เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ขอให้เดินถูกทาง
ที่เราสงสารก็คือโรงพยาบาล มีแต่คนทุกข์คนจน การเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมีความจน มันมีอยู่ได้ทั่วๆ ไปทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ทีนี้เวลาจำเป็นเข้ามาก็วิ่งเข้าโรงพยาบาล หมอและพยาบาลก็ต้องรักษาเต็มกำลังความสามารถ คนจนเวลาหายแล้วไม่มีเงินอะไรอุดหนุนโรงพยาบาล คนไข้คนไหนก็ต้องวิ่งเข้าไป โรงพยาบาลต้องเลี้ยงดู นี่ที่ว่าครัวโรงพยาบาล อย่างนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงได้เน้นหนักลงในโรงพยาบาล พวกครัวด้วยจำเป็น ยิ่งภาคอีสานนี้เป็นภาคคนจน เข้าไปโรงพยาบาล พวกหมอพวกพยาบาลอกจะแตก คือไข้มันไม่ได้มองดูใครนี่ คนมีคนจนต้องเข้าโรงพยาบาลต้องได้รักษากัน ทีนี้ผลรายได้ที่พอจะหนุนโรงพยาบาลก็ไม่มีๆ มันไปหนักอยู่กับหมอกับพยาบาล เพราะฉะนั้นเราจึงได้ช่วยๆ
คิดถึงเรื่องโลกมันก็เกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ถ้าไม่มีเครื่องมือหมอก็ก้าวไม่ออก คนไข้ก็ผิดหวัง ใครก็หวังทั้งนั้นเข้าไปในโรงพยาบาล ใครต้องการความผิดหวังไม่มี นี่ละที่ว่าจำเป็นถึงขนาดเราได้ติดหนี้เขา โรงพยาบาล คือติดหนี้เครื่องมือแพทย์ อย่างอื่นเราไม่ติด คือเรากำหนดไว้เรียบร้อยๆ อยู่ในโปรแกรมนั้นจะไม่ติดแหละ นี่เรากำหนดไว้เรียบร้อยๆ ทีนี้ปุบปับเข้ามาละซี แบบจ๊ะเอ๋กัน เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือนี่มีความสำคัญยังไงๆ กับโรคอย่างไรบ้าง เอาตรงนั้นละนะ แล้วทำไง บางทีเงินมีไม่พอ บางทีหมดเสียจริงๆ มา แล้วสิ่งจำเป็นก็ยิ่งหนักกว่าเราที่จะติดหนี้เขาอีกนะ เราติดหนี้นี้มีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร กับเครื่องมือนี้สำหรับชีวิตของคน ไม่ใช่ชีวิตคนเดียว พิจารณาคำนวณ ตัดสินใจลงอะไรมีน้ำหนักมากกว่า ทางคนไข้มีน้ำหนักมากกว่ายอมติดหนี้ เอ้า สั่งมาเลย เรื่อยนะ ติดหนี้อยู่เรื่อย
อย่างอื่นไม่ติด พูดตรงๆ นะ ขนาดไหนก็ไม่ติด แต่มาติดก็มาอยู่กับเครื่องมือนี่ แบบปุบปับๆ มา จำเป็นเสียด้วยต้องได้ให้ๆ เราหนักทางโรงพยาบาลละมาก เราคิดเห็นคนไข้ มันไม่ใช่มีแต่คนไข้ ครอบครัวของคนไข้ร้อนไปตามๆ กันหมด ของเล่นเมื่อไร ไม่ว่าคนยากมีดีจนอะไรเหมือนกันหมด ถ้าลงเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วหดตัวเข้ามา ชีวิตหดเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างหดเข้ามาหานี้ละ ทีนี้ก็วิ่ง ชีวิตลมหายใจอยู่กับหมอ นั่นวิ่งใส่หมอแล้ว ถ้าทางโน้นไม่มีเครื่องมือก็ก้าวไม่ออก หมดหวัง นั่น นี่ละตรงนี้จุดสำคัญที่เรายอมติดหนี้
อย่างอื่นยังมีอีกที่มาขอโรงพยาบาล ต้องพักไว้เป็นระยะๆ มันหนักมากจริงๆ พอผ่อนเบาลงไปแล้วก็ตามเก็บ อันนี้ทางนี้หนุนเข้ามาเรื่อย เก็บไม่ทัน ตามเก็บข้างหลัง เอ้า ข้างหน้ามาแล้ว นี่ละอย่างนี้มันหนัก หนักจริงๆ นะเรา ประหนึ่งว่าวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นสำนักงบประมาณนั่นแหละ ไม่ผิดอะไรเลย ตรงเป๋งเลยไม่ผิด เพราะเราไม่ได้เก็บอะไร แม้แต่สตางค์หนึ่งเราไม่เคยสนใจว่าเป็นของเรานะ ตั้งแต่สร้างวัดมาจนกระทั่งป่านนี้ แบมือตลอด หมด ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดก็เริ่มแหละ โรงร่ำโรงเรียน คนทุกข์คนจน เข้าสู่โรงพยาบาล มันจะมีอะไรติดเนื้อติดตัว เพราะไม่เคยเกี่ยวข้องกับเงินแต่ไหนแต่ไรมา ยิ่งกรรมฐานด้วยแล้วไม่เลย
เวลาจำเป็นไปพักอยู่ข้างบ้านเขา เขามีการมีงานในวัดในวา วัดไหนก็ตาม เขามานิมนต์ให้ไปเทศน์ จำเป็นจะต้องได้เทศน์ให้เขาละเป็นกาลเป็นเวลา เทศน์แล้วเขาเอาอะไรมาถวาย ยกให้วัดหมดเลยไปเลย อย่างนี้ตลอด เราไม่เคยสนใจกับอะไร ปัจจัยก็ไม่เอา อะไรไม่เอาทั้งนั้น ไม่เอาเลย ไปสงเคราะห์เขาเฉยๆ เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา เวลามาสร้างวัดนี้ก็เหมือนกัน มีอะไรมาก็เอาออกช่วยโลก ช่วยตลอดอย่างนี้ พูดได้เต็มปากเลยว่าเราจน ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว มีแต่ความเสียสละ ความเมตตานี่มันครอบอยู่ตลอด ความเมตตานี่ละมันกวาดออกหมด ไม่มีอะไรนะ ความเมตตามันครอบไปหมดเลย มีอะไรขนออกหมดเลย จึงว่าไม่มีอะไรติดวัด
เราไม่ต้องการอะไรนี่ ต้องการแต่ผลประโยชน์ให้โลกทั้งนั้น เท่านั้นเอง เหล่านี้มีไว้กองเท่าภูเขาก็เป็นภูเขาอยู่งั้น เห็นไหมภูเขาตามนั้น ไม่ได้ไปทำประโยชน์อะไรมันก็เป็นภูเขาของมัน นี่จตุปัจจัยของเรามีเท่าไร กองเท่าภูเขาไม่ได้ไปทำประโยชน์อะไรมันก็ไม่เกิดประโยชน์นี่นะ เกิดประโยชน์อะไรเพราะเก็บเพราะหึงหวงไว้ ความหึงหวงทำคนให้มีความยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบานจิตใจได้ยังไง ความเสียสละต่างหาก ความเสียสละไปที่ไหนยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันหมด นี่ละอำนาจแห่งการเสียสละ อำนาจแห่งการให้ทาน นี้คือธรรมของพระพุทธเจ้า ความตระหนี่นี้คือกิเลส มันขัดมันแย้งกันตลอด ส่วนมากมีแต่กิเลสเอาไปกิน ธรรมมีน้อยมาก กิเลสเอาไปกินหมดเลย
แต่สำหรับเรานี้เปิดเลย เรื่องความตระหนี่ไม่มีบอกตรงๆ เลย เราพูดจริงๆ ในหัวใจของเราไม่ปรากฏว่ามีเลย มีแต่ความเมตตาครอบๆ มีเท่าไรออกๆ ออกตลอดเลย นี่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกสองตึก รออยู่ก่อน รอจังหวะทางการเงินการทอง ส่วนใหญ่อยู่กับการเงินการทอง นายช่างที่ไปทำเราต้องไว้ใจนะ เราไม่ได้จ้างสุ่มสี่สุ่มห้าไปทำ เพราะเราทำอะไรไม่ได้ทำชุ่ยๆ ไม่ว่าที่ไหนเหมือนกันหมด ถ้าลงได้ก้าวเข้าไปปั๊บแล้วต้องแม่นยำเลย ต้องดี ไม่ดีไม่ได้ บอกจริงๆ เลย
ความเสียสละ ท่านแสดงไว้ใน มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ เมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ การทำประโยชน์ให้โลกแก่สัตว์นี้ไม่มีประมาณเลย นี่ละองค์ศาสดาแท้เป็นนักเสียสละอย่างนี้ ไม่ใช่นักตระหนี่ถี่เหนียว เป็นนักเสียสละ หมดเลยๆ คำว่า มหาการุณิโก นาโถ เป็นผู้มีความเมตตากรุณาธิคุณแก่โลก และทำประโยชน์ให้โลกไม่มีประมาณเลย นี่ละองค์ศาสดาแท้ สอนก็สอนไปแบบนี้ สอนความเสียสละ สอนให้สั่งสมความตระหนี่ไม่มีในธรรม มีแต่ให้ปัดออกๆ เอาความเสียสละเข้าใส่ๆ เพื่อจิตใจของโลกที่อาศัยกันได้เบิกกว้างออกไปๆ
คนเรามีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว มีแต่ความคับแคบตีบตัน คบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูงกับใครๆ ก็ไม่สนิทใจ ถ้าความเสียสละไปไหนนี้ดีไปหมด ไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตาม มีความจำเป็นนี้ ปุ๊บปั๊บช่วยกันปึ๊งปั๊งๆ แล้วไม่ลืม แม้จะจากกันไปแล้วบุญคุณนั้นไม่ลืมกันนะ นี่ละอำนาจแห่งความเสียสละ ไปที่ไหนเบิกกว้าง ยิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าความตระหนี่ไปไหนแตกๆ ท่านจึงถือว่า ทานบารมี เป็นเบื้องต้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือขึ้นทานบารมีเลย อำนาจแห่งการเสียสละ นี่คือองค์ศาสดาเริ่มต้นตั้งแต่ทานขึ้นเลย ตลอดไปเลย ทานบารมี ศีลบารมี ว่าไปเรื่อยต่อไปเรื่อย ทานบารมีขึ้นต้นทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นให้เห็นใจกัน อย่าเอาจิตใจความรู้สึกของตนที่ชอบอย่างไรนั้นมาเป็นใหญ่ ให้เอาธรรมเข้าเป็นใหญ่ มันจะกระจายสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกได้ ชะล้างออกได้ ความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นความมืดความดำความสกปรก ความเห็นแก่ตัว เหล่านี้เป็นความมืดดำความสกปรก ความเห็นแก่โลกแก่ส่วนรวมหรือแก่สัตว์ด้วยกันนี้เป็นความเสียสละ เป็นน้ำที่สะอาดชะล้างๆ ไปได้หมด
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องศาสนานี้ เฉพาะพุทธศาสนาของเรานี้ยกขึ้นเป็นชั้นเอกเลย นี้เป็นพุทธศาสนาแท้ นำสัตว์โลกมาตลอด ทุกๆ พระพุทธเจ้าเดินแบบเดียวกันสายเดียวกัน คือรู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ตามแบบฉบับของธรรมที่แม่นยำ ซึ่งจะควรแก่ศาสดาทุกองค์ ซึ่งนำมาปฏิบัติต่อสัตว์โลก คือความเมตตาขึ้น เสียสละไปเรื่อย ไปที่ไหนกว้างขวางคนมีความเมตตาสงสาร แม้แต่เด็กด้วยกัน ไปเรียนหนังสือด้วยกันนี้ เด็กก็มีหลายประเภท นิสัยใจคอไม่เหมือนกัน เด็กคนใดที่เป็นเด็กดีมีความเสียสละ มีเมตตา เด็กคนนี้เพื่อนฝูงมาก ถ้าเด็กคนใดเห็นแก่ตัว คอยเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่มีเพื่อนฝูงนะ ย่นเข้ามาหาผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ความเสียสละต้องเป็นพื้นฐานแห่งการสมานกัน ไม่มีความเสียสละ ความสมานกันไม่มี ความจะสมานกันให้ใกล้ชิดสนิทสนม ฝากเป็นฝากตายกันได้คือความเสียสละ เสียสละได้ทั้งนั้น ช่วยได้ทั้งนั้น ขอให้มีพอช่วย ช่วยเลย นั่น
ทีนี้ความตระหนี่มันไม่ได้สนใจว่ามีหรือไม่มี มันไม่ให้อย่างเดียว มันหึงหวง เป็นอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่สัตว์เขาก็ยังรู้จักเสียสละ เราเสียสละให้เขานี้เป็นยังไง ดูเขาก็รู้ทันที กิริยาอาการของเขาที่ได้รับการสงเคราะห์จากเรา เอาอาหารยื่นให้เขากิน เลี้ยงให้เขากินนี้ เดินไปตามทาง โยมเจริญแกเลี้ยงดูหมาตามสายทางนี้ เวลาแกออกจากวัด อาหารเศษเหลืออะไรแกก็เอาใส่รถไป พวกหมารอเป็นแถวเลยนะ ทั้งๆ ที่หมาเหล่านั้นก็มีเจ้าของ แต่ทำไมหมาเหล่านั้นจึงต้องวิ่งมารออยู่ข้างถนน พอรถแกไปนี้วิ่งใส่เลย จำได้กระทั่งรถ รุมมาเลย ทางนี้ก็เอาออกแยกให้เป็นกองๆ เขามากินอึกทึก ไปแล้วทางนู้นก็รออยู่เป็นแถวอีกหมา นี่ดูเอาซิ
เราผ่านไปอยู่เรื่อย แกเอาอาหารไปให้สัตว์ เวลาตอนเช้าเลิกงาน เราไปธุระของเราเราไปดูเรื่อยๆ ทีนี้หมารักมากนะ แถวนั้นรุม นี่คิดดู ตั้งแต่สัตว์มันก็ยังรู้จัก มันเคยอาศัยกับผู้ใดมันก็คอยผู้นั้น มองเห็นรถจำได้แล้วๆ ขนาดนั้นละ นี่ละอำนาจแห่งความเสียสละ ความเมตตา ขอให้เห็นคุณค่าของความเสียสละ พวกเราทั้งหลายจะอยู่กันผาสุกร่มเย็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน ถ้าความตระหนี่ไปไหนแตกนะ แตกไปเรื่อยๆ เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคแก่พวกของตัวแล้วเอาละ แล้วก็เหยียบคนอื่นๆ ตีคนอื่น แล้วก็มาส่งเสริมของตัวเท่ากำปั้นนี่ ที่ส่วนอื่นมากขนาดไหนไม่คำนึง แล้วเท่ากำปั้นนี่เลยเสีย ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นจึงต้องเสียสละ
ธรรมของพระพุทธเจ้านี่แม่นยำที่สุดแล้ว ไม่ใช่เราเอาตำรามากางมาอ่านดู มากางดูตำราเพียงเท่านั้น มันไม่ละเอียดลออไม่ทั่วถึงเพียงเราเรียนจดจำมา เรื่องดีนั้นดีแต่ความละเอียดนั้นต่างกัน หมายว่าอย่างนั้นนะ ความละเอียดของภาคปฏิบัติคือจิตตภาวนา เป็นภาคที่จะวิจารณ์ธรรมพระพุทธเจ้า แยกแยะออกละเอียดลออมากสุดขีดเลย ภาคปริยัติเราเรียนจำมาได้เท่าไร ท่านว่ายังไงก็จำไปอย่างนั้นๆ เป็นแถวเป็นแนวไป แต่ภาคปฏิบัตินี้รู้แล้วมันซึมมันซาบ เหมือนกับไฟได้เชื้อ ความจริงนี้เท่ากับเชื้อไฟ อะไรๆ มีดีชั่วประเภทต่างๆ มีอยู่เต็มโลก ไฟได้แก่ธรรมจะซึมซาบเข้าไปหมด รู้เห็น คัดเลือกอะไรๆ ละเอียดลอออยู่ในนั้นเสร็จ ต่างกันอย่างนี้นะ
ใครก็ตามถ้าลงเป็นภาคปฏิบัติ ได้รู้ธรรมภายในจิตใจแล้ว ไม่ต้องไปถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหนละ อันนี้ประกาศป้างเหมือนองค์ศาสดาทีเดียวเลย กิ่งก้านถึงกันกับศาสดาเลย จับติดปุ๊บไปเลย องค์ศาสดาแท้อยู่กับธรรมที่ท่านสอน ท่านจึงสอนไว้เวลาท่านจะปรินิพพาน พระอานนท์ไปทูลอาราธนาท่านให้ทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลานานๆ ถ้าภาษาของเราก็เรียกว่าขู่พระอานนท์ อานนท์ จะมาหวังอะไรกับเราอีก อะไรๆ ก็สอนหมดเปลือกแล้วไม่มีอะไรเหลือ เราเหลือแต่ร่างกระดูกของเราเท่านั้น อะไรก็สอนหมดแล้วที่เป็นประโยชน์แก่โลกเต็มภูมิของศาสดา แล้วจะมาหวังอะไรกับเราอีก
จากนั้นมาก็เป็นเชิงปลอบโยน อานนท์ พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว นั่นฟังซิ ดูก่อนอานนท์ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติตามศาสนธรรม คือหลักธรรมหลักวินัยที่เราสอนไว้แล้วนี้อยู่ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ ก็คือธรรมวินัยนี้แลเป็นเครื่องประกันมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กาลสถานที่เวล่ำเวลา มืดแจ้งมาเป็นเครื่องประกัน เป็นเครื่องให้คะเเนนตัดคะแนน การปฏิบัติของตนตามหลักธรรมหลักวินัยหรือไม่เท่านั้น ถ้าปฏิบัติตามนี้ก็คือเดินตามศาสดา ผ่านได้เลย ไม่ได้อยู่กับมืดแจ้งนะ อยู่กับแถวทางที่สอนไว้อย่างไร นั่นละคือศาสดา ถ้าหลีกจากนี้แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้า มันก็แหวกลงนรกได้ นั่น เพราะเดินผิดทาง เพราะฉะนั้นจึงขอให้เดินถูกทาง
อย่าว่าเรานี้ว้าเหว่ไม่มีองค์ศาสดา ธรรมที่ท่านสอนไว้แล้วนั้นแล ที่เราปฏิบัติบำเพ็ญทุกวัน นั้นละเป็นเครื่องให้ความอบอุ่นแก่จิตใจของเรา ศีลธรรมอะไรที่บกพร่องให้พากันสั่งสมเสียนะตั้งแต่บัดนี้ที่มีชีวิตอยู่ ยังไม่สายเกินไป ให้ประพฤติปฏิบัติเสีย องค์ศาสดานี้สดๆ ร้อนๆ ไม่ได้ห่างเหินจากธรรมที่สอนไว้แล้ว วินัยกฎข้อบังคับ วินัยเป็นอย่างนี้พูดง่ายๆ เหมือนสองฟากทาง วินัยกั้นไว้สองฟากทาง อย่าออกจากนี้ อย่าออกทางนี้ ออกทางนี้เรียกว่าผิดทางแล้ว ตกเหวตกบ่อไปเลยทางนี้ ให้ไปทางนี้ นี่ละที่เรียกว่าธรรม พระวินัยเป็นรั้วกั้นห้ามไม่ให้ข้ามออกไป ข้ามทางก้าวเดิน เอาศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เอ้าก้าว ศรัทธามีความเชื่อความเลื่อมใส วิริยะพากเพียรไปในความดีทั้งหลายที่เราทำลงไป มีความอดความทนความอุตส่าห์พยายามก้าวตามนี้ เรียกว่าธรรม เรื่อย นี่ละเป็นเครื่องรับรองเราทั้งหลาย ถ้าออกจากนี้แล้วไม่มีทาง
พระพุทธเจ้าจะมีกี่พันพระองค์ก็ตามไม่มีความหมาย มีความหมายอยู่กับหลักธรรมหลักวินัย ทางเดิน เราอย่าไปดูดินฟ้าอากาศว่าจะมาเป็นที่พึ่งของเรา ให้เราดูหนทาง เราก้าวจากนี้ไปจะไปเมืองอุดร ให้เราดูทาง อย่าไปดูดินฟ้าอากาศว่าจะพาเราไปถึงอุดรนะ ให้ดูหนทาง ให้เดินตามทาง เดินไม่หยุดไม่ถอยตามทางนี้จะถึงอุดรไม่ไปอื่น ดินฟ้าอากาศมาช่วยไม่ได้นะ ช่วยได้ที่เราเดินตามสายทางนี้ ครึไหมล้าสมัยไหม ทางจากอุดรมาหาที่นี่ หรือทางมาจากที่ไหนมาที่นี่ก็ตาม ไม่ครึไม่ล้าสมัย ขึ้นอยู่กับผู้เดินทาง ทางนี้เป็นทางที่ถูกต้องแล้วให้เดินตามนี้ อย่าหลบหลีก อย่าแวะออกนอกลู่นอกทาง จะถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่สงสัย นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นแบบเดียวกัน จึงไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ขึ้นอยู่กับผู้ก้าวเดินตามทาง ท่านสอนว่ายังไงให้ก้าวเดินตามนี้แล้วจะถึงจุดที่หมาย พากันจำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น พอสมควรแล้ว
(ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีเชียงใหม่ มากราบนมัสการลาไปประจำที่โรงพยาบาลกิ่งอำเภอสระใคร จ.หนองคาย) อ๋อ โรงพยาบาลสระใคร ที่น้ำสวยนะ เออ ถ้าเป็นตรงนี้เข้าใจ ย้ายไปละเราทำงานเพื่อแผ่นดิน ไปไหนก็เพื่อแผ่นดินไทยเรานั่นแหละ วงราชการเป็นความจำเป็นที่จะทำงานให้ทั่วถึงเพื่อแผ่นดินไทยของเรา ใครจะถูกย้ายไปไหนๆ ก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของเรา ซึ่งมีความมุ่งหวังที่จะทำประโยชน์แก่โลก จึงได้มาทำงาน อันนี้ก็เหมือนกัน อย่าว่าแต่สระใครเขาจะให้ย้ายไปไหน ข้าไปได้หมดแหละ ว่างั้น (ย้ายไปก็ขอสนับสนุนเครื่องมือแพทย์ด้วยครับ เป็นโรงพยาบาลเปิดใหม่ยังไม่มีอะไรสักอย่าง)
อย่างนั้นแล้วมันจะตายอยู่แล้ว เมื่อกี้ก็พูดเรื่องเครื่องมือแพทย์ไม่ใช่เหรอ ได้ยินไม่ใช่หรือที่ว่าติดหนี้ตลอดๆ เอาไว้ก่อนแหละ ไม่มีเครื่องมือแพทย์ก็เอากำปั้นฟาดไปเสียก่อน ทำงานแผ่นดินวงราชการต่างๆ ย้ายโน้นย้ายนี้เป็นความจำเป็นเพื่อแผ่นดิน จะไปตำหนิติเตียนได้ยังไง หรือไปหักห้ามได้ยังไง มีบรรดาลูกศิษย์ลูกหามาพูดถึงเรื่องนี้ เราไม่เห็นด้วยเลย เราปัดทันทีเลย ก็เราทำงานเพื่อแผ่นดิน ถ้าหากว่ามากลั่นแกล้งกันเป็นอีกอย่างหนึ่ง เคยมี ที่มากลั่นแกล้ง ไม่พอใจก็ให้ย้ายหนีโดยหาเหตุผลไม่ได้ เขามาพูดให้เราฟัง เราสั่งปุ๊บเดียวไม่ให้ย้าย นั่นเห็นไหมล่ะ บทเวลาจะทำได้ปุ๊บเลย คือไม่เป็นธรรม เราจะไม่เสริมคนประเภทนี้ ถ้าเป็นเรื่องเป็นธรรมแล้ว เอ้าย้ายไปไหนย้ายไป เพราะเป็นธรรมแล้ว ถ้าย้ายแบบไม่เป็นธรรม เป็นการกลั่นแกล้งกันนี้ ถามหาเหตุหาผล เราก็ว่าย้ายไปทำไม เหตุผลไม่มี แล้วย้ายไปแล้วจะไปทำอะไร ไอ้ผู้ที่ย้ายไปแล้วได้ประโยชน์อะไร ผู้ไปด้วยการถูกย้าย ด้วยการถูกบีบบังคับเสียใจขนาดไหน เพราะไม่เป็นธรรมมันเสียใจได้คนเรา เราเห็นใจ อย่างนี้ไม่เอาไม่ให้ย้าย ปั๊บเดียวสั่งปุ๊บเลย เสร็จ อย่างนั้นนะ
อันนี้มันเคยมีอยู่ มีมาเรื่อยๆ บรรดาลูกศิษย์ที่มีความจำเป็นที่ถูกกลั่นแกล้ง โดยหาเหตุหาผลไม่ได้ คือเห็นแก่พรรคแก่พวกของตัว แล้วเอาพรรคพวกของตัวมาไล่คนนี้หนี ความหมายว่างั้นนะ ไม่ให้หนี บอกเลย ยังเหลือแต่ว่า ไม่มีที่อยู่ก็โดดลงไปนอนในบึง จะว่างั้น ไปไล่เขาหนีทำไม ยังเหลือเท่านั้นไม่ได้พูด มีแต่ว่าย้ายไปทำไม เท่านั้นพอ เราทำทุกอย่างกับโลกเราทำด้วยความเป็นธรรม เราจึงไม่เคยสะทกสะท้านหวั่นไหวกับสิ่งใดในโลกนี้ อย่างที่เขาว่ามันฟังได้ไหม นี่ละคนเราธรรมดาๆ นี่มันก็ฟังไม่ได้แล้ว คือเรานี่ใครจะว่าอะไรก็ตามเถอะ ว่าให้เรา จะไม่มีความหมายใดทั้งนั้น เราพูดจริงๆ ยกมาขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย จะเหยียบลงขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย พูดให้เต็มศัพท์ก็คือว่ามันเลยความหมายไปเสียหมดแล้ว
สมมุติว่ายก เอ้าอิฐก้อนนี้น้ำหนัก ๑๐ กิโล ทองคำแท่งนี้น้ำหนัก ๑๐ กิโล ให้คนมายกใครจะเอาอย่างไหน มันโดดใส่ทองคำๆ ทีนี้หลวงตาจะเอาอย่างไหน ไม่เอา หนักทั้งนั้น แน่ะเห็นไหมล่ะ คือ ๑๐ กิโลอิฐนี่ก็หนัก ๑๐ กิโลทองคำนี่ก็หนัก แล้วทำไงจะไม่หนัก ไม่เอาทั้งสอง นั่น เข้าใจ นี่ก็เหมือนกัน อย่างที่เขาว่าให้เรา เราทุเรศเหมือนกันนะ แต่เรื่องดีเรื่องชั่วมันมีอยู่ในโลกจะให้ทำยังไง เขามีอะไรเขาต้องแสดงออกมาอย่างนั้น เราก็ต้องพิจารณาคัดเลือก พิจารณาเอง ถึงเราไม่เอาก็พิจารณาเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นต่อไป ให้มีแบบมีฉบับ อย่างเขาว่า หลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม ออกจากป่ามาแล้วมาอวดอุตริมนุสธรรม เวลานี้กำลังหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรมอยู่เต็มโลก นี่อันหนึ่งฟังซิน่ะ
โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยปฏิบัติธรรมไหม มึงจึงมาให้คะแนนหลวงตาบัว พิจารณาซิ ว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม อุตริมนุสธรรมแปลว่ายังไง มันก็แปลไม่ได้นะ อันนี้แปลได้นี่ เข้าใจไหม นี่อันหนึ่งกระเทือนทั่วประเทศไทยนะ คือหลับหูหลับตาหาเรื่องหาราวใส่กัน ด้วยความอิจฉาตาร้อนอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่เพียงเท่านี้มันก็ฟังไม่ได้แล้ว อันที่สองเอาอีกนะ หลวงตาบัวช่วยโลก ไปเรี่ยไรเงินเขามา หรือว่าไงผู้กำกับว่าไปซิ (เรี่ยไรโดยไม่ขออนุญาต เป็นการหลอกลวงประชาชน ผิดกฎหมายอาญาครับ) เออ ผิดกฎหมายอาญา นี่เขาบอกว่าเขาจะฟ้องเรา เขารอว่าก่อนครบเกษียณ (เขาจะดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีก่อนเขาจะเกษียณอายุราชการครับ) แล้วยังไง ก็เราไปเรี่ยไรหมดทั้งประเทศ ก็เป็นพยานให้เขาได้หมดใช่ไหมล่ะ เราก็ต้องจมคนเดียวเท่านั้นเอง เป็นโทษอาญาเสียด้วยนะหลวงตา
นี่ละฟังซิพี่น้องทั้งหลาย อย่างนี้ละเรื่องความเลวร้ายของคน ตั้งแต่คนธรรมดาเขาก็ฟังไม่ได้ ใช่ไหม อันนี้เราก็มาพูดให้พิจารณาเฉยๆ เราไม่มีอะไรกับใครละ ใครจะว่าอะไรก็แล้วแต่ มันน่าพูดเหรออย่างนั้น บ้านเมืองจะล่มจะจม ต่างคนต่างดีดต่างดิ้น หัวหน้าประกาศให้ช่วยกันหอบกันแบกกันหามขึ้นมา ก็เท่านั้นเองพูดง่ายๆ ว่างั้น ว่าเราไปเรี่ยไร เป็นโทษอาญาเสียด้วย ไม่ใช่ธรรมดา อันนี้มันน่าทุเรศเหมือนกันเรา เอ๊อ คนอย่างนี้ก็เอามาให้อยู่หนักรัฐบาล เป็นคนของรัฐบาล กินเงินเดือนของประชาชน แล้วมาทำลายชาติ ทำลายศาสนา นี่เขาจะอุ้มชาติของเขา ไปทำลายเขา แล้วผู้ที่นำเพื่อการอุ้มชาติก็ถูกทำลาย พวกทั้งหลายที่วิ่งตามกันอุ้มชาติของตนก็ถูกทำลายไปหมด แล้วใครจะอยู่เมืองไทยได้ มันก็จมหมด ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ได้แต่พวกสัตว์นรกเท่านั้นเอง เอาละให้พร เมื่อพูดไปสัมผัสเราก็พูดเฉยๆ เราไม่มีอะไรแหละ เรื่องโลกอันนี้จะมามีกับเรา บอกว่ามีเท่าไรก็เท่านั้นแหละ กับเราเองเราไม่มี
โยม หลวงตาเจ้าขามีคำถามจะเรียนถามเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ
หลวงตา จะลุกแล้วก็มาจับลากลง ปฏิบัติยังไงว่ามา
โยม เมื่อวานขณะฟังธรรมไปด้วยและเย็บผ้าไปด้วย โดยปรกติแล้วไม่ว่าจะใช้คำบริกรรมพุทโธถี่ ๆ ยังไง เกิดอาการแน่นหน้าอก และมีสังขารฝ่ายสมุทัยแทรกทำให้ภาวนาลำบากมาก แต่ครั้งนี้จิตก็มีพุทโธแต่แผ่วๆ เบาๆ ลืมตาเห็นคนผ่านไปมา สังขารฝ่ายสมุทัยกำลังจะขึ้นมาแทรก รู้สึกดันๆ อยู่กลางหน้าอก และสังขารฝ่ายมรรคก็ขึ้นมาบอกว่าสักแต่ว่าเห็น พุทโธแผ่ว ๆ สักพักจะมีสังขารฝ่ายสมุทัยขึ้นมาแทรกอีก และตอนนี้สังขารฝ่ายมรรคก็โต้กลับบอกว่ารู้อยู่ไม่สนหรอก แล้วก็ดับ แล้วสังขารฝ่ายสมุทัยก็ระงับไปเองเจ้าค่ะ
หลวงตา ผู้กำกับเริ่มพูดให้ฟัง
ผู้กำกับ ย่อมาเลยนะครับ เขาภาวนา สังขารฝ่ายสมุทัยเกิดขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็มีพุทโธแผ่ว ๆ สังขารฝ่ายมรรคก็มาแก้กัน เขาบอกก็รู้อยู่ แล้วเขาลืมตาก็เห็นคนเดิน เขาก็อยู่ในภาวนาต่อไปได้ครับ
หลวงตา เคยบอกแล้วภาวนาให้จิตเน้นหนักอยู่กับคำภาวนาด้วยสติ ก็บอกแล้ว
โยม มักทำไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ แล้วหันมาพิจารณากาย ระลึกถึงโครงกระดูกซึ่งเป็นอุคคหนิมิตในครั้งแรกของหนู ในบางครั้งมันนึกขึ้นมาไม่ออกเลย ก็เลยต้องวนไปนึกถึง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ไล่ไปจนครบ ๓๒ ก็เริ่มทำได้ คำถามก็คือว่า มันทำให้เกิดอาการสับสนระหว่างคำบริกรรม ว่าจริตหนูควรใช้คำบริกรรมพุทโธ หรือว่าอาการ ๓๒ เพราะว่ามันสับสน จิตจะผาดโผน แล้วพอไล่ไปมันจะเปลี่ยนอีก แล้วกลับมาที่เดิมค่ะ นี่คือสิ่งที่หนูไม่เข้าใจ
หลวงตา จะเป็นบ้า ที่ว่าไปยึดบ้าไม่บอกเราจะให้ยึดอันไหน ถ้าจะกำหนดพุทโธก็ให้อยู่กับพุทโธ ให้แน่วแน่กับพุทโธ จะพิจารณาเกสา โลมา ก็ให้ต่างวาระกัน นี่สับสนปนเป เอาเรื่องไม่ได้ ทำอะไรให้จริงจังกับสิ่งที่ทำซิ เวลาจะกำหนดบริกรรมให้เป็นที่แน่ใจนี้แล้วตัดสินใจลงนั้น บริกรรม ไม่ยุ่งกับอย่างอื่นอย่างใด เช่น เกสา โลมาเป็นต้นนะ ก็ให้กำหนดลง ก็ให้ได้เหตุได้ผลตรงนั้น ให้เป็นความสงบ มันจะสงบแน่ ๆ จิตนี้ถ้าลงได้คำบริกรรมติดเข้าไป มีสติบังคับแล้ว ชี้นิ้วเลยต้องสงบ เป็นอื่นไปไม่ได้
คือความอยากคิดอยากปรุงนี้มันจะดันขึ้นมานะ เวลาเรากำหนดพุทโธเป็นต้น บังคับไว้ ๆ คือมันเป็นช่องออกมา เป็นเหมือนน้ำพุ เรื่องของกิเลสอยากคิดนั้นอยากคิดนี้เป็นเหมือนน้ำพุ มันพุ่งๆ ใส่จิต ทีนี้เอาคำบริกรรมนี้ปิดช่องน้ำพุ เอาพุทโธหรือธัมโม หรืออะไรก็ตามตามที่เจ้าของชอบ ให้บังคับไว้กับพุทโธ ๆ เป็นต้น มีสติบังคับนี้ เอ้ามันอยากคิดเท่าไรไม่ยอมให้คิด ให้ติดอยู่กับพุทโธ ไม่นานอันนั้นจะอ่อนลงๆ พุทโธจะเด่นขึ้น เรื่องสงบไปๆ หมด ที่น้ำพุนั้นคือฟืนคือไฟ มันออกไปเป็นฟืนเป็นไฟ บังคับได้มากน้อยเท่าไรมันจะสงบตัวเข้ามาด้วยบทคำบริกรรม มีสตินะ สติเป็นสำคัญมาก เผลอสติไม่ได้
ถ้าจะใช้คำบริกรรมก็ให้ใช้เสียอย่างนี้ ถ้าจะพิจารณาเกสา โลมา นั่นเป็นภาคจะพิจารณาใคร่ครวญดู เกสามันเป็นยังไง โลมาเป็นยังไงพิจารณา นั่นเป็นเรื่องของทางปัญญาก็ให้พิจารณาอย่างนั้นเสีย หรือจะเอาแต่เกสา ๆ ก็ให้อยู่เกสา เป็นคำบริกรรมอันเดียวกัน แน่วอยู่แบบเดียวกันก็เช่นเดียวกับพุทโธนั่นแหละ เข้าใจเหรอ
โยม เข้าใจเจ้าค่ะ แต่ปัญหาก็คือหนูเคยถามหลวงตาแล้ว ตอนนั้นมีอาการแน่นหน้าอกเวลาบริกรรมพุทโธ หลวงตาก็บอกว่าให้ลองบริกรรมคำอื่น หนูก็ใช้คำว่านิพพาน คราวนี้จิตมันผาดโผน พอไปบริกรรมนิพพานจิตก็จะพุทโธ พอพุทโธจิตก็จะนิพพาน หนูงง
หลวงตา มันเป็นทั้งลิงทั้งค่าง ทั้งจะโดดใส่พุทโธ ทั้งจะโดดไปนิพพานมันบ้าเข้าใจไหม มันจะดีดไปไหนไม่ให้มันดีด จึงเรียกว่าความเพียร เรียกว่าบังคับกันใช่ไหม เราจะปล่อยให้มันดีดอย่างงั้นไม่เรียกความเพียร มันจะดีดไปไหนบังคับกันลงๆ นี่เร่ร่อน จิตเร่ร่อนพูดอย่างนี้เราเข้าใจแล้ว ให้มันจริงจังซิ จะทำอะไรให้ทำอันนั้นซิ อย่างที่ว่าพุทโธก็ให้เอาพุทโธ จะเอาอันใดก็ให้เอาอันนั้นตามที่สอนไว้แล้วเข้าใจไหมล่ะ ให้จริงจัง ไม่จริงจังไม่ได้เรื่อง ตลอดไปไม่ได้เรื่อง
โยม ก็ไม่ยอมสงบเลย เวลาทุกครั้งที่จะภาวนาก็ภาวนาไม่ได้ พอจะไม่ภาวนาเช่นนั่งเย็บผ้าอยู่เฉยๆ หรือว่าเดินให้อาหารไก่อยู่เฉยๆ จิตเขาก็รวมเอง แล้ว พุทโธ อยู่แผ่ว ๆ หนูก็ทำไม่ถูกแล้วเจ้าค่ะ
หลวงตา เอ้อ พูดยากลำบาก เข้าใจทันทีพูดนี้แต่จะเอามาพูดนี้มันลำบากมากนะ พูดง่ายๆ ว่าจะให้เป็นบ้าไปตามทุกซอกทุกมุมเราไม่อยากเป็น เอาให้จริงจังอย่างเดียวอย่างหนึ่งเสียก่อนนะ อย่ายุ่งไปหลายด้านหลายทาง จิตมันวอกแวกมาก เข้าใจเหรอ ตั้งสติ สติเป็นเครื่องบังคับให้จิตตรง เอนไปๆ สติตั้งไว้จะตรงของมัน ถ้าปราศจากสติไม่ได้ เอน เอนแล้วล้ม ๆ เอาละสายแล้ว
เราพูดถึงเรื่องคำบริกรรมพุทโธ เราทำแล้วนะ เรามาสอนนี้สอนด้วยความแม่นยำไม่ผิดพลาด ที่เราเคยพูดให้ฟังว่า จิตเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมอย่างนี้เป็นประจำ หนุนขึ้นไปแทบเป็นแทบตายได้ถึง ๑๔-๑๕ วันจะไปถึงที่สงบแน่ว แล้วอยู่นั้นเพียงสองคืนหรือสามคืน ทีนี้เหมือนครกมันกลิ้งลงมาทับเราไปเลย ไม่มีกำลังสู้มันแหละ จึงทำให้สงสัย เอ๊ นี่ยังไง ตอนนั้นเราไม่ได้บริกรรม เรากำหนดแต่ผู้รู้เฉย ๆ มันแฉลบไปไม่รู้ตัว
จึงได้พิจารณาใคร่ครวญก็ลงในจุดคำบริกรรม เอ้าทีนี้เอาคำบริกรรมนะ ปล่อยหมด อะไรๆ ก็พิจารณา ประมวลออกมาแล้วอยู่คำบริกรรม จุดนี้เราเป็นจุดข้องใจอยู่ ขาดคำบริกรรมนี้ละมังมันถึงได้เผลอไปได้ จิตจึงเสื่อมได้ คราวนี้จะไม่ให้เผลอเลย เอาคำบริกรรมเป็นที่ตั้ง ทีนี้มันจะเสื่อม-มันเจริญยังไงทีนี้ปล่อยหมดเลย เอาแต่คำบริกรรม บริกรรมนี้จะขาดไปไม่ได้เป็นอันขาด ฟัดตรงนี้ วันนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยนะ มันดันอยากออก ทางนี้ก็พุทโธ ๆ ว่าอะไรมันจริงนะเรา ไม่มีเหลาะแหละนะ
พุทโธไม่ให้เผลอเลยตั้งแต่ตื่นนอนพับจนกระทั่งค่ำนอนหลับ ไม่เผลอเลยจริง ๆ เผลอไม่ได้ นี่ละมันหนัก ทีนี้ทางนั้นมันก็ดัน มันอยากคิดอยากปรุง อยากเท่าไรเอาพุทโธอัดเอาไว้แน่นปึ๋งเลย ถึงสองวันสามวันเบาลงมาก เบาลง ๆ เบาลงจนกระทั่งถึงละเอียดปุ๊บพุทโธไม่ได้เลย หมดคำว่าพุทโธ ละเอียดขนาดไหนก็หมด พุทโธละเอียดลงไปๆ หมด แล้วก็ไปอยู่กับความรู้ที่ละเอียดสุดยอดนั้น จนงงเจ้าของ เอ๊ะนี่ทำไม อยู่ๆ ที่เวลามันละเอียดลงไปแล้ว แต่ก่อนมันดีดมันดิ้นขนาดนั้นบังคับได้ ทีนี้มาขึ้นแบบนี้เข้าถึงขั้นละเอียดของจิต พุทโธไม่มีเลย นึกก็ไม่ออก หมด
ก็มีอันหนึ่งขึ้นมาว่า เอ้า คำว่าหมด หมดตั้งแต่คำบริกรรมต่างหาก ความรู้นั้นก็รู้อยู่นี้ ให้อยู่กับความรู้นี้ ให้สติจับกับความรู้แทนพุทโธ สติจับอยู่กับความรู้แทนพุทโธ พอได้จังหวะมันก็คลี่คลายออกมา จากนั้นก็บริกรรมต่ออีกๆ ไม่ยอมให้เผลอ จากนั้นจิตสงบแน่วเลย จนกระทั่งถึงขั้นคำบริกรรมละเอียดๆ ลงไป หมดคำบริกรรมก็หมด เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด ให้อยู่กับความรู้ที่ละเอียด พอถอยออกมาบริกรรมได้บริกรรมอีกต่อไป
ทีนี้จิตมันก็ขึ้นเรื่อยๆ ๆ ๆ พอขึ้นไปถึงที่มันเคยเสื่อม ได้สองคืนหรือสามคืนเสื่อม เอ้าเสื่อมเสื่อมไป ไม่สนใจ เราห้ามมันพอแล้ว เราอกจะแตกเพราะไม่อยากให้มันเสื่อม มันเสื่อมต่อหน้าต่อตา คราวนี้มันจะเสื่อมไปไหนไปเลย แต่กับคำว่าพุทโธนี้ไม่ให้เสื่อม ไม่ให้ขาดจากกัน พอถึงนั้นแล้วแทนที่จะลงไม่ลงนะ อยู่แล้ว เอ้าอยู่ก็อยู่ ไปก็ไป เราไม่ปล่อยพุทโธ สุดท้ายไม่ลง ก็ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแน่ใจแล้ว อ๋อนี่เป็นเพราะเราขาดคำบริกรรมจิตของเราถึงได้เป็นอย่างนั้นๆ จับพุทโธ จนกระทั่งถึงพุทโธนี้มันปล่อยเอง เมื่อมันเข้าถึงความรู้ที่เด่นจริง ๆ แล้ว สติจะอยู่กับความรู้ พุทโธหายเงียบ หายเองของมันนะ
เข้าใจหรือเปล่าที่พูดนี่ ให้มันจริงจังบ้างซิทำอะไร นี่ทำอะไร มาสอนอะไร เราไม่สอนเหลาะๆ แหละ ๆ เพราะเราทำทุกอย่างจริงทุกอย่าง ผิดถูกเป็นครูของเรามาแล้ว จึงได้มาสอนคนทั้งหลายโดยไม่สงสัย เราดำเนินมาแล้ว จำไว้นะ
ได้ยินที่นายกฯ พูดเมื่อวานนี้ พอใจพี่น้องทั้งหลายนะ ตั้งรัฐบาลมานี้ตั้งแต่ยุคไหน สมัยใด เรายังไม่เคยได้ยินว่าที่เก็บภาษีอากรได้เลยเป้าหมาย แล้วเงินเลยเป้าหมายนี้แลที่จะออกช่วยโลกทั่วประเทศไทย นั่นฟังซิ เราเคยได้ยินไหม เราไม่เคยได้ยิน มาได้ยินรัฐบาลชุดนี้แหละ หาเงินจนกระทั่งพอกับความต้องการ กำหนดไว้อย่างนี้ได้ตามนี้แล้ว เศษเท่านี้ๆ แล้วเศษเท่านี้แหละกำลังออกมาอยู่นี้ ไปดูเมืองนั้นเมืองนี้ ไปดูหมดทุกภาค นั่นฟังซิน่ะ แจกแยก เงินจำนวนนี้เหลือเอาออกๆ ช่วยพี่น้องทั้งหลาย ส่วนที่คงคลังกำหนดไว้ตายตัวแล้วให้อยู่ตรงนั้นๆ เป็นเงินก้นถุง เข้าใจไหมล่ะ ที่เศษเหลือนี้ออกเพื่อประชาชน ไปนี้เมื่อคืนนี้ฟังว่านอนยโสธร แล้วก็จะไปหมดทั่วอีสาน จากนั้นก็จะไปภาคนั้นภาคนี้ จากเงินเหลือ เงินเหลือเท่าไร (เก็บได้เกินเป้าแสนล้านบาทครับ) นี่ละที่เกินจากเป้าหมาย แสนล้านบาทนี้จะแจกไปทั่ว ถนนหนทางที่ไหนๆ จะเอาเงินจำนวนนี้ออกช่วย
เราพูดจริงๆ เราพูดเป็นธรรม ตั้งแต่เราเกิดมาเราก็ยังไม่เคยได้ยินว่ารัฐบาลเงินเหลือจากเป้าหมาย ได้เอาไปช่วยโลก มีแต่ว่ามีเท่าไรกัดตับแหลกๆ เข้าใจหรือ เราพึ่งมาได้ยินนี่ เงินเลยจากเป้าหมายนี้เอาออก อันคงเส้นคงวาก็เพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศว่างั้นเถอะ เรียกว่าคลังใหญ่เราเอาไว้นี้ ไม่ออกอันนี้ ส่วนจากนี้เหลือเท่าไร ออก ตั้งแสนล้านฟังซิน่ะ กำลังออกเวลานี้ ออกไปทางนั้นทางนี้ทุกภาคนั่นแหละ แยกไปภาคนั้นภาคนี้(ฝ่ายแค้นไม่พอใจครับ) ช่างหัวมันเถอะ แค้นอกแตกตายก็ช่างหัวมันเถอะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้รับความช่วยเหลือแล้วใจดีก็แล้วกัน
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |