กินมากภาวนาไม่ดี
วันที่ 3 พฤษภาคม 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อเช้าวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

กินมากภาวนาไม่ดี

 

ธรรมลีได้ทองคำ ๑ กิโลกับ ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๓ ดอลล์ เอาละสาธุพร้อมกัน (สาธุ)

         ขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดหลักอรรถธรรมทั้งหลายนี้ไปปฏิบัติตัวเองนะ ธรรมเท่านั้นที่จะทำเราให้อบอุ่นตายใจในตัวเองได้ ตลอดครอบครัว ส่วนรวม ธรรมมีอยู่ที่ไหนๆ ความไว้วางใจ ความสงบร่มเย็นจะมีอยู่ที่นั่นๆ จะเป็นความสุขในที่ต่างๆ สำหรับผู้มีธรรมไปปฏิบัติ อยู่ในครอบครัวผัวเมียไม่ค่อยทะเลาะกัน คือต่างคนต่างถือความสัตย์ความจริงเป็นหลักใจ ใครผิดก็ยอมรับผิด ฝ่ายใดผิดยอมรับตนว่าผิด อย่าทะนง อย่าโอ้อวดทิฐิมานะจากความผิด มันจะเพิ่มฟืนเพิ่มไฟเข้าเผากัน ใครผิดให้ยอมรับว่าผิด เรื่องราวก็สงบลงทันที อย่าถือว่าใครเป็นใหญ่เป็นน้อย ให้ถือความสัตย์ความจริง เหตุผลนั้นเป็นใหญ่ในตัวของเราทุกคน เรียกว่าถือธรรมเป็นใหญ่

ถ้าจะเอาอำนาจบาตรหลวงว่าเราเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย หรือเป็นเจ้าเป็นนายไปบังคับนี้ คนเราทางร่างกายมันก็แสดงอาการยอมรับ แต่ภายในจิตใจเป็นยักษ์เป็นผี ก่อกรรมก่อเวรเคียดแค้นต่อกันอยู่ภายในใจ ใจไม่ลงกัน ดีไม่ดีหาช่องหาทางแก้ลำกันจนได้แหละ นี่ถ้าเป็นกิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้ายอมรับกันเสียอย่างเดียว ไม่ว่าที่ไหนลงกันได้สะดวกสบาย

พอพูดอย่างนี้ เราเอาเราเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายทราบเลย จะว่าตำหนิหรือว่าชมก็แล้วแต่ เราเคยพูดให้ลูกศิษย์ของเราฟัง เราเองคิดว่าเป็นเวลาปัดกวาด แต่ตอนนั้นดูว่าเขียนหนังสืออยู่ มองดูนาฬิกา คือกำหนดกันบ่าย ๔ โมง ทราบทั่ววัดบ่าย ๔ โมงไม่ต้องมีระฆัง เพราะต่างคนต่างมีนาฬิกาอยู่แล้ว พอเวลาบ่าย ๔ โมงก็ต่างองค์ต่างออกปัดกวาดพร้อมเพรียงกันเสมอ สำหรับวัดนี้เป็นอย่างนั้นมาตลอด ถึงเวลาแล้วต้องทำปุบปับๆ ไม่จำเป็นจะต้องคอยหัวหน้าอะไรแหละ สั่งอะไรแล้วเป็นไปตามนั้น เช่นอย่างปัดกวาดเป็นระยะๆ ถ้าตะวันมันค่ำง่ายเราก็กำหนดเวลาสั่งให้เลย กำหนดเวลาบ่าย ๔ โมงปัดกวาด

ทีนี้เราก็เขียนหนังสืออยู่ นาฬิกาก็วางไว้นั้น พอเขียนหนังสือไปๆ ดูนาฬิกา เราดูผิดนะ ดูนาฬิกามันฟาดไป ๔ โมง ๒๐ นาทีแล้ว เราดูผิดต่างหาก มันยังไม่ถึง ๓ โมงดี โอ้ตาย คือการปัดกวาดเช็ดถูทุกอย่างเราจะทำเหมือนพระทั้งหลายตลอดมา ไม่ยิ่งไม่หย่อนกว่ากันในระยะนั้น ทีนี้พอมองดูนาฬิกา โธ้ตาย ทิ้งหนังสืออะไรๆ แล้วก็ลงปัดกวาดเลย ปัดกวาดรอบบริเวณกุฏิของเราเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกไป กวาดออกไปถึงหน้าศาลา ตามธรรมดาหน้าศาลาจะมีพระเต็มอยู่แล้ว เราก็กวาดบริเวณของเราออกไป พระก็กวาดออกมารวมกันที่ศาลาเต็มลานวัดเป็นประจำ

แต่วันนั้นกวาดอะไรเสร็จเรียบร้อย กวาดออกไปมองดูที่ศาลาไม่มีพระเลย ไม่มีพระสักองค์หนึ่ง เรากวาดไปพอดีมองเห็นเณรองค์หนึ่งเฝ้าศาลาอยู่ที่นั่น ตอนนั้นแขกคนไม่ค่อยมากนัก เณรถือไม้กวาดออกมา เห็นเราปัดกวาดไปนั้น เราขึ้นอย่างแผดทีเดียวนะ “เณรๆ เป็นยังไงพระวัดนี้มันตายกันหมดแล้วหรือ ใครจะไปกุสลาใคร ทั้งวัดมีแต่พระตายไปหมด ไม่รู้หรือเวล่ำเวลาที่ทราบทั่วกันอยู่แล้วว่า บ่าย ๔ โมงปัดกวาด แล้วทำไมจึงวันนี้ไม่ปรากฏสักองค์ มันตายหมดแล้วหรือพระ ใครจะกุสลาใคร” ว่างั้น ทีนี้เณรคงจะรำคาญตา คือมันออกมาปัดกวาดเพราะเห็นเราปัด มันถือไม้กวาดออกมา เพราะเราแผดมากจริงๆ นี่ แผดให้พระ ดุพระ แล้วก็เอาเณรเป็นเขียงรับ

หือ มันไปยังไงหมดพระทั้งวัดนี่น่ะ มันตายกันหมดทั้งวัดหรือ ใครจะกุสลาใคร เราว่า เป็นยังไงเณร เณรก็เลยตอบมา “นี่มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที” ว่างั้นนะ  มันยังไม่ถึงบ่าย ๔ โมง แต่เราดูผิด ทางนี้ก็ เหอ ขึ้นทันที “เอ้าพูดอีกน่ะ”   “เวลานี้มันพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที” โอ้ตาย ถ้าอย่างงั้นเณรให้รีบบอกพระ อย่ามาปัดกวาด เดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัดนะ เราจะไปแก้บ้าเรา” เราก็เดินกึ๊กๆ ออกไป เณรคงจะอดหัวเราะไม่ได้ เพราะเสียงมันแผดเหมือนจะเผากันทั้งเป็น ว่างั้นเถอะ พอว่าพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที เหอ ขึ้นทันทีเลย แสดงว่าเราผิดเต็มประตู เข้าใจไหม ถ้างั้นหยุดๆ เณรอย่ามาปัดกวาดมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา พอว่าก็เดินกึ๊กๆ กลับไป เณรคงจะหัวเราะแล้วคงไปพูดให้พระฟัง

นี่เห็นไหมเหตุผล ว่าใหญ่ว่าน้อยที่ไหน ใครผิดต้องบอกว่าผิดใช่ไหม นี่เราเข้าใจว่าพระเณรผิดแล้วขนาบใหญ่เลย ถึงขนาดที่ว่าใครจะมากุสลาใคร มันตายกันทั้งวัด พอเณรตอบมาว่ามันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที ยังไม่ถึง ๔ โมง ทางนี้ก็ เหอๆ ขึ้นเลย เณรย้ำเข้าอีก พอว่าอย่างนั้นรู้แล้วว่าเจ้าของผิด ถ้าอย่างนั้นหยุดๆ ห้ามไม่ให้พระเณรมาปัดกวาดเดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา แล้วปุ๊บกลับเลย นี่เหตุผลเข้าใจไหม เวลาเข้าใจว่าเป็นความถูกต้องก็ดุเอา คลาดเคลื่อนจากความถูกต้อง ดุกันใหญ่

ทีนี้เราเป็นฝ่ายผิดน่ะซี เราเป็นฝ่ายผิดเราก็บอกเราจะไปแก้บ้าเรา ให้บอกพระเณรอย่ามาปัดกวาดเดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัดนะ นี่คือเหตุผล ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ เรานำมาพูดนี้พูดด้วยเหตุผล ไม่ถือว่าเรานี้ใหญ่กว่าพระกว่าเณรทั้งหมด ถือหลักเกณฑ์เป็นสำคัญ บ่าย ๔ โมงเป็นใหญ่ กำหนดกันไว้เรียบร้อย นี่ยังไม่ถึง เราเป็นบ้าอะไรออกมาปัดกวาดคนเดียว แล้วมาขู่พระทั้งวัดให้เป็นบ้าด้วยตัวเองใช่ไหมล่ะ

พอทราบอย่างนั้นก็บอกพระทั้งหมด ห้ามไม่ให้มาปัดกวาดเดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเราเอง พอว่าอย่างนั้นแล้วก็กลับทันทีเลย นี่หมายความว่าเหตุผล เราเอาเหตุเอาผลต่างหาก เสียงเหมือนฟ้าดินถล่มนั่นแหละ แต่พอเหตุผลลงอย่างนั้นแล้วทางนี้ยอมทันทีเลย เราผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นจึงห้ามพระไม่ให้มาปัดกวาดเดี๋ยวจะมาเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเราคนเดียว กลับเลย นี่ละเราผิดตรงไหนแก้ตรงนั้นๆ ใครเป็นคนผิดยอมรับกัน อย่าทะนงตน อย่าถือทิฐิมานะ จะเป็นการเพิ่มความผิดเข้าอีก แล้วแสดงความร้าวรานแก่กัน ฟืนไฟเผากัน ทะเลาะกัน แตกแยกกันได้ เพราะการข้ามเกินหลักเกณฑ์

ผิดไม่ยอมรับว่าผิด ต้องยอมรับกันคนเรามันถึงอยู่ได้ ตั้งแต่วงแคบถึงวงกว้าง ถ้ามีอรรถธรรมเป็นเครื่องปฏิบัติแล้วที่ไหนก็สงบร่มเย็น ยอมรับกันโดยเหตุโดยผลอย่างนั้น นี่ก็เป็นคติอันหนึ่ง ให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัตินะ อยู่ร่วมกันลิ้นกับฟันมันมักจะกัดกันอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละ เราจะไปตำหนิฟันว่าไปกัดลิ้นก็ไม่ได้ จะไปตำหนิลิ้นว่าคึกคะนองไปหาฟันให้ฟันกัดเอาก็ได้ แต่ความผิดอยู่กับใครนั่นซิ มันอยู่กับผู้บดผู้เคี้ยวต่างหาก ผู้เคี้ยวอาหารนั้นมีสติหรือไม่มี เป็นผู้รับผิดชอบ ถ้ารับผิดชอบอยู่แล้ว ลิ้นกับฟันนี้มันอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันเกิด มันก็ไม่ได้กัดกัน ถ้าเจ้าของผู้รับผิดชอบคือใจ สติเป็นผู้รับผิดชอบไม่เผลอเสียอย่างเดียว ลิ้นกับฟันก็ทำงานได้สะดวกสบาย  ลิ้นก็ทำหน้าที่ของลิ้น ฟันก็ทำหน้าที่ของฟัน บดเคี้ยวอาหารไปเรื่อยก็สำเร็จประโยชน์ขึ้นมา ถ้าสติเผลอเสียอย่างเดียว ลิ้นกับฟันก็กัดกันได้ จะไปตำหนิฟันก็ไม่ถูก ตำหนิลิ้นก็ไม่ได้ ต้องตำหนิเจ้าของผู้เป็นเจ้าของบังคับ คือสติรับผิดชอบอยู่ในนั้น เราเผลอมันถึงเป็นอย่างนั้นได้ ต่อไปเราระวังลิ้นกับฟันก็ไม่กัดกัน ถ้าเจ้าของไม่เผลอเสียอย่างเดียว

นี่มันมีเจ้าของอยู่ในนั้น ในร่างกายของเรานี้ก็มีใจเป็นพื้นฐาน สติรับผิดชอบ ปัญญาผู้ไตร่ตรอง ผิดชอบประการใดพิจารณาตามนั้น ไม่ค่อยผิดพลาดคนเรา ทำอะไรทำเอาตามใจชอบๆ ไม่คำนึงถึงความผิดถูกชั่วดีมักผิดไปเรื่อยๆ จนเป็นนิสัย รับความถูกต้องดีงามไม่ได้ จะมีแต่ความผิดเต็มตัวๆ เคลื่อนไหวไปมาทางใดกระทบกระเทือนไปหมด เพราะเป็นคนไม่ยอมใคร ความถูกต้องมีไม่มอง มองตั้งแต่ความต้องการของตนเอง ผิดพลาดไปทั้งนั้นแหละ ให้พากันระมัดระวัง

พระพุทธเจ้าเลิศเลอเพราะศีลธรรมนะ บรรดาพระสาวกทั้งหลายที่เป็นสรณะของพวกเรานี้ท่านเลิศเลอเพราะศีลธรรม ท่านนำมาปฏิบัติดัดกาย วาจา ใจของตนให้เป็นไปตามอรรถตามธรรม แล้วก็สำเร็จผลขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์ เพราะความถูกต้องดีงามในการประกอบความพากเพียร ถ้าไม่ถูกแก้กิเลสไม่ได้ ความถูกต้องแก้แล้วกิเลสก็สลายลงไปๆ เป็นคนดีถึงขั้นดีเลิศดังพระพุทธเจ้าของเรา ท่านนำมาสอนเราให้ได้เป็นแบบฉบับที่ว่าลูกศิษย์มีครูสอน อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบสัตว์ไม่มีเจ้าของตายง่ายนะ สัตว์ที่ไม่มีเจ้าของนี้ตายง่ายมากทีเดียว ถ้าสัตว์มีเจ้าของเขาก็กลัวเจ้าของ สัตว์ก็ปลอดภัย ถ้าสัตว์ไม่มีเจ้าของนี้ตายง่ายมาก

เราก็ทำตัวให้มีสติปัญญาเป็นเจ้าของ หน้าที่การงานของเรา เราอย่าปล่อยให้คิดให้ทำตามความต้องการจะเป็นความเสียหายมากตลอดไปนะ นี่ละท่านเรียกว่าธรรม  ธรรมคือความถูกต้องดีงาม ท่านเรียกว่าธรรม รับรองโลกมานานแสนนานตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีใครผิดหวังถ้าลงปฏิบัติตามธรรมแล้ว ย่อมได้ผลเป็นที่พอใจตามลำดับลำดาแห่งความสามารถของตนที่ทำให้ถูกอรรถถูกธรรมต่อไป ให้พากันจำเอา เฉพาะเรื่องการอยู่การกินควรจะรู้จักประมาณนะเมืองไทยเรา มันฟุ้งเฟ้อมาก เรื่องการอยู่กินนี้รู้สึกว่าฟุ้งเฟ้อ ลืมเนื้อลืมตัวจนเป็นนิสัย กินไม่อิ่มกินไม่พอ กินจิ๊บๆ แจ๊บๆ กินตลอดเวลา อันนี้เสียนิสัยเหมือนกัน

ลูกเล็กเด็กแดงเกิดขึ้นมาก็ดูพ่อแม่ซึ่งเป็นแบบฉบับ แล้วเด็กก็เป็นเด็กจิ๊บๆ แจ๊บๆ ดีไม่ดียังไม่ตกคลอดออกมา แล้วจะยื่นอาหารไปให้เด็กในท้องแม่แล้วให้จิ๊บๆ แจ๊บๆ มาแต่นู้น ฟาดโกโก้กาแฟ น้ำนั้นน้ำนี้กรอกเข้าไปในปากแม่ให้เด็กกิน เด็กก็เลยเป็นเด็กฟุ่มเฟือยมาตั้งแต่ยังไม่ตกไม่คลอดนะ นี่เราพูดนิสัย พอเด็กตกคลอดออกมาก็ดูพ่อดูแม่ปฏิบัติตัวยังไง เด็กต้องยึดต้องเกาะโดยหลักธรรมชาติ ท่านเรียกว่าบุพพาจารย์ อาจารย์ที่สอนก่อนใครทั้งหมดก็คือพ่อกับแม่สอนลูกของตน เราจึงควรทำตัวเป็นคนดี การอยู่การกินถึงเวล่ำเวลาแล้วก็กิน มันจะหิวจะโหยบ้างก็ต้องอดต้องทน จนชินต่อนิสัย

ดังพระท่านฝึกหัดตนของท่านด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าเป็นพระเฉยๆ แต่หิริโอตตัปปะไม่มีในใจก็ไม่ผิดอะไรกับประชาชนและเลวยิ่งกว่าประชาชนเสียอีก สิกขาบทวินัยไม่คำนึง เอาตามความอยากความต้องการ ส่วนผ้าเหลืองก็เป็นผ้าเหลือง หัวโล้นก็เป็นหัวโล้นไป ไม่เกิดประโยชน์นะ ต้องเป็นผู้รักใคร่ใฝ่ใจในอรรถในธรรม อย่างฉันอย่างนี้นะ ฉันหนเดียว พอฉันเสร็จแล้วหมดกังวลทุกอย่าง ถึงจะอยากฉันเท่าไรก็ไม่มีหวัง ไม่พาให้ฉัน นั่น ท่านบังคับของท่านไว้อย่างนั้น

ในครั้งพุทธกาลท่านฉันมื้อเดียวเท่านั้นแหละ ท่านไม่ได้ฉันสองมื้อ สามมื้อ สี่มื้อเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ ปัจจุบันไม่ทราบว่ากี่มื้อแหละ มันเลอะเทอะไปอย่างนี้ละเรื่องศาสนา ผู้ปฏิบัติศาสนานั้นแหละทำให้เลอะเทอะ ในครั้งพุทธกาลท่านฉันหนเดียวเท่านั้น อยนฺเต ปตฺโต นี่บาตรของเธอ ยื่นบาตรให้แล้ว ไม่ได้บอกว่านั้นภาชนะ นั้นถ้วยนั้นจาน ขันโตกขันเตกอะไรท่านไม่ได้ว่านะ อยนฺเต ปตฺโต นี้บาตรของเธอ ยกบาตรให้อันเดียว นี้คือภาชนะ ท่านฉันในบาตรปรกตินะ ฉันมื้อเดียว แต่ใครจะฉันนอกนั้นท่านไม่มีวินัยบังคับ เพราะฉะนั้นมันถึงลุกลามไปได้ ในขอบเขตมีวินัยบังคับเอาไว้ คือไม่ฉันตอนเย็น

ไม่ให้ฉันตอนเย็น ก็ตั้งแต่นี้ถึงเที่ยงยังฉันได้ ที่ท่านอนุญาตให้แต่เช้าถึงเที่ยงก็เพราะว่าการไปมาของพระนี้ถือเอาเที่ยงวันเป็นกฎเกณฑ์ในการขบฉัน จะฉันตอนเช้าถึงเที่ยงนั้นได้ท่านไม่กำหนดกฎเกณฑ์ แต่ปรกติท่านฉันมื้อเดียว ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเที่ยงจะฉันในระยะใดก็ได้ ทีนี้นานมาๆ มันก็ลุกลามเข้า ฟาดตอนเช้าแล้วก็ฟาดตอนเพล ฟาดกลางเพลเข้าไป ดีไม่ดีฟาดตอนค่ำอีกก็ได้ มันเป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้เวลาท่านฝึกของท่านแล้ว เช่นฉันมื้อเดียว พอฉันเสร็จแล้วหมด จะมุ่งอะไรจะต้องการอะไรไม่ได้อีกแล้วขึ้นชื่อว่าอาหาร ไม่ฉัน เมื่อมันหมดหวัง ข้อบังคับบีบไว้อย่างเต็มเหนี่ยวแล้ว มันก็ไม่หวังต่อไป ก็เดินตามหลักธรรมหลักวินัย

ครั้นต่อมาๆ ตอนเย็น พอหลังจากฉันเสร็จแล้วหมดภาระ หมดปัญหา หมดความกังวลทั้งหลายเกี่ยวกับการขบการฉันไปเลยทีเดียว หนเดียวแล้วเลยๆ จะมีอะไรไม่สนใจ นี่ท่านฝึก ฝึกจนกระทั่งหมดกังวล ถึงเวลาเย็นเวลาค่ำจะหิวโหยอะไรไม่มี ถึงหิวก็ไม่ได้ฉัน นี่คือข้อบังคับ ฉันแต่น้อยละดี แต่น้อยภาวนาดี ท่านเอาจุดนี้นะ ถ้าฉันมากมีกำลังมากภาวนาไม่ดี สติล้มเหลว ถ้าฉันมากกินมากเข้าไป มันเสริมกำลังทางร่างกายแล้วทับถมจิตใจ ทับถมสติทับถมปัญญาให้ก้าวออกไม่ได้ ท่านจึงได้ผ่อน เช่นอดนอนก็ผ่อนเรื่องเหล่านี้ ผ่อนอาหารก็เพื่อระงับธาตุขันธ์ บีบธาตุขันธ์เอาไว้ไม่ให้มันเลยเถิด ท่านฉันหนเดียวก็พอแล้ว นี่คือการฝึกของท่าน ฝึกจนพอ

อย่างหลวงตาบวชมา ๗๑ พรรษานี้ ที่เรียนอยู่ ๗ ปีนั้น บางปีก็ฉันหนเดียวตลอด ไม่ได้ฉันสองหน ฉันเพลไม่ฉัน ฉันหนเดียวเท่านั้นตลอดไปเลย ส่วนออกกรรมฐานแล้วไม่ต้องพูดสองหนสามหน อย่างมากหนเดียว หรือมากกว่านั้นกี่วันจึงฉัน นั่นฟังซิ ไม่ฉัน อดไปกี่วันก็เรียกว่าไม่ได้ฉันแล้ว อย่าว่าแต่ฉันมื้อเดียวๆ ในวันหนึ่งๆ เลย แม้วันนั้นก็ไม่ได้ฉัน กี่วันก็ไม่ได้ฉัน ไปหลายๆ วันก็มี มันก็ไม่เป็นกังวลกับเรื่องอาหารการกิน เพราะการฝึกใจของเรา

นี่ละที่ว่าบวชมาได้ ๗๑ ปีนี้แล้ว หยุดอาหารค่ำมาตั้งแต่นั้นจนกระทั่งบัดนี้ ๗๑ ปีไม่เคยฉันอาหารค่ำข้าวค่ำเลย ส่วนฉันเพลในเวลาเรียนอยู่ ๗ ปีนั้นบางปีก็ฉันมื้อเดียวๆ ก็มีแทรกกันอยู่ พอออกปฏิบัติแล้วมื้อเดียวตลอด มิหนำซ้ำกี่วันๆ จึงฉันก็มีเรื่อยมา นี่คือการฝึก ใครจะไม่หิวไม่โหยธาตุขันธ์มันต้องการ  เพราะมันบกพร่องต้องการ เราผู้เป็นเจ้าของธาตุขันธ์ เมื่อฉันลงไปแล้วมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรบ้างกับการชำระกิเลสด้วยความพากเพียร ต้องได้มาเทียบเคียงคำนึงกันเสมอ

เพราะฉะนั้นเวลาฉันมากภาวนาไม่ดี ต้องลดลงๆ เมื่อลดลงแล้วสติดีขึ้น ปัญญาก็ดี เห็นผลประจักษ์ใจ มีความดูดดื่มแล้วค่อยผ่อนอาหารไปตามนั้นๆ นี่อุบายวิธีการฝึกตนให้ดี เรื่องความหิวความโหยทำไมจะไม่หิวโหยคนเรา ไม่ใช่คนตาย มันต้องอยากต้องหิว แต่บังคับเอาให้อยู่ในกรอบแห่งความพอเหมาะพอดีของผู้ประกอบอรรถธรรม มุ่งอรรถมุ่งธรรม อย่าให้มันเลยเถิดเลยแดนเป็นไปตามกิเลสเสียอย่างเดียว ไม่มีฝั่งมีฝา ส่วนมากเสียคน เสียเราเพราะไม่มีการฝึก ที่พูดเหล่านี้เพื่อให้เป็นคติแก่ท่านทั้งหลาย ไม่ใช่มาเพื่ออวด อวดหาอะไร เราไม่มีเรื่องอย่างนั้น ใครจะว่าอะไรเราก็ไม่มี ไม่ว่าจะแสดงอะไรออกมากน้อยเพื่อเป็นคติแก่ผู้ฟังทั้งนั้น ที่จะมาพูดโอ้พูดอวดอย่างนั้นเราไม่มี เรื่องไม่มีเราหากุขึ้นมา ปั้นขึ้นมาว่ามี เราก็ไม่เคยมี

อันใดที่มีที่จริงว่าไปตามหลักความจริงนั้นตลอดมา สอนเจ้าของก็เหมือนกัน ถ้าอะไรไม่ดีปัดออกๆ พยายามสั่งสมแต่ความดี ทุกข์ยากลำบากก็ทนเอาๆ เรื่องอดอาหารนี้ทุกข์มากอยู่นะไม่ใช่เล่น ยิ่งธาตุขันธ์กำลังหนุ่มน้อยนี้ด้วยแล้ว โหยเร่งมากนะเรื่องอาหาร ฉันลงไปท้องเต็มแล้วปากยังอยาก เป็นได้นะเราเคยเป็นมาแล้ว ฉันลงไปนี้ท้องเต็มแต่มันไม่อิ่มนะ ปากยังอยากอยู่อีก ท้องเต็มแล้วปากยังอยาก เป็นขนาดนั้นมันเห็นได้อย่างชัดเจนเวลาธาตุต้องการมากๆ

ตั้งแต่เริ่มบวชทีแรกที่มันเร่งมากที่สุดก็ในระยะ ๒๔-๒๕ ปี ธาตุขันธ์เร่งเรื่องอาหารมาก ต้องได้บีบบังคับเอาไว้ๆ จากนั้นมันก็เร่งแต่ไม่มากนัก หากเร่งอยู่ ยิ่งเป็นเวลาออกปฏิบัติด้วยแล้วมันเร่งขนาดไหน เร่งอาหารการกิน เราบีบมันให้อยู่กับความต้องการที่พอเหมาะพอดีกับการบำเพ็ญธรรม บีบมาอย่างนั้นตลอดเวลาธาตุขันธ์ ในระยะประกอบความพากเพียรนี้จะอนุโลมตามธาตุขันธ์ไม่ได้นะ ต้องได้บีบบังคับไว้เสมอให้ฉันแต่พอดีๆ ไม่ให้เลยนั้น ถ้าเลยนั้นแล้วมันเป็นอันตรายต่อเรา

ธาตุขันธ์มีกำลังมาก กิเลสตัณหามาก ราคะมาก มันจะดิ้นอยู่ภายในจิตนะ มันไม่ได้แสดงออกลวดลายมาภายนอก มันเป็นอยู่ภายในจิตให้เจ้าของรู้ เพียงเท่านั้นเจ้าของมีสติอยู่แล้วจะหาวิธีบังคับอะไรต้องรีบบังคับ เอ้า ผ่อนอาหารลงไปแล้วสังเกต  อดอาหารลงไปสังเกตมันเป็นยังไง เมื่ออะไรมีผลดีก็มักจะเดินตามนั้น ผ่อนอาหารเป็นผลดีก็ผ่อนไปเรื่อยๆ จากนั้นพอได้โอกาสอดอาหารก็อด ธาตุขันธ์มันก็ไม่มีกำลัง ไม่บีบจิตใจ การประกอบความพากเพียรสติก็ดี ปัญญาเวลาจะใช้ก็คล่องตัว ท่านจึงได้อุตส่าห์พยายามอดทนอย่างนี้นะ

ถ้าฉันอย่างอิ่มนี้ไม่เป็นท่า อิ่มหมีเลยกลายเป็นพีหมาไปเลย ไม่ใช่อิ่มหมีพีมันนะ อิ่มหมีพีหมาไปเลย กินแล้วอยากนอน ขี้เกียจขี้คร้าน แล้วราคะตัณหามักกำเริบอยู่ภายในใจ นี้เราเอาความจริงออกมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง มันมีอยู่กับทุกคนเรื่องราคะตัณหานอกจากไม่พูด แล้วเกิดความละองละอายกันเท่านั้น หัวใจมันไม่ได้ละอาย กิเลสตัณหามันบีบบี้สีไฟตัวเองอยู่อย่างนั้นตลอด ทีนี้เราพยายามบำเพ็ญเพียรเพื่อจะบังคับกิเลสตัวนี้หรือขับไสมันออก มันแสดงมากน้อยเราก็เห็นๆ บังคับกันในตัว ชำระกันในตัว จนกระทั่งมันอ่อนลงๆ สติปัญญามีกำลังมากขึ้น ทีนี้ทางนั้นสติปัญญาเร่งขึ้น

เรื่องการขบการฉันผ่อนลงตลอดๆ อดไปตลอด แล้วความเพียรยิ่งหนาแน่นขึ้นมา สติปัญญาเฉลียวฉลาดรอบคอบ สติตั้งได้ตลอดไป จิตใจมีความสงบร่มเย็น แน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นลำดับๆ เพราะอุบายวิธีการฝึกนั้นถูกต้อง ไม่ใช่จะไปเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาแล้วกินให้ท้องป่อง ๆ ใช้ไม่ได้นะไม่คิดไม่อ่าน นี่ละการฝึกทรมานตนเอง เรื่องความทุกข์ไม่ต้องบอก ทุกข์ความหิวโหย ยิ่งธาตุขันธ์อยู่ในวัยที่กำลังคึกคะนองด้วยแล้วต้องการอาหารนี้มากที่สุดเลย นี้ละต้องบีบบังคับกันตอนนี้ให้มาก ไม่เช่นนั้นไม่ได้ ความเพียรจะก้าวออกไม่ได้

ธาตุขันธ์มันเร่งมันหนัก ตั้งแต่อายุ ๒๐ ขึ้นไปถึง ๓๐ มันมีของมันให้เห็นอย่างชัดๆ เอาธรรมจับตลอดเวลามันก็รู้กัน ๓๐ เลยขึ้นไปแล้วทรงตัว ฟาดกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปแล้วมันจะมีมากมีน้อยก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะธรรมเหนือหมดแล้ว ชำระออกหมดแล้ว ฟาดเสียจนขาดสะบั้นลงไปแล้วธาตุขันธ์มันก็ไม่เห็นมีอะไร มันเป็นกับใจเข้าไปเสริมธาตุขันธ์ให้เกิดราคะตัณหาดีดดิ้นหาหญิงหาชาย คือตัวนี้เองพาดีดดิ้น ถ้ากิเลสตัวนี้ขาดไปแล้วมันดิ้นหาอะไร มันก็รู้เอง ธาตุขันธ์มีกำลังก็มีกำลังอยู่ในวงของมัน มันไม่เป็นกิเลสตัณหาได้เหมือนแต่ก่อน รู้กันอย่างนั้นซิการปฏิบัติ

เวลามันสิ้นซากลงไปแล้วจะเอาอะไรมาเป็น มาดีดมาดิ้นไม่มี มันก็บอกชัดๆ ว่าเกิดจากใจนี้เท่านั้น ธาตุขันธ์เป็นเครื่องใช้ก็ใช้ไปตลอดวันตาย ไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัยกับอะไร มันเป็นพิษเป็นภัยอยู่ที่หัวใจนี้เท่านั้น จึงต้องได้รับการฝึกฝนอบรม อันนี้เราเป็นฆราวาสญาติโยมไม่ได้ฝึกแบบพระ แต่เราฝึกแบบฆราวาสญาติโยมของเราให้มีขื่อมีแป มีกฎมีเกณฑ์ ปฏิบัติต่อกัน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันระหว่างสามีภรรยา อย่าปีนเกลียว อย่าเป็นคนมักมาก อารมณ์มาก เสาะแส่หาตั้งแต่สิ่งที่จะเป็นฟืนเป็นไฟมาเผากันอย่างนี้ไม่ถูก เมียก็มีแล้วผัวก็มีแล้วก็เป็นไปได้แล้วสำหรับโลกที่มีกิเลส อย่าดิ้นอย่าดีดนอกฝั่งนอกฝาออกไปจะจมลงทะเลหลวงไม่รู้ตัว ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้

การฝึกตนให้เป็นคนดีนี้อย่าลดละ อย่าถือว่าเป็นของไม่สำคัญ กิเลสมันจะเหยียบเข้าไปตรงนี้แหละว่าการเสาะแสวงหาความดีงาม การฝึกฝนอบรมตนมันไม่อยากทำ ดีไม่ดีมันว่ามันครึ มันล้าสมัย ไม่ล้ำยุคล้ำสมัยเหมือนกิเลส แล้วก็พาคนจม มีแต่คนล้ำยุคล้ำสมัยทั้งนั้นละไปเป็นคนชั่ว หาค่าหาราคาไม่ได้ เป็นคนล้ำยุคล้ำสมัยทั้งนั้น ถ้าธรรมมีแล้วยุคไม่ยุคก็ตามอยู่ที่ไหนมันก็ดีในตัวของเราเอง ไม่ต้องไปหาความชมเชยสรรเสริญจากผู้ใด หากดีอยู่ภายในตัวๆ

อย่างในครั้งพุทธกาลพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงตั้งสมณศักดิ์ให้ ๘๐ องค์ เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ พระองค์ทรงตั้งสมณศักดิ์ยกย่องให้องค์นี้ดีทางนั้น องค์นั้นเด่นทางนั้นๆ ความเป็นอรหันต์บริสุทธิ์เสมอกันหมด แต่นิสัยวาสนาเด่นคนละทิศละทางตามนิสัยวาสนาที่ทำความปรารถนาไว้ตั้งแต่กำลังสร้างบารมีอยู่นั้น ทีนี้พอจิตได้ถึงขั้นเต็มสัดเต็มส่วนแล้ววาสนามียังไงก็แสดงออกตามวาสนา เช่นอย่างพระสารีบุตรท่านยกให้เป็นเบอร์หนึ่ง เอตทัคคะทางสติปัญญา เป็นที่หนึ่งของบรรดาสาวกทั้งหลาย

อย่างพระโมคคัลลาน์ ฤทธาศักดานุภาพเป็นที่หนึ่งของบรรดาสาวกด้วยกัน แล้วยกให้คนละทิศละทางๆ แต่ที่ว่าผู้นี้เด่นไม่ได้หมายถึงว่าพระทั้งหลายที่ไม่ได้ยกขึ้นในฐานะอันนี้ เช่นสติปัญญา ฤทธาศักดานุภาพ ไม่ใช่พระสาวกทั้งหลายไม่มี ท่านก็มีเหมือนกัน แต่ผู้นี้เด่นกว่าเลยยกผู้นี้เป็นที่หนึ่งให้เลิศในทางนี้เสียเท่านั้น ไม่ใช่พระทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่มีสติปัญญาดังพระสารีบุตร มี แต่พระสารีบุตรแหลมคมกว่าเพื่อน เลยยกให้นี้เสียๆ

บรรดาพระอรหันต์ท่านได้รับการยกย่องชมเชยจากพระพุทธเจ้า ๘๐ องค์ ท่านไม่ได้ตื่นเต้นนะ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่เคยปรากฏพระอรหันต์องค์ใดเมื่อได้รับสมณศักดิ์แล้วเป็นบ้าขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ เหมือนพระปัจจุบันนี้ ซึ่งเพียงดินเหนียวเท่านั้นละติดหัวแล้วเป็นบ้ากันเลย บวชเข้ามาเพื่อเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม มันไม่ได้หาอรรถหาธรรม มันหาตั้งแต่ดินเหนียวติดหัวๆ หาชื่อหาเสียง ให้เขายกยอว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เจ้าของเลวยิ่งกว่าหมามันก็ไม่สนใจตัวเองนะ นี่ไม่ได้บวชมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม

ถ้าบวชมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม ปฏิบัติให้ถูกต้องตามศีลตามธรรมชื่อเสียงอะไรเหล่านี้ยกย่องไม่ยกย่องก็ช่างซิ เจ้าของบำรุงเจ้าของ ยกย่องเจ้าของด้วยความดีงามตลอดเวลา ใครจะบกพร่อง เมื่อเจ้าของบำเพ็ญอยู่แล้ว เจ้าของนั่นเองเป็นผู้จะสมบูรณ์ ความบกพร่องไม่มี ตั้งไม่ตั้งก็ไม่เห็นเป็นอะไร ขอให้ทำตัวให้ดี อันนี้ไม่เอาอะไรแหละ หาแต่ดินเหนียวติดหัว อันนี้เป็นนี้ อันนั้นเป็นนั้น บวชมาเลยเป็นบ้าไปหมด ดินเหนียวฟังซิมีค่าอะไร ลมปากตั้งให้เป็นอะไรก็เป็นได้ แต่เจ้าของเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถมันเกิดประโยชน์อะไร เอายศไปประดับมูตรคูถเกิดประโยชน์อะไร

คนชั่ว-พระชั่วเอายศถาบรรดาศักดิ์ตั้งลงปักลงเท่าไร มันก็เหมือนกับว่าเอาดินเหนียวไปปักลงในกองมูตรกองคูถนั้นแหละ เจ้าของเป็นกองมูตรกองคูถ เอาดินเหนียวคือยศนั่นละมาตั้งไว้ปักไว้บนหัวใจเจ้าของ บนตัวเจ้าของซึ่งเป็นตัวมูตรตัวคูถ มันก็เป็นมูตรเป็นคูถไม่เกิดประโยชน์อะไร พากันจำ เราเอาอรรถเอาธรรมมาพูดตามหลักความจริง เรื่องเหล่านี้ครั้งพุทธกาลเป็นผู้ทรงตั้งมาก่อนจึงได้เอาอันนั้นมายึด ทีนี้มันเลยเถิดไปเสีย พระพุทธเจ้าตั้งสมณศักดิ์ ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น ๘๐ องค์ ได้รับการยกย่อง ตั้งสมณศักดิ์ให้เป็นผู้เลิศคนละทิศละทาง

แต่เวลามาตั้งใส่พวกลิงพวกค่าง พวกกิเลสเต็มหัวใจอย่างเรา มันก็เลยเห็นว่าดินเหนียวติดหัวกลายว่าตนเป็นผู้มีหงอนเลิศเลอไปเสีย เลยเป็นบ้ายศไปหมดเลยเวลานี้ มันไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม เพราะฉะนั้นศาสนาจึงเดือดร้อน ถ้าต่างคนต่างปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ศาสนาไม่ได้สอนให้ใครเดือดร้อนนะ ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยจะหาความเดือดร้อนไม่ได้ทั้งตัวเองและผู้เกี่ยวข้อง เพราะต่างคนต่างปฏิบัติดีด้วยกัน

อันนี้มันไม่ได้ปฏิบัติตามศีลตามธรรม มันปฏิบัติแบบตรงกันข้าม ทำลายศีลธรรม ไปที่ไหนเกิดเรื่องเกิดราว ก่อเรื่องนั้นขึ้นมาก่อเรื่องนี้ขึ้นมา ยุแหย่กันในทางที่เป็นเปรตเป็นผี เป็นกิเลสตัณหา ไม่ได้เป็นอรรถเป็นธรรม เพราะฉะนั้นศาสนาจึงร้อน เวลานี้กำลังร้อนมาก นี่เพราะฟืนเพราะไฟจากพวกเปรตพวกผีมันเที่ยวเผาไปทุกแห่งทุกหน เขาทำดีกันทั้งบ้านทั้งเมือง มันทำชั่วกันเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนกันพวกนี้ มันไม่ได้สนใจกับความดียิ่งกว่าความชั่วของมัน ซึ่งไปเที่ยวหายุแหย่ก่อกวน ตบนั้นตีนี้

เขาทำดีเท่าไรมันลบหมด มันว่าไม่ดี การทำชั่วของมัน มันยกว่าเป็นของดี อะไรๆ ดีหมด ถ้าพวกกองมูตรกองคูถนี้ไปที่ไหนดีหมด มันกำลังยกมูตรยกคูถนี้ขึ้นเป็นของดิบของดี เป็นเงินเป็นทองไป เป็นของมีค่าไป แล้วเหยียบไปทั่วทุกแห่งทุกหน ให้พากันจำเอานะ มีอยู่เต็มประเทศไทยของเราเวลานี้ มันไม่มีใครสนใจกับธรรมนะ มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลกไป พระก็มีแต่ผ้าเหลืองหัวโล้นๆ ถ้าพระประเภทนี้นะ พระผู้มีศีลมีธรรมท่านดี ไม่ได้ว่าท่าน ว่าท่านหาอะไร ท่านปฏิบัติตามศีลธรรม เอาละเท่านี้พอ เสียงรถเสียงราเข้ามา วันนี้พูดให้ฟังขนาดนี้พอดีแล้ว เอาละพอ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com  หรือ  www.Luangta.or.th

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก