เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
จ้าครอบโลกธาตุนี่เหรอปาราชิก
วันนี้เห็นว่ามีเวลาบ้างพอสมควรก็เลยจากนี้ก็ไปปฐมเจดีย์ แต่เข้าจุดกลางไม่ได้ เขากำลังซ่อมอยู่ เขาห้ามคนเข้า เขากำลังซ่อมอยู่สองแห่ง ข้างในก็มี ข้างนอกก็มี เราก็เลยไม่ได้เข้า ดูแต่รอบนอก ๆ คนโหยเต็มไปหมด ยั้วเยี้ย ๆ แต่สำคัญที่ใครมองเห็นที่ไหนมันรู้หมด รู้เรานะ ผ่านไปที่ไหนมันรู้ทั้งนั้น จำได้เลยกับทีวี คือทีวีละเป็นพยาน พอมองเห็นเราปั๊บจับปุ๊บเลยทันที วันนี้ก็ไม่ค่อยรุมอะไรมากนัก คนมากก็ไม่ค่อยรุม เขาก็รู้ของเขา ไหว้เป็นธรรมดาของเขา เราก็ไปดูนั้นดูนี้ไป ไม่เคยไป ไปดูวัตถุสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ อยู่ในเจดีย์นั้น มีแต่วัตถุทั้งนั้น เราจะเข้าไปจุดศูนย์กลางลึกเข้าไปนั้นเขาปิด เขาไม่ให้เข้า เขากำลังทำการซ่อมอยู่ว่างั้น เราก็เลยไม่เข้า
นั่นละมันต่างกันนะ ทางป่ากับทางบ้านต่างกัน วัดป่ากับวัดบ้านต่างกัน จะเรียกว่าวัดเหมือนกันก็ตามแต่ไม่เหมือนกัน คือวัดบ้านเต็มไปด้วยวัตถุ สิ่งต่าง ๆ มีแต่วัตถุเลยกลายเป็นให้เพลินไปทางวัตถุ ลืมศีลลืมธรรมไปหมด นั่นเรียกว่ากิเลสตีตลาด นี่เราพูดตามธรรมนะ เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามอะไร เราพูดถึงเรื่องความต่างกัน วัด ส่วนมากจะมีแต่ด้านวัตถุให้คนชมคนดูไปตามนั้น ไปที่ไหนมีแต่วัตถุ เครื่องรางของขลังอะไรเต็มไปหมด แต่เวลาดูแล้วไม่ทราบว่าใครขลังไม่ขลังนะ ต่างคนต่างยุ่งด้วยกัน เวลามาเอาความจริงแล้วไม่ทราบว่าใครขลังใครไม่ขลัง โลเลไปอย่างนั้น พูดให้มันชัดเจน
ก่อสร้างสดสวยงดงามเท่าไร ยิ่งเป็นเรื่องขลัง เป็นที่เกรงขามไป นี่ละคือกิเลสมันจะเข้าตีตลาดแทรกไปหมด นี้ก็ไม่มีใครพูด อันนี้พูด มันรู้จริง ๆ ไม่ให้พูดได้ยังไง นั่น จะว่าบอดก็บอดซี ก็เรามันไม่บอด ว่างั้นเลยมันเห็น นอกจากจะพูดหรือไม่พูด แล้วเวลาเทียบเคียงก็ได้สัดได้ส่วนทันที ๆ เลย ทางด้านวัดบ้านนิยมกันทางด้านวัตถุ ไม่มีที่ยึดที่เกาะก็เอาวัตถุมายึดมาเกาะกัน ประชาชนก็เข้าไปเกี่ยวข้องในนั้น พอเหมาะพอดีกันกับจิตใจประชาชน
อันนี้ทางป่าท่านไม่มี นี่ที่ต่างกันนะ ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมมากเท่าไรท่านยิ่งไม่มี วัตถุไม่มี มีแต่นามธรรม ด้วยธรรมเครื่องชำระกิเลสล้วน ๆ ๆ ที่พักที่อยู่ของท่าน โลกเขาที่อยู่หรูหราฟู่ฟ่าไปดูแล้ว พูดให้มันเต็มยศเขาว่ามันน่าเกลียดที่ของพระอยู่ มันไม่น่าอยู่เหมือนที่ของเขา ที่ในสายตาของธรรมละน่าเกลียด เข้าใจไหม มันน่าเกลียดไปคนละแบบ เรื่องของกิเลสตกแต่งให้สดสวยงดงาม เอาไม่มีสิ้นสุดนะ ดูซิพื้นนี่ปูแล้วยังไม่แล้ว ยังเอาอะไรมาทาให้ออกสีออกแสงแพล็บ ๆ ๆ นี่ถือว่าสวยงามที่สุด ทางกิเลสเดินมันเดินอย่างนี้ วัฏวนมันเดินเดินอย่างนี้
ไปที่ไหนแม้ที่สุดในห้องน้ำ โอ้โห ตกแต่งสดสวยงดงาม ขัดถูให้สะอาดสะอ้านที่สุดเลย ให้เป็นของสวยของงามไปหมด ของมีค่ามีราคา กลบตัวของมันเองคือกิเลส มันหาค่าหาราคาไม่ได้มันต้องเอาสิ่งเหล่านี้ประดับ สำหรับคนมีกิเลสแล้วก็เพลินไปตาม อย่างนั้นแหละ ทีนี้เอาสายตาของธรรมจับเข้าปั๊บ สะอาดเท่าไร ๆ ในสายตาของธรรมสกปรกสุดยอด นั่น เพราะเหตุไรทีนี้ ธรรมเป็นยังไง ความสะอาดของธรรมเป็นยังไงถึงได้มาตำหนิสิ่งเหล่านี้ว่าสกปรกสุดยอด ฤทธิ์เดชของกิเลสมันแสดงฤทธิ์ของมันได้เต็มสัดเต็มส่วนอย่างนี้ เอาสายตาของธรรมจับปั๊บมันก็เห็นได้อย่างชัดเจน เรียกว่ามันสกปรกสุดยอดในสายตาของธรรม
นี่ละพระพุทธเจ้าท่านทรงท้อพระทัย ในการจะสั่งสอนสัตว์โลกให้รู้ให้เห็นตาม ให้ค่อยปล่อยวางเรื่องของกิเลสไปโดยลำดับลำดา เข้าสู่อรรถสู่ธรรมเป็นของละเอียดยิ่งกว่านี้เข้าไป ท่านจึงท้อพระทัยซิ ในสถานที่ที่ท่านบำเพ็ญจริง ๆ จะไม่มีสิ่งใด วัตถุต่าง ๆ ดังที่เป็นอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไปบรรดาวัดต่าง ๆ ท่านไม่มี ท่านจะมีแต่เรื่องความสง่างามภายในใจ เพราะไม่มีสิ่งใดสง่างามยิ่งกว่าหัวใจที่มีธรรมเสริมอยู่ภายใน ประดับอยู่ภายในนั้น อยู่ที่ไหนท่านสง่างาม มีแต่ขัดแต่เกลา ชำระสิ่งเหล่านี้แหละสิ่งที่ว่าสะอาดสุดยอด มันเป็นความสกปรกในหัวใจ ท่านต้องขัดต้องเกลาออก ปัดออก ๆ
พออันนี้ออกโดยสิ้นเชิงแล้วอันนั้นเป็นยังไงเอามาเทียบกัน ธรรมดาใครจะมาพูดอย่างนี้ว่านี่เป็นความสะอาดสุดยอดแล้วสำหรับโลกนิยมนับถือกัน สวยงามที่สุด มีค่าที่สุด สะอาดสะอ้านที่สุด น่าอยู่ น่าชม น่าหลับน่านอน มีแต่น่านั้น ๆ น่าเป็นบ้าไปทั้งหมดมันไม่ได้ว่ากันเข้าใจไหม ธรรมจับเข้าไปมันขนาดนั้น ท่านทั้งหลายฟังเอาซิคำพูดเช่นนี้มีใครมาพูดวะ นี่มันจ้าอยู่ในหัวใจ ไม่ต้องเอาที่อื่นมาพูด เอาอันนี้ออกมาพูดเลย กางมาเลย
อย่างที่เขาว่าหลวงตาเป็นอรหันต์ต้องอาบัติปาราชิก ว่างั้น มันหลับตาพูด อันนี้จ้าดูอยู่แล้วมันปาราชิกอะไร โคตรพ่อโคตรแม่มึงไม่เคยได้ปฏิบัติ ไม่เคยเห็น มึงหลับตามาโจษว่าเป็นปาราชิก พูดให้มันสนุกบ้างเข้าใจไหม นี่หรือปาราชิก ที่มันจ้าครอบโลกธาตุนี่เหรอปาราชิกน่ะ เราอยากว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ว่าอะไรมันก็มีแต่มันหลับตาพูด โดนนู้นชนนี้ หากอยากพูด ๆ ด้วยอำนาจของกิเลสอวดตัวเอง มันมีแต่ความเลวที่มันอวดอยู่ตลอดเวลา มันหาความดีที่ไหน ว่าปาราชิก ฟังดูซิ จ้าอยู่นี้หรือปาราชิก ฟังซิน่ะ
แล้วไปเรี่ยไรเงินของมาแล้วเป็นโทษ ต้องหาหลบหาหลีกจะถูกฟ้องร้อง เหล่านี้ โหยมันน่าทุเรศนะ หลับตาชนนู้นชนนี้ อวดดิบอวดดีด้วยความหลับตาหูหนวกตาบอด ของตัวเอง ที่ดีมันมีอยู่ ที่มันจ้ามันมี มันสว่างมันมีอยู่ นี่ละเอานี่ละดู ฟังคำพูดเหล่านั้นกับธรรมชาติอันนี้มันเป็นยังไง คือมันเข้ากันไม่ได้เลย มีแต่ความสลดสังเวชเท่านั้นเอง แต่มันก็รู้เรื่องอยู่แล้วว่าเมื่อกิเลสมันหนาเท่าไรมันก็ต้องเป็นของมันอย่างนั้น ที่พูดออกมานี้เพื่อให้คนดี คนผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมได้คิดแยกแยะกันบ้างเท่านั้นเอง ถ้าหากว่ามีแต่พวกมัน โอ๋ยพูดเสียประโยชน์อะไร พูดให้เสียเวลาทำไม
ถ้ามันมีความยินดีในอรรถในธรรมมันจะพูดอย่างนั้นได้ลงคอเหรอ มันพูดออกมาได้ลงคอก็แสดงว่ามันปิดตายเลยไม่มีทางเข้าเรื่องอรรถเรื่องธรรม ไม่มี มีแต่ฟืนแต่ไฟเต็มหัวอกมัน ที่มันอวดนั้น ตำหนิอย่างนั้นอย่างนี้ ไฟเต็มหัวอกมันไม่ได้ดู ไอ้ที่ถูกตำหนิติเตียนอย่างนี้ เราพูดจริง ๆ อย่างที่ว่าเราปาราชิก ก็เรียกว่าไฟเต็มหัวอกเรา มันไม่มีจะให้ว่าไง มีแต่ความสว่างจ้า ดูที่นั่น ดูที่มันฟ้องร้องมามันเป็นยังไง นักโทษในเรือนจำยังสู้ไม่ได้ ไอ้นี้ยังหนักกว่านั้นอีกที่แสดงออกมานี่
นี่ละกิเลสอยู่ภายในจิตของสัตว์ นักโทษในเรือนจำไปตำหนิเขาอย่างนั้นอย่างนี้สู้คนประเภทนี้ไม่ได้ มันจะไปอยู่ในแดนใดก็คือไฟเผาหัวอกมัน ด้วยความมืดบอดนั้นละเป็นต้นเหตุให้ไฟเผาหัวอกมัน มันได้สนุกฟัง สิ่งที่เขาว่าเขาหานั้นกับความจริงมันเข้ากันได้หรือไม่ได้มันก็รู้กันอยู่ชัดเจน มีแต่ปลงธรรมสังเวช แต่แล้วเรื่องดีเรื่องชั่วเหล่านี้มันก็มีมาประจำโลก จะไปตำหนิกันที่ไหน ดีกับชั่วมันมีอยู่มาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ใช่ว่ามีแต่ชั่วล้วน ๆ ดีไม่มี ดีก็มี ชั่วก็มี สับปนกันอยู่ มากน้อยมันมีของมันอยู่งั้น
ถ้าพูดถึงเรื่องอยู้ในป่าที่ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านไม่มีวัตถุ ที่พักที่อยู่ก็พอได้อยู่ทอดร่างกายลงหลับลงนอนไปชั่วกาลเวลา แต่จิตใจนี้อยู่กับธรรมล้วนๆ ๆ เพราะงั้นท่านจึงไม่มีอะไรเป็นกังวล การอยู่การกินใช้สอยต่าง ๆ ท่านไม่เป็นกังวลกับสิ่งเหล่านี้เลย อดอยากขาดแคลนขนาดไหนท่านไม่เป็นอารมณ์ ยิ่งกว่าจิตใจที่จดจ่อต่ออรรถต่อธรรมอยู่ด้วยความสืบเนื่องกันเป็นลำดับ ที่เรียกว่าความเพียรเท่านั้น ภายในสว่างไสว อยู่ในป่าในเขาสว่างอยู่ในป่าครอบโลกธาตุ จะว่าอะไรป่าเท่านั้น ที่เขาว่าสวย ๆ งาม ๆ หอปราสาทราชมณเฑียร ความสง่างามของธรรมที่ออกจากใจมันยังครอบไปหมด นั่นอะไรสวยงาม
นี่ละที่พระพุทธเจ้าท้อพระทัย โลกมันเสกสรรปั้นยอขึ้นให้เป็นของมีราค่ำราคา จากสิ่งที่หาราคาไม่ได้ คือกิเลสนั้นแหละ โลกที่หลงตามกิเลส มืดบอดตามกิเลสก็เป็นของมีราค่ำราคาขึ้นมา ๆ ในความรู้สึกของตัวเอง อันนั้นเขาไม่ว่าละ เขาว่ามีราค่ำราคาดี ๆ เขาไม่ได้มีอะไรนะ มันเป็นอยู่ที่ใจ ไปชมว่านี่สวยนี่งาม ทีนี้จิตของท่านผู้มีธรรม ท่านเอาธรรมเป็นแกนเลย มองไปที่ไหนเป็นความจริง ๆ ล้วน ๆ ไม่ใช่เสกสรรปั้นยอ มันผิดกันนะ
นี่เราพูดถึงเรื่องวัดป่ากับวัดบ้านต่างกัน วัดป่าไม่สนใจกับด้านวัตถุ มีแต่ด้านนามธรรมชำระกิเลสตัวสกปรกภายในใจออกตลอดเวลา มันขลังก็ให้ขลังที่นี่เลย สว่างไสวขึ้นที่นี่เลย มีค่ามีราคาก็จะแสดงอยู่ในหัวใจ ไม่ได้อยู่กับนี้กับนั้นนะ ที่โลกสมมุติว่าอันนั้นสูงอันนี้ต่ำ อันนั้นมีค่าอันนี้มีราคา จิตใจกับธรรมที่สัมผัสสัมพันธ์กันแล้วมันครอบหมด ราค่ำราคาที่ไหน แน่ะ นั่นก็ประสาวัตถุอิฐ ปูน หิน ทราย ตกแต่งไปไหนมันก็เท่านั้นเอง มันหากเป็นบ้ากับผู้ตกแต่งต่างหากนะ คือจิตนั่นละพาให้เป็น
จึงสอนให้อบรมใจน่ะ อบรมแล้วค่อยขัดค่อยเกลาไปเรื่อยๆ แล้วจะแสดงขึ้นมาที่นี่เลย ไม่มีที่ไหนที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าหัวใจกับธรรมสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา มากน้อยจนกระทั่งถึงความสิ้นกิเลสแล้วจะจ้าไปหมดเลย ที่ยังไม่สิ้นก็สว่างตามสัดตามส่วน กิเลสมีมากมีน้อยจะแสดงความมัวหมองมากน้อย ธรรมมียังไงก็จะแสดงขึ้นตามกำลังของธรรม จะยังไงก็เหนือกิเลสตลอดไปไม่ว่าจะธรรมขั้นใด เหนือกันทั้งนั้นละ
ขึ้นต้นพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าเมืองพาราณสี ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าถึงหกปี เป็นกษัตริย์ทุกสิ่งทุกอย่างเครื่องเสวยจะมีแต่ของดิบของดี แข่งเทวดาก็ได้ จะแข่งสวรรค์ก็ได้ นั่นสวรรค์ของเทวดานี่สวรรค์ของมนุษย์เข้าใจไหมละ อย่างนี้ก็ได้ แต่พอเสด็จออกทรงผนวชแล้วตัดหมดเลยเครื่องกษัตริย์ไม่มีเหลือ เหลือแต่คนขอทานเท่านั้น เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วที่กษัตริย์เสด็จออกมาสู่ความเป็นคนขอทานอนาถา มันก็เหมือนกับเทวดาตกจากสวรรค์ลงสู่นรกทั้งเป็น ออกจากหอปราสาทเข้ามาสู่สถานที่ป่าที่เขาลำเนาไพร หาขอทานเขามากินวันหนึ่ง ๆ และอาหารประเภทเขาทานกับอาหารในพระราชวังต่างกันยังไง เพียงเท่านี้ก็ทราบ
เพราะงั้นเวลาพระองค์จะทรงเสวย ไปอยู่ทีแรกมันจะเสวยไม่ลง ในตำราบอกไว้ชัดเจน คืออาหารอะไร ๆ ก็เพราะเป็นอาหารของเขาที่ให้ทานอยู่ตามถนนหนทาง ได้อะไรเขาก็ให้ตามนั้น ถ้าไม่ได้ก็ต้องยอมอด ถ้าได้เอามาเสวย ที่ว่าจัดของลงในบาตรแล้วจะเสวยไม่ลง ไส้มันอะไรมันขดมันโขมันอะไร มันคลื่นไส้เหมือนจะอาเจียน นิสัยที่เคยเป็นกษัตริย์ท่านมาก็มาเจอเอาอย่างนี้มันก็ขัดกัน พระองค์สอนพระองค์ทันที อาหารเหล่านี้มันยังไม่ได้สกปรกนะอยู่ในบาตร โลกเขาก็กินกันทั่วโลก ทำไมเราก็อยู่ในโลกเป็นมนุษย์เหมือนเขาทำไมเราจะกินไม่ได้ ถือว่าเป็นของสกปรกเป็นของต่ำทรามอะไร ที่อยู่ในท้องของเรามันต่ำยิ่งกว่านี้ สกปรกยิ่งกว่านี้ทำไมมันจึงอยู่ด้วยกันได้ นั่น
อาหารประเภทใดก็ตาม เมื่อเข้าไปสู่สถานที่สกปรกนี้แล้ว มันเป็นของสกปรกไปหมดยิ่งกว่าอาหารในบาตร นั่น ท่านบังคับลงไป สอนท่าน เสวยไปได้ จากนั้นก็สบายไปเลย เพราะความมุ่งมั่นในธรรมมีกำลังมากกว่า แล้วทับสิ่งที่ว่าไม่ดีทั้งหลายลงไป ถึงกาลเวลาแล้วอะไรก็พร้อมนะ เวลาวันที่จะเสด็จออกทรงผนวช แต่ก่อนเป็นสถานที่รื่นเริงในพระราชวัง เฉพาะที่พระองค์ประทับอยู่นั้นเครื่องบำรุงบำเรอมีทุกชนิด ขับกล่อมบำรุงบำเรอให้พระองค์ทรงสะดวกสบายรื่นเริงไปกับโลก เพราะได้รับการทำนายว่า หนึ่ง ถ้าเป็นฆราวาสแล้วออกบวชจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
พวกพระอัญญาโกณฑัญญะตอนนั้นยังหนุ่มน้อยอยู่ ไปทำนาย บรรดาดาบสมาทำนายด้วยกันสองสามราย พูดไว้สองแง่ ที่สองสามดาบสมาพูด พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระอัญญาโกณฑัญญะชี้นิ้วเลย นี้จะออกบวชและเป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แน่ในนี้แล้ว เพราะฉะนั้นพวกพระอัญญาโกณฑัญญะจึงออกไปบวชรอพระองค์ จึงออกไปบำเพ็ญรอพระองค์ พอเสด็จทรงผนวชก็ไปเป็นบริษัทบริวารเลย เบญจวัคคีย์ทั้งห้าอุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลพระองค์ หวังความตรัสรู้จากพระองค์จากการทำนายของตัวเองที่เชื่อแม่นยำว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
เวลาจะเสด็จออกทรงผนวชอะไรก็พร้อมไปหมด นางสนมกรมวังอะไรที่เครื่องขับกล่อมบำรุงบำเรอทุกวันรื่นเริงบันเทิง รักษานี้จึงต้องทำพระองค์ให้เพลินไปกับสิ่งเหล่านี้ แต่เวลาถึงกาลเวลาแล้วมันหากมีสิ่งที่เตือน นี่ละบารมีฟังเอาซิ ถึงกาลเวลาแล้วหากเป็นขึ้น ทรงมาดลบันดาลพระทัยอยากเสด็จทรงทอดพระเนตรพระนคร ไปแล้วพระบารมีเต็มพระทัยมาแล้วนี่ พอเสด็จออกไปก็ไปเห็นเด็กเกิดดิ้นดุกดิก ๆ เป็นอะไรเป็นอย่างนี้ อ๋อเด็กพึ่งเกิดเป็นอย่างนี้ ทรงพิจารณา
ไม่เลยไปอีกนะ เอานี้เป็นธรรมเทศนาเสด็จกลับ เอาเรื่องของเด็กไปพินิจพิจารณาเป็นธรรม เราแต่แรกเกิดก็ต้องเป็นอย่างนี้ ๆ ถือเด็กเป็นพยาน โลกอันนี้เป็นอย่างนี้ นั่น เวลาเกิดไม่รู้ภาษีภาษาอะไรดิ้นกระดุกกระดิกอย่างนั้น วันหลังเสด็จไปอีก ไปวันสองก็ไปเจอคนแก่อีกแหละ เดินงก ๆ งัน ๆ ถือไม้เท้าสองขาสามขาค้ำยันกันไป อันนี้อะไรเอาอีกละนะ นี้คนแก่ เวลาแก่แล้วเป็นอย่างนี้ ส่วนเวลายังหนุ่มยังสาวนั้นไม่ได้พูดนะ เอาสิ่งที่จะสะดุดพระทัยแสดงออกมาให้ปรากฏ พอเห็นคนแก่ก็ดู เอ้อ ท่านก็เทียบปั๊บเวลาเกิดทีแรกเป็นอย่างนั้น ครั้นต่อมาก็เป็นเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ถึงขั้นนี้แก่อย่างนี้งก ๆ งัน ๆ เอาไม้เท้าค้ำยัน ๆ พอถึงนั้นเสด็จกลับ เอานั้นไปพิจารณา
วันหลังเสด็จออกไปอีก ก็มีแต่เรื่องพระบารมีแหละเตือนท่านนะ จะให้ออกโดยถ่ายดียว ถึงขั้นพอตัวแล้วหากเป็นอยู่ในนั้น เวลาไปก็ไปเจอคนเจ็บคนตายละดิ้นกระเสือกกระสนกระวนกระวาย แล้วก็ล้มตายให้เห็น นี้อะไร โอ้นี่คนตาย เวลาก่อนตายก็เป็นอย่างนี้ แล้วตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา โอ้นี่จากเกิดมาแล้วมาเป็นอย่างนั้น มาถึงขั้นคนแก่ จากนั้นมาถึงคนตาย ก่อนจะตายก็กระเสือกกระสนกระวนกระวาย ทนความทุกข์ไม่ไหวก็ตาย อ้อเป็นอย่างนี้ เสด็จกลับ เอาธรรมทั้งสามประเภทนี้พินิจพิจารณา
พอครั้งที่สี่นี้ไป ไปเจอเอาสมณะ สมณะจะเป็นฤาษีดาบสอะไรก็แล้วแต่ หรือจะเป็นรูปของพระ สมณะแปลว่าผู้สงบ บำเพ็ญศีลธรรม เรียกว่าเป็นความสงบ นี้อะไร นี่สมณะ สมณะนี้ท่านทำอะไร ท่านบำเพ็ญธรรมเพื่อความสงบใจ เอ้อ ต้องพระทัยทันที อันนี้เป็นสิ่งสำคัญต้องพระทัย เวลาบำเพ็ญสมณะคือไม่ดีดไม่ดิ้น นั่งสงบแน่วด้วยจิตใจที่สงบ เหมือนเทพเจ้าบันดาลให้พอเหมาะพอดีกับพระทัยเป็นระยะ ๆ ไป สมณะนั่นก็เป็นสมณะเทพสังหรณ์เทพบันดาล หรือพระบารมีบันดาลให้ไปเห็น ต้องพระทัย พอใจในเพศสมณะ เอ้อเพศสมณะท่านสงบท่านเย็นดี ไม่เหมือนอย่างที่ผ่านมา ๆ
ผ่านมาทีแรกเป็นอย่างนั้น ที่สองเป็นอย่างนั้น ที่สามเป็นอย่างนี้ พอที่สี่นี้เป็นความสงบร่มเย็นต้องพระทัย เอานั้นยึดเข้ามา ทีนี้จะมาประมวลแล้วนะ มาประมวลอยู่ในจุดสี่สมณะ คิดออกทรงผนวชแล้วทีนี้นะ เห็นอันนั้นมาแล้ว นั่นละเวลาปลงพระทัยที่จะออกบวช วันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างแปรสภาพไปหมด พวกขับกล่อมบำรุงบำเรอที่ให้รื่นเริงบันเทิงเลยกลายเป็นป่าช้าผีดิบไปหมด มองไปที่ไหนล้มระเนระนาด นอนหลับนอนฝันละเมอเพ้อไปต่าง ๆ มองดูแล้วเหมือนป่าช้าผีดิบ อ้าวทุกวันเป็นอย่างนั้น ๆ วันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ มองดูแล้วมันเหมือนป่าช้าผีดิบ ไม่น่าดูเสียงหลับเสียงกรนครอก ๆ แครก ๆ ละเมอเพ้อฝัน เป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนานั้นแหละ
นี่จะออกแล้วนะนั่น สลดสังเวชเต็มที่แล้ว ตัดสินพระทัยละจะออกในคืนวันนี้ เวลาสงัด แล้วก็มาห่วงพระราหุลซึ่งพึ่งประสูติ ห่วงพระราหุลพระลูกรักนั้นแหละ ก็อยากไปเยี่ยมพระราหุลเสียก่อน พระราหุลก็อยากอยู่กับอกแม่ มันหากพอเหมาะพอดีทุกอย่างนะ ถ้าไปเยี่ยมพระราหุลนี้พระราหุลอยู่กับอกแม่ แม่กับลูกอยู่ด้วยกัน ถ้าเข้าไปแล้วจะเกิดเหตุ ท่านว่านะ ไปเจอแม่กับลูกแล้วจะเกิดเหตุ จะไปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่อยาก จะเข้าไปเยี่ยมลูกเยี่ยมเมียนั้นแหละ เลยตัดสินพระทัยยอมสละไม่เข้า ออกเลย ประตูเปิดอ้าไปหมด มาดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปิดอ้ารองรับพระบารมีให้ออก
ประตูทุกอย่างทั้งภายในพระราชวัง นอกพระราชวัง ไปถึงที่ไหนเปิดอ้า ๆ ให้ความสะดวก ทรงม้ากัณฐกะ นายฉันนอำมาตย์เป็นผู้ขับขี่ม้า พระองค์ก็เสด็จตามนั้นออกเลย ออกไปถึงสถานที่แล้ว เราไม่พูดไปมากนักแหละ ไปถึงสถานที่จะทรงผนวชแล้วส่งให้นายฉันนอำมาตย์กลับ ม้านั้นกับนายฉันนอำมาตย์กลับ ม้านั้นก็เป็นสัตว์แท้ ๆ ทำไมมีความรักเจ้าของเอามากมาย จนกระทั่งถึงว่าตายต่อพระพักตร์ม้าตัวนั้น ไม่ยอมกลับนะ ตาย ได้นายฉันนอำมาตย์ไปส่งข่าวให้สำนักพระราชวังทราบ ส่วนม้ากัณฐกะเลยตาย ในตำราว่างั้นนะ เพราะความรักเจ้าของ ห่วงเจ้าของมาก พอเจ้าของจะออกบวชแล้วเกิดความห่วงใย รักมาก เรียกว่าอกแตกไปเลย ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ก็ทรงบำเพ็ญ
นี่เราสรุปความ ได้รับความทุกข์ความทรมาน กษัตริย์มาบำเพ็ญในป่าในเขา หาที่พึ่งที่ยึดที่เกาะ อาหารปัจจัยทุกอย่างไม่ได้เหมือนที่อยู่ในพระราชวัง อยู่แบบทุกข์ทรมาน เป็นเครื่องสอนพระองค์ตลอดเวลา แล้วทำความเพียรหลายแบบหลายฉบับเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ ผิดบ้างถูกบ้างเป็นธรรมดา ถึงขั้นสลบถึงสามหนแต่ก็ไม่ถูกทาง พอย่นเข้ามาถึงได้ระลึกถึงเวลาพระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ กษัตริย์ทรงทำนาแต่ก่อนนะ แล้วสิทธัตถราชกุมารประทับอยู่ต้นหว้าใหญ่ พระราชบิดาก็ออกตรวจดูสถานที่ต่าง ๆ ปล่อยให้พระราชกุมารประทับอยู่นั่น ท่านประทับภาวนาซิ เจริญอานาปานสติ เกิดความสว่างไสวขึ้นภายในพระทัยวันนั้น เป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์
เวลาท่านทำความพากเพียรหลายวิธีการมันไม่ได้เรื่องได้ราว จึงย้อนไประลึกถึงการบำเพ็ญของพระองค์ด้วยอานาปานสติที่ใต้ร่มหว้าใหญ่ อันนั้นเป็นทางที่ถูกแล้ว ที่เราทำมาเหล่านี้ผิดพลาดไป ถึงขั้นสลบไสลก็ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงระลึกนั้นได้ ทีนี้ตัดสินพระทัยจะเอาอันนั้นเป็นแบบเป็นฉบับ จึงมาที่ร่มโพธิ์ อดอาหารมาได้ ๔๙ วัน ทีนี้ตัดสินใจจะเสวยพระกระยาหาร แล้วจะทรงบำเพ็ญสมณธรรม ในเช้าวันนั้นก็พอดีนางสุชาดาเอาข้าวมธุปายาสไปเส้นสวงต้นโพธิ์ใหญ่นั้นแหละ พอดีเห็นพระองค์ประทับอยู่นั่น เทวดาองค์ใหญ่ประทับอยู่นี่เลยไปเส้นสวง เอานั้นไปถวายท่าน ข้าวมธุปายาสก็ดูจะ ๔๙ ชิ้น พอดีกับท่านอดพระกระยาหารมาถึง ๔๙ วัน
พอเสวยนั้นก็ฟังว่าหมดพอดี คงชิ้นเล็ก ๆ เสวยแล้วก็ตัดสินพระทัย เอาต้นโพธิ์นี้เป็นป่าช้าหรือเป็นแดนตรัสรู้ มีสองอย่าง จากนี้แล้วค่ำวันนี้เราจะนั่งภาวนา โดยยึดอานาปานสติซึ่งเป็นที่แน่ใจแล้วตั้งแต่คราวเป็นเด็ก ได้รับความสว่างไสว เราจะยึดอันนั้นมาเป็นหลักการภาวนา ตัดสินพระทัย ก็พอดีมีโสตถิยพราหมณ์ ไปตัดเอาหญ้าได้แปดกำมือมารองให้พระองค์ประทับอยู่ที่นั่น ตั้งสัจจอธิษฐานเลยทีเดียวว่าวันนี้จะนั่งภาวนา หนึ่ง ต้องได้ตรัสรู้ถึงจะลุกจากที่นี่ สอง ถ้าไม่ได้ตรัสรู้แล้วจะต้องตายสถานที่นี่ ที่ตรัสรู้กับที่ตายเป็นที่เดียวกัน จะไม่ยอมลุก
พอเข้าที่ภาวนาแล้วเจริญอานาปานสติที่ถูกทาง แล้วเริ่มบรรลุเป็นขั้น ๆ โล่งไปเลย ๆ ถูกต้องทีนี้ เจริญอานาปานสติ พอปฐมยามคือจิตใจสว่างไสวเพราะถูกทาง พอจิตใจสว่างไสวขึ้นมาแล้วถึงขั้นบรรลุ บรรลุเป็นขั้น ๆ ขั้นปฐมยามนี้บรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังของพระองค์ได้ เกิดมากี่ภพกี่ชาติ ตายกองกันมานี้กี่ภพกี่ชาติทรงพิจารณาย้อนหลัง นี่เป็นปฐมยาม บรรลุธรรมขั้นนี้ ทรงระลึกชาติย้อนหลังพระองค์ได้
พอมัชฌิมยามบรรลุจุตูปปาตญาณ ทรงพิจารณาเห็นความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายเหมือนเรื่องของพระองค์เป็น ภพชาติของสัตว์ทั้งหลายเป็นมาอย่างนั้นเหมือนกันหมด แล้วยิ่งยั้วเยี้ยไปหมดเลย เพราะสัตว์โลกมากต่อมาก เกิดตายให้เห็นประจักษ์ในพระทัย สัตว์ทั้งหลายเกิดตาย จุตูปปาตญาณหยั่งทราบในความเกิดและความตายของสัตว์ทั้งหลายที่หมุนเวียนตลอดเวลา ยิ่งมากมายกว่าของพระองค์ไปอีก พอพิจารณาอันนี้เสร็จแล้วทรงเอาเรื่องทั้งสองนี้มาประมวล เรื่องเกิดเรื่องตายทั้งของโลกทั่ว ๆ ไป ทั้งของเรา นี้มีสาเหตุเป็นมาจากอะไร มันจึงต้องมาเกิดมาตายอยู่ด้วยกัน ไม่หยุดไม่ถอยกี่กัปกี่กัลป์ถึงวันปัจจุบันนี้ ไม่มีหยุดมีถอย แล้วยังจะเป็นต่อไปอีกอย่างนี้ มีอะไรเป็นสาเหตุให้พาสัตว์ทั้งหลายเกิดตาย ๆ อย่างนี้
พอเลยมัชฌิมยามไปแล้วก็เข้าสู่ธรรมขั้นนี้ ประมวลเรื่องเกิดตายของตัวเองและสัตว์ทั้งหลาย แล้วย่นไปพิจารณาปัจจยาการ ปฏิจจสมุปบาท ความเกิดตาย พิจารณาตามเรื่องของมันลงไป ๆ ถึงต้นตอของอวิชชาที่พาให้สัตว์ทั้งหลายเกิดตาย ไม่ว่าสัตว์ประเภทใด เพราะอันนี้เป็นต้นเหตุทั้งนั้น ๆ พอพิจารณาลง ๆ ปัจจยาการหรืออริยสัจสี่ พอพิจารณาลงไปก็ไปถึงขั้นที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา ทีนี้ก็ถอนรากเง้าของอวิชชาที่พาให้สัตว์เกิดสัตว์ตายออกโดยสิ้นเชิง เรียกว่าตรัสรู้ในปัจฉิมยาม ตรัสรู้คือถอนอวิชชาออก พระจิตจ้าขึ้นเลย อวิชชาขาดสะบั้นไปจากพระทัย ภพชาติทั้งหลายที่เคยเป็นมาก็ไปพร้อมกัน เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ตรัสรู้ขึ้นมาในปัจฉิมยาม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในปัจฉิมยาม
จากนั้นเกิดท้อพระทัย พอตรัสรู้แล้วจิตอันนี้ก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่มีอะไรแปลกกัน เพราะอำนาจของอวิชชาความมืดดำมันปิดบังเอาไว้ มันก็ไม่เห็นความแปลกประหลาดอะไร พอกิเลสที่ต่ำทรามมันปิดบังจิตใจขาดสะบั้นลงไป คืออวิชชานั้นแล เท่านั้นแหละพระองค์ก็ตรัสรู้ผึงขึ้นมา จ้าหมด แดนโลกธาตุหวั่นไหวไปหมดเลย นี่ละเป็นแดนอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า พอตรัสรู้แล้วมองดูสัตว์ต่าง ๆ ธรรมชาตินั้นเลิศเลอ เกินเหตุเกินผลเหนือสมมุติจะคาดคิด เลยไปเสียทุกอย่าง มองดูสัตว์เกิดความท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอันนั้นอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย เกินสมมุติไปโดยประการทั้งปวง สัตว์ทั้งหลายอยู่ในวงสมมุติทั้งนั้น เรียกว่ามืด บอดที่สุด หนักที่สุด ทรงท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์ เพราะธรรมชาตินั้นกับอันนี้มันจะเข้ากันไม่ได้เลย
นี่ละจึงทรงพิจารณาเล็งญาณดูถึงสัตว์ทั้งหลาย เมื่อมันมืดบอดเสียหมดเสียจริง ๆ แล้วมันจะไม่มีสาระอะไรเหรอในโลกอันนี้น่ะ จึงมาพิจารณาคุ้ยเขี่ยขุดค้น อ๋อสัตว์ผู้มีนิสัยปัจจัยยังมีอยู่เยอะ เทียบกับว่าภูเขาลูกนี้มันมืดไปหมดเลย มีแต่หินผาป่าไม้ สิ่งที่สาระที่จะเป็นประโยชน์ในภูเขาลูกนั้นแม้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี ทีนี้เวลาพิจารณาเข้าไปก็ อ๋อ สิ่งที่เป็นสาระในภูเขาที่มืดตื้อนั้นยังมี ทรงเล็งญาณดู และก็ขึ้นเป็นประเภทที่หนึ่ง อุคฆฏิตัญญูคือผู้ที่จะรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็วบรรลุธรรม วิปจิตัญญูรองกันลงมา ตามหลังกันไปที่จะรู้อย่างรวดเร็จเหมือนกัน
จากนั้นมาก็เนยยะ พอแนะนำสั่งสอนได้ ทั้งจะขึ้นจะลง ถ้าอ่อนแอก็ลง ถ้าบึกบึนขึ้นได้ นี่เป็นเนยยะ แปลว่าผู้ควรแนะนำสั่งสอนได้ ฉุดลากไปได้ นี่ประเภทที่สาม ประเภทที่สี่นี้เรียกว่ามืดมิดปิดทวาร หาสาระไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นไข้ก็เหมือนพวกประเภท ไอ ซี ยู รอแต่ลมหายใจ ไม่เกิดประโยชน์อะไร หมอก็รักษากันไปตามมารยาท ยาก็ตามมารยาท ที่จะหวังประโยชน์จากหยูกจากยา จากหมอนี้ไม่มี เหมือนสามประเภทนั้น ประเภทที่หนึ่งก็เหมือนเราเป็นหวัดเข้าไปหาหมอ จามฟิต ๆ เข้าไปหาหมอ หมอใส่ยาปั๊บหายปุ๊บเลย ที่สองก็เหมือนกัน ที่สามนี้ยาหลายขนานหน่อย และแก้ไป ผู้ที่หายจากโรคไปก็มี ผู้ที่ตายไปก็มี
ประเภทที่สามนี้มีทั้งตายมีทั้งหาย ประเภทที่สี่มีแต่ตายโดยถ่ายเดียว พระองค์ทรงเล็งญาณทราบในขั้นนี้ละ ขั้นที่พระองค์ทรงท้อพระทัย จนท้าวมหาพรหมทราบในพระทัยของพระองค์ว่าทรงท้อพระทัย จึงได้มาอาราธนาเป็นภาษาบาลีที่ถือเป็นคติตัวอย่างมาทุกวันนี้ก็ว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ, กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ, สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา, เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ นี่เป็นคำอาราธนาของท้าวมหาพรหม คืออาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงโปรดสัตว์โลก ผู้ที่มีมลทินอันเบาบางยังมีอยู่มาก ขอพระองค์อย่าได้สลัดปัดทิ้งไปเสียเลย เพราะผู้ที่จะรับประโยชน์ถึงขั้นมหาศาลกับพระองค์นี้ยังมีอยู่มากมาย นี่ท้าวมหาพรหมอาราธนาเป็นเครื่องประกอบ
ความจริงพระองค์ทรงเล็งญาณละเอียดยิ่งกว่าท้าวมหาพรหม ที่ว่าพฺรหฺมา จ โลกา ไปที่ไหนเอะอะพฺรหฺมา จ โลกา ครั้นเวลาท่านเริ่มเทศน์ก็หลับครอกแครก ๆ มันไม่ได้ฟังพฺรหฺมา จ โลกา อย่างที่ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาสอนสัตว์โลก พอเล็งญาณดูนี้ผู้ที่พร้อมแล้ว เช่นอย่างสัตว์ก็อยู่ในปากคอกแล้ว นี่ประเภทอุคฆฏิตัญญูคือผู้ที่จะรู้เร็ว พอเปิดปากคอกได้แก่ธรรม แสดงปุ๊บเข้ามานี้ผึงออกได้เลย ๆ จากนั้นก็ตามหลังกันมา ตามหลังกันมาเรื่อย ๆ
ในประเภทที่สามก็เนยยะอยู่ในกลางคอก ทั้งจะออกทั้งจะเข้า ดึงไปดึงมา บางรายก็หางขาดก็มี ขาขาดก็มี ยังไม่ยอมออก ดึงออกไม่ยอมออก ขาขาดก็มี บางรายยอมตายไม่ยอมออกก็มี มันเห็นว่าไม่ไหว จะทำคุณงามความดีมีแต่ไม่ไหว ดึงออกไปจนหางขาดก็ไม่ไป สู้กิเลสไม่ได้ กิเลสมีกำลังมากกว่า เลยจมอยู่กับกิเลสก็มี นี่ประเภทที่สาม พวกที่หลุดพ้นไปก็เยอะ เหมือนคนที่เข้าไปรักษาโรคในโรงพยาบาล พวกที่หายไปก็เยอะ พวกที่ตายก็แยะ อยู่ในย่านกลาง นี่ละประเภทเนยยะ
ประเภทปทปรมะมีแต่ตายท่าเดียว ถึงเอาเข้าไปก็ตาย ไม่เอาเข้าไปก็ตาย ประเภทนี้ประเภทไอ ซี ยู พระองค์ทรงสอน เล็งญาณดูแล้วสัตวโลกยังมีอุปนิสัยปัจจัยอยู่ แล้วก็พอเหมาะพอดีกับพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ ทรงทราบแล้วว่ามีอุปนิสัยสัตว์โลก มาในจังหวะที่พอเหมาะพอดี แม้เช่นนั้นก็ยังทรงท้อพระทัย คือสัตว์ทั้งหลายมืดบอดมากกว่าที่จะเป็นผลประโยชน์ตามคำแนะนำสั่งสอน ก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
นี่ละพระองค์ทุกข์ยากลำบากมาถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่จิตทรงลงสว่างจ้าแล้วมันเป็นอย่างนั้นนะ มองดูทั้งหลายมันมืดมิดปิดตาไปเลย ไม่ท้อพระทัยยังไง ทั้ง ๆ ที่ทรงสร้างบารมีมาเพื่อตรัสรู้แล้วเป็นศาสดาสอนโลก แต่เวลาธรรมะนี้ที่จ้าขึ้นมานี้กับดูเรื่องโลกทั้งหลายมืดมิดปิดตาไปหมด ประหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้ ทรงทำความขวนขวายน้อยจะไม่สั่งสอนสัตว์โลก นั่นเป็นอย่างนั้น แล้วสุดท้ายพระองค์สอนมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คำสอนนี้จะเป็นบันไดหรือจะเป็นทางก้าวเดินไปถึงห้าพันปี นี่พระองค์ทรงเล็งญาณไว้แล้ว
ห้าพันปีคือเรื่องศีลเรื่องธรรมจะค่อยเบาไป ๆ ในจิตใจของสัตว์โลก กิเลสตัณหาจะหนาขึ้น ๆ ไปถึงห้าพันปีแล้ว บาป-บุญไม่ระลึกถึงเลย ไม่เชื่อ อะไร ๆ ไม่เชื่อ มีแต่กิเลสถลุงเอาอย่างเดียว ขึ้นเขียงไม่ยอมลง ถึงห้าพันปีแล้วนะเรียกว่าขึ้นเขียงไม่ยอมลง เขี่ยลงก็ยังไม่ยอมลง ยังหลับเคลิ้มครอก ๆ อยู่บนเขียง เข้าใจไหมละ แล้วพวกเราจะเป็นประเภทไหนให้พิจารณาตัวเอง พระองค์ทรงเล็งญาณดูหมดแล้วถึงนั้นแล้วก็ค่อยหมด เพราะฉะนั้นการประกอบความพากเพียรของคนมันจึงเป็นไปตามยุคตามสมัยของอุปนิสัยแห่งสัตว์ ผู้ที่บางเต็มที่แล้วคือประเภที่หนึ่ง และประเภทสอง ประเภทที่สองพอถูพอไถให้เป็นไปเรื่อยๆ
ประเภทที่สามเข้าขั้นห้าพันปี หมด ศาสนาก็หมด คือศีลธรรมหมดจากความรู้สึกนึกคิดในหัวใจของสัตว์โลก จะมีแต่เรื่องกิเลสตัณหาล้วน ๆ เต็มหัวใจ ศาสนาก็หมด ไม่ใช่ธรรมทั้งหลายหมด มันหมดที่หัวใจ ที่เป็นภาชนะที่จะรับธรรมทั้งหลายมันไม่ยอมรับ ไม่เหมือนกิเลสรับตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ได้ ไม่มีความเบื่อหน่ายอิ่มพอ มันต่างกันอย่างนี้ให้พากันเข้าใจไว้นะ
นี่ที่สอนโลก จิตดวงนี้พระองค์เคยรู้เมื่อไร แต่เวลามันเป็นขึ้นมาเป็นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่มุ่งพระทัยที่จะสอนสัตว์โลกให้เต็มเหนี่ยว แต่ทรงคิดว่าจะไม่เป็นอย่างเวลาตรัสรู้ คิดว่าจะสอนธรรมดาให้สอนไป ๆ แต่พอตรัสรู้ผึงขึ้นมาความสว่างจิตใจที่เลิศเลอนี้มองดูสิ่งนี้แล้วเหมือนหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้เลย จึงทรงท้อพระทัย และพิจารณาเล็งญาณดูยังพอได้ ผู้มีอุปนิสัยปัจจัยยังมีแฝงกันอยู่กับพวกมืดบอดทั้งหลาย จึงสอนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้
พวกเราจะเข้าประเภทไหนให้สอนตัวเองตลอดนะ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วให้มาสอนตัวเองอีกทีหนึ่ง เราจะเข้าประเภทไหน ประเภทไม่เอาไหนเลย มีตั้งแต่บาปแต่กรรมสร้างกันทั้งวันทั้งคืนไม่มีวันอิ่มพอ นี่คือจะจมทั้งเป็น ให้มีความใกล้ชิดติดพันกับธรรม ฝ่าฝืนต่อต้านกับความชั่วทั้งหลายอยู่ตลอดเรียกว่าพอผ่านไปได้ พากันจำเอานะ นี่ละจิตดวงนี้ละเป็นอย่างนั้นละ เป็นขึ้นกับใครก็ตาม ลงกิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้ว จิตดวงนี้จะแสดงฤทธิ์เดชเต็มเหนี่ยวเลย เต็มภูมิของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย
ท่านจึงเรียกว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วนั้นมีความเสมอภาคกันไปหมด ในหลักธรรมชาติแห่งความบริสุทธิ์มีเหมือนกัน จ้าขึ้นมา การแนะนำสั่งสอนลึก ตื้น หยาบ ละเอียดและรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ นั้นจะเป็นไปตามนิสัยวาสนา พุทธวิสัยเป็นที่หนึ่ง รู้แจ้งแทงทะลุตลอดทั่วถึงหมด และสาวกวิสัย วิสัยของสาวกรู้ตามภูมิของตนเองๆ เหมือนว่าโอ่งน้อยโอ่งใหญ่ โอ่งพระพุทธเจ้าโอ่งเต็มครอบโลกธาตุ อุปนิสัยของสาวกแต่ละองค์ที่จะแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก นอกจากความหลุดพ้นไปแล้วก็สอนตามนิสัยวาสนาของตน ๆ นี่ละที่สอนกันมาเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ แต่ธรรมชาติที่จ้านั้นเป็นอย่างนั้นแหละเหมือนกันหมดเลย
จึงทำให้คิดน่ะซิ เราไม่ต้องพูดอะไรยันได้เลย พูดอยู่อย่างนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นนักโทษที่ถูกฟ้องร้องอยู่ว่าเป็นสังฆาปาราชิกอะไรอย่างนี้ ปาราชิกหีพ่อหีแม่มึงยังไงมึงเคยบำเพ็ญหรือ กูจ้าอยู่ครอบโลกธาตุมึงไม่เห็นบ้างหรือ มึงลืมตาดูบ้างซิ อยากถามว่างั้นเข้าใจไหม สอนโลกมานี้เฉพาะอย่างยิ่ง ๖ ปีนี้เป็นยังไงสอนโลก ธรรมเทศนาที่นำมาสอนโลกกี่กัณฑ์ หลับตาสอนหรือลืมตาสอน ไอ้ผู้ที่มันมาว่าอย่างนั้นมันหลับตาว่ามา จึงว่าโคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยภาวนาอะไรมึงไม่รู้ กูจ้าอยู่ครอบโลกธาตุมึงไม่รู้หรือ อยากถามว่างั้นเข้าใจไหม มันถึงทุเรศมากนะ
แล้วช่วยชาติไทยของเรานี้ก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย เป่าร้องประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วถึงกันในการที่จะอุ้มชูชาติไทยของเรา ให้ดีดให้ดิ้น ให้พยุงขึ้นมา ๆ สู่ความแน่นหนามั่นคงโดยลำดับ ต่างท่านต่างได้ทราบเรื่องราวในหัวหน้าที่ประกาศแล้ว ก็ต่างท่านต่างอุตส่าห์พยายามเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันกับ ๓๑๒ กิโลครึ่งเข้าสู่คลังหลวง และดอลลาร์ก็ได้ตั้ง ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ดอลล์ ส่วนเงินไทยไม่ต้องพูด ไม่ทราบว่ากี่พันกี่หมื่นล้านที่กระจายไปทั่วประเทศไทยเรา ด้วยการก่อสร้าง สงเคราะห์สงหาคนทุกข์คนจน เปิดแบมือเลย เราไม่มีอะไรกำ เปิดออกหมดบรรดาเงินสดนี้ ได้เข้าซื้อทองคำเพียงสองพันล้านกว่าบาทเท่านั้น นอกนั้นออกช่วยโลก
แล้วก็ว่าหลวงตาบัวนี้ไปเที่ยวเรี่ยไรเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต จะรับอนุญาตจากใคร ใครเป็นอำนาจใหญ่โต บอกมาซิจะให้ขออนุญาตจากใครรับอนุญาตจากใคร ก็ประกาศลั่นให้ทราบทั่วกันแล้วในเมืองไทยที่รับผิดชอบในชาติของตน ให้รู้ทั่วถึงกัน ต่างคนก็ต่างวิ่งเต้นขวนขวาย และไปเรี่ยไรใคร เข้าใจไหมละ ก็ประกาศให้ทราบแล้ว ต่างคนต่างมีความยินดี และขวนขวายเข้ามา เราไม่ได้ไปขอคนนั้นขอคนนี้ แม้รายเดียว เราก็ไม่เคยขอ เราเรี่ยไรที่ไหน
ถ้าพูดถึงเรี่ยไรเพื่อส่วนรวมก็ไม่เป็นอาบัติ ถ้าเรี่ยไรเพื่อตัวเองปรับอาบัติ มันก็เรียนมาแล้วรู้ด้วยกัน อันนี้มันยังละเอียดยิ่งกว่าสองอย่างนี้ เรี่ยไรส่วนรวมหนึ่ง เรี่ยไรเฉพาะตนเอง นี่ไม่ได้เรี่ยไร ประกาศให้ทราบทั่วถึงกัน ไม่ระบุใครพอที่จะว่าเรี่ยไรกับคนนั้นคนนี้ ใช่ไหมละ พี่น้องชาวไทยต่างคนต่างมีหูมีตามีใจก็ต่างคนต่างตื่นเต้นเพื่อกู้ชาติของตนขึ้นมา มีมากมีน้อยก็ขวนขวายมาจนกระทั่งได้สมบัติถึงขนาดนี้ และไปเรี่ยไรใคร มันหลับตาพูดอะไร มันเรียนคัมภีร์ที่ไหน นะโมตัวเดียวมันก็ไม่เคยติดปากติดใจมัน มันมาอวดหาอะไร ตาบอดเข้าใจไหม ตาบอดอวดดี ขายตัวเองให้คนไทยทั้งชาติทราบว่าหลวงตาบัวเรี่ยไร พิจารณาซิ
เราไปเรี่ยไรใคร เอ้าไล่มาซิ เพียงมาประกาศในนามของเราเป็นคนไทย เป็นผู้รับผิดชอบทั่วหน้ากันเหมือนกับพี่น้องชาวไทยทั่ว ๆ ไป เมื่อเห็นว่ามีความผิดแปลกประหลาดอะไรที่จะทำความกระทบกระเทือนให้ชาติไทยเสียหาย ก็ต้องประกาศให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายทราบ ในนามความเป็นอาจารย์เป็นพระของพี่น้องทั้งหลายใช่ไหมละ แล้วไปเรี่ยไรที่ไหน มันปรึกษาพระอะไรหรือที่ไหนจะมาฟ้องร้องเรา จะเอาเราติดคุกหรือติดตะรางที่ไหนก็ไม่รู้ละก่อนที่จะครบเกษียณ ว่างั้น ก็เห็นอยู่แล้วนั่น
มันออกมาอย่างแจ่มแจ้ง ทางนี้ก็ตอบไปอย่างแจ่มแจ้งซิ มันเคยได้ดูหนังสือไหม หนังสืออรรถหนังสือธรรม ถ้าเคยได้ดูมันจะมาพูดอย่างนี้ไม่ได้ ผู้ดูหนังสือผู้ฟังไม่มีใครจะมาพูดอย่างนี้ได้ ก็คือมันหลับตาพูดแบบเดียวกันกับว่าหลวงตาบัวเป็นปาราชิก แล้วหลวงตาบัวเรี่ยไรนั้นอีก มันหลับตาพูดด้วยกันทั้งนั้น เป็นยังไงพิจารณา แล้วจะมาฟ้องร้องยังไม่เกษียณ อย่าด่วนเกษียณให้อยู่กันทั้งโคตรเสียก่อนนะ แล้วมาฟ้องร้องอะไรก็ให้มาเสียก่อนแล้วค่อยเกษียณ เราก็ได้ตอบไปแล้วใช่ไหมละ
มันน่าทุเรศขนาดไหน พี่น้องชาวไทยเรา คนหนาขนาดนี้ หยาบโลนขนาดนี้ เลวขนาดนี้ นี้หรือเข้ามาทำงานในสำนักพุทธศาสนา สองตัวนี่เข้ามาทำงาน มันทำงานที่ไหน มันมาทำลายพุทธศาสนาตั้งแต่ต้นมาที่ไหนทีไรเราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนามีประจำหัวใจพี่น้องชาวไทยมา แล้วไม่เคยมีความเดือดร้อนเหมือนสองกษัตริย์นี่เข้ามา พอเข้ามาในวงพุทธสถาน (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) แล้วนี่ แหม มันก่อกวนทำลายมาตลอด ตั้งแต่เริ่มนู้นมหาคณิสสรคณิสแสนลงมา นี้ก็ชำระกันแทบเป็นแทบตายมา ได้สงบลงไปด้วยเหตุผลกฎเกณฑ์ของธรรมของวินัย เพราะสิ่งเหล่านั้นปลอมทั้งนั้น จะรับไว้ไม่ได้ รับไว้เป็นภัยต่อหลักธรรมหลักวินัย หลักศาสนา จึงต้องปัดออก
อันนั้นผ่านไปทีนี้ก็ขึ้นมานี่อีก อุปถัมภ์อุปัฏฐากสมเด็จพระสังฆราชเข้ามานี่ อันนี้ก็เอาอีก มาอุปัฏฐากสมเด็จพระสังฆราช มันอยากเป็นสมเด็จสังฆราชแฝงขึ้นมาละซี แล้วขึ้นมานี้ก็ถูกคัดค้านต้านทานตามหลักธรรมหลักวินัยอีก ซึ่งไม่เคยมีในหลักพุทธศาสนาที่เป็นอย่างที่มันทำอยู่เวลานี้ ขวางโลกจะทำลายพุทธศาสนาให้จมลงอีก นี่ละบ่อหรือขุมกำลังขุมอำนาจมันอยู่จุดนี้ที่จะทำลายทั้งชาติทั้งศาสนาให้ล่มจมอยู่ที่จุดนี้ จุดที่ตั้งสมเด็จพระสังฆราช พูดแบบตั้งผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากสมเด็จพระสังฆราช พูดไพเราะเพราะพริ้งหวานมากนะ แต่มหาภัยมันอยู่ด้วยกันนั้น พอแย็บมามันก็รู้ทันที เพราะงั้นถึงปัดกันทันทีเลย
นี่ละขุมอำนาจที่จะทำลายทั้งชาติทั้งศาสนา ได้ศาสนาเป็นเครื่องมือเรียบร้อยแล้ว พระทั้งหมดถูกมันร้อยจมูกเลือดสาด ๆ ไปหมดแล้ว จากนั้นมันก็สั่งพระนี้ด้วยอำนาจป่าเถื่อนของมันให้ไปร้อยจมูกประชาชน ซึ่งเป็นชาวพุทธทั่วประเทศนี้ให้ปฏิบัติตามหน้าที่ของมัน อำนาจป่าเถื่อนของมัน แล้วคนทั้งประเทศก็เป็นเครื่องมือของมันหมด ทีนี้มันก็มีอำนาจอันใหญ่หลวงจากพุทธศาสนาและก็ตีเข้าไป รัฐบาลแหลกหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เราเปิดให้ฟังเสียชัด ๆ เสียวันนี้ เพราะฉะนั้นมหาภัยก็รู้มหาภัย มหาคุณก็คือศาสนาสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อย่าให้มาแตะต้อง มหาภัยปัดออกเข้าใจไหม
นี่ละเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ จึงได้ปัดออก ประชุมกันตั้งหมื่นกว่าองค์ที่วัด อโศการาม มีแต่มาชำระสะสางสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย สิ่งสกปรก สิ่งเป็นมหาภัยมหาโจรนี้ออกจากพุทธศาสนา ให้คงเส้นคงวาหนาแน่นเพื่อพุทธบริษัททั้งหลายจะได้ปฏิบัติบูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไป สิ่งเลวร้ายเหล่านี้จะไม่มาทำลายได้ จึงได้ปัดออกไป นี่เลวร้ายขนาดไหน ถ้าว่ามันเข้ามาเป็นผู้มีเจตนาดีแล้วมันจะมากีดมาขวางทำไม
นี่ตั้งเข้ามานี้กี่ปี พวกนี้มันมาก่อทำลายเรื่องพุทธศาสนาจนกระเทือนไปทั่วประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐานอยู่ในป่าในเขาอยู่ไม่ได้เลย เพราะมันขัดต่อหลักธรรมหลักวินัย ถึงขนาดที่ท่านทนอยู่ไม่ได้ รีบปรึกษาหารือกัน ออกมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนมาประชุมที่วัดอโศการามและยังประชุมที่นั่นที่นี่อีกมาก เราพูดเฉพาะจุดสำคัญคือวัดอโศการาม พระตั้งหมื่นกว่าองค์ล้วนแล้วตั้งแต่ผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนหลักธรรมหลักวินัย และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมหลักวินัยด้วยความสงบร่มเย็นตลอดมา
พอพวกมหาภัยนี้เข้ามา ท่านทนไม่ได้ท่านจึงออกมาระงับ มาชะมาล้าง เลือกเฟ้นเอาตั้งแต่หลักเกณฑ์ที่ดีคือธรรมวินัยที่บริสุทธิ์พุทโธ ออกประกาศลั่นจากการประชุมนั้นโดยเป็นเสียงเดียวกัน และส่งเข้าจุดศูนย์กลาง เวลานี้จึงสงบ มันจะไปอีกแง่ไหนก็คอยฟัง พวกนี้มันพวกมหาภัย นี่มันเข้ามาทำลายพุทธศาสนา เราจึงได้พูด เราพูดอย่างตรงไปตรงมา พูดกับนายกฯเราก็พูด เขามานี่ เอาไว้ทำไมนี่มหาภัย สำนักพุทธศาสนาพอตั้งขึ้นมาพวกนี้เข้ามา มาทำลายขนาดนี้เอาไว้ทำไม คนดีกว่านี้ไม่มีแล้วเหรอ เมืองไทยของเราทั้งประเทศนี้ไม่มีคนดีกว่านี้หรือ มีแต่คนทำลายเท่านี้เหรอ เราถึงได้ว่าละซิ
นี่ละมันทำลายอย่างนี้ เอาอำนาจบาตรหลวงป่า ๆ เถื่อน ๆ กฎหมายที่เรียนมาเต็มหัวอกพอจะเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่ศาสนามันไม่ยอมเอามาใช้นะ มันเอากฎหมอย กฎหมอยจากนั้นก็เป็นกฎหมามาใช้ เพราะฉะนั้นชาติไทยของเราจึงเดือดร้อนทั้งประชาชน ทั้งพุทธศาสนาเดือดร้อนตาม ๆ กัน เพราะกฎหมอยกฎหมานี่ละที่ทำลายอยู่เวลานี้ กฎหมายมันไม่ได้นำมาใช้ พากันจำเอา นี่ละที่เราพูดให้พากันเข้าใจเสียนะ เริ่มต้นมันก็มาตั้งแต่ฟ้องหลวงตาบัวเป็นปาราชิกราแช็ก ชิกหีพ่อหีแม่มึงอยากว่างั้น หรือว่าแล้วก็ไม่รู้นะ
มันไม่เคยภาวนาเลย มันไม่เคยรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สว่างจ้าครอบโลกธาตุ สัตว์โลกทั้งหลายหลับตาอยู่เห็นไหม สาวกทั้งหลายสว่างจ้า ๆ มา ถ้าเหล่านี้เป็นปาราชิก พระพุทธเจ้าปาราชิกมาแล้ว สาวกทั้งหลายเป็นปาราชิกมาแล้ว อย่ามาว่าหลวงตาบัวตัวเท่าหนูนี้เลย เข้าใจเหรอ แล้วพวกตาบอดมันลบล้างให้เป็นปาราชิกไปหมด มันจะเป็นศาสดาองค์เอกตาบอดไม่มีใครสู้คือมันผู้เดียว หัวหน้าเทวทัตทำลายพระพุทธเจ้า มาบัดนี้มาทำลายพุทธศาสนาซึ่งเป็นองค์แทนของศาสนา กำลังโจมตี กำลังทำลาย
พี่น้องทั้งหลายอย่าพากันเบาใจนะ เสี้ยนหนามมันขึ้นทุกแง่ทุกมุม มันอ้างข้าง ๆ คู ๆ หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ดังที่ว่านี้มันฟังได้ไหม หลวงตาบัวเป็นปาราชิก แล้วก็ไปเรี่ยไรประชาชน จนถึงเป็นโทษเป็นกรรม หลวงตาบัวหลบความผิด นี่มันออกประกาศ มันฟังได้ไหมมนุษย์เรา ถ้าไม่ใช่คนเลยบ้าไปแล้วนั่น เข้าใจเหรอ ให้จำให้ดี ๆ นะ อย่านอนใจนะ ไปที่ไหนมันจะแทรกจะแซงไปหมด อย่าไว้ใจนะ พวกนี้เป็นพวกทำลาย ไม่ว่าบ้านนอกในเมืองไปที่ไหนเอาแต่ยาพิษไปเที่ยวโปรยเที่ยวโรยไว้หมด ให้จำเอาเราเป็นเจ้าของของชาติไทยของเราทุกคน ๆ อะไรไม่ดีให้ปัด เชื่อมันหาอะไร ก็ของไม่ถูกของไม่ดี มันเป็นฟืนเป็นไฟ ปัดออกทันที ๆ นะ อย่าคุ้นกับมันคนประเภทนี้นะ เข้าใจแล้วเหรอ
เอาละพูดเพียงเท่านี้ เหนื่อยแล้ว ถ้ามันมาเข้าจุดมันเป็น ถ้าเปิดสวิทมันไปเลยละ วันนี้พูดมีเผ็ดร้อนบ้างละ มันหากเป็นเองนะ เวลามันจะเป็นปุ๊บเข้ามา พอถูกนี่ปั๊บผึงเลยทันที เราก็ไม่คิดว่าจะพูดอะไรละ เพราะมันไม่มีเรื่องอนาคตอะไรกะว่าจะคิดอย่างนั้นจะพูดอย่างนี้ไม่มี ปัจจุบันออกเลย เมื่อสัมผัสปั๊บขึ้นเลยเรื่อย จะหนักเบามากน้อยจะขึ้นในปัจจุบันออกเลย ๆ เป็นอย่างนั้น จบเท่านี้ละหยุดแล้ว เหนื่อย นี่ก็พอดีสองทุ่ม เทศน์นานเท่าไรวันนี้ (ชั่วโมงสี่นาทีครับ) ขนาดนั้นเชียเหรอ
(พล.ต.ท.อุดม เราจะทำยังไงกับมันดีเจ้าค่ะ) จะทำยังไงกับมันดี ก็ไปหามันเองไป ไปทำยังไงกับมันดี คนไหนก็ไม่ดีเราต้องไปเอง ไปทำกับมันยังไงดี เอาเลยนะเราเปิดให้เลย ไปทำยังไงดีกับมัน เราไม่ไปแหละเข้าใจไหม อย่างงั้นละถ้าถามมาปั๊บเลย จะทำยังไงกับมันดี แล้วเราละเราจะทำยังไงดีกับมัน แก้ตัวของเราด้วย แล้วก็เข้าหากัน จะทำยังไงดี ระวังมันจะตีปากเอานะ ไปแบบเซ่อ ๆ เดี๋ยวมันตีปากเอานะ
มันพูดอย่างหยาบโลน หยาบโลนมาก โง่มากที่สุด พูดจนฟังไม่ได้ มนุษย์ทั่วไปฟังไม่ได้เลย เพราะงั้นจึงบอกเอาไว้ทำไม บอกว่าเขี่ยก็บอกเขี่ย เขี่ยลงที่ทะเลไหนไปไหน คนดีไม่มีเหรอในเมืองไทย เราว่างั้น เอาแล้วไม่ได้เหมือนใคร นี่ละภาษาธรรมตรงเป๋ง ๆ เลยนะ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|