เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
มาทีไรได้ข้อคิดทุกที
ก่อนจังหัน
พระให้ตั้งใจปฏิบัตินะ พระที่มาหรืออยู่ประจำ เลอะๆ เทอะๆ ไม่ได้นะ เวลานี้ไปที่ไหนเห็นแต่พระเราแหละเลอะๆ เทอะๆ เต็มบ้านเต็มเมือง มันเห็นจะให้ว่ายังไง มันเห็นเลอะๆ เทอะๆ ก็บอกว่าเลอะๆ เทอะๆ โอ๋ย พระเป็นส้วมเป็นถานเราก็ไม่เคยเห็น มาเห็นปัจจุบันนี้ละ พวกเรานี้แหละพวกส้วมพวกถาน ลืมเนื้อลืมตัว ผ้าเหลืองคลุมหัวโล้นแล้ว โถ โอ่อ่านะ ยิ่งมียศติดเข้าไปแล้วไปใหญ่เลยพระ เป็นบ้า สมัยปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เนื้อรู้ตัวมันกลับเป็นบ้าไปอย่างนั้น บวชเข้ามามันหาอรรถหาธรรมที่ไหน หาแต่ยศแต่แย็ด พิลึกนะ ลาภ สรรเสริญเยินยอ เป็นบ้าไปเลย ทำไมพระเรามาบวชเพื่อจะได้สติสตังตามธรรมของศาสดาที่สอนไว้เรียบร้อยแล้วด้วยความเห็นโทษ แล้วจึงเสด็จออกมาบวช แต่พวกเราทำไมมันเป็นไปแบบนี้ล่ะ
ตั้งใจปฏิบัติให้ดีนะในวัดนี้ พระไหลเข้ามาเรื่อยๆ มองไม่ทัน ผมก็ไม่มีเวลาที่จะสั่งสอนพระนะ งานของผมก็มากต่อมาก งานทั้งแผ่นดิน คือทั้งชาติทั้งศาสนามันก็เกี่ยวโยงเข้ามาหาเราอยู่โดยดีแหละ จะต้องได้ดูนั้นดูนี้ เพราะฉะนั้นในวัดนี้จึงไม่ค่อยได้อบรมพระ ให้พากันตั้งอกตั้งใจดีๆ นะ ในวัดนี้สมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว เทปก็เต็มวัด จะเอาธรรมขั้นใดภูมิใดถ้าต้องการ ได้ทั้งนั้น หนังสือก็ดี เทปก็ดี มีทุกแบบอยู่ในวัดนี้ที่จะให้เราเป็นคนดีจากธรรมทั้งหลาย ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
ผมนี่วิตกวิจารณ์ แก่เข้าไปเท่าไรแทนที่จะห่วงใยตัวเอง บอกร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไม่มี ว่างั้นเลย มีแต่ห่วงเพื่อนห่วงฝูง ประชาชน โลกทั่วๆ ไปเท่านั้น พากันตั้งอกตั้งใจ สติเป็นสำคัญนะกับความเพียร ไม่มีอื่นใดที่จะยิ่งไปกว่าสติ สตินี้เป็นพื้นฐานของความเพียรและความดีทุกด้าน ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ สติต้องเป็นพื้นฐานในหน้าที่การงานต่างๆ ถ้ามีสติบ้างคนเราก็รู้ตัว รู้ผิดรู้ถูกของตัวเอง ถ้าไม่มีสตินี้เลอะไปเลยๆ เรื่องสติเป็นสำคัญ จากนั้นก็ปัญญาออกเป็นระยะๆ แต่สตินี้ติดแนบนะ นี่ได้ดำเนินมาแล้วทุกอย่าง พระพุทธเจ้าสอนก็สอน เวลามาปฏิบัติขึ้นบนเวทีมันถึงกระจ่างออกไปหมด กระเทือนถึงพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วัดรอย มันเป็นก็บอกว่าเป็น แต่ก่อนที่ยังไม่เป็นก็บอกไม่เป็น สู้กับกิเลสน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาเราลืมเมื่อไร มาพูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟัง นั่นเวลากิเลสมันฟัดเรา นั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา
จนงงตัวเอง เอ๊ นี่มันมาประกอบความเพียรยังไงอย่างนี้ ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ นี่ละเวลากระแสของกิเลสมันหนัก ตั้งไม่ได้นะสติ ตั้งเพื่อล้มๆ ตั้งเพื่ออยู่ไม่มีเลยในเวลานั้น เสียใจ เคียดแค้น น้ำตาร่วงบนภูเขา นี่เวลากิเลสมันเก่ง กิเลสอยู่กับใจเรานะ ทีนี้เวลาฟัดเข้าไปๆ ด้วยอำนาจแห่งธรรมๆ ฝึกซ้อมเข้าไปเรื่อยด้วยความเคียดแค้นสู้กิเลสไม่ได้ จะเอาสู้ให้ได้ๆ เป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งทีนี้กิเลสโผล่มาไม่ได้นะ ฟังซิ เวลาสติปัญญาแก่กล้าจากการอบรมฝึกฝนตนเองด้วยดี ด้วยความมุมานะ กิเลสโผล่มาไม่ได้เลย ธรรมะนี้ฟาดขาดสะบั้นๆ เป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ เหมือนกิเลสทำลายสัตว์โลก ฆ่าสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เวลาธรรมมีกำลังแล้วแบบเดียวกัน
ขึ้นบนเวทีมันถึงเห็นนะ ยอมพระพุทธเจ้าทันทีเรื่องพระพุทธเจ้าท่านทรงรู้ทรงเห็นแล้วนำมาแสดง เวลาเราปฏิบัติมันเข้าในจุดเดียวกันๆ จำให้ดีนะ สติเป็นสำคัญ ถึงที่สุดก็สติ สติกลายเป็นมหาสติ ปัญญากลายเป็นมหาปัญญา ละเอียดสุดยอดเลย ท่านจึงเรียกว่ามหาสติมหาปัญญาสุดยอด นี่ละฆ่ากิเลสตัวสุดยอดเลวของกิเลส วัฏวนของกิเลสก็คือตัวนี้แหละ คือปัญญาอันนี้แหละ จำให้ดี ไปที่ไหนอย่าเลอะๆ เทอะๆ เร่อๆ เร่ๆ โหย ดูไม่ได้นะ ให้พร
หลังจังหัน
ช่วยโลกคราวนี้ถึง ๖ ปี แหม เหนื่อยมากทีเดียว ไม่ใช่เหนื่อยธรรมดา เหนื่อยความรับผิดชอบทุกด้านทุกทาง อุบายวิธีการต่างๆ ออกจากเราๆ ตลอดมา แล้วการแนะนำสั่งสอนก็ดูซิ สั่งสอนคนมาได้ ๖ ปี มันกี่ร้อยกี่พันกัณฑ์เทศน์ ฟังซิ ช่วยเรื่อยมา ได้มาปลงเอาตอนนี้ เบาลงเรื่องไม่ต้องยุ่งอย่างแต่ก่อน คือปิดโครงการเราก็ไม่ไปเที่ยวตามที่เราไปแต่ก่อน เทศน์ก็เทศน์ตามอัธยาศัย เขาจะมานิมนต์ในโครงการก็ตาม นอกโครงการก็ตาม เราจะไปตามอัธยาศัยของเรา ไม่ได้ไปตามโครงการ เหนื่อย ต่อไปนี้จึงว่าเบาหน่อย
วันที่ ๒๕ นี้จะต้องลงกรุงเทพอีกแล้ว ลงนี้เตลิดไปวัดอโศการาม คราวนี้ไปไม่เข้ากรุงเทพ คือไปพุ่งถึงวัดอโศการามเลย เทศน์แล้วหากมีโอกาสจึงจะย้อนมาแวะพักก็จะพักบ้างที่สวนแสงธรรม อันนั้นก็เป็นความจำเป็นเขานิมนต์เราไปเทศน์ เกี่ยวกับเจดีย์ใหญ่ สร้างเจดีย์ใหญ่ ครูอาจารย์องค์สำคัญๆ เสียด้วยที่จะมาประดิษฐานหรือมาบรรจุอยู่ที่นั่น ท่านทองก็กำลังไม่พอ วิ่งมาหาเราให้ช่วยเหลือ เราก็พิจารณาดูตามที่ระบุมา ล้วนแล้วแต่ครูอาจารย์องค์สำคัญๆ ที่จะเข้าประดิษฐาน เป็นครูบาอาจารย์ที่เคารพสุดหัวใจๆ เสียด้วย พอทางนั้นขอมาเราก็เลยรับไปเทศน์ให้ที่วัดอโศการาม เทศน์มาครั้งหนึ่งแล้ว เริ่มที่จะสร้างเราก็ไปเทศน์ให้ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ก็จะไปเทศน์ให้อีกเสียทีหนึ่ง
งานบุคคลก็เรา งานชาติก็เรา เลยหนัก เทศน์พิลึกนะ เทศน์รู้สึกว่ามากจริงๆ เราอยากจะพูดเต็มปากเลยว่า พระทั่วประเทศไทยนี้จะไม่มีใครเทศน์มากยิ่งกว่าเรา ว่างั้นนะ เทศน์ ๖ ปีนี้ของน้อยเมื่อไร เทศน์ไม่หยุดไม่ถอย บางวันวันละ ๓ กัณฑ์ก็มี เทศน์อยู่ตลอดๆ เราจึงคิดเห็นถึงพวก บรรดาพระทั้งหลายพวกเรานี้ไปพูดที่ไหน ไปเทศน์ที่ไหนต้องดูหนังสือกันยุ่งตลอด เขามานิมนต์ โอ๊ย ยังไม่ได้ดูหนังสือ เรานี้ไม่เคยพูดอย่างนั้น มีแต่เหตุผลควรรับหรือไม่ควรรับ ควรรับก็รับติดๆ ไปเลย ขึ้นเวทีนี้ลงเวทีนี้ ขึ้นเวทีนั้น ขึ้นเรื่อยตลอดมาอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น
เราไม่ได้ประมาทปริยัตนะเราก็เรียนมาเหมือนกัน ทีนี้มันก็เลยเทียบกันอย่างถนัดชัดเจนระหว่างปริยัติคือความจำ จดจำมาก็เป็นแถวเป็นแนวตามความจดจำ ในเล่มเดียวกันก็ตามถ้าอ่านไม่จบตรงไหนก็ยังบกพร่องอยู่ตรงนั้นๆ ปริยัติ คืออ่านไม่จบความจำมันก็ไม่ผ่านไปซิ ปริยัติเราก็เรียนมาเสียจน บางทีหัวสมองนี่ทื่อหมดเลย มันไม่ยอมจำ เจ้าของจับชนใส่ๆ มีแต่จะเอา ความจำไม่ยอมรับ ทื่อแต่ก่อน ไม่ไหว เวลาเรียนก็อย่างนั้น ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียนเรียนจริงๆ เรียนทั้งในวงหลักวิชาของการเรียน ทั้งลอกพระไตรปิฎกเต็มไปหมดเลย อันนี้นอกการเรียน นอกหลักวิชาออกไปๆ
ทีนี้การเรียนมากับการปฏิบัติ พูดง่ายๆ ความจำกับความจริงนี้ต่างกันมากทีเดียว เราเอาตัวของเราออกวัดเลย ความจำนี้มันจำได้เท่านั้นๆ ขั้นไหนก็พูดออกได้แค่ความจำได้เท่านั้น แต่ความจริงถ้าได้รู้ขึ้นนี่แล้วไม่เป็นอย่างงั้น ไม่เป็นก็บอกไม่เป็น เหมือนกับว่ามีดเรานี่เอาไปเหน็บอยู่ฝา จะไปทำอะไรก็ต้องไปคว้าเอาที่ฝาเสียก่อน แล้วเหน็บไว้ที่ไหนวางไว้ที่ไหนก็ไปคว้าที่นั่นเสียก่อน ถ้าอยู่กับเอวอย่างนี้มันก็ต้องมาคว้าที่เอวนี้ถอดออกมาเสียก่อน อยู่กับมือนี้จิ้มเลยๆ นั่นเข้าใจไหมล่ะ นี่ภาคปฏิบัติพูดให้เปิดเผยทีเดียว มันเป็นก็บอกมันเป็น
ความจริงเกิดจากภาคปฏิบัติไม่มีสิ้นสุด บอกอย่างงั้นเลย แล้วแต่เหตุผลกลไกผ่านเข้ามามันจะรับกันทันทีๆ เลย ไม่ได้ว่าจะไปเรียนอยู่ในคัมภีร์ไหน ไม่ว่า พระพุทธเจ้าสำเร็จจากคัมภีร์ใหญ่ เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา พระไตรปิฎกออกจากนี้ไป นี่ต้นพระไตรปิฎกใหญ่ พระพุทธเจ้าพระสาวกอยู่ในนั้นหมด เป็นพระไตรปิฎกอยู่ในนั้นๆ ตามภูมิ เหมือนว่าน้ำโอ่งใหญ่โอ่งเล็กเต็มโอ่งๆ ด้วยกัน เวลาออกทางภาคปฏิบัติเป็นความจริง รู้มันรู้จริงๆ นะไม่ได้สงสัย ไม่เหมือนภาคปริยัติ
ภาคปริยัติเรียนบาปเรียนบุญสงสัยบาปสงสัยบุญ เรียนนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เรื่องเปรตเรื่องผี เรื่องเทวบุตรเทวดา สงสัยไปหมดเลยเลย แม้ที่สุดเรียนถึงพระนิพพานตัวก็หาบกิเลส มันก็เป็นพระนิพพานแต่ความจำ ความจริงในหัวใจไม่มี อย่างงั้นนะ ทีนี้ความจริงว่าอะไร มันรู้อะไรมันรู้จริงๆ หายสงสัย ยอมรับพระพุทธเจ้าทุกระยะๆ ทีนี้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ยอมไปหมดเลย เพราะมันเป็นอย่างเดียวกันนี้ เรายังไม่ถึงมันก็ไม่เห็น แน่ะมันยอมรับแล้ว ที่ว่าอันนี้ไม่มีมันไม่มีอยู่ภายในใจ เพียงแต่เรายังไม่ถึง เช่นเรามาวัดป่าบ้านตาดมาถึงไหน ถึงแค่นั้นๆ มา หายสงสัยมาเรื่อยๆ มาถึงวัดป่าบ้านตาดปุ๊บหายสงสัยเลย
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดจากความจริงภาคปฏิบัติ เวลาได้รู้มันรู้ในใจ กิเลสก็เต็มหัวใจ เปิดกิเลสออกเวิกกิเลสออก ธรรมะก็ออกได้ๆ เปิดกิเลสออกหมด โล่งไปหมดเลย พูดให้มันจริงนะเราจวนจะตายแล้ว ในภาคปฏิบัติเราสุดหัวใจเราแล้ว เราไม่หาอะไรอีก บาปไม่หา บุญไม่หา นรก สวรรค์ นิพพาน ไม่หา ไม่หาอะไรทั้งนั้นเวลานี้ จะว่าธรรมเราก็ไม่หา อยู่ในนี้แล้วหาไปอะไร เป็นบ้าหรืออยากว่าอย่างงั้น แต่เวลาหานี่จนจะเป็นจะตาย เวลามันเจอเข้าไปแล้วก็อย่างนั้นละ ไม่อย่างงั้นเทศน์ได้ยังไง เอ้าพูดให้มันตรงๆ ซิ
เทศน์ให้คนฟังตั้ง ๖ ปีเต็ม ไม่มีที่ไหนที่ไม่ได้เทศน์ และจะไปเทศน์ที่ไหน เอ๊นี่จะเอาอะไรมาเทศน์ไม่เคยคิด ว่าตรงไหนเหตุผลลงกันแล้วเอารับๆ ลงธรรมาสน์นี้ขึ้นธรรมาสน์นั้นเรื่อยไปเลยละ อยากให้มีผู้ฟังหลายขั้นหลายภูมิของธรรมมาฟัง จะได้ฟังอย่างเปิดเผย เราจะเปิดออกให้เต็มเหนี่ยวเลย พูดจริงๆ เราไม่คุยนะ มันเป็นอย่างงั้นในหัวใจ ถ้าเวลาอยู่เฉยๆ นี้สมควรที่จะรับแค่ไหน ออกแค่ไหน มากน้อยแค่ไหนมันดูมันก็รู้ ถ้าไม่สมควรออกดึงก็ไม่ออก ธรรม สมควรจะออกมากน้อยจะออกๆ สมควรจะทุ่มเลยนี้ผางเลยทันที
เหมือนเราทอดแห กางแหไว้บนแขนจะลงที่จุดไหน อันนี้ก็ขี้หมูรา อันนี้ขี้หมาแห้ง แหนี่เราจะทอดลงได้ไหม ทอดลงไม่ได้ พอปลาตัวใหญ่ผึงขึ้นมานี้ โอ๋ย พันกันเลย ก็อย่างงั้นแล้ว ทั้งๆ ที่กางแหมันก็ไม่ได้ทอด พอตัวใหญ่มันผุดขึ้นมาปึ๋งพันกันเลย นี่ละประเภทที่จะรู้เร็วเห็นเร็ว อย่างครั้งพระพุทธเจ้าก็คือเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ปลาใหญ่ละนี่ พอผึงขึ้นมาก็ซัดผางเลย สำเร็จ นั่นถ้าอย่างนั้นออกเลยๆ ไม่ทราบมาจากไหน พูดให้มันชัดอย่างนี้ อยู่ในนี้เลย สมควรที่จะออกรับกัน ทางนั้นปั๊บทางนี้ออกรับกันปุ๊บๆๆ ไปเลย นี่ธรรมพระพุทธเจ้า
กิเลสตัวใดที่จะมาขวางมันไม่มี มีแต่ธรรมออกล้วนๆๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์ มีแต่ธรรมทั้งนั้นออก กิเลสออกไม่มี เพราะไม่มีกิเลสในหัวใจจะเอาอะไรมากีดมาขวาง กิเลสเท่านั้นขวางหัวใจ ติดเขาติดเรา สุดท้ายก็มาลูบหน้าปะจมูกเท่านั้นเอง เกรงใจคนนั้นเกรงใจคนนี้ นั่นละติดเขาติดเรา เรื่องกิเลสทั้งนั้น ถ้าธรรมแล้วไม่ติด เหตุผลกลไกมีควรจะออกแค่ไหนออกเลยๆ เหล่านี้มาผ่านไม่ได้ เรื่องของโลกคือสมมุติ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล
ธรรมนี้เป็นธรรมล้วนๆ เหนือไปตลอดๆๆ เลย ไปได้ตามเหตุตามผลเลย ไม่เคยสะทกสะท้าน เกรงเขาเกรงเราไม่มี เกรงเขาเกรงเราคือกิเลส เมื่อเป็นอย่างงั้นมันก็พูดไม่ได้ สุดท้ายก็เลยลูบหน้าปะจมูกไปเสีย ไม่ได้เรื่องได้ราว ธรรมะไม่มีอย่างนั้น สมควรที่จะออกมากน้อยออกได้เลยๆ เราพูดจริงๆ เราจวนจะตายแล้ว พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง การเทศนาว่าการเราปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย บางครั้งถึงขั้นจะสลบแต่ไม่เคยสลบก็บอกไม่สลบ มันหนักขนาดนั้น นี่ธรรมที่ปฏิบัติมา
เวลาเห็นผลก็เห็นตามเหตุตามผลที่เราเอาหนักเบามากน้อย ผลก็เกิดขึ้นมาอย่างนั้นๆ จนกระทั่งเป็นที่พอใจผางขึ้นมาแล้วเท่านั้น ทีนี้ไม่หาอีก กิเลสหมดแล้วหาอะไร ธรรมก็เต็มหัวใจอยู่แล้วหาอะไร ก็เท่านั้นเอง นี่ละพุทธศาสนาขนาดไหน โลกมองไม่เห็นน่ะซี เหมือนบึงใหญ่ๆ น้ำเต็มอยู่ในนั้นใสแจ๋วเลย ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ในน้ำนั้น แต่จอกแหนปกคลุมหมดหมดมองหาน้ำไม่เห็น ใครไปก็มองดูตั้งแต่จอกแต่แหนว่าน้ำไม่มีๆ เดินผ่านไปๆ ท้องแห้งไป ผู้มีนิสัยเปิดจอกเปิดแหนมากน้อยก็ตักน้ำมาดื่ม แล้วอ๋อๆ เข้าแล้ว ทีนี้ก็เบิกออกแล้วจอกแหนเปิดกว้างออกๆๆ สุดท้ายเปิดออกหมดจ้าเลย
นั่นละน้ำมีหรือไม่มี อยู่ใต้จอกใต้แหนนั้นอยู่ที่ไหน จอกแหนปกคลุมน้ำไว้ กิเลสปกคลุมมรรค ผล นิพพานไว้ มรรค ผล นิพพานอยู่ที่หัวใจ หัวใจคือสระใหญ่บึงใหญ่ แห่งอรรถแห่งธรรมทั้งหลาย กิเลสปกคลุมไว้ข้างบน พอถอดออกถอนออกๆ เปิดออกๆ ก็รู้อรรถรู้ธรรมเห็นอรรถเห็นธรรมขึ้นมา เปิดออกหมดโล่งหมดเลย หาธรรมที่ไหนเท่านั้นพอ พากันจำเอาเสียนะ ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดนี้ นี่เราปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตายจึงได้มาเปิดหัวใจออกให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ใครไม่เคยฟังก็ฟัง
เรื่องที่จะมาหาเรื่องราวว่าเราโอ้เราอวด อย่านะมันจะเผาหัวใจเจ้าของ เราไม่มีอะไรจะโอ้จะอวด มีแต่ความเมตตาล้วนๆ สอนโลก ไม่ว่าหนักว่าเบามีแต่ธรรมออกทั้งนั้น กิเลสออกไม่มีเลย พูดนี้เป็นฟืนเป็นไฟไป ถ้าโลกเขาก็เรียกว่ากิเลสเป็นไฟออกมาแหละ ถ้าเรื่องธรรม ใจที่บริสุทธิ์แล้วไม่มี มีแต่พลังของธรรมพุ่งๆ ออกเลย นั่นพากันจำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้พอหอมปากหอมคอ ไม่เอามาก
พอพูดถึงว่าธรรมที่เป็นความจำนี้ สมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถ (มหาสนั่น) ๙ ประโยคนะนั่น คุ้นกัน ท่านเมตตาเรามากทีเดียว เจอเราทีไร แหมท่านตื่นเต้นจริงๆ นะ ดูลักษณะก็รู้ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ท่านเมตตาเรามาก พอเห็นเข้าไปในวัด โอ๋ มาแล้วเหรอๆ มาทีไรได้ข้อคิดทุกที แปลกอยู่ ท่านพูดว่า เศรษฐีธรรมมาแล้วๆ ต่อจากนั้นก็ว่า เศรษฐีธรรมนับวันจะน้อยลงๆ เศรษฐีเงินนี้นับวันจะมากขึ้นๆ พูดถึงเรื่องพระ เข้าใจไหม ท่านว่าอย่างนี้ ท่านตื่นเต้นมาก เฉพาะอย่างยิ่งท่านอยู่ที่ศิริราช หมอวิยะดาไปปฏิบัติอุปัฏฐากท่านอยู่ แล้วก็ไปเยี่ยมเราที่สวนแสงธรรม ก็เลยไปเล่าถึงเรื่องท่านป่วยอยู่ที่ศิริราชให้ฟัง เอ้อ ถ้างั้นวันพรุ่งนี้ก็จะไปกราบเยี่ยมท่าน เราก็ว่างั้น เราไปจริงๆ
พอไป ท่านนอนอยู่นะ ตามธรรมดาต้องพยุงขึ้น ท่านลุกโดยลำพังไม่ได้ ต้องพยุงขึ้น พอเราโผล่เข้าไป ท่านนอนอยู่นั้นปุ๊บปั๊บลุกขึ้นทันทีเลย อู๊ย ท่านตื่นเต้นเอาจริงๆ ลักษณะตื่นเต้น พอตกค่ำมาเลยกลับวัดได้เลย เป็นยังไง ท่านบอกว่าสบายแล้ว นั่นละมันแปลก อันนี้หมอวิยะดาเอาไปพูดวิพากษ์วิจารณ์ เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนั้น ธรรมดาต้องพยุงท่านลุกขึ้นแทบเป็นแทบตาย ท่านอ้วนด้วย ว่างั้น เห็นพระท่านพยุงขึ้น แต่เวลาหลวงตาไป พระเล่าให้ฟัง ว่างั้นนะ หมอวิยะดาไม่ได้เห็นละ พระเล่าให้ฟัง พอมองเห็นเราเท่านั้นปึ๋งเลยทันที เอ๊อ มาเหรอ เลยไม่ได้พยุง ว่างั้น พอค่ำเข้ามาเลยกลับวัดเลย เป็นยังไง สบายแล้ว เอ๊ กำลังใจนี่สำคัญนะ
ทีนี้ก็เข้าไปจุดท่านมาประชุมที่วัดโพธิสมภรณ์ เจ้าคณะต่างๆ มาประชุมที่นั่น ท่านปรารภว่าอยากให้ท่านอาจารย์มหาบัวมานั่งประชุมด้วย เราจะได้ฟังทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ โอ๊ย เคยนิมนต์ท่านมาประชุมไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ท่านไม่เคยมา หือ ท่านไม่มาเหรอ ท่านไม่เคยมานะ ท่านบอกไม่มาเท่านั้นแล้วก็ไม่มาเลย อ๋อ ถ้าอย่างนั้นเราจะหาอุบายไปเยี่ยมท่าน นั่น ผู้ใหญ่หลอกเด็ก เข้าใจไหม ท่านมาเองนะ มาจริงๆ ว่า มาเยี่ยมท่านอาจารย์ ท่านพูดเป็นฐานะสุภาพ พูดแบบพาญาติพาโยมแหละพูดว่าอาจารย์ๆ ท่านแก่กว่าเรา ๖ พรรษา มาก็คุยนั้นคุยนี้ไป ก็อุบายผู้ใหญ่ พอสุดท้ายก็บอกว่า วันนี้มีการประชุมที่วัดโพธิสมภรณ์ ก่อนประชุมนี้เลยถือโอกาสมาเยี่ยมท่านอาจารย์ที่วัดเสียก่อน ว่างั้นนะท่านหาอุบายพูด ความจริงท่านมานิมนต์เราไปนั่นแหละ ท่านหากพูดอย่างนั้น ว่าวันนี้พอมีโอกาสบ้างไหม ถ้ามีโอกาสก็ไปฟังการประชุมของเขาบ้างก็จะดี ไปด้วยกันแหละนะ เราก็ไม่ทราบจะว่ายังไง ตกลงก็เลยไปกับท่าน
พอไปแล้วทีนี้ไปเข้าถึงจุดแหละ ประชุมวงกลมนี้ นั่งประชุม ท่านเป็นประธาน พูดไปเราก็นิ่งตลอดๆ ท่านพูดข้อนั้นข้อนี้เรื่องการประชุม พูดไปถึงเรื่องปริยัติกับปฏิบัติ ท่านพูดถึงตอนนี้มันมาสะดุดกึ๊กเลยทันที อย่างนั้นแหละถ้ามันจะเป็นเป็นเลย มาสะดุดปึ๋งเลยออกทันทีเลย ภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติไม่เหมือนกัน ขึ้นเลยเรานะ ภาคปริยัตินี้ เราเรียนได้เท่าไรก็เป็นไปตามร่องตามรอยๆ ที่เราไม่ได้เรียนก็ไม่รู้ แต่ภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น เหมือนไฟได้เชื้อ ขึ้นเลยเรานะ เชื้อไฟอยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามไปหมด ความจริงอยู่ที่ไหน ธรรมนี้จะลุกลามไปหมด รู้ไปๆ อย่างนั้น ท่านนิ่ง ท่านไม่ตอบอะไรเลย สุดท้ายเราพูดอย่างนั้นไม่มีใครที่จะคัดค้านขึ้นมา ตกลงก็เลยเราเป็นคนพูดผึงผังขึ้นทันที นั่นละถ้ามันมาโดนเป็นอย่างนั้นนะ ท่านก็เลยนิ่งเลย
ท่านก็คงได้คติตอนที่ว่า ความจำนี้มันเป็นร่องเป็นรอยไปตามสายตามทางเท่านั้นเอง แต่ความจริงนี้เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้ออยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามไป ความจริงทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ ธรรมะความรู้ความเห็นของธรรม ความเป็นของธรรมนี้จะลุกลามไปหมด รู้ไปหมดเห็นไปหมด เราว่าอย่างนี้ มันต่างกันนะ ความจริงกับความจำนี้ต่างกันมาก ทีนี้เราก็เรียนอยู่แล้ว ใครก็รู้อยู่แล้ว ถ้าเราหลับตาไปพูดกับท่านก็เป็นอย่างหนึ่ง อันนี้เราก็เป็นมหา ท่านเลยนิ่งเลยนะ รู้สึกว่าท่านจะได้คติทั้งสอง ท่านนิ่งไม่ใช่นิ่งอะไร นิ่งด้วยความได้คติ ไม่ตอบไม่อะไรเลย เป็นที่พอใจอยู่ลึกๆ เวลาบุญวันเกิดนี้ท่านจะเอาเราไปเทศน์แหละ ที่วัดนรนาถ มาเอาหลวงตาไปเทศน์บุญวันเกิดของท่าน เราก็อุตส่าห์ไปให้ทุกทีนั่นแหละ ทีนี้ให้ศีลให้พรละนะ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |