กล้าหาญไปคนละแบบ
วันที่ 5 กันยายน 2545 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

กล้าหาญไปคนละแบบ

เมื่อเช้าก็ลงเดินตั้งแต่เช้าเลยก่อนพระบิณฑบาต ออกจากห้องเข้าเดินจงกรม ฝนตกกั้นร่มเลย กั้นร่มตลอดฝนตกไม่หยุด จนกระทั่งถึงเวลาออกมานี้แล้ว วางร่มแล้วก็ผ่านมาเลย ไม่เดินไม่ได้แข้งขาปวดนั้นปวดนี้ ต้องเดิน เดี๋ยวนี้เอาแน่ไม่ได้ตอนเดินจงกรม มักจะเป็นเรื่องธาตุขันธ์บีบบังคับเสียมากกว่าเรื่องความเพียรจะบีบบังคับนะ แต่ก่อนความเพียรบีบ บังคับท่าไหน ๆ มีแต่ความเพียรบีบเอง ไม่ว่ากลางค่ำกลางคืนดึกดื่น เป็นเรื่องความเพียรบีบให้ทำให้เดินให้อะไร เดี๋ยวนี้การเดินนี้มักจะเป็นเรื่องธาตุขันธ์บีบ เวลาปวดแข้งปวดขา ฝนก็ตก จะทำอะไรก็ไม่สะดวก นอนก็ไม่หลับ มันกวนอยู่นี้ นั่นละบังคับให้ลงเดินนะนั่น

บางทีกลางคืนฝนตกยังลงเดินนะ มันมีบางวันไม่ใช่เป็นประจำ ๆ บางวันกวนจริง ๆ ถ้าไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ อย่างนั้นฝนตกก็ต้องลง กั้นร่มเลย นี่เรียกว่าธาตุขันธ์บังคับ ถ้าความเพียรบังคับมีแต่ต่อยกับความเพียร สะดวกเวลาไหนความเพียรบังคับเองออกเองลงเอง เวลาเราทำความเพียรจริง ๆ เราก็ไม่เห็นกั้นร่มเดินจงกรม ไม่กั้นก็บอกไม่กั้น เวลาทำความเพียรจริง ๆ นี้ถ้าฝนตกมาก ๆ นั่งฟาดมันตลอดรุ่งก็นั่งได้นี่นะ แน่ะมันบังคับกันอยู่ในตัว ความเพียรบังคับ ๆ ฝนตกออกเดินจงกรมไม่ได้ ไม่ได้ก็นั่ง ทะลุไปเลยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ไม่ได้นะ ธาตุขันธ์บังคับต้องเปลี่ยนอิริยาบถให้

ถ้าพูดถึงเรื่องของเรามันเป็นอะไรพูดไม่ถูกนะ พูดอะไรใครไม่ค่อยจะเชื่อแหละ เพราะเขาไม่เคยทำ แต่เรามันทำ นี่ซิความแน่นอนมันอยู่กับเรา เช่นอย่างเดินกลางคืนบุกหาเสือที่มันกลัวมาก ๆ นี้ใครทำ ก็ไม่มีใครทำ ไปเดินจงกรมนี้ไปวาดภาพนะ สัญญามันไปวาด ว่าสองข้างทางมีแต่เสือโคร่งใหญ่ หมอบคอยกินพระขี้ขลาดองค์เดียวนี้ ทีนี้ก็ตัวสั่นละซีมันกลัว ก็เสือไม่ใช่น้อย ๆ หมอบคอยกินพระองค์เดียว เสือจริง ๆ มันไม่มี มันความหลอกเราอย่างนี้แหละ

เหอ เอาละนะ จะให้ตัวไหนกินก่อน กำหนดดูซิตัวไหนใหญ่กว่าเพื่อน คือใหญ่นั่นวาดภาพหลอกเจ้าของ ไม่ใช่เสือนะ ภาพมันหลอก ตัวไหนใหญ่กว่าเพื่อนไปให้ตัวนั้นกินก่อน กำหนดดู กำหนดมันก็หลอกไปเรื่อย ตัวนั้นใหญ่ตัวนี้ใหญ่ มันขบขันดีนะ นี่เรื่องกิเลสสัญญาอารมณ์มันหลอก ทีนี้เรื่องธรรมฟัดกัน เอา กิเลสหลอกธรรมก็หลอก เอ้า ตัวไหนใหญ่ เหมือนหนึ่งว่าเชื่อเสือตัวใหญ่ ๆ คือมันไม่มี ตัวไหนใหญ่ก็ไปตัวนั้น มันแก้กันอยู่ในนั้น บุกเข้าไปเลย อย่างนี้ใครทำ แต่เราทำ เอาจนกล้าหาญชาญชัย ไม่มีอะไรกลัวเลยในโลกนี้ โน่นน่ะกำหนดทั่วไปหมดเลย เวลามันกล้าหาญมันไม่มีอะไรกลัว เสือเดินหย็อก ๆ มาก็จะเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันสบาย ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นไม่กลัวเลย กำหนดดูนี้ ความกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างนั้นนะ

เดินจงกรมไปนี้ว่าตัวนี้ตัวใหญ่ เข้าไปแล้วไม่มี หนึ่งแล้วนะ กำหนดไว้แล้ว หนึ่งแล้วนะโกหกเรา เอาตัวไหนอีก ไป ตัวนั้นอีกไปอีก ไม่มี สองแล้วนะ สามแล้วนะ มันก็จับได้ ๆ ทีนี้ก็บุกเลยเทียว เดินโครมคราม ๆ เข้าป่า เสืออยู่ไหนให้มา นู่นเห็นไหมล่ะ นี่ใครทำ ก็มีแต่เราทำ เราทำเราก็พูดได้จัง ๆ อย่างนี้ ใครเชื่อไม่เชื่อก็ไม่สนใจใช่ไหม ก็เราทำแล้ว ทีนี้มันเป็นสักขีพยานได้ดี ทำคราวนี้ได้ผลอย่างนี้ ถึงขนาดกล้าหาญชาญชัย กำหนดดูอะไรไม่มีกลัวเลย เอ้า เดินกลับมา ไม่ไป ทีนี้กลับมาแล้ว ถ้ายังกลัวอีกเอาอีก มันจะตกบ้านใดเมืองใดก็ช่าง เขาจะว่าบ้าก็ตาม ดัดกิเลสเจ้าของต่างหาก ใครจะว่าบ้าก็ตาม ก็เราไม่ได้เป็นบ้านี่วะ บุกเข้าป่าไปเลย ไม่มีเสือสักตัวเดียว หลอกเจ้าของไป จนเกิดความกล้าหาญชาญชัยแล้วกลับมาเดินจงกรมสง่าผ่าเผย เอา มันหลอกตรงไหนอีก หลอกอีกเอาอีกนะ มันเหมือนบ้าแหละเรา

เป็นอุบายสติปัญญาพลิกเจ้าของนั่นแหละ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ตัวมันหลอกมันลวงคือกิเลส ตัวติดตามกันเรียกว่าธรรมแก้กัน อย่างนี้ใครก็ไม่ทำ เพื่อนฝูงก็ไม่ได้ยินใครเล่าให้ฟัง เราก็ทำอย่างนั้น แต่เรื่องกล้าหาญไปคนละแบบ บางองค์ทางเสือขึ้นลงตรงไหน เช่นท่านอยู่ถ้ำ ทางเสือมันขึ้นมันลง ถ้ำของมันอยู่ข้างบน ถ้ำของคนอยู่ข้างล่าง เป็นเพดานถ้ำ มันก็ขึ้นไปนี้ไปนอนอยู่ถ้ำของมัน รูเท่านี้ แต่ข้างในมันโล่งโถงนะ ช่องเข้ามันเท่านี้แหละ พอถึงปั๊บข้างในนี้โล่งโถง มีงูมีอะไรอยู่ในนั้นนะ ก้อนหินๆ เต็ม มันไปอยู่ที่นั่นเสือ พอตกกลางคืนมันก็ออกมาเที่ยวหากิน ประมาณตี ๓ หรือตี ๔ มันก็มา ท่านก็นั่งอยู่นั่น มันมาได้ยินเสียงเดินสวบ ๆ มา ท่านก็นั่งภาวนา อย่างนี้มีพระท่านทำ บางทีก็ไปนั่งทางมันขึ้นมาเลย อย่างนั้นก็มี แน่ะมันไปคนละแบบนะ

จะว่าท่านกล้าหรือไม่กล้า ทางเสือขึ้นมานี้มันจะขึ้นถ้ำ ไปนั่งอยู่ทางเสือขึ้นเลย แบบนั้นก็มี ถ้ำอยู่นี่นะ เสือขึ้นมานี้ ถ้ากางมุ้งเสือมันมองไม่เห็น เปิดมุ้งออกหมดไม่ต้องกางมุ้ง เสือมามันจะได้เห็น เอา ถ้าไม่เก่งก็ให้มันเอาไปกินเสีย ว่างั้นนะ นั่งภาวนาสบาย เสือมาก็เฉย เสือมามันก็ขึ้นถ้ำมัน เชื่อไหมลูกหลาน นี่ละการปฏิบัติตัวเองเพื่อความเป็นคนดี เป็นยังไงฟังซิ เอาตายเข้าว่าเห็นไหมล่ะ พวกเรามีแต่เหยาะ ๆ แหยะ ๆ มีแต่ให้กิเลสมันลากไปเข็นไปตามสถานที่รื่นเริงบันเทิง ดีดดิ้นทั้งวันทั้งคืน เป็นอย่างนั้นนะกิเลสลากคน ทีนี้ธรรมลากกิเลสลากแบบนี้แหละดูเอา พูดให้ฟังมันไปคนละแบบ ๆ องค์หนึ่งเด็ดไปทางหนึ่ง ๆ ตามนิสัยที่จะฝึกเจ้าของ

เสือไม่ทำนะ มันไม่ได้กลัว กลัวคน เพียงระวัง ๆ มันก็เดินผ่าน คนก็นั่งอยู่เตียง(แคร่) มันก็มาข้าง ๆ แล้วขึ้นนั้น คนก็นั่งอยู่นี้ ท่านไม่ได้เอามุ้งลง ไปก็เห็นท่านนั่งอยู่นั่นจะว่าไง คือถ้าเอามุ้งลงเดี๋ยวเสือจะไม่เห็นว่างั้นนะ ถ้าเอามุ้งลงแล้วมันก็ไม่กลัว มุ้งมันเหมือนกำแพงอันหนึ่ง พอเปิดมุ้งออกแล้วก็โล่ง เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน เอา เสือมากินเลย แต่มันก็ไม่กิน ขึ้นเลย เห็นรอยมันอยู่ บางทีก็ได้ยินเสียงมันเดินสวบ ๆ เข้ามา ท่านก็กำหนด เอ้า เสือมาแล้วนะ ท่านก็เอาอีกเหมือนกัน

พอเสือมาแล้ว เสือมานั้นกำหนดให้เสือโดดมางับคอ เสือไม่ได้มานะ ท่านกำหนดจิตเอาให้เสือมางับคอ พอกำหนดว่าเสือโดดมางับคอปั๊บนี้จิตลงผึงเลย นั่น เห็นไหมล่ะ หายเงียบเลย นั่น องค์เช่นนั้นท่านต้องฝึกแบบนั้น จะได้ประโยชน์ทางใดท่านทำแบบนั้น จนกระทั่งตั้งแต่ตี ๓ เสือเวลามันจะขึ้นมา ตี ๓-๔ มันขึ้นมา นั่นละจิตรวมฟาดตั้ง ๑๐ โมงเช้า มันถึงถอนขึ้นมา ถอนขึ้นมาก็เลยเวล่ำเวลาบิณฑบาตแล้ว ท่านก็ไม่ได้สนใจกับการฉันการบิณฑบาตอะไร พอฉันก็ฉัน พอไปก็ไป พอหยุดก็หยุด เพราะท่านเคยอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นกังวลกับเรื่องอาหารการกิน พอจิตถอนออกมา มองดูตะวันครึ่งฟ้าท่านไม่ไปเสีย ท่านดัดแบบนั้นแล้วดัดแบบนี้ หลายแบบนะ แต่ละองค์ ๆ มีหลายแบบ แต่ที่ท่านทำนี่ท่านได้ผลของท่านนะ ไม่ใช่แบบหัวชนฝาทำ ทำทดลองดูทุกสิ่งทุกอย่าง สติปัญญาอยู่กับตัวนี่ว่าไง

นี่ละการฝึกเพื่อความเป็นคนดี ให้ลูกหลานจำเอาไว้นะ พระที่ท่านมุ่งต่ออรรถต่อธรรม มุ่งต่อมรรคผลนิพพานจริง ๆ มักจะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เอาชีวิตเข้าแลก ๆ เป็นก็เป็นตายก็ตายถึงคราวมอบมอบเลย ท่านไม่ได้ทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ นะ แล้วความดีก็สมเหตุสมผลกัน เหตุท่านเป็นด้วยความเสียสละ ผลก็เป็นที่พอใจเป็นลำดับลำดา เหตุกับผลติดกันไปเรื่อย ๆ เหตุกับผลไม่แยกกัน ถ้าเหตุสมบูรณ์ผลก็สมบูรณ์ตามขั้นตามภูมิ ถ้าเหตุมีแต่ความขี้เกียจขี้คร้าน ผลก็มีแต่ความทุกข์ความลำบาก ความกระวนกระวาย จิตคิดไม่หยุด ท่านทำท่านฝึกหัดจิตของท่านไม่ให้จิตของท่านไม่ให้ดีดให้ดิ้นนะ ให้อยู่ในเงื้อมมือ ๆ นี่การฝึกทรมานท่านเป็นอย่างนั้น คนละแบบๆ

แต่เรารู้สึกจะมีอะไรพิสดารแหวกแนวอยู่บ้างไม่ค่อยจะเหมือนใคร มันเป็นอย่างนั้นนิสัย ก็เป็นนิสัยเจ้าของเอง เช่นอย่างการเที่ยวกรรมฐานนี้ไม่ให้ใครไปเลย แน่ะ เห็นไหมล่ะ พระทั้งหลายท่านมีเพื่อนมีฝูง ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง ท่านไปของท่านเที่ยวกรรมฐาน เรานี้ไม่เลย ตัดขาดหมด ถ้ามีเพื่อนฝูงไป มี ๒ เป็นน้ำไหลบ่าออก หากเป็นความรับผิดชอบกันอย่างลึกลับนั้นแหละ ท่านห่วงเรา เราห่วงท่าน ลึก ๆ นะ ไม่สะดวก ถ้าเป็น ๓ เป็น ๔ โอ๊ย แล้วกันไม่ได้เรื่อง ถ้าไปคนเดียวนี้ก้าวออกปั๊บเป็นเดินจงกรมไปแล้วนะ จะไปหมู่บ้านใด บ้านนี้อยู่ห่างไกลขนาดไหน จากนี้ถึงบ้านนั้นเดินจงกรมตลอด ไม่ยอมให้เผลอ เพราะไม่มีอะไรมาเป็นกังวล เพื่อนฝูงก็ไม่มี เราคนเดียวไปอย่างนั้น แน่ะ มันสะดวกอย่างนี้

เดินจงกรมเดินตั้งแต่นี้ไปหาหมู่บ้านนั้น วันนี้เราเดินทางทั้งวันเราไม่ได้ทำความเพียร ไม่มี เป็นความเพียรตลอด ไปถึงแล้วก็เป็นความเพียร อยู่ก็เป็นความเพียร มีการรักษาเจ้าของตลอดเวลา เพราะฉะนั้นนิสัยนี้จึงไปกับใครไม่ได้ ไม่เอาไม่ไป ถ้าไปคนเดียวแล้วเรียกว่าสละไปพร้อมแล้ว สละทุกอย่างไปพร้อม เป็นก็เป็นตายก็ตายไปเลย อยากกินก็กินไม่อยากกินก็ไม่กิน กี่วันก็ตาม เพราะเป็นนิสัยเจ้าของเอง ถ้ามีเพื่อนมีฝูงติดตาม สมมุติว่าเราอด ท่านก็อดตามท่านก็คงเกรงใจเราบ้าง ท่านอาจจะไม่พอใจอดหรือไม่อยากอด แต่เห็นเราอดท่านก็อด นี่มันก็เกรงใจกัน เป็นห่วงหน้าห่วงหลังอยู่ลึก ๆ นั้นแหละ ทีนี้เมื่อเวลาเราไปแต่เรา อยากกินไม่อยากกินไม่เห็นมีปัญหาอะไร นั่น เป็นอย่างนั้นนะ เรียกว่า ตัดห่วงตัดใยไปหมด เป็นก็ไปเลยตายก็ไปเลย แต่ความเพียรนี้มุ่งเป็นจุดสำคัญนะ เป็นอย่างนั้นการประกอบความพากเพียร

ไปอยู่ไหนก็ต้องเป็นคนคนเดียว ๆ อยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา อะไรมันก็ไม่ยุ่งนะ เวลาจิตหมุนกับอรรถกับธรรมจริง ๆ ต้นไม้ภูเขามันก็ไม่ไปยุ่ง ที่ไหนอะไร ๆ ก็ไม่ยุ่ง ดูตั้งแต่อารมณ์ของจิต ๆ มันแย็บออกทางไหนคิดทางไหน ทางนี้คอยตีคอยต้อนตลอด นั่น ความเพียรท่านเป็นอย่างนั้นนะ ท่านผู้ต้องการทรงมรรคทรงผล หรือว่าท่านผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมานี้ ส่วนมากมีแต่อย่างนั้นนะ เด็ดไปคนละทาง หากเป็นเทคนิคหรือเป็นอุบายวิธีการของแต่ละราย ๆ ที่จะหาอุบายฝึกหัดตนเอง ไม่มีใครสอนนะ มันหากเป็นของมันเอง

นิสัยของเรารู้สึกจะมีแปลก ๆ อยู่บ้าง อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นดูท่านอนุโลม เราก็รู้ท่านอนุโลม เพราะนิสัยเดิมท่านไม่มี ท่านอยู่โดดเดี่ยว ๆ ตลอดเวลา มีแต่โดดเดี่ยว เวลามาอยู่พระจำนวนมาก เวลาท่านสรงน้ำ ก็ไปรุมสรงน้ำ คนนั้นรดคนนี้ถูอะไร ท่านก็เฉย ๆ ท่านไม่ว่าอะไร ทั้ง ๆ ที่นิสัยของท่านอย่างนั้นไม่มี ท่านอนุโลมไปอย่างนั้น อย่างที่ได้เคยพูดให้ฟัง ที่ว่าฟันท่านหลุดนั่นแหละ เราลงไปจากท่าน ท่านนั่งอยู่ข้างบนเรานั่งข้างล่าง ชั้นล่างนี้ ท่านเนตรนั่งอยู่นี้ แล้วบันไดอยู่นี้ พอว่าฟันหลุดเรานึกเป็นฟันจริง ๆ เราก็รีบลงมา ท่านเนตรก็ลงเราก็ลง พอลงไปถึงนั้นจับท่านเนตรไส ท่านเนตรล้ม ล้มเราก็ไปเลย

อย่างนั้นละมันดื้ออย่างนั้นละ เราจะรีบไปเอาฟัน ท่านล้มจริง ๆ นะ ไปจับไสล้มเลย ล้มก็ไปเลยเรา ไปหาสู้ท่านไม่ได้ท่านเห็นก่อน แน่ะ บาปสู้บุญไม่ได้นะ เราขบขันจะตาย ท่านก็สุขุมดีนะ ท่านเนตรนิสัยท่านสุขุมดีมาก ไอ้เราไปจับหลังท่านไสลงให้ล้มนะ คือเราจะไปก่อน ท่านก็ล้ม ลุกแล้วท่านไปตามหลัง พ่อแม่ครูจารย์ท่านนั่งอยู่ข้างบนท่านดูอยู่นี่ พอขึ้นมาแล้ว พวกบ้านี่ท่านว่าอย่างนั้น ท่านว่าเท่านั้นแหละยิ้ม ๆ นิดหนึ่ง พวกบ้าคือเห็นเราทำ พวกบ้านี่ท่านว่า นี่ละฟังเอาลูกหลานอุบายวิธีการฝึก เราไม่ได้สอนให้เป็นอย่างนั้น แต่ควรจะได้เล็กได้น้อยมาเป็นเครื่องระลึกเพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมแก่ตัวเอง ไม่ได้ถึงแบบท่านละ ไม่ได้ทุกกระเบียดก็ตาม ขอให้ได้แบบลูกศิษย์ที่มีครู ยึดเอาหลักเอาเกณฑ์จากท่าน ส่วนไหนที่พอเหมาะพอดีกับนิสัยของเราให้ฝึกเจ้าของ ถ้าจะปล่อยตามอารมณ์ของใจนี้เตลิดเปิดเปิงวันยังค่ำคืนยังรุ่ง

กิเลสไม่เคยมีวัยนะ ไม่เคยมีคำว่าตาย ถ้าธรรมไม่สังหารมันไม่ตาย เช่น พระอรหันต์กิเลสตาย นอกนั้นไม่ตาย กิเลสตายคือพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า แต่จิตไม่ตาย ถ้าหากว่าไม่มีอะไรชำระ กิเลสตัวนี้จะไม่ตายติดกันไปกับจิต กี่กัปกี่กัลป์ก็เกิดตาย ๆ แบกหามกองทุกข์อยู่ตลอดเวลา นี่คือกิเลสติดอยู่กับใจ เมื่อกิเลสสิ้นลงไปแล้วเรียกว่า กิเลสตายก็ถูก ธรรมไม่ตาย ธรรมก็บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวดีดผึงเลย ธรรมคือจิตดวงนั้นก็ไม่ตายอยู่แล้ว กิเลสไม่ตายเฉพาะที่ไม่มีใครชำระกำจัดมัน ถ้ามีผู้ชำระกำจัดมันเช่น พระอรหันต์ กำจัดมันจนสิ้นซากไปนี้ กิเลสตายจากจิตพระอรหันต์สลายลง ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่มัวหมองมืดตื้อมันหุ้มห่อปิดทองคำทั้งแท่งนี้ไว้ไม่ให้เห็น ไม่มีฉายแสงออกมาได้เลย พอขัดออก ๆ นิสัยออกแล้วค่อยหมดไป อันนี้ก็จางไป ความมืดดำจางไป พออันนี้หมดอันนี้ก็โผล่แล้ว อันนี้แหละหมดที่ว่าตายเราก็ให้ชื่อ ฟังเอาซิ ก็เหมือนเราซักฟอกสิ่งสกปรกนั้นแหละ สิ่งสกปรกมันตายเหรอ หรือไม่ตายก็แล้วแต่ ก็อย่างนั้นแหละ

เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้ากับพุทธศาสนาของเรานี้ เรียกว่าคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดในเรื่องธรรม พร้อมที่จะทรงมรรคทรงผลสำหรับผู้ปฏิบัติตามแถวทางที่สอนไว้แล้วนั้น เมื่อไม่มีผู้ปฏิบัติมีแต่ให้กิเลสมันออกเพ่นพ่าน ๆ แล้วเพ่นพ่านไม่ไปกับมันนะ มาเหยียบมรรคเหยียบผล ว่าหมดว่าสิ้นว่าไม่มีไปหมด มันเพ่นพ่านแล้วมันมาเหยียบธรรม ทีนี้โลกทั้งหลายก็เลยเห็นว่าธรรมไม่เป็นของจำเป็น นี่กิเลสหลอกนะ ไม่ให้เป็นของจำเป็น ในขณะเดียวกันก็คือจำเป็นแต่กิเลสเท่านั้นว่างั้นเถอะ ความโลภเกิดขึ้นมามากน้อยจำเป็นเต็มตัว ความโกรธเกิดขึ้นมามากน้อยจำเป็นเต็มตัว ราคะตัณหาเกิดขึ้นมามากน้อยจำเป็นเสมอกันหมด อันนี้มีแต่ของจำเป็น ๆ ส่วนธรรมะที่จะนำมาแก้เรานี้ไม่จำเป็นคือไม่สนใจ มันก็ไม่ได้แก้ซิ เมื่อไม่แก้แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ตามบีบบังคับอยู่ตลอดเวลา ไปโลกไหน ๆ มีแต่ความทุกข์ก็เพราะอันนี้เป็นผู้บีบบังคับ ชำระอันนี้อยู่ที่ไหนโลกไหนท่านไม่ได้ถามหานะ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน ท่านไม่ได้ถามหาโลกไหน ท่านพออยู่กับหัวใจหมดแล้ว อยู่ที่ใจอันเดียว

ดินฟ้าอากาศกว้างแคบขนาดไหนไม่มีความหมายนะ มีความหมายอยู่กับจิต จิตสิ้นเหตุปัจจัยทั้งหลายที่จะมาสร้างความหมายอันนี้ขึ้นมาแล้วจิตก็หมด เรียกว่าหมดเหตุกับหมดผล ไม่สืบไม่ต่อ โน่นรถตู้ ๖ คัน มีรถตำรวจนำด้วย ลองอ่านดูซิเขาเขียนว่าอะไร

โยม : พวกนักเรียนอนุบาลครับผม

หลวงตา : มาจากไหน นั่นซิ

โยม : จากโรงเรียนอนุบาลอุดรธานี

หลวงตา : นั่นซิ เห็นเอารถนำมา มันอนุบาลยังไง เรามันปู่อนุบาลไม่เห็นมีรถนำ เหอ ๆ พวกนี้มันเก่งมาจากไหนนี่ อนุบาลตัวเท่ากำปั้น มีรถนำ เราปู่อนุบาลไม่เห็นมีรถนำวะ โน้นนะ เป็นสายมา เป็นยังไงคอยดู พูดยังไม่ได้เรื่องอะไรพวกอนุบาลมาแล้ว ปู่อนุบาลเลยหยุดเทศน์ เอ้ามีอะไรว่ามา

โยม : โรงเรียนสายอนุบาลเจ้าค่ะหลวงตา เรียนเรื่องหน่วยการเรียนเรื่องหลวงตามหาบัว ให้นักเรียนได้รู้จักหลวงตามหาบัว เห็นแต่ในทีวีอยากดูตัวจริงค่ะ

หลวงตา : เมื่อวานนี้ได้ดูหรือเปล่า ตอนบ่าย ๒ โมงครึ่ง ได้ดูเป็นยังไง

โยม : ยอดเยี่ยมเลยค่ะ ประทับใจ

หลวงตา : ไม่เตรียมเผ่นหรือ กลัว

โยม : ตอบอย่างประทับใจเลยค่ะ เวลาใครถามมา

หลวงตา : ให้เขาได้ออกได้เห็นทั่วประเทศไทย ว่ากิริยาอย่างนี้ไม่มีในเมืองไทยเรา สำหรับทางศาสนา เข้าใจไหม เกี่ยวกับพระเจ้าพระสงฆ์จะไม่มีใครแสดงอย่างนี้เลย เพราะเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องแสลงตามาก สำหรับตาของกิเลส แต่ถ้ากิเลสทำการผาดโผนโจนทะยานนี้เอาโลกพินาศก็ได้ ไม่มีใครแปลกประหลาดในจิตใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องธรรมแสดงอย่างนี้แล้ว จะยุ่งกันทั้งประเทศ เข้าใจไหม นี่ละแสดงเรื่องธรรม โลกไม่เคยเห็นธรรมออกแสดงตัว มีแต่กิเลสออกแสดงตัว เช่นอย่างที่หลวงตาออกแสดงเมื่อวานนี้ โลกทั้งโลกเขาถือว่าเป็นกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าลงแสดงขนาดนี้แล้วโลกพินาศฉิบหายไปหมดไม่มีชิ้นเหลือ แต่การแสดงออกเมื่อวานนี้เป็นการแสดงออกทางด้านธรรม

เพราะฉะนั้นการแสดงนี้จะผาดโผนโจนทะยานเท่าไรก็ตาม จึงเป็นเหมือนกับเอาน้ำดับไฟเทลงจ้าก ๆ ตรงไหนมันสกปรกโสมมที่ไหน เป็นไฟไหม้ที่ตรงไหนน้ำดับไฟคือธรรมนี้แหละสาดจ้าก ๆ ลงไป นี่ละกิริยาที่แสดงนี้น้ำหนักของธรรมให้เข้ากันได้กับน้ำหนักของกิเลส กิเลสมีน้ำหนักมาตลอด ธรรมไม่เคยมีใครแสดงน้ำหนักออกมา เพื่อการคัดค้านต้านทานกับกิเลสพอให้โลกได้เห็นบ้าง แล้วเมื่อวานนี้หลวงตาจึงได้เอาออกนะ หลวงตาจึงเอาออกเมื่อวาน เป็นภาษาเป็นกิริยาของธรรมล้วน ๆ เราก็ได้บอกไว้แล้ว ตอนต้นเขาได้บอกหรือเปล่า ภาษาธรรม มีไหมในนั้น

โยม : ไม่ได้บอกครับ ออกเนื้อเรื่องมาเลย

หลวงตา : ที่ถูกควรจะออกว่าเป็นภาษาธรรม ใส่ประกาศป้างไว้ข้างบนแล้วทีนี้ก็ว่าไปเลย ภาษาธรรมแสดงยังไงดังท่านทั้งหลายจะได้เห็น ความหมายก็ว่างั้น ทีนี้เมื่อเวลาภาษาธรรมแสดงออก ก็อย่างพี่น้องทั้งหลายเห็นเมื่อวานนี้ ได้เห็นในทีวี ธรรมประเภทนี้ไม่มีใครนำมาออก ทั่วแดนไทยไม่มี พึ่งจะมีหลวงตาบัวองค์เดียวนี้ออกมาให้ท่านทั้งหลายได้เห็น ด้วยความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ด้วยความเหมือนหนึ่งว่ากริ้วโกรธสุดยอด แต่ความจริงไม่มีอะไร เข้าใจเหรอ ก็ดูเอาซิ เวลาพูดด้วยเต็มยันแล้วยังมียิ้มสบายเลย เห็นไหมล่ะ นั่น ก็มันไม่มีอะไรในใจ มีแต่พลังของธรรม ๆ ตอบให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยของเหตุที่ถามมายังไง ๆ ธรรมตอบฝ่ายเหตุ ทางนี้ก็รับกัน ๆ เท่านั้น ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอา แล้วต่อไปนี้ถ้ามีอะไรมาเกี่ยวข้องเรื่อยจะเห็นเรื่อย ๆ นะ เพราะอันนี้มีอยู่นานแล้ว ไม่มีอยู่เฉพาะเมื่อเอาออกทีวีนะ มีมานานแล้ว ก็เราเคยประกาศแล้ว ได้ ๕๔ ปีนี้แล้ว เข้าใจเหรอ พึ่งมาออกนี้ให้เห็น แล้วหากว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเรื่อย ๆ ที่จะให้ออกนี้จะออกเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดความสามารถ คือธาตุขันธ์หมดกำลังแล้วออกไม่ได้ ธรรมจะมีมากขนาดไหนก็หมดเพราะไม่มีเครื่องมือแสดงออก

โยม : หลวงตาครับ หลาน ๆ ขออนุญาตถ่ายรูปด้วย

หลวงตา : เออ ถ่ายก็ถ่ายเสีย ฟัง ๆ ๆ ลูกหลานฟัง ลูกหลานอยากขอถ่ายรูปหลวงตา เวลานี้หลวงตาอนุญาตให้ลูกให้หลานหมด แม้ลูกหลานจะไปเอาโคตรเอาแซ่มาถ่ายหลวงตาก็ไม่ว่า มันต้องอย่างนั้นซิ เข้าใจไหม ไป ใครมีโคตรมีแซ่ ไปจูงหมูจูงหมามา วันนี้หลวงตาจะให้ถ่ายภาพ หมู หมา เป็ด ไก่ ไปจูงมันมาถ่ายภาพ

โยม : ฟัง ๆ กราบขอบพระคุณหลวงตาพร้อม ๆ กัน (เสียงเด็ก ขอบพระคุณครับหลวงตา )

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก