เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
หาความสุข
ก่อนจังหัน
พระมีจำนวนมากตลอดสำหรับวัดป่าบ้านตาด ต้องได้บังคับไว้เสมอ ไม่งั้นจะมากเกินไป พระมากปฏิบัติดีเราก็เห็นใจ แต่สถานที่อยู่ที่พักไม่เพียงพอกับความสงบสงัดในการประกอบความพากเพียร เพราะฉะนั้นในวัดนี้จึงต้องมีกำหนด เช่น ๕๐ องค์ มากกว่านั้นก็ไม่เหมาะ สถานที่บำเพ็ญไม่สะดวก ผู้ดีเราเห็นใจ พระดีเห็นใจ แต่สถานที่มันจำกัด จึงต้องกำหนดไว้อย่างนั้น อย่างที่ภูวัวซึ่งเคยพูดไว้แล้วนั้น เอา มาเท่าไรให้มา กว้างขวางมากมาย พระบำเพ็ญพระดี ดีเท่าไรไม่เฟ้อ ไอ้ชั่วนิดหน่อยก็เฟ้อแล้ว
เราอยากให้ท่านทั้งหลายได้สนใจปฏิบัติตามพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงเลิศเลอมาก่อนแล้ว ประกาศธรรมที่เลิศเลอสอนโลก เราอยากให้น้อมธรรมะที่เลิศเลอนั้นเข้ามาปฏิบัติ ให้ใกล้ชิดติดกับใจ จะเป็น พุทโธ ก็เลิศเลอ ธัมโมก็เลิศเลอ สังโฆก็เลิศเลอ มีสติครอบไว้ในธรรมบทใดที่ตนนำมาบริกรรม จะเป็นผู้มีสง่าราศีอยู่ภายในจิตใจ ขอพูดตรงไปตรงมามันจวนจะตายแล้ว ท่านทั้งหลายอย่าตื่นบ้ากับวัตถุสิ่งต่างๆ พากันเพลินเป็นบ้าไม่รู้จักหยุดจักหย่อน หัวใจนี้เป็นฟืนเป็นไฟทั่วโลกดินแดน ไม่มีใครมองเลย ใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือกับเจ้าของตลอดเวลาทั่วโลกเหมือนกัน เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเหมาะสมกับจิตใจให้ได้มีความสุขความสงบเย็นใจได้นอกจากธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นธรรมที่จะเกิดขึ้นแต่ละครั้งละคราวจึงเป็นสิ่งที่ยากมาก ผู้ไม่มีวาสนาเกิดมาแล้วก็ไม่พบธรรม พบแล้วก็ไม่สนใจ
นี่เราได้พบอรรถพบธรรม พบพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่เลิศเลอแล้ว ขอให้พากันบังคับจิตใจตนเข้าสู่อรรถธรรมอันเป็นความดีงามบ้างนะวันหนึ่งๆ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป เรื่องกิเลสตัวของมันเองจะไม่มีเฟ้อ เราก็ไม่มีเฟ้อ ทั้งๆ ที่เฟ้อเต็มตัวๆ กิเลสหลอกไม่ให้เฟ้อ มีแต่จะทันสมัยๆ ล้ำยุคล้ำสมัยไปเรื่อย แต่ไฟที่ล้ำยุคล้ำสมัยเข้าไปทุกวันๆ เผาหัวใจนั้นมันไม่ได้สนใจเลย เหล่านี้เกิดจากกิเลสนะไม่ได้เกิดจากธรรม เพราะฉะนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลายนำธรรมไปปฏิบัติ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้เลิศเลอแล้ว ขอให้ติดแนบกับใจ ท่านผู้ใดชอบในธรรมบทใด ทำหน้าที่การงานอะไรเราระลึกธรรมได้ เพราะการระลึกถึงกิเลสนี้ไม่มีกาลเวลา คล่องตัวตลอดเวลา เวลาจะมาระลึกถึงธรรม ทำไมถึงอืดอาดเนือยนาย หรือขัดข้อง ไม่มีเวล่ำเวลา นี่ขัดกัน สู้กิเลสไม่ได้นะ ให้พากันปฏิบัติ
ถ้ามีธรรมภายในใจจะเย็นนะ เย็นตลอดเลย นี่ได้ปฏิบัติเต็มกำลังมาแล้ว หาความสุขหามาตั้งแต่ต้น เกิดมาก็หามา จนกระทั่งมาบวชมันก็เจอ เหมือนเราๆ ท่านๆ นั่นแหละ ออกปฏิบัติ นี่ละที่มันปรากฏโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก อาศัยธรรมพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นเครื่องชี้บอกแนวทาง เดินตามธรรมนั้นตลอดๆ ไม่ฟังเสียงอันใดให้ยิ่งกว่าเสียงธรรม ประกอบความพากความเพียรชำระจิตใจ เน้นหนักๆ ในเรื่องจิตตภาวนา เพราะพระไม่มีหน้าที่การงานอะไร มีแต่การภาวนาชำระจิตใจของตนที่มัวหมองให้ผ่องใสขึ้นมาเท่านั้น ก็ได้พยายามเต็มกำลังความสามารถ ปรากฏว่าธรรมนี้แสดงขึ้นโดยลำดับลำดา ตั้งแต่พื้นๆ แห่งธรรม แสดงขึ้นภายในใจที่ถูกปิดบังด้วยกิเลส กิเลสออกมากเท่าไรใจยิ่งสว่างไสวขึ้นมา
กิเลสท่านทั้งหลายทราบไหม ความโลภ ได้เท่าไรไม่มีเมืองพอ ไม่มีป่าช้า ประหนึ่งว่าตายไม่เป็น นี่คือความโลภ ความโกรธ ความเคียดแค้นที่ไม่สมใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่สมใจกับสิ่งใดก็ตาม ความโกรธความเคียดแค้นนี้จะเกิดขึ้น แล้วก็ราคะตัณหา โลกนี้เต็มไปด้วยราคะตัณหาไม่เคยบกพร่อง อย่าพากันดีดกันดิ้นเป็นบ้าจนเกินไป ราคะตัณหาไม่มีอะไรบกพร่อง แต่ทำไมหัวใจเรามันหิวโหยบกพร่องตลอดเวลา วิ่งตามกิเลสตัณหาไม่มีวันพอ เหล่านี้คือกิเลส ได้ชำระสะสางมันเต็มกำลังความสามารถ
ความโลภ จิตใจมีกิเลสต้องโลภ ต้องโกรธ ต้องรักต้องชังเป็นธรรมดา แต่เมื่อธรรมเข้าไปชะล้างแล้วสิ่งเหล่านี้จะค่อยจาง สิ่งเหล่านี้จางลงไป ความทุกข์ก็จางลงไป ความสุขปรากฏขึ้นมาๆ เอาจนกระทั่งถึงหมด นี่พูดถึงเรื่องเสาะแสวงหาความสุข มาเจอเอาทางด้านธรรมะ มาเจออย่างจังอยู่ที่ธรรมตั้งแต่เริ่มแรกขึ้นมาจนกระทั่งฟ้าดินถล่ม เจอความสุขอย่างจังๆ อย่างเลิศอย่างเลอปรากฏขึ้นมา แล้วก็ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ฟังซิน่ะ พอเจอธรรมชาตินี้แล้วกับพระพุทธเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนน้ำมหาสมุทรที่ไหลมาจากที่ต่างๆ รวมแล้วเป็นมหาสมุทรด้วยกัน ถ้าว่าถาม ถามกันอะไรก็เป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกัน นี่ธรรมชาติที่เลิศเลอ เลิศเลออันเดียวกัน แบบเดียวกัน ถามกันหาอะไร
นี่ละเรากราบไหว้พระพุทธเจ้า อยากพบอยากเห็นพระพุทธเจ้า เบื้องต้นก็ตะครุบเงา ดิ้นดีดไปธรรมดา แต่พอเจอเข้าๆ จับติดปุ๊บ จนกระทั่งเข้าถึงเต็มภูมิแห่งมหาวิมุตติมหานิพพาน ธรรมธาตุแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านไม่ถามหากัน สาวกทั้งหลายไม่ถามหากัน พอด้วยกันทุกดวงพระทัยและดวงใจ นี่คือธรรมอันเลิศเลอ ท่านหาความสุขมาเจอที่ตรงนี้ด้วยกัน ทุกข์ก็กุดด้วยขาดสะบั้นลงไป ในขณะที่ความสุขอันล้นพ้นนี้ปรากฏขึ้นภายในจิตใจ ตั้งแต่วันนั้นมาทุกข์ภายในใจท่านจะไม่มีเลย ไม่มีตลอดไป จึงเรียกว่านิพพานเที่ยง นี่คือการเสาะแสวงหาความดี การฝึกฝนอบรมตนเอง ต้องมีความทุกข์ความยากความลำบากเป็นธรรมดา ต้องฝืนมันไม่ฝืนไม่ได้ เราดิ้นไปกับกิเลสเราก็ทุกข์เหมือนกัน ฝืนไปกับมันนั่นแหละ แต่ฝืนไปด้วยความพอใจกับมันอยู่นั้นแล สุดท้ายก็เป็นทุกข์ พากันจำเอานะ
พระเราก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ศาสนาจะสง่างามอยู่กับหัวใจของเราผู้มีความพากเพียร พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้ไม่เคยครึเคยล้าสมัย เลิศเลอตลอด สัมผัสเข้ากับจิตดวงใด จิตดวงนั้นจะปรากฏมีคุณค่าขึ้นมาทันทีๆ ไม่สงสัยแหละ พระเราให้ตั้งใจปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติอย่าเห็นว่าผู้ใดบกพร่อง ผู้ใดสมบูรณ์ ให้ดูตัวเอง บกพร่องก็บกพร่องที่ตัวของเรา สมบูรณ์ก็สมบูรณ์ที่ตัวของเรา เพราะเรามาปฏิบัติเพื่อเรา เราต้องดูเราตลอด อย่ามีที่แจ้งที่ลับ มีมืดมีแจ้ง กิเลสครอบหัวใจอยู่ไม่ว่ามืดว่าแจ้ง มันครอบตลอดเวลา กลางคืนมันก็ครอบ กลางวันมันก็ครอบ คือกิเลส ธรรมะเปิดได้ทั้งกลางคืนกลางวันไม่มีที่ลับที่แจ้ง กิเลสจะออกได้โดยลำดับด้วยความพากเพียรของเรา
ความพากเพียรนี้ขอให้นำไปคิดในแง่ต่างๆ ที่ตนหนักในทางใด การประกอบความเพียรให้สังเกตนะ เช่น เราฉันธรรมดาเราตั้งสตินี้ยากมาก ดีไม่ดีถ้าร่างกายกำลังคึกคะนอง อายุ ๒๐ กว่านี้ละร่างกายคึกคะนอง แล้วอาหารการบริโภคนี้เป็นการเสริมร่างกาย ในขณะเดียวกันก็เสริมราคะตัณหาได้เป็นอย่างดี ตั้งสติไม่อยู่ ให้ลดลง อาหารให้ลดลงๆ ผ่อนๆ แล้วความเพียรตั้งสติจะค่อยดีขึ้นๆ นี่คือข้อสังเกตตัวเองต้องทำอย่างนั้น ทำสุ่มสี่สุ่มห้าเฉยๆ ไม่ได้นะ เช่นอดอาหาร เห็นท่านอดเราก็อด ต้องสังเกตตัวเอง อดอาหารเพื่อผลประโยชน์ ผ่อนเพื่อผลประโยชน์ แม้ที่สุดเราฉันจังหันก็เพื่อผลประโยชน์ แต่ได้ผลหรือไม่เท่าไรต้องเป็นเรื่องของเจ้าของพิจารณาเอง
นี่ได้เคยฝึกมาแล้วจึงมาสอนท่านทั้งหลายโดยไม่มีสงสัยเลย การผ่อนอาหารดี ตั้งสติติดได้ดีๆ สตินะเป็นพื้นฐานแห่งความเพียร ถ้าขาดสติแล้วไม่มีความหมายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจงยกสติๆ เวลาเรามีสติดีกิเลสก็ไม่เกิด ถ้ามีสติอยู่ตลอดๆ กิเลสก็ชะงักๆ เพราะสติบังคับมันไว้ พอเผลอแพล็บกิเลสเข้าผางเลย สติเป็นสำคัญมากนะ ขอให้ตั้งสติให้ดี ความพากเพียรอยู่กับสติ ยืนเดินนั่งนอนด้วยความเพียรของเราก็อยู่กับสติ อ่าเผลอตรงนี้นะ นี่ได้ดำเนินมาแล้ว เอาจนเต็มเหนี่ยว ได้พินิจพิจารณาตลอดเต็มความสามารถ จึงได้นำมาสั่งสอนเพื่อนฝูงทั้งหลายนี้แหละ ผิดก็เป็นครู เราผิดมาแล้ว ถูกก็เป็นครู เราถูกมาเป็นประจำ ผิดมาเป็นประจำ จนกระทั่งเป็นที่พอใจแล้วที่นี่ว่าไม่ผิด จึงนำธรรมเหล่านี้มาสอนท่านทั้งหลาย ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ
เวลาครูบาอาจารย์ไม่อยู่ อย่าไปคิดเรื่องนอกๆ ในๆ สติอยู่หรือไม่อยู่กับเรา ความเพียรอยู่หรือไม่อยู่กับเรา ให้คิดตรงนี้นะ ครูบาอาจารย์มีกี่องค์ก็ตาม ถ้าเราไม่มีความพากเพียร สติไม่ดี ความเพียรไม่ดี นั้นเรียกว่าปราศจากที่พึ่ง กิเลสรุมเอาแหลกๆ ได้นะ ใครอยู่ที่ไหนให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่าไปดูใครยิ่งกว่าดูตัวเองซึ่งเป็นมหาเหตุ ตัวเองได้แก่ใจ ดูใจมันจะคิดจะปรุงตลอดเวลา ส่วนมากมีแต่คิดเรื่องเป็นฟืนเป็นไฟของกิเลสทั้งนั้น ถ้าสติตามไม่ทันมันก็เอาแหลกๆ ไปเลย จึงให้ตั้งหน้าตั้งตาประกอบความเพียรด้วยสติสตังเป็นสำคัญมากนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน พระเรามาจากที่ใดๆ ก็คือคนเหมือนกัน มุ่งหน้ามุ่งตาต่ออรรถต่อธรรม ธรรมเป็นเครื่องสมัครสมานให้มีความแนบสนิทต่อกัน ประหนึ่งเป็นอวัยวะเดียวกัน เพราะฉะนั้นผู้มีธรรมในใจเช่นพระอรหันต์ จึงไม่เคยทะเลาะกัน หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งทะเลาะก็คือกิเลส หมดโดยสิ้นเชิงแล้วก็ไม่มีทะเลาะกัน จิตกับกิเลสอยู่ภายในใจก็ทะเลาะกับตัวเอง ถ้ายังมีอยู่ภายในใจเกี่ยวข้องกับใครมีการขัดข้องกัน มีการทะเลาะกันจนได้ จงระวังกิเลสตัวนี้ให้ดีอยู่กับเพื่อนกับฝูง ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
การให้อภัยกันนั้นเป็นเรื่องธรรม การถือทิฐิมานะเป็นเรื่องของกิเลส ยิงเขี้ยวยิงฟันกัดกันได้กิเลส กิเลสพาให้เป็นหมาได้นะ ถ้ามีสติสตัง มีอรรถมีธรรมทุกอย่างอยู่ในใจของเราแล้ว ให้อภัยกันได้ อย่ามองกันในแง่ผิด ให้มองกันในแง่เหตุผลและมีเมตตา ให้แนะกันๆ ผู้รับฟังคำแนะไปก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เห็นบุญเห็นคุณของผู้แนะ ประหนึ่งว่าชี้บอกขุมทรัพย์ให้ ตามหลักธรรมท่านแสดงไว้อย่างนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
ผมก็อย่างนี้แหละ ทำประโยชน์ให้โลก ประโยชน์ประเภทหนึ่งแล้วก็มาประเภทหนึ่ง วันนี้ก็จะออกเดินทางไปวัดอโศการาม นั้นก็สร้างเจดีย์ใหญ่ เจดีย์ใหญ่ก็มีครูมีอาจารย์ ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้น ที่จะเข้าบรรจุหรือประดิษฐานอยู่ในนั้น เราก็มีความเคารพท่านอยู่แล้วเต็มหัวใจ เมื่อได้รับความขอร้องเราก็ต้องไปช่วยเหลือ เช่นอย่างไปเทศน์วัดอโศการาม นี่ก็เพื่อจะสนับสนุนให้เจดีย์ใหญ่ของเราขึ้น เพื่อบรรดาลูกเต้าหลานเหลนทั้งหลาย จะได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไปจากเจดีย์ใหญ่นั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
พระมาเรื่อย เปลี่ยนมาเรื่อยตลอด เราก็ไม่ได้เทศน์สอนพระอบรมพระโดยเฉพาะนะ ปรกติเราพออายุ ๘๐ ปั๊บหยุดเลยนะ ไม่เอา ทีนี้พอเรื่องราวเกิดขึ้นทางบ้านเมืองจึงได้พลิกใหม่ ตั้งตัวใหม่ขึ้นมา เรื่องพระก็เลยไม่ได้สอนตั้งแต่นั้นมาเรื่อยๆ นอกจากจะได้ยินได้ฟังตามที่มีงาน ไปเทศน์ในงานซึ่งมีพระกรรมฐานแหละมาก ธรรมะก็เอียงไปทางนั้น แบ่ง เช่นไปเทศน์ทางจันท์มักจะได้เทศน์ธรรมะขั้นสูงเสมอ เพราะมีพระปฏิบัติมากอยู่แถวนั้น นานๆ จะได้ยินได้ฟัง พระท่านมาเรื่อย เราก็สงสารทำไง เทศน์ส่วนรวมมันแกงหม้อใหญ่ มันไม่ใช่แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วให้เหมาะกับลิ้นกับปากเข้าใจไหมล่ะ อะไรๆ ก็จะม้วนเข้าไปอันเดียวกัน ไม่ทราบอะไรต่ออะไร ก็เอาที่สำคัญๆ เหมาะๆ ซิ การเทศน์ภาคปฏิบัติจิตตภาวนาจะเทศน์แบบทั่วๆ ไปไม่ได้ มันหากเป็นเองของมันนั่นแหละ ยิ่งเทศน์แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วแล้วยิ่งหมุนของมันไปเลยละ พูดให้มันเต็มอกก็คือว่าคล่องเลยเชียว ไม่มีอะไรมากีดมาขวาง พุ่งเลย
พอพูดอย่างนี้ระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นได้ ท่านไม่ได้พูดเร็วเหมือนเรา ท่านพูดช้าธรรมดา ท่านเทศน์ไปเวลาธรรมะหมุนเข้าๆ มากๆ นี้ท่านก็เร่งเหมือนกัน เรามาพิจารณา โอ้ท่านเร่งเหมือนกัน เร่งตามนิสัยของท่าน เราถ้าลงได้เร่งแล้วมันหมุนจี๋เลยนะ คือนิสัยมันเร็วต่างกัน ของท่านก็เร่งของท่านเหมือนกัน แต่เร็วนี้ตามนิสัยของท่าน นั่นแหละอำนาจของธรรมที่หมุนเข้า ท่านทั้งหลายเคยได้ฟังไหมคำพูดอย่างนี้ ธรรมที่จะหมุนออกมานี้แทบว่าไม่มี และยิ่งไม่มีใครพูดด้วยซ้ำ แต่กิเลสหมุนออกมานี้ไม่ต้องพูด กิเลสหมุนออกมาไม่ต้องพูด มันอยากพูดตั้งแต่ยังไม่ถาม
ที่ธรรมะหมุนออกมานี้ไม่ได้ยินที่ไหน เราก็ได้ยินที่พ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านไม่ได้บอกนะ พอมาเข้ากันได้มันถึงกันเลย อย่างนั้นเห็นไหมล่ะ พอถึงนี้ปุ๊บมันก็วิ่งถึงกันเลย ซ่านเหมือนน้ำไหลลงทะเล ธรรมะก็แบบเดียวกัน มันซ่านถึงกันเลย ยอมรับๆ กันทันทีๆ เป็นอันเดียวกันไปเลย นั่น ธรรมะก็เป็นอย่างงั้น เทศน์สอนพระต้องเทศน์ธรรมะภาคปฏิบัติ อย่างน้อยเรียกว่าตั้งแต่ขั้นสมาธิเรื่อยๆๆ ขึ้นไป เรื่องอย่างอื่นไม่พูดเลย อย่างน้อยก็สมถะความสงบ ผู้ที่ฝึกฝนอบรมใหม่ๆ ก็สอนสมถธรรม เช่นอย่างคำบริกรรมเป็นฐานเบื้องต้น สอนให้จิตได้รับความสงบ พอสงบแล้วฐานของจิต ฐานของความรู้จะมารวมตัวแล้วซ่านออกๆๆ นั่นเป็นอย่างงั้นนะ
ทีนี้ความรู้นั้นไม่รวมตัว มันไปอยู่รอบโลกธาตุ ความรู้อันนี้ไปอยู่รอบโลกธาตุ จับตัวไม่ได้ ความรู้มันไม่รวมตัว ภาคปฏิบัตินี้รวมความรู้เข้ามา ความรู้ที่มันซ่านอยู่ตามกระแสของกิเลสเป็นอัตโนมัติของมัน มันซ่านไปหมด เวลาไม่มีภาคปฏิบัติไม่มีใครรู้เลย มีแต่เรื่องของกิเลสออกเพ่นพ่านๆ ทั่วโลกดินแดนไม่มีขอบเขต พอมีธรรมะเข้าฝึกทางด้านปฏิบัติต้องตามธรรมของพระพุทธเจ้านะ อย่างอื่นไม่ค่อยได้เรื่อง
ได้ก็จะได้พวกจิตสงบนั่นเป็นไปได้ พวกฤาษีดาบส พวกที่มีจิตสงบ เช่นอย่าง อาฬารดาบส อุททกดาบส ท่านสงบ เบญจวัคคีย์ทั้งห้าสงบแล้ว แต่ไม่มีปัญญาที่จะออกข้ามไป พอพระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ก็เปิดโล่ง จากนั้นอนัตตลักขณสูตรพังเลย หมดวัฏจักรไม่มีเหลือ นี่ปัญญา ผู้ที่จะมาสอนแม้แต่ความสงบก็ไม่มีจะว่าอะไร ที่ทำจิตให้สงบๆ ก็คือเราอาศัยคำบริกรรม ให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรม ไม่ยอมให้คิดไปทางไหน ให้อยู่กับคำบริกรรม มีสติบังคับๆ แล้วกระแสของจิตที่มันเคยออกมันจะหดเข้ามา หดเข้ามาจุดนี้ละ หดเข้ามาเป็นตัวของตัวเข้าในจุดนี้ เรียกว่าสงบ เย็นสบายในขั้นนี้ก่อน
จากนั้นความสงบนี้ก็แน่นหนามั่นคงเข้าๆ ทีนี้ความรู้ในขั้นความสงบแน่นหนามั่นคงนี้เต็มปี๋เลยเชียว พอเปิดประตูปัญญาออกนี้พุ่งเลย นั่นเห็นไหมล่ะ พุ่งๆๆ พุ่งตลอดเลย ถ้าลงปัญญาได้ออกไม่ถอยเลย ต่างกันอย่างนี้ละ อย่างนี้ใครสอนไม่มี แม้แต่พุทธศาสนาเราก็ไม่เคยได้สอนกัน นอกจากวงปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นร้อยทั้งร้อยสอนทั้งนั้น สอนแบบนี้
เพียงจิตสงบเท่านั้นด้วยอำนาจแห่งการภาวนา มันจะเริ่มรู้สึกตัว พอจิตมารวมตัวแล้วมันจะเริ่มรู้ผิด ถูก ชั่ว ดี หยาบละเอียด จะเริ่มรู้ภายในตัวของเราเอง แค่นี้ก่อน ต่อจากนั้นก็ค่อยขยายออก ขยายออกไป จากนั้นทีนี้ครอบโลกธาตุไปเลย นี่ละจิตดวงนี้ไม่มีอะไรปิดบังเลย กิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้วโล่งไปหมดเลย มีกิเลสอย่างเดียว เท่านั้นติดใจ ที่ว่าติดเขาติดเรา ติดอะไรก็กิเลสนั่นแหละ ติดเขาติดเราแล้วสุดท้ายก็ลูบหน้าปะจมูกไปเสีย ไม่ได้ตรงไปตรงมา เดี๋ยวเดินไปนี้เข้าตรงนี้ หลบไปนี้เสีย หลบไปนี้เสียไม่ตรงแน่ว ธรรมะนี่ตรงแน่วเลย ขาดสะบั้นไปเลย
นั่นละภาษาธรรม กับภาษาของโลกภาษาของกิเลสต่างกันมากนะ ภาษาธรรมอย่างตรงไปตรงมา ท่านทั้งหลายก็พอจะทราบแล้ว หลวงตาพูดมานี้เป็นภาษาธรรมนานสักเท่าไร พูดได้ยินไหมเหมือนฟ้าดินถล่มไปเลยถ้าลงได้ไปแล้ว ไม่ได้รออะไรเลย พุ่งๆๆ เลย ไม่มีอะไรมาขวางได้ ถ้าลงธรรมได้ออกก้าวเดินไม่มีอะไรมาขวางได้เลย ขึ้นชื่อว่าสมมุติสิ้น ไม่มีอะไรเหลือ หมดไปโดยสิ้นเชิง มีแต่ธรรมออกอย่างเดียว พุ่งๆๆ เต็มเหนี่ยว ที่จะออกหนักเบามากน้อยเต็มเหนี่ยวได้ด้วยกันทั้งนั้น นี่ละธรรมภายในใจ
ไปที่ไหนมันก็เห็นตั้งแต่เชื้อไฟกับไฟติดพันกันอยู่ ทั่วโลกดินแดนเห็นแต่เชื้อไฟกับไฟ มองไปที่ไหน เชื้อไฟ เช่นฟืนกับไฟ แน่ะ หรือน้ำมันเชื้อเพลิงกับไฟ มันไม่มีน้ำดับไฟ โลกนี้ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะฉะนั้นโลกถึงได้ร้อน เพราะมันมีตั้งแต่เชื้อไฟกับไฟเผาไหม้กันตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ที่ไหนๆ มีแต่ไฟกับเชื้อไฟเผาไหม้กันเรื่อยๆ ไม่มีน้ำดับไฟๆ หาความสงบจึงไม่ได้ พอมีธรรมเข้าไปแล้วมีน้ำดับไฟเข้าไป กิเลสยังมีอยู่ เชื้อไฟมันก็มีอยู่ด้วยกันมันก็เผากันได้ ไม่มากก็น้อยมีอยู่ หากว่ามีอยู่
พออันนี้จางไปๆ น้ำดับไฟดับลงไป ดับลงไป อันนี้เย็นเข้าไปๆ น้ำดับไฟคือธรรมดับ ดับเข้าไปๆ ดับโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ โลกนี้เป็น สุญฺญโต โลกํ เป็นหลักธรรมชาติ ไม่ได้ปรุงได้แต่งอะไรขึ้นมาละ อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราช
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ.
ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ คือสติเป็นพื้นฐานของความเพียร หน้าที่การงานทุกอย่างสติเป็นสำคัญ เราทำงานภายนอกโลกสงสาร มีสติงานไม่ค่อยผิดพลาด แล้วยิ่งภายในจิตนี้ด้วยแล้วสติติดแนบตลอดเลย เพราะฉะนั้นจึงว่าเธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าเราว่าเขาเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็น หรือตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ แล้วสุดท้ายพระโมฆราชก็สวมปุ๊บเข้าไปตรงนั้นเป็น สุญฺญโต โลกํ ขึ้นไปเลย ว่างหมด ทีนี้ว่างหมดเลย
ธรรมพระพุทธเจ้านี้หายากนะ หายากมากทีเดียว ที่เป็นธรรมแม่นยำที่สุด ขนสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏสงสารตั้งแต่พื้นๆ ไปเรื่อย ไม่สงสัย เราจึงชี้นิ้วให้เลยว่าพุทธศาสนาขึ้นเลย เป็นศาสนาที่เป็นคู่โลกคู่สงสารจริงๆ คู่บ้านคู่เมือง ทำลงไปนี้ไม่สูญหาย ถูกต้องตามนั้นๆ ได้ผลตามนั้นๆ ไปเรื่อยเลย นี่เราก็ได้เกิดมาพบพุทธศาสนาควรจะมีธรรมติดตัว ถ้ามีธรรมติดตัวแล้วจะระลึกถึงบุญถึงบาปได้ บาปบุญมีอยู่ดั้งเดิมแต่กิเลสมันปิดไว้เสีย มันไม่ให้ระลึกถึงบุญถึงบาป มีแต่ความต้องการออกหน้าๆ บาปบุญไม่สนใจ ทำได้เต็มเหนี่ยว สุดท้ายก็เป็นเรื่องบาปเรื่องกรรมนั่นแหละ ต้องให้มีสติ
ภาวนาจิตใจนี้เวลามันได้เป็นมันเหมือนใครเมื่อไร ไม่ได้เหมือนนะ มันสง่างาม งามของจิตกับงามของโลกมันก็เข้ากันไม่ได้ ความสงบ ความเย็นใจ ความสบายของอรรถของธรรมอยู่กับจิตนี้เอาอะไรมาเทียบก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันถึงปล่อยสิ่งภายนอกได้ซิ อันนี้เหนือกว่าแล้ว พอเริ่มขึ้นปั๊บเหนือแล้วๆ เหนือขึ้นเป็นลำดับ ปล่อยเป็นลำดับ เหนือโดยสิ้นเชิงปล่อยหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจบ้างนะ พุทโธให้มีติดตัว ให้ระลึกบาประลึกบุญ
อย่างที่ว่าเชื้อไฟกับไฟมันมีอยู่ด้วยกันก็จริง แต่ให้มีน้ำดับไฟ คือมีธรรมเป็นเครื่องระงับดับกันไปในนั้น คนนั้นก็พออยู่พอไป ไม่ดีดไม่ดิ้นจนเกินไป ถ้ามีแต่เชื้อกับไฟอย่างเดียวแล้วจะมีแต่ความร้อนทั้งนั้น ถ้ามีน้ำดับไฟคือธรรมแทรกเข้าไปอยู่ในนั้น ก็เรียกว่าระงับกันไป พอเป็นไปได้ เอาเท่านั้นละ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |