเราไม่คิดแล้วละ เพราะการดำเนินนี้เราดำเนินด้วยอรรถด้วยธรรม หลักพระวินัยหลักธรรมแนบข้างไป ดำเนินไปตรงกลาง เราจะไม่ให้ผิดทั้งธรรมและพระวินัย นำพี่น้องทั้งหลายมาจนกระทั่งถึงวันยุติ ผ่านมาแล้ววันที่ ๑๒ เมษา เราก็ไม่เคยตำหนิติเตียนตนว่าเราพาพี่น้องทั้งหลายดำเนินผิดทางไปตรงไหน ไม่เคย ถ้าว่าธรรมก็ไม่เห็นมีผิดตรงไหน พระวินัยเราก็รักษาวินัยอยู่แล้ว ผิดตรงไหนเราก็รู้ทันที

อย่างที่ว่าเรี่ยไร วินัยเรามีอยู่แล้ว เรี่ยไรเพื่อตัวเองปรับอาบัติ เรี่ยไรเพื่อส่วนรวมไม่ปรับ อันนี้ที่ว่าเรี่ยไรไม่ได้ไปเรี่ยไรใช่ไหม เราประกาศก้องด้วยนะ ของคนไทยเราซึ่งเป็นเจ้าของของชาติไทยเราให้รู้ตัว เวลานี้บ้านเมืองของเราจะจม เอา ฟิตขึ้นๆ ก็เท่านั้น แล้วเรี่ยไรอะไร มันน่าขบขันเอามากนะ พวกนี้เกิดมาดูจะไม่มีธรรมติดใจเลยนะ จะมีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลา อย่างที่มาว่าให้เรา แทนที่จะได้ความดิบความดีไม่ได้นะ มีแต่ไฟเผาหัวอก ไอ้เราที่ถูกโจมตีนี้แทนที่ไฟจะมาเผาเพราะเขามาจุดเรานี้ เราไม่เห็นมีอะไรนะ

พี่น้องทั้งหลายให้ทราบเสีย ให้พากันตั้งเนื้อตั้งตัว ให้ตื่นตัวทุกคน เวลานี้พวกจอมปลอม พวกมหาภัยเข้าแทรกทุกแห่งทุกหนเป็นตาสับปะรด ออกมาใต้ดินก็มา ออกมาเหนือดินก็มา มีแต่เรื่องต้มตุ๋น เรื่องหลอกเรื่องลวงให้เขาเชื่อ แล้วจะได้มาเป็นเครื่องมือของตัวเอง เหยียบย่ำทำลายชาติของตัวเอง เข้าใจไหม คนโง่เชื่อนะที่เขามาโฆษณาป้างๆ ด้วยความจอมปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ นั้นแหละ แต่คนที่มันโง่เขลาเซ่อๆ ซ่าๆ มันจะไปติดเบ็ดเขาเกาะปากนะ ไม่จริงมันก็บอกว่าจริง หลอกล่ออย่างที่ว่าหลวงตาบัวเป็นปาราชิก หลวงตาบัวเรี่ยไรเงิน พิจารณาซิท่านทั้งหลาย บางคนมันก็จะคิดไปได้หลวงตาบัวเป็นจริงๆ นี่เสียไปแล้ว เป็นเครื่องมือของเขาแล้วใช่ไหมล่ะ เพียงเท่านี้ก็พอทราบได้ เวลานี้มีอยู่ทุกหย่อมหญ้านะ

ท่านทั้งหลายอย่านอนใจ นี้เป็นภาษาธรรม เราไม่ได้เป็นภาษาหลอกลวงดังที่มันมาหลอกลวงโลกอยู่เวลานี้ เราพูดอย่างตรงไปตรงมา ให้พากันฟังให้ดี เรานำพี่น้องทั้งหลายจนฟื้นฟูขึ้นมาเป็นความสงบร่มเย็น เรานำโดยธรรม พูดโดยธรรม สอนโดยธรรม ไม่มีอะไรผิด นี้ก็สอนโดยธรรม ไม่มีอะไรผิด พากันนำไปคิดนะ อย่าหดหัวอยู่ในกระดอง เดี๋ยวเขาจะตีกระดองแตกไปหมด เราจวนจะตายแล้วเราเตือนไว้ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราตายแล้วถึงมาเชื่อทีหลังเราไม่เล่นด้วย เชื่อเดี๋ยวนี้เอาเดี๋ยวนี้ซี พระพุทธเจ้าตายแล้วจึงมาบำเพ็ญสำเร็จอรหันต์ มันฟังได้หรือ เอาซิพระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง เอาตรงนั้นซิ พระสาวกทั้งหลายเป็นพระสาวกอรหันต์ พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ นั่นผู้เอาตามพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น

เสี้ยนหนามเต็มประเทศไทยเราเวลานี้ ให้พากันต่างคนต่างตั้งอกตั้งใจ บอกตรงๆ ว่าอย่าเชื่อ เพราะจอมปลอมทั้งหมด เราได้ตรวจดูแล้วทุกสิ่งทุกอย่างสำนวนที่ออกมา มีแต่สำนวนหลอกลวงโลกทั้งนั้น ไม่ได้เอาของจริงอะไรมาสอนโลกเลยนะ มีแต่หลอกลวงโลก เพื่อจะกว้านเอาโลกมาเป็นเครื่องมือแล้วกลืนโลกได้ง่าย เหยียบชาติไทย ศาสนาไทยให้จมลงได้ง่ายดาย ทีนี้มันจะเอาอะไรมาแทนฟังซิน่ะ จมูกโด่งๆ เด่งๆ นั่นตัวนายใหญ่มัน พวกมันก็มาเหยียบหัวเรา จมูกโด่งๆ เด่งๆ มาเหยียบหัวมัน แล้วชาติไทยเราก็จม จำเอานะ พวกนี้พยายามจะทำลายชาติไทยทั้งชาติ ศาสนาทั้งหมด เฉพาะอย่างยิ่งผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในธรรมวินัย คือพระกรรมฐาน จะเอาให้แหลกไปเลย ถ้าพวกนี้หมดไปแล้วศาสนาไม่ต้องบอก หมดเอง เวลานี้พวกนี้ต้านทานเอาไว้ เข้าใจเหรอ พากันจำเอาทุกคนนะ

นี่มันเป็นเจตนาดีไหม เพื่อจะทำลายชาติ ทำลายศาสนาของพี่น้องชาวไทยเรา ที่รักที่เทิดทูนสุดหัวใจมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แล้วจะให้พวกนี้มาเหยียบย่ำให้จมลงในทะเลต่อหน้าต่อตา ทั้งชาติทั้งศาสนานี้เป็นไปได้เหรอหัวใจคน อย่างเขาเอาพ่อกับแม่ไปประหารชีวิตต่อหน้าเรานี่เป็นไปได้ไหม เราจะนั่งดูพ่อกับแม่ที่เขาเอาดาบประหารชีวิตต่อหน้าเรานี่ เราเป็นลูกเข้าใจไหมล่ะ นี่พ่อ นี่แม่ เราเป็นลูก นี่ชาติ นี่ศาสนา เขาเอามีดตัดคอพ่อตัดคอแม่ เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เข้าใจเหรอ พูดยกขึ้นมาเป็นภาพพจน์ ถ้าเป็นหลวงตาบัวแล้ว โอ๋ย คอขาดเลยทีเดียวละ ยังไม่ถึงพ่อถึงแม่เราละ คอมันขาดก่อน คอมันไม่ขาดคอเราขาดก่อนเลย คอพ่อคอแม่จะต้องให้ยังเหลือ นู่นฟังซิ คอเราไม่มีเสียดายเลย เอาเลยเทียว คอมันไม่ขาดคอเราขาดทันที ที่จะให้มองดูตาปริบๆ เขาฟันคอพ่อฟันคอแม่ขาดนี้เป็นไปไม่ได้

เอา ท่านทั้งหลายเทียบซิน่ะ พ่อกับแม่คืออะไร เวลานี้เป็นยังไง เขากำลังจะเอาดาบมาฟัน เอาอะไรมาฟัน เล่ห์เหลี่ยมของดาบมันร้อยสันพันคม มันมาหลายเล่ห์หลายเหลี่ยม มีแต่เล่ห์เหลี่ยมที่จะตัดคอของชาติของศาสนาเรา ที่รักสงวนเทิดทูนเต็มหัวใจนั้นแหละ ให้ขาดสะบั้นลงไป ท่านทั้งหลายพอใจให้เขาทำเหรอ ไม่พอใจอย่าเชื่อนะ เชื่อเป็นจม มีเท่านั้นแหละ เพราะกลเหล่านี้เป็นกลหลอกลวงทั้งหมด บอกตรงๆ ตั้งแต่เริ่มแรกที่พระออกไปชำระกัน ชำระสิ่งสกปรก สิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่จะมาทำลายชาติทำลายศาสนานั่นเอง ที่ไปชำระกัน อันนี้ออกทุกแห่งทุกหนก็เป็นแบบเดียวกัน ให้จำเอานะ จำแล้วยัง อยู่ในศาลานี้ได้ยินไหม เหอ จำให้ดีนะทุกคน โห มันทุเรศเอาเหลือเกิน เอาละวันนี้เท่านี้พอ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com  หรือ  www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก