เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ธรรมชาติที่เป็นพุทธะแท้
ก่อนจังหัน
เราเคยเตือนแต่พระๆ พวกญาติโยมให้รู้เนื้อรู้ตัวนะ เกิดมาเป็นคนอย่าเป็นคนเปล่าๆ เวลานี้เมืองไทยเรานี้เป็นชาวพุทธ เลอะเทอะมากทีเดียว เราขอพูดเสียวันนี้นะ มันยุ่งไปกับเรื่องกิเลสตัณหา ทุกสิ่งทุกอย่างมองไปๆ มองไปนี้จนจะมองไม่ได้ ท่านทั้งหลายฟังให้ดี เรามองเอาธรรมมองนะ หูหนวกตาบอดไป วันนี้เอาเสียบ้าง รู้ไหมเมืองไทยเรานี้เป็นเมืองพุทธ มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะเวลานี้ ขนบประเพณีธรรมเนียมอันดีงามสำหรับชาติไทยเรานี้แทบไม่มีเหลือเลย ที่มันเหลือคืออะไร มีแต่สิ่งเลอะเทอะๆ อะไรมาคว้ามับๆ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ คือเมืองไทยของเรา ลองไปหาดูซิน่ะ เมืองไหนใหญ่ๆ โตๆ ไปเอามาแข่งเมืองไทยเรา รถไปเอามาแข่งซิ เมืองไหนจะมากยิ่งกว่าเมืองไทยเรานี้ คือเมืองผีบ้า เข้าใจไหม
อู๊ย อะไรมาคว้ามับๆ มันสลดสังเวชนะ ธรรมมีอยู่ทำไมไม่พิจารณาบ้าง ธรรมเคยให้ความสงบร่มเย็นแก่โลก อันนี้มันให้ความสงบร่มเย็นอะไร มันดีดมันดิ้นมันเอาไฟมาเผาเจ้าของ ติดหนี้ติดสินพะรุงพะรังเต็มบ้านเต็มเมืองเห็นไหม เอาแต่เรื่องภายนอกมาอวดกัน นี้มันดูหมดนี่ว่างี้จริงๆ นะ มันเลอะเทอะขนาดนั้นนะเมืองไทยเรา มันเป็นยังไง ถ้าเข้ามาในวัดก็แต่งแบบจิ๊กโก๋จิ๊กเก๋เข้ามามาอวด เราก็ชี้หน้าเอา มันจะเห็นหีมันนี่นะ ว่างั้นเลย คือมันหยาบขนาดนั้นก็ต้องเอาหนักๆ ใส่กัน มันไม่ดู กระทั่งมาในวัดในวามันก็ไม่ดูพระเณร มันดูตั้งแต่แบบของมัน แหมเลอะเทอะมากจริงๆ ท่านทั้งหลายจะพิจารณาให้พิจารณาบ้างนะ ใครบ้างพูดในเมืองไทย พูดอย่างนี้มีไหม ธรรมประเภทนี้มีมาสักเท่าไรแล้วท่านไม่เห็นเอามาแสดง เราเอาออกมาแสดงเสียบ้างนะ มาชะมาล้าง มีแต่ของสกปรกโสมม ธรรมเป็นของที่สะอาดเลิศสุด ออกมาไม่ได้มันไม่สมควรแก่ธรรม มันสกปรกมากขนาดนั้น เราก็ดึงออกมาๆ
ให้พากันดูหน้าดูหลังบ้างนะ เลอะเทอะมากทีเดียวเมืองไทยเรา เมืองฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นบ้า มันว่าชิงดีชิงเด่น ชิงบ้ามันอะไร ชิงเลว ชิงส้วมชิงถาน ไม่ได้ชิงของดิบของดีอะไร ไปที่ไหนเลอะเทอะๆ โอ๊ย น่าทุเรศ ให้พากันพิจารณาบ้าง ไม่มีใครพูดอย่างนี้ แล้วความเลอะเทอะนี้เต็มบ้านเต็มเมืองเราก็ไม่มีใครพูด เราพูดให้รู้เรื่องเสียบ้าง หลวงตาไม่นานก็จะตายเหมือนกัน เวลายังไม่ตายก็ให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย ธรรมพระพุทธเจ้าเอามาเทศน์เวลานี้ ไม่ได้เอาความเสียหายอะไรมาสอนท่านทั้งหลาย นี้คือสิ่งที่จะมาชะล้างสิ่งที่จะทำความเสียหายแก่เรา และเคยทำความเสียหายมามากแล้ว คราวนี้มากที่สุดเมืองไทยเรา เป็นบ้ากันทั้งโลกสงสาร
ศาสนามีไม่มองเลย แม้แต่ผู้อยู่ในศาสนามันก็ทำลายศาสนา ไอ้หัวโล้นๆ เรานี่ละตัวสำคัญมากนะ เป็นใหญ่เป็นโตเท่าไรยิ่งทำลายมากๆ เลอะเทอะมาก คือกิเลสตัณหามันอยู่ภายใน ใหญ่เข้าๆ มันใหญ่กิเลส ไม่ได้ใหญ่อรรถใหญ่ธรรมอะไร แล้วก็เลอะเทอะกันไปหมดนะเวลานี้
พระเณรเราก็เหมือนกัน สำหรับวัดนี้เราก็ได้อุตส่าห์พยายามตักเตือนสั่งสอนเรื่อยมา แต่ที่แนะนำสั่งสอนเหมือนแต่ก่อนไม่ได้สอน สอนพระเราต้องประชุมสอนเฉพาะพระ โยมเข้ามายุ่งไม่ได้ นั่นเห็นไหมท่านสอนพระท่าน เวลาสอนโยมก็เป็นโยมไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับพระ เวลาสอนพระไม่ให้ใครมายุ่งเลย นั่นเห็นไหมเป็นสัดเป็นส่วน เรื่องขัดเกลากิเลสมันมีหลายประเภทๆ ระยะนี้เราไม่ได้สอนพระ ให้ตั้งใจปฏิบัติเอาพระก็ดี ตั้งหน้าตั้งตามาศึกษาอบรม ให้ได้ของดิบของดีไปใช้ อย่าเอาแต่ของเลวไปใช้
ในวัดเวลานี้เป็นส้วมเป็นถานไปหมดแล้วนะ ไม่ว่าวัดเขาวัดเราวัดไหน เป็นส้วมเป็นถานทั้งนั้น เราอย่าว่าวัดนี้เป็นที่สถิตของศีลของธรรมให้ความร่มเย็น มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มวัดเต็มวา เพราะความประพฤติของพระที่จิตใจเลวทรามนั่นแหละไม่ใช่อะไร โอ๊ย น่าทุเรศจริงๆ พูดเปิดอกเลยเรา เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งความสกปรกนี้มานานสักเท่าไร เราชำระซักฟอกเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงเปิดออกมาเลยทีเดียว ธรรมชาตินี้จ้าหมดแล้ว ท่านทั้งหลายว่าโกหกหรือ มันจ้ามาแล้วเพราะการฝึกฝนอบรม ทรมานอย่างหนักอย่างเบา กิเลสมันหนาเท่าไรซัดกันลงๆ บางครั้งถึงจะสลบไสลก็มีฟัดกันกับกิเลส ผลก็ได้มาเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งจ้าขึ้นมาเลยเทียวในหัวใจนี่
เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวก็ไม่เคยเห็นธรรมประเภทนี้ เกิดความสลดสังเวช เรากราบพระพุทธเจ้าเลย ไม่นอนวันนั้น โห ศาสดาองค์เอกเป็นอย่างนี้เหรอๆ เป็นอย่างนั้นนะ เอาธรรมอันนี้มาสอนท่านทั้งหลาย ว่าโกหกแล้วเหรอเวลานี้ มันเป็นยังไง ไม่โกหกตั้งแต่กิเลสนั่นเหรอ ที่มันต้มอยู่ตลอดเวลา มันไม่โกหกมันต้มอยู่ตลอดเวลา คือเปื่อยไปเลยๆ นี้หรือเป็นของดี ให้พากันพิจารณาบ้าง โหย น่าทุเรศจริงๆ ไปไหนหลับหูหลับตาไป มันดูไม่ได้ ถ้าจะดูมันดูไม่ได้ นั่นละธรรมกับธรรมชาติอันนี้มันต่างกันยังไงบ้าง จำเอานะ ทีนี้จะให้พร มันจะมารับพรเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือมันจะไปรับแต่ส้วมแต่ถานเราก็ไม่รู้นะ เราว่าให้พรๆ เขาไม่ได้รับพร เขาจะไปรับส้วมรับถานของเขา แบกส้วมแบกถานของเขาต่างหาก เราก็ไม่ทราบแหละ ให้สุ่มสี่สุ่มห้าไปอย่างนั้นแหละนะ
หลังจังหัน
ทางจงกรมเราที่เทคอนกรีตไว้นั่น พอฝนตกหยุดแล้วเข้าเดินได้เลย เวลาฝนตกเดินไม่ได้ ทีนี้ถ้าหากว่าเรามุงเสีย กลางคืนก็มองไม่เห็นอีกแหละ ลำบากนะ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มุงทางจงกรมของเรา กลางคืนมืดก็ตามมันมองเห็นถ้าไม่มีอะไรมามุงนะ คือมันเป็นสายขาวๆ สองฟากทาง ตรงกลางเดินสะดวกสบาย ถ้าหากว่ามุงเสียมันมองไม่เห็น เพราะฝนจะตกเป็นกาลเป็นเวลา เวลามันตกเราก็ไม่ไปเดินจะเป็นอะไร พอมันหยุดแล้วเราก็เดินได้ แต่ที่เราเดินตามปรกติของเราไม่ว่ากลางคืนกลางวันเราเดินได้สะดวกสบาย เฉพาะกลางคืนที่จะเดิน มันมุงเสียมันมองไม่เห็น เราจึงไม่ให้มุงเพื่อความสะดวกตอนกลางคืน
ถึงจะเดือนมืดขนาดไหนก็ตาม ตีเส้นขาวไว้ ทางจงกรมตีเส้นขาวไว้ทางนี้ๆ เราไปมองเส้นขาว ทำให้ทราบได้ชัดว่าตรงกลางคือทางจงกรมมันก็เดินสบาย ทางนี้ขาวทางนี้ขาว เวลากลางคืนถ้าเรามุงเสียไม่เห็น อันนี้ก็เป็นนิสัย แปลกอยู่นะ ว่าไปศึกษากับใครก็ไม่ศึกษาละ มันเป็นนิสัย เดินจงกรมกลางคืนเราไม่เคยจุดไฟนะ แต่ไหนแต่ไรมา แม้จะเดินอยู่ในภูเขาก็ไม่เคยจุดไฟ กลางคืน ไปหาที่โล่งๆ เอาไว้ตอนกลางคืน ภูเขามันมีที่โล่งที่แจ้ง ที่มืดมี กลางคืนออกไปเดินนั่นเสีย
ที่จะให้จุดไฟอย่างพระทั้งหลายเดินไม่ทำเลยเรา มันขัดต่อนิสัย มันแปลกอยู่นะ อันนี้มันเป็นเอง ถ้าไม่จุดไฟนี่สนิทแนบสบายเลย ถ้าจุดไฟมองดูมันอะไร จึงไม่เคยจุดไฟเดินจงกรม ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่เคยจุดไฟ มันเคยอย่างนั้น ในครั้งพุทธกาลท่านบอกไว้ชัดเจนทางจงกรม เดินจงกรม นั่นเห็นไหม เดินจงกรมนี้ หนึ่ง มีผลได้จากการเปลี่ยนอิริยาบถ สอง เดินทางไกลได้ ท่านบอกไว้ แล้วสาม ยืดเส้นยืดสาย มันมีส่วนได้ หลักใหญ่ก็คือจิต ท่านภาวนา ท่านมีไว้ในอานิสงส์ของการเดินจงกรม มีไว้บอกไว้หมดเลย
ท่านบอกไว้อย่างละเอียดลออ บอกเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อความเป็นคนดิบคนดีทั้งนั้นนะ พระพุทธเจ้าสอนแง่ใดมุมใดไม่มีทางเสียหายเลย บอกในแง่ต่างๆ เพื่อเป็นความดีๆ อะไรไม่ดีปัดออกๆ สอนวิธีให้ละเอียดลออมากทีเดียว ในพระไตรปิฎกก็ดูท่านแสดงไว้ ทีนี้เวลามาปฏิบัติทางด้านจิตใจมันเบิกกว้างออกภายใน มันจะวิ่งถึงกันหมดนะ ตำรับตำรานี้ก็ธรรมชาติอันนี้ เพราะพระพุทธเจ้ารู้ธรรมธรรมชาติอันนี้กระจายออกไปสอนโลก เอาออกจากนี้นะ
พระไตรปิฎกเกิดหลังๆ พระพุทธเจ้าปรินิพพานดูเหมือนสี่ร้อยปี เราลืมแล้วแหละ ระยะนี้กระมังนะ เราคิดว่าท่านผู้เชี่ยวชาญจะค่อยล่วงไปๆ แล้วจะไม่มีแบบฉบับเอาไว้ ท่านจึงถอดออกมาเป็นพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกแท้คือพระพุทธเจ้า นั่นละออกจริงๆ อยู่ในนั้นหมด ธรรมอยู่ในนั้น รู้นี่มันกระจ่างไปเลย มันเหมือนอะไรเมื่อไรเรื่องใจนี้ เป็นแต่เพียงว่าถูกจอกถูกแหน พวกส้วมพวกถานปิดเอาไว้มันไม่เห็น พอเปิดจอกเปิดแหน ออกน้ำมีอยู่แล้ว เหมือนน้ำในบึงในบ่อ ในบึงใหญ่ๆ จอกแหนปกคลุมหมด น้ำมีขนาดไหนดีขนาดไหนก็ไม่เห็น เลิศเลอขนาดไหนก็ไม่เห็น มองเห็นแต่จอกแต่แหนปกคลุม
นี่ละเรื่องกิเลสปิดหัวใจสัตว์ เหมือนจอกเหมือนแหน หัวใจสัตว์ นั้นแหละได้แก่ทำนบใหญ่หรือบึงใหญ่ น้ำอรรถน้ำธรรมเต็มอยู่ในนั้นหมดเลย พอเปิดจอกเปิดแหนออกมองเห็นน้ำ เรียกว่าผู้สำเร็จพระโสดา สกิทาคา นี่ละผู้เห็นชัด เห็นน้ำ ทำไมมันมืดอะไรนัก เปิดไปเปิดมาไปเห็นน้ำที่จอกแหนปกคลุมไว้ เปิดขึ้นมา มาอาบมาดื่ม อ๋อ เอาละนะที่นี่นะ ทีนี้เวลาดื่มแล้วถึงจอกแหนจะปกคลุมก็ตาม ผู้นี้จะไม่ถอนเลยความเชื่อว่าน้ำนี้มี น้ำนี้สะอาดสุดยอด นี่ท่านว่าโสตะ กระแสแห่งพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว พอเห็นแล้วก็เอาละที่นี่เปิดออกเรื่อย จอกแหนเปิดเรื่อยๆ กว้างออกๆ เบิกออกหมดโล่งเลย นั่น น้ำมีแต่เมื่อไร นั่น
เวลานี้กำลังจอกแหนปกคลุมหมด ชาวพุทธของเราชาวไทยของเรานี่จอกแหนปกคลุม ปกคลุมหมดทั้งฆราวาสทั้งพระ ทั้งเขาทั้งเราไม่ยกเว้น ปกคลุมไว้ มันจึงมีแต่อันนี้แสดงลวดลายอยู่ตลอดเวลา ผลของมันเป็นความรุ่มร้อน เหตุของมันเป็นความดีดดิ้น เหตุอันลึกอีกอันหนึ่งดันออกมาให้ดีดให้ดิ้น มันเป็นชั้นๆ ออกมา พอดีดดิ้นมานี้เป็นผลมาในแง่หนึ่งๆ นี่ละจอกแหนมันดันออกๆ คือกิเลสมันผลักดัน ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ คือมันผลักดันตลอด อยากคิดอยากปรุงเป็นธรรมชาติของมัน เรียกว่าเป็นอัตโนมัติ กิเลสเป็นอัตโนมัติผลักดันสัตว์ทั้งหลายให้ทำงานตามกิเลส เป็นอัตโนมัติทั่วโลกดินแดน
ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ อยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากอะไร มีแต่อันนี้ดันออกๆ เป็นเรื่องกิเลสทั้งมวล เมื่อยังไม่มีธรรมจะไม่รู้เลยว่าธรรมเป็นยังไง ก็มีแต่เรื่องกิเลสทำงานๆ บนหัวใจสัตว์โลก ดีดดิ้นไปด้วยอำนาจของกิเลสมันผลักมันดันออกไป ฟังให้ชัดนะท่านทั้งหลาย หลวงตาบัวไม่นานจะตาย ธรรมประเภทนี้ใครมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เราไม่ได้คุย เป็นจากความจริงนี้แล้วพูดได้ทั้งนั้นว่างั้นเลย เชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญกับใคร ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็กรรมของสัตว์ก็มีเท่านั้น เพราะเราไม่มีคำว่าได้ว่าเสียจากการสั่งสอนโลก
เราพอทุกอย่างแล้ว เราสอนด้วยความเมตตา จะดุจะด่าอะไรล้วนแต่เป็นเรื่องของธรรมออกทั้งนั้น กิเลสไม่มีตัวจะออกจะว่าไง จะเผ็ดจะร้อนขนาดไหนก็ตาม เราไม่เคยมีกิเลสแฝงขึ้นมาในหัวใจนี้ ตั้งแต่วันมันดับลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว มีแต่ธรรมจ้าอยู่ในหัวใจตลอดเวลา ท่านทั้งหลายฟังไหม หลอกท่านทั้งหลายหรือเวลานี้ นี่ละธรรมถ้าลงได้ขึ้นเพียงหัวใจดวงเดียวนี้มันครอบไปหมดเลย ไม่มีอะไรที่จะมีอำนาจเหนือธรรม ทีนี้เราพูดเรื่องธรรมนะ มันอยากคิดอยากปรุงอยากอะไร อยากทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านจึงสอนให้จิตใจสงบด้วยการภาวนา
คือมันวุ่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนว่าไฟมันแสดงเปลวตลอดเวลา ที่ให้เอาน้ำดับไฟ ได้แก่ให้ภาวนาบ้างนะ ท่านบอก วิธีภาวนาทำยังไง คือจิตถูกกิเลสผลักดันออกไปๆ ทีนี้เอาธรรมตีเข้า ได้แก่ภาวนา เอาฝึกหัด เช่นอย่างเราได้พุทโธก็เอา แล้วแต่จริตนิสัยของเราชอบธรรมบทใด เอาอันนี้มาจับ ตรงนี้ละตรงกิเลสมันดันออกมา เอาธรรมอัดเข้าไปนี้ ได้แก่พุทโธๆ ปิดไม่ให้มันออก เอาพุทโธทำงาน ผลทำงานของธรรมกับผลทำงานของกิเลสจะต่างกัน กิเลสมันจะพุ่งๆ อยากคิด อยากเห็น อยากปรุง อยากแต่ง อยากรู้นั้นรู้นี้ตลอด แล้วกวนใจตลอดเวลา น้ำนี้ก็เป็นฟอง น้ำใสมันก็เป็นฟองกวนตลอด อันนี้ยิ่งน้ำเป็นตมเป็นโคลนด้วยแล้วมันก็เป็นอันเดียวกันไปหมดเลยกิเลส ใจก็เป็นกิเลส แสดงออกมาก็เป็นกิเลส มันก็เป็นตมเป็นโคลนไปด้วยกัน
ทีนี้เวลาเราภาวนาเราทำจิตของเราให้สงบ ดูตัวเองให้ดีนะ เราทำนี้ทำเพื่อเรา เพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับหัวใจของเราทุกคน ทีนี้เราจะระงับดับมันให้รู้เรื่องรู้ราวบ้าง จะเอาคำไหนมามัด เอาพุทโธก็ได้ตามแต่จริตชอบ ทีนี้ช่องทางออกของกิเลสมันพุ่งๆ เอาพุทโธอัดเข้าไปตรงนี้ไม่ให้มันออก เอาพุทโธทำงานปิดไว้ๆ มันอยากคิดเท่าไรไม่ให้คิด เอาเป็นกับตายลองดู มันเป็นยังไงคิดมาตั้งแต่วันเกิดได้ผลอะไร ทีนี้เราจะบังคับไม่ให้คิดอันนั้น แต่ให้คิดทางธรรม พุทโธ คิดเหมือนกันแต่อารมณ์อันนี้เป็นอารมณ์ของธรรม อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ของกิเลส อารมณ์ของธรรมนี้คิดพุทโธๆ สติติดแนบแล้วก็ค่อยสงบลงๆ
นี่ที่มันพุ่งนะ สงบลงๆ พอจิตค่อยสงบลงจะเย็นสบายเบา นั่นผลของธรรมทำงาน พุทโธทำงาน ผลของพุทโธได้แก่ความสงบเย็นภายในใจ พอเย็นแล้วมันจะพอรู้เหตุรู้ผล อ๋อขณะก่อนนั้นมันรู้อย่างนั้นๆ ทีนี้ขณะนี้พอเอาพุทโธมาเป็นน้ำดับไฟ จิตใจสงบอย่างนี้ นี่เริ่มได้สักขีพยานแล้วนะ คราวหลังก็ขยับเข้าอีก หนักเข้าๆ ทีนี้พุทโธแน่นหนาเข้าๆ ความคิดเหล่านั้นอ่อนลงๆ มีแต่พุทโธ สงบเท่าไรยิ่งสบาย อันนั้นคิดเท่าไรยิ่งยุ่ง มันต่างกันนะกิเลสกับธรรม ให้ดูเสียว่ากิเลสเป็นยังไง ธรรมเป็นยังไง
ทีนี้พอพุทโธถี่ยิบเข้าไป อันนี้ยิ่งสงบเย็นลงๆ สุดท้ายจนกระทั่งพุทโธหายเงียบ คือพุทโธหายเงียบมีแต่ความโล่งภายในใจ พุทโธที่ปิดไว้นี้เปิดแล้วทีนี้มีแต่ธรรมอยู่สบายๆ ต่อไปจิตก็เป็นความสงบ เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงขึ้นด้วยความสงบเย็น ทีนี้ความอยากคิดแต่ก่อนไม่อยากคิด นั่นเห็นไหม คิดแล้วกวนใจ จิตที่มีความสงบแน่วแน่เข้าไปแล้ว ความคิดความปรุงที่อยากคิดอยากปรุงแต่ก่อนดับหมด แล้วอยากคิดขึ้นมาก็ไม่อยากคิด มันกวนใจ สู้อันสงบแน่วนี่ไม่ได้ ความคิดนี่มันปรุงมันกวนใจ
ทีนี้เวลาจิตเป็นสมาธิ จิตแน่นหนามั่นคงด้วยความสงบเย็นอยู่นี้สบายทั้งวัน ความคิดนี้ไม่อยากคิดไม่อยากปรุง รำคาญ คิดเรื่องอะไรรำคาญทั้งนั้น อยู่อย่างนี้แน่ว มีแต่ความรู้เด่น สง่าอยู่ภายใน ทั้งวันมันก็สบายอยู่นั้น ไปนั่งอยู่ที่ไหน เดินที่ไหนอยู่ที่ไหน สบายหมด กิเลสไม่กวนอย่างเดียว ธรรมบังคับไว้แล้วสบายหมด อยู่ต้นไม้ภูเขา ร่มไม้ใบหญ้า อดอิ่มอะไรไม่สนใจ เหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัย ส่วนหลักใหญ่ที่จิตได้พึ่งพิงจริงๆ อยู่กับธรรมที่มีความสงบเย็น
เพราะฉะนั้นท่านผู้มีความสงบเย็น หรือมุ่งอรรถมุ่งธรรมมาก ท่านจึงไม่ยุ่งกับอะไร ท่านทำอย่างนี้ตลอด จิตของท่านสง่างามเรื่อยๆ เป็นขั้นๆ นะนี่ ความสง่างามของจิตเพราะการบำรุงรักษาจิตด้วยจิตตภาวนา สติสตังรักษาไว้ด้วยดี นี่เราพูดเฉพาะนักปฏิบัติ เช่นพระปฏิบัติท่านไม่มีงานอะไร ท่านทำงานของท่านโดยเฉพาะ ทั้งวันท่านเอาของท่านอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ทีนี้จิตมันก็สว่างขึ้นเรื่อย จ้าๆ อยู่ไหนสว่างหมด เย็นสบาย เรื่องภายนอกนี้ไม่เป็นของสำคัญนะ การอยู่การกินการหลับการนอนอะไรๆ นี้ท่านไม่ได้ถือเป็นอารมณ์ อันนี้เป็นที่รองรับความสุขความสบายท่านไว้เรียบร้อยแล้ว เข้าใจไหม อันนั้นเป็นเพียงอาศัยเฉยๆ จะอดจะอิ่มท่านไม่เป็นอารมณ์อะไร ได้อะไรมาฉันนิดๆ พอ เพียงเยียวยาร่างกายเท่านั้น ส่วนใจมีธรรมชาติรักษาแล้วคือธรรม บำรุงอยู่ตลอดเวลา เย็น เป็นขั้นๆ อย่างนี้
จากนี้ไปจิตมีความสง่างามขึ้นแล้ว ทีนี้เปิดทางด้านปัญญาออก ท่านว่าศีล สมาธิ ปัญญา พอเปิดทางด้านปัญญา ทีนี้เบิกกว้างออกๆ ทีนี้ความรู้ความเห็นของเราที่ว่าดิบว่าดีที่ว่าทั้งวันทั้งคืนอยู่สบายๆ นี้ กลับตรงกันข้ามแล้วนะ ปัญญาที่ออกรู้แจ้งเห็นจริงเป็นลำดับลำดาไป มีความสว่างไสว มีคุณค่าหนักกว่านี้อีก มากกว่านี้อีก ดีไม่ดีย้อนกลับมาตำหนิสมาธิ ความเย็นสบายของเจ้าของ อยู่ไหนอยู่ได้สบายๆ โอ๋ย นี่มันนอนตายอยู่เฉยๆ นั่นเห็นไหม เพราะอันนั้นเลิศกว่านี้เข้าไปอีกแล้ว นี่ละที่นี่จะเบิกกว้างออกนะ พอปัญญาออกเท่าไรมันยิ่งรู้ยิ่งเห็นในสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น มันมีอยู่ทั้งหมดในโลกธาตุนี้ เป็นแต่เพียงว่าจิตนี้ถูกกิเลสปิดเอาไว้มันไม่เห็น
ดังที่พระพุทธเจ้าทรง โลกวิทู รู้แจ้งโลก พวกเรามัน โลกวิทู อะไร มืดบอด มันต่างกัน ทีนี้พออันนี้เปิดออกมันก็เห็น เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ไม่มี มันมีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าไม่เห็นเฉยๆ พอเปิดออกเท่าไรมันก็เห็นเข้าๆ กว้างออกๆ เรื่อยเลย ทีนี้เรื่องความคิดความปรุงที่เป็นกิเลสนี้อ่อนตัวลงๆ ความคิดความปรุงทางด้านธรรมะนี้หนาแน่นขึ้นๆ ฆ่ากิเลสไปพร้อมๆ ทางด้านปัญญาฆ่ากิเลสนะ ทางด้านสมาธินี้เหมือนกับหินทับหญ้า ทับเอาไว้ พอด้านปัญญาเปิดหินออก รากมันอยู่ที่ไหนหญ้านี่ ขุดรากหญ้าออก นั่นที่นี่ปัญญา จ้าออกๆ จ้าออกเรื่อย พอถึงขั้นปัญญาก้าวเดินแล้วทีนี้เอาละนะ พอปัญญาได้ก้าวเดินแล้ว พวกกิเลสทั้งหลายนี้หมอบลงๆ ปัญญาเหยียบแหลกๆ
แต่ก่อนกิเลสเป็นอัตโนมัติ มันพาคิดพาปรุงพาดิ้นพาดีด ทีนี้ธรรมก้าวถึงขั้นปัญญาแล้วนี้ ธรรมเป็นอัตโนมัติแทนกันแล้ว ธรรมเป็นอัตโนมัติแก้กิเลสที่นี่ เอ้า กิเลสตัวไหนออกมาไม่ได้ ธรรมนี้หมุนติ้วๆ เป็นอัตโนมัติ นี่เราไม่เคยเห็นอัตโนมัติ ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสจึงได้เห็น พูดนี้ไม่ได้เอามาจากไหน เราจะไปหาดูคัมภีร์ก็ไม่เห็น ดูคัมภีร์นี้เลย กิเลสอยู่นี้ ธรรมอยู่นี้ ฟัดกันอยู่ที่นี่ มันรู้ขึ้นมาๆ มันก็จ้าออกๆ ทีนี้กิเลสยิ่งหมอบๆ หมอบเท่าไรสติปัญญายิ่งเฉียบยิ่งแหลมยิ่งรวดเร็ว พอโผล่หน้าพับขาดสะบั้นๆ นี่เรียกว่าธรรมทำงาน ท่านทั้งหลายจำเอา นี่ศาสนาพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ เอามาขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเห็นประจักษ์ตาเรานี่ชัดเจนมากทีเดียว
บางทีจนสำคัญตนว่า หือ ไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วเหรอ เหมือนหนึ่งว่าเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมา คือมันหมด เงียบเลย ตัวที่เคยเป็นข้าศึกมากน้อย หมด มีแต่อำนาจของธรรมจ้าอยู่ เอ้า โผล่ออกมา ตัวไหนโผล่ออกมาขาดสะบั้นไปเลย นี่ละอัตโนมัติของธรรมฆ่ากิเลส ไม่ใช่เราตั้งหน้าตั้งตาจะฆ่าตลอดเวลา เมื่อถึงขั้นอัตโนมัติแล้ว กิเลสทำลายสัตว์โลกก็เป็นอัตโนมัติของมัน ให้ได้รับความทุกข์ความทรมานฉันใด ธรรมะที่เป็นเครื่องปราบปรามกิเลสก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปราบๆ อะไรเกิดขึ้นมาปราบเรื่อยๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นผางนี้หมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ จ้า หือ ทำไมเป็นอย่างนี้ นั่น
นี่พูดจริงๆ นะ มันเป็นอย่างนั้น พูดออกมาจากหัวใจนี่นะ จะมาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ ยิ่งจวนจะตายๆ เปิดออกๆ เวลานี้ มันจะไม่ได้รู้ได้เห็น จะแบกคัมภีร์อยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์แบกคัมภีร์ จำมาเฉยๆ เรียนมามากน้อยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าไม่นำออกมาปฏิบัติ ต้องปฏิบัติเสียก่อนมันถึงจะรู้จะเห็น นี่ละเรื่องธรรมที่ว่าเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสเป็นอย่างนี้ พอถึงขั้นปัญญา ออกจากปัญญาแล้วเป็นปัญญาอัตโนมัติ นั่นฟังซิ คำว่าสติปัญญาอัตโนมัติเป็นเองๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เว้นแต่หลับ นอกนั้นไม่มีอะไรเลย มีแต่งานฆ่ากิเลสตลอดเวลา พอตื่นนอนพับฟัดกันแล้วๆ ถึงหลับ บางทีไม่หลับ กลางคืนนอนกลางคืนทั้งคืนไม่หลับเลยก็มี คือมันเพลิน นี่ละอัตโนมัติ คือสติปัญญาฆ่ากิเลสมันเป็นอัตโนมัติ ถ้ากิเลสหายเงียบไปนี้มันก็คุ้ยเขี่ย นี้ก็เป็นงานอันหนึ่งเสีย พอเจอกิเลสมันก็ฟาดกันอีก ก็เป็นงานอันหนึ่งอยู่อย่างนี้ตลอดๆ กลางคืนนอนไม่หลับเลย คือมันหมุนอยู่ตลอดเวลา
เรานอนนี้ อันนี้ไม่ลงเวทีนะ นักมวยฟัดกันอยู่วงในไม่หยุดไม่ถอย นอนให้หลับมันไม่หลับ ลุกขึ้นมาก็เอาอีกๆ สุดท้ายแจ้งๆ อ้าว มันจะตายแล้วนะ กลางวันจะพักนอนมันก็ไม่ยอมนอนมันหมุน นี่ละเห็นไหมถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติที่จะพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง เห็นโทษกิเลสนี้เต็มหัวอกเลย แต่ก่อนไม่เคยเห็น เป็นบ้ากับมันเต็มตัว ทีนี้เวลาเห็นโทษของกิเลสได้เห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็แบบเดียวกัน มันจะอยู่ได้ยังไงมนุษย์เรา มันต้องดีดตลอด พ้นเสียอย่างเดียว ที่ว่าจะถอยนั้นไม่มีเลย คอขาด-ขาดไปเลย มีแต่จะให้หลุดพ้นๆ เวลาสติปัญญาอัตโนมัติแล้วนั้น เข้าขั้นมหาสติมหาปัญญายิ่งจ้าเข้าไป เป็นน้ำซับน้ำซึม ไหลไปเลยซึมไปเลย นี่ละสติปัญญาเป็นขั้นๆ จากการฝึกการทรมานตัวเองนะ
ทีนี้พอถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานี้ เหมือนเป็นพระอรหันต์น้อยๆ นะกิเลสเหมือนไม่มีเลย แต่ทางนี้ก็ซึมหากัน นั่นเห็นไหม กิเลสมันซึมละเอียด มหาสติมหาปัญญานี้ก็ซึมตามกัน ล้างกัน ชะกันล้างกันตลอดๆ จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง ทีนี้สติปัญญาที่ว่าเป็นอัตโนมัติ ทั้งสติปัญญาอัตโนมัติ ทั้งมหาสติมหาปัญญาเป็นอัตโนมัติ จะยุติทันทีเลย อ้าว จะฆ่าอะไรกิเลสก็ตายหมดแล้ว เครื่องมือที่จะฆ่ากิเลสมันก็ปล่อย เหมือนเราทำการทำงาน ทำอันนี้เสร็จแล้วก็ปล่อยมือ เช่น เราสิ่วไม้ เราฟันไม้ พออันนี้เสร็จแล้วเราก็ปล่อยนี้ๆ พอเสร็จโดยสิ้นเชิงแล้วก็หมด การก่อสร้างไม่มี กิเลสสิ้นเสร็จแล้วการสร้างอรรถสร้างธรรมไม่มี
มหาสติมหาปัญญาที่หมุนตัวเป็นเกลียวนั้นมันก็ทราบได้ชัดว่าเป็นมรรคทั้งนั้น เป็นทางเดินหรือเครื่องมือส่วนละเอียดๆ ละเอียดสุดยอดฆ่ากิเลส เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว เครื่องมือทั้งหลายมีมหาสติมหาปัญญา เป็นสำคัญ ระงับลงเองไม่ต้องบังคับ มีแต่ความเสวยผลเท่านั้น จ้าอยู่ในใจ ทีนี้จะฆ่าอะไร ก็มันชัดแล้วมันหมด ทุกสิ่งทุกอย่างหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว นั่นละท่านว่าสว่างจ้าขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระอรหันต์ท่านบรรลุธรรม อย่างนี้เอง จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าอะไร มันเป็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน กิเลสประเภทเดียวกัน ธรรมะประเภทเดียวกัน สังหารแบบเดียวกัน กิเลสขาดสะบั้นไปแบบเดียวกัน บริสุทธิ์แบบเดียวกัน ไปถามกันหาอะไร
พูดแล้วสาธุทันที พระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ข้างหน้าก็ตาม ไม่ทูลถาม นั่นเห็นไหม สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง นี่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้วอย่างเด็ดขาด ก็เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะไปทูลถามพระพุทธเจ้าทำไม ถ้ายังทูลถามอยู่ธรรมะนี้ก็ยังไม่เด็ดขาดใช่ไหม เมื่อธรรมะเด็ดขาด เรารู้ตามธรรมะแล้วจะถามท่านหาอะไร
พอพูดอย่างนี้เราไม่ลืมนะ ตอนเย็นๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นเทศน์ธรรมะอย่างเด็ดทีเดียว เอาอย่างเปรี้ยงๆ เลย ที่จะว่าเปรี้ยงๆ ก็คือว่า มีพระองค์หนึ่งพูดขึ้นมาถึงเรื่องอัฐิของหลวงปู่เสาร์กลายเป็นพระธาตุ ท่านก็ว่า ถ้าอัฐิหลวงปู่เสาร์ไม่กลายเป็นพระธาตุแล้ว พวกเรามันก็เป็นขอนซุงละซี ฟังซิน่ะ หลวงปู่เสาร์คือว่าท่านแน่แล้ว หลวงปู่เสาร์เป็นพระอรหันต์พูดง่ายๆ แล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุ พระมาเล่าให้ฟังว่าอัฐิหลวงปู่เสาร์เป็นพระธาตุ ท่านก็เลยพูดอย่างนี้ เออ ถ้าอัฐิหลวงปู่เสาร์ไม่เป็นพระธาตุแล้ว พวกเราปฏิบัติมานี้ก็เท่ากับขอนซุงละซี ไม่มีความหมาย ถ้าธรรมยังมีความหมายอยู่ พวกเราปฏิบัติก็จะเป็นไปได้อย่างนั้น ความหมายว่างั้น
จากนั้นแล้วมีอีกองค์หนึ่งว่า อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว ส่วนที่เป็นผุยเป็นผงที่ยังไม่เป็นพระธาตุ มีพระเอาไปตำบดละเอียด แล้วเอาไปทำรูปเหมือนท่านจำหน่ายขาย ท่านก็เปรี้ยงขึ้นเลยตรงนี้ สะเทือนใจท่านมาก ท่านก็ เหอๆ ขึ้นเลย คือเอาอัฐิของท่านไปทำเป็นพระผงพระอะไรอย่างนี้ขาย ท่านขึ้นแรงนะ เหอๆ ชี้นิ้วเลย เหอ พวกนี้ปฏิบัติแบบไหน มันปฏิบัติแบบหมา ว่าอย่างนั้นนะ หาแทะกระดูก นี่จะปฏิบัติแบบไหน ว่าอย่างนั้นนะ ชี้พระที่นั่งอยู่ตามนั้น เหอๆ ขึ้นเลยใส่เปรี้ยงๆ เพราะเต็มยศแล้ว สุดท้าย พูดแล้วสาธุ ท่านยกมือขึ้นเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ทูลถามท่านหาอะไร ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามท่านหาอะไร
เราก็ฟังท่านที่ว่าถามท่านหาอะไร เวลามันเป็นขึ้นมานี้ก็เข้าอันเดียวกันเลย ไม่ได้คุย ไม่ได้สวมรอย อ๋อ เท่านั้นพอ ทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร อะไรเป็นพระพุทธเจ้า อินเดียหรือเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพานอยู่ที่เมืองอินเดียนั้นหรือเป็นพระพุทธเจ้า นั้นพระรูปพระโฉมร่างกายของท่าน อยู่ที่ไหนตายได้เผาได้ฝังได้ทั้งนั้น ธรรมชาติที่เป็นพุทธะแท้คืออะไร อันที่ท่านรู้ท่านเห็นจริงๆ นั่นละพุทธะแท้ ศาสดาองค์แท้จริงคืออันนั้นเอง เพราะฉะนั้นท่านเป็นในตัวของท่านเต็มยศแล้ว ท่านจึงไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า จะถามท่านหาอะไร ก็อันเดียวกัน อย่างเดียวกัน ความหมายว่างั้น
ตอนท่านพูดเราก็ฟัง ก็เรามันยังไม่เป็น เข้าใจไหมล่ะ ทีนี้เวลาปฏิบัติไปมันผางขึ้นมาแบบนี้ อ๋อ ทันทีเลย แน่ะ ลงอันเดียวกัน ไม่สวมรอย ไม่โอ้ไม่อวด ก็ของอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วจะไปทูลถามหาอะไร พระพุทธเจ้าคืออะไรจะไปทูลถามอะไร เข้าใจไหมล่ะ นี่ละศาสดาองค์เอกอยู่ปัจจุบันจิต ถึงขั้นบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วไม่ต้องทูลถามเลย พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ ในโลกธาตุนี้มีมากขนาดไหน โลกนี่มันสกปรกเราจึงไม่พูด มันไม่เกิดประโยชน์ จะมีแต่โทษอย่างเดียว จ้าเข้าไปนี้มันรู้กันหมดเลยจะว่าไง นั่นเห็นไหม อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย มันจ้าแล้วมันเข้ากันหมด
เทียบเหมือนกับน้ำมหาสมุทร น้ำไหลมาจากคลองต่างๆ ทั้งบนฟ้า ทั้งมาตามพื้นแผ่นดิน มาจากคลองนั้นคลองนี้ พอเข้าถึงมหาสมุทรผางเท่านั้น น้ำทั้งหมดนี้จะลบออกหมดเลยว่าจากบนฟ้า จากสถานที่ต่างๆ จะเรียกได้คำเดียวว่านี้น้ำมหาสมุทร เท่านั้นพอ มาจากไหนไม่สำคัญ พอลงนั้นแล้วเรียกน้ำมหาสมุทรหมดเลย อันนี้ท่านผู้บำเพ็ญบารมีทั้งหลาย นับแต่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ลงมาถึงบรรดาสาวกทั้งหลาย ตลอดสัตว์โลกทั่วๆ ไป นี่เหมือนกับน้ำไหลมาจากที่ต่างๆ คนนี้สร้างบารมีมาแค่นี้ๆ สั้นเข้ามา ใกล้เข้ามาๆ ไหลมาจากคลองนั้นคลองนี้ ตกมาจากบนฟ้าก็เป็นฝน พอลงแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรๆ อันนี้ก็ไหลมาๆ จากคลองต่างๆ
คือผู้สร้างบารมีนั่นละคำว่าไหลมา ใกล้เข้ามาๆ พอมาถึงนี้ผึง เป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด ว่าน้ำคลองนั้นคลองนี้ไม่มีความหมาย บนฟ้าอากาศที่ไหนไม่มีความหมาย เป็นความหมายเต็มตัวอยู่ที่ว่าน้ำมหาสมุทรคำเดียวพอ อันนี้ก็เหมือนกัน ผู้สร้างบารมีมาพอใกล้เข้ามาๆ ก็ยังเรียกสายนั้นสายนี้อยู่ พอผางเข้าไปถึงวิมุตติธรรม ตรัสรู้ผึงนี้ นี้แหละมหาวิมุตติมหานิพพาน คืออันนี้เอง ธรรมธาตุคืออันนี้เอง ถามใคร เท่านั้นพอ นี่ละที่ว่าถามพระพุทธเจ้าหาอะไร พอจ่อปั๊บลงไปเป็นมหาสมุทรแล้ว จ่อปั๊บลงไปเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมดแล้ว เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมดแล้ว
เหมือนน้ำในมหาสมุทรนี่ พอน้ำไหลลงไปรวมนั้น มือจ่อลงไปเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันหมดเลย นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าไม่ทูลถาม ทูลถามอะไรมันจ้าอยู่นั้นเหมือนกันหมดแล้ว จะทูลถามหาอะไร นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติตามนะ ถ้าไม่ปฏิบัติแบกคัมภีร์อยู่ก็แบกอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ขอให้นำมาปฏิบัติ มากน้อยจะได้ผลเป็นลำดับลำดาไป เว้นแต่จะนอนจมอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ พากันจำเอานะ ว่าจะไม่พูดอะไร วันนี้มันขึ้นเสียเปรี้ยงๆ มันขึ้นมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่พวกบ้าฆราวาสญาติโยม ตั้งแต่ก่อนจังหันหรือตอนไหนไม่รู้นะ อันนั้นดูเหมือนยังหิวโหยยังไม่อิ่มยังไม่พอ ขึ้นอีกฟัดอีก นี้พอแล้วยัง ไม่พอเจ้าของก็กำลังจะตายแล้วจะว่าไง จำเอานะทุกคน
เวลานี้เรื่องกิเลสนี้หนาแน่นมากทีเดียว จนจะดูไม่ได้นะ พูดจริงๆ แต่ธรรมดูโลกไม่เหมือนโลกดูธรรม โลกดูธรรม ตำหนิก็ถึงใจ แทงเข้าหัวใจ ชมก็แทงหัวใจ ตำหนิก็แทงหัวใจ แต่ธรรมแล้วไม่มีแทงหัวใจ ดูไปเห็นไปเหมือนไม่มี ถ้าเวลาจะพูดนี้ก็ออกเลยทันที พอจบแล้วหายเงียบเลย นั่นละธรรมต่างกับโลกนะ ไม่ได้กระทบกระเทือนจิตใจท่าน เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้นละ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |