เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พูดด้วยความสงสาร
วัดนี้มุ่งอรรถมุ่งธรรมล้วนๆ ไม่ได้มุ่งอะไรว่างั้นเลย มุ่งธรรมล้วนๆ พระที่มานี่มีหลายขั้นหลายภูมิ ทั้งเมืองนอกทั้งเมืองไทย เมืองไทยทุกภาคอยู่นี้หมด และเมืองนอกก็ไม่รู้กี่ประเทศ เรารับไว้พอประมาณเมืองนอกนะ เพราะพระไทยเราทั่วประเทศมีหัวใจด้วยกัน เราก็ต้องให้หนักทางพระไทยเราไว้ ทีนี้ทางเมืองนอกก็แยกรับเอาพอสมควรๆ จึงมีอยู่นี่ทั่วๆ ไปหมด สรุปความแล้วว่า ท่านมาเพื่อธรรม ไม่ว่าภาคไหนๆ ในเมืองไทย ไม่ว่าประเทศไหนในเมืองนอก มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม ถ้าว่ามีความเคารพนับถือหรือร่ำลือก็ร่ำลือเรื่องอรรถเรื่องธรรม เคารพนับถือด้วยอรรถด้วยธรรม
ท่านเหล่านี้ไม่ได้มาด้วยเงินด้วยทอง ด้วยอามิสต่างๆ เรียกว่าโลกามิส ท่านไม่ได้มาอย่างงั้น เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นใจท่าน รับไว้ทุกแห่งทุกหนท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรม วัดนี้จึงมีแต่การปฏิบัติล้วนๆ แม้เราจะออกช่วยโลกดังที่เห็นอยู่ชัดเจนทั่วประเทศไทยเรานี้ก็ตาม แต่การปฏิบัติของพระเข้มงวดกวดขันตามเดิม ไม่มีลดละแม้แต่น้อยเลย นั่นเขตติดไว้ ห้ามเข้าๆ ข้างในมีแต่สถานที่พระบำเพ็ญภาวนา จึงไม่ยอมให้ใครเข้าไป นอกจากคนใช้ของพระเป็นรายบุคคลผู้ชายจะเข้าไปตามความจำเป็นๆ นอกจากนั้นสาธารณชนไม่ให้เข้าเลย เรียกว่าสกัดไว้ไม่ให้เข้า ตลอดมาอย่างนี้
การประพฤติปฏิบัติเรื่องบำเพ็ญภาวนานี้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับพระเรา ในวัดนี้ให้เป็นอย่างนั้นตลอดมา ท่านมามุ่งอรรถมุ่งธรรม เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงขอความเห็นใจจากบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งชาวอุดรเรา ไม่ขอรับนิมนต์ให้ไปฉันในที่ต่างๆ จะผิดเจตนาของท่านเหล่านั้นที่มุ่งอรรถมุ่งธรรม แล้วมาหาเรา เพราะฉะนั้นเราจึงสงวนพระวัดนี้ไม่ให้ไปฉันที่วัดไหนๆ เลยนะ บ้านไหนเรือนใดไม่ให้ไป นอกจากมีความจำเป็นจริงๆ เราไม่ได้ปิดตายนะ มีข้อแม้เอาไว้ ถ้าจำเป็นจริงๆ เราจะเป็นผู้จัดให้เอง บางทีจัดให้หมดเลย วัดนี้จัดให้หมดในบ้านนี้เลย อย่างนั้นก็มี แต่เป็นจุดสำคัญนะที่ควรจะทำอย่างนั้น ถ้าทั่วๆ ไปเราไม่ให้
นี่เราก็ขอความเห็นใจไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้เราไม่ให้พระไปฉันที่ไหนเลย มันจะเสียเวล่ำเวลาความพากความเพียร กลายเป็นโลกามิส เป็นสมบัติเงินทองข้าวของ มาเลยแทนที่จะมานับอรรถนับธรรม นับศีล นับสมาธิ นับปัญญา วิชชาวิมุตติของตัวเองภายในจิตใจจากความเพียร เลยจะไม่ได้นับ ไปบ้านนั้นมาแล้ว ไปบ้านนั้นมาแล้ว เขาถวายอะไรบ้างมีหนึ่งบาท สองบาท สามบาท เลยมานับแต่เงินแต่ทอง ไม่ได้เรื่อง โลกกับธรรมไม่ผิดกัน พระกับโยมไม่ผิดกัน วัดกับบ้านก็ไม่ผิดกัน เข้าใจไหม นี่เพื่อแยกให้มันผิดกัน ให้ท่านทั้งหลายดูเอา
คนมาโกโรโกโสนี้ไม่มีใครกล้าพูดละในวัดนี้ นอกจากหลวงตาองค์เดียว หลวงตานี้พูดหมดในสามแดนโลกธาตุจะไม่มีกลัวไม่มีกล้ากับอะไร นอกจากธรรมล้วนๆ เหนือโลกไปหมดแล้ว เอาธรรมเหนือโลกมาสอนโลกสกปรกเข้าใจไหม บางทีแต่งเนื้อแต่งตัวมาดูแล้วดูไม่ได้ เขาก็มาของเขาตามภาษาของเขา เขาเคยของเขาอย่างงั้น เขาไม่รู้เรื่องว่าธรรมเป็นยังไง โลกเป็นยังไง แล้วมาเวลาเราไปเจอเข้ามันดูไม่ได้ ก็ชี้เอาเลยละ นี่แต่งตัวเหมือนหมา เอาเลยนะ นี่ละธรรม
การพูดอย่างนี้เสียหายเหรอ เขาแต่งตัวเหมือนหมามาก่อนเราพูดแล้ว ว่าแต่งตัวเหมือนหมา นี่เขาทำก่อนเราแล้ว เราสอนเรื่องนี้มันใช้ไม่ได้สำหรับมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งผู้มีศีลธรรม แล้วยังก้าวเข้ามาวัดมาแต่งตัวอวดธรรมทำไม สกปรกโสโครก นี่พวกส้วมพวกถานกับทองคำทั้งแท่งมันเข้ากันได้ไหม เอาทองคำมาตีหน้าผากมัน นี่แต่งตัวเหมือนหมาเราก็บอกงั้น อย่าเข้ามาวัดนี้อีกนะถ้ายังฝืนแต่งตัวอย่างงี้อีก เอาจริงๆ นะเรา
เราไม่เห็นสิ่งใดเลิศเลอยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม ที่ประกาศกังวานอยู่ในหัวใจมาได้ ๕๔ ปีนี้แล้ว เราจึงไม่เคยสะทกสะท้าน ใครจะว่าเราพูดโอ้พูดอวดอะไรเราไม่เคยสนใจกับกองมูตรกองคูถ กองส้วมกองถานที่มันเห่าว้อกๆ เหมือนหมาเห่าส้วม แล้วก็ไปกินส้วมของเก่านั้นแหละ เหมือนหมาเห่าฟ้า ฟ้าอยู่ที่ไหนเห่าว้อกๆ นี้ธรรมของเลิศเลอขนาดไหนเหนือหมดแล้ว แล้วจะไปสนใจอะไรกับส้วมกับถานอย่างนี้ ซึ่งเป็นของต่ำทราม ก็ต้องเอาธรรมที่เป็นของเลิศเลอ และสัตว์ทั้งหลายประสงค์มุ่งหวังอยู่อย่างแรงกล้าแล้วก็มี มุ่งหวังธรรมดาก็มี นั้นมาสอนโลกต่างหาก เราไม่ได้เอาส้วมเอาถานมาสอนโลก เหล่านี้มันเต็มอยู่ทุกแห่งทุกหนแล้ว
เมื่อไม่ดีมาเราก็ว่า ไม่ว่าที่ไหนเหมือนกันหมด ถ้ามาเจอเอาอย่างจังๆ ใส่เปรี้ยง เลยละเรา ถ้าอยู่ธรรมดาของเราก็ไม่ว่าอะไร ถ้าเข้ามาจังหวะที่จะเอาแล้วยังไงก็เอาไว้ไม่อยู่ ขนาดที่ว่าแต่งตัวมา นี่มันจะเห็นหีอยู่นี่ว่างั้นนะ อ้าวก็มันจริงๆ จะว่าไง เราพูดจริงๆ ที่ว่าแต่งตัวเหมือนหมา มันนุ่งล่อนจ้อนเข้ามานี่ ถ้าเป็นกางเกงรัดก็ยังค่อยยังชั่วจะไม่เห็นหีเวลามันนั่งลง นี่มันนั่งลงเห็นหีเลย นี่มันจะเห็นหีอยู่นี่ว่างั้น นี่ละธรรม พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสงตามหลักความจริงเรียกว่าธรรม
เรื่องกิเลสมันปลอมแปลง มันเคลือบแฝงไปทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วโลกกิเลสมันก็ชอบกัน ที่จะเข้ามาหาอรรถหาธรรม หาน้ำหาท่าที่ไหนชะล้างมันไม่อยากเข้า พวกขี้เรื้อน พวกหมาขี้เรื้อน พวกไหนก็ตามมันเป็นอย่างนั้นว่าด้วยกันหมด เราเป็นเราก็ว่าเราได้เข้าใจไหมล่ะ มันไม่ใช่ของดี ถ้ามีแต่สิ่งเหล่านี้โลกนี้เป็นไฟกันทั้งหมดเลยนะ ถ้าไม่มีน้ำดับไฟโลกนี้พินาศไปหมด นี้ยังมีธรรมสำหรับชะล้างสิ่งสกปรกโสมม ไม่ดีไม่งามยังไงตักเตือน ควรดุดุ ควรเด็ดเด็ด ควรด่าด่า แล้วแต่แง่หนักเบาที่ควรจะออกชะล้างกัน เข้าใจไหมล่ะ
เราพูดอย่างงี้เราไม่มีอะไรกับโลก เราพูดด้วยความสงสารทั้งนั้น เราไม่ได้พูดด้วยความที่ว่ามีความโมโหโทโส ไม่พอใจเขาในจิตใจของเรา เราไม่มีกิเลสประเภทไหนก็ตามในหัวใจเรา ไม่มีเราบอกไม่มี ไม่มีมาได้ ๕๔-๕๕ ปีนี้แล้ว ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้ว โลกอันนี้มันจ้าหมด พูดให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอพอท้าทายกับกิเลสสกปรกนี้ได้ไหม หรือจะมีแต่กิเลสท้าทายธรรมนั่นเหรอ ถ้าพูดอรรถพูดธรรมแล้วหาว่าท่านโอ้ท่านอวด นี่กิเลสท้าทายธรรม โจมตีธรรม ธรรมฟาดหัวกิเลสบ้างไม่ได้หรือ ก็ต้องฟาดบ้างซี
ให้พากันเข้าใจนะลูกหลาน ทุกสิ่งทุกอย่างให้มีขนบประเพณีอันดีงามประจำชาติไทยของเรา เวลานี้เลอะเทอะไปหมดชาติไทยของเรา เหลวแหลก ไม่มีหลักยึดเลย ขนบประเพณีปู่ ย่า ตา ยาย เคยพาดำเนินมายังไง การนุ่งห่มเป็นยังไง ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยายของเรา มองดูแล้วน่าเคารพเลื่อมใสสวยงาม ทุกวันนี้มันเป็นยังไง มันคละเคล้ากันไปหมด เพราะศีลธรรมไม่มี จิตใจลอยไปหมด ทั้งเขาทั้งเรา ทั่วประเทศไทยของเรา รู้สึกจะเป็นอย่างงั้นเป็นส่วนมากนะ
ทีนี้เวลาแต่งเนื้อแต่งตัวเข้ามามันก็เป็นแบบนั้นละ แบบหัวใจสกปรก เป็นไปด้วยกามราคะ อยากโอ้อยากอวดเขา อวดกามราคะนั่นละจะไปอวดอะไร เห็นกันแล้วเหมือนหมาเจอกัน หมาตัวผู้กับตัวเมียเจอกันหางกระดิกใส่กันแว็บๆ นี้แต่งตัวเจอกันแล้ว หางกระดิกใส่กัน หัวใจกระดิกใส่กันแว็บๆ เดี๋ยวก็ชวนกันเข้าม่านรูดโรงแรมไปละซี มันจะพาไปสวรรค์นิพพานเมื่อไร พาเข้ากองนรก เพราะฉะนั้นธรรมะจึงมีน้ำดับไฟชะล้างกันเรื่อย เตือนกันเรื่อย ไม่งั้นมันจะเลยเถิด
อย่างเมืองไทยของเรานี่การแต่งเนื้อแต่งตัวดูได้เมื่อไรเวลานี้ มันมองดูหน้าปู่ ย่า ตา ยายที่พาดำเนินมาด้วยความราบรื่นดีงาม มันมองดูเมื่อไร มันไม่ได้ดู มันดูแต่อย่างที่ว่านี้ ทีนี้ธรรมมีอยู่ และโลกนี้ก็เป็นโลกเมืองไทยที่ถือพุทธศาสนา ธรรมมีอยู่ พุทธศาสนามีอยู่ ผู้ต้องการอรรถธรรมมีอยู่ก็ต้องสอนกันอย่างนี้ ถ้าหากว่ามันเป็นแบบหมาจริงๆ แล้วสอนมันอะไรหมา ไอ้ปุ๊กกี้อยู่ในวัดนี้ไม่เคยสอนมันละ สอนแต่คน เข้ามานี้สอนแต่คน ไอ้ปุ๊กกี้นี้ไม่ได้สอนมัน ถ้าว่าให้มันก็มีแต่เวลาเปิดประตูนี่นะ เขาออกมาเขาจะเห่าว๊อกแว๊กๆ นี่กูกินข้าวอิ่มแล้ว ไม่งั้นกูจะเอาหมาสองสามตัวมาต้มยำกิน เราว่าไปนั้นเสีย จะว่าสอนเขาหรือไม่สอนก็แล้วแต่ละ มันก็เป็นแบบนั้น
ให้พี่น้องทั้งหลายจำไว้นะ วันนี้พูดอรรถพูดธรรมให้พากันเข้าอกเข้าใจ ธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราประกาศกังวานในหัวใจของเราได้ครอบโลกธาตุ ไม่มีสะท้านหวั่นไหวกับใครเลย เพราะฉะนั้นการพูดการจาจึงเป็นธรรมล้วนๆ ใครจะว่าหนักว่าเบาอะไรเป็นแง่หนักแง่เบาของธรรม เช่นผักเราควรจะซอยก็ซอย ควรจะฟันโป๊กๆ ก็ฟัน ควรจะสับจะยำเหมือนลาบก็เอา อันนี้ธรรมสอนคนก็แบบเดียวกัน ควรจะหนักก็หนัก ควรจะไสไปเลยก็มี ถ้าเรียบร้อยก็ไสไปเลย ล้างไปเลย ถ้ายังมีอะไรเป็นคดเป็นงออยู่ก็ถากหนักมือเหมือนเขาถากไม้ ถ้าเรียบแล้วไม่ต้องถาก ยกขึ้นเป็นบ้านเป็นเรือนแล้วไม่จำเป็นจะต้องแตะ แตะไม่ได้ เสียหมด นั่นเวลาแตะไม่ได้เสียหมดก็มี เวลาทั้งสับทั้งยำฟันโป๊กๆ เสียงสนั่นหวั่นไหวทั่ววัดอย่างนี้เขาก็ทำ แต่เวลาเรียบแล้วไปทำอย่างนั้นไม่ได้
อันนี้คนเวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดี ก็ต้องมีแง่หนักเบา ถากบ้าง ฟันบ้าง ไสบ้าง โป๊กๆ เป๊กๆ เข้าใจไหม บางทีตีป้างๆ ก็มี นี่มันจะเห็นหีอยู่นี่ นั่น เข้าใจไหม ตีแล้วนะนั่น มันคดงอมากก็เอาหนักๆ อย่างนี้ นี่ละธรรมมาสอนคน ท่านทั้งหลายอย่ามาเข้าใจนะว่าหลวงตาว่าดุว่าด่าว่าอะไร เรามีธรรมทั้งนั้น น้ำประเภทไหน สิ่งใดที่สกปรกมากน้อย ควรแก่น้ำประเภทไหนที่จะลงมากน้อยต่างกัน น้ำสำหรับชะล้างต้องลงแบบเดียวกันให้พอเหมาะ นี่การสอนประชาชนด้วยธรรมเหมือนน้ำ ก็สอนมีแง่หนักเบาต่างๆ อย่างนี้เหมือนกัน
อย่างพระที่ท่านมาปฏิบัติเรียบร้อยอยู่นี้ เราไม่เห็นได้ดุท่านนะ อยู่นี้มาจากประเทศไหนๆ ทั่วโลกมานี้ ท่านมีศีลมีธรรม มีกฎมีระเบียบอันเดียวกัน มองท่านเหมือนเรา มองเราเหมือนท่าน ศีลธรรมเป็นระเบียบอันเดียวกัน ดุกันหาอะไร สอนกันหาอะไร ถ้ามันคดมันงอมาก็เอาบ้าง ไม่ใช่ว่าบ้าง ฟาดเบิ้ง อย่างทางโคราชเขาว่าเบิ้ง ใส่ปั๊วะเลยก็มี เอาละวันนี้พอสมควร
โยมชาวอินโดนีเซียถามปัญหาธรรมะ
โยม ช่วงนี้หนูภาวนาไม่เห็นอะไรไม่เจออะไร แล้วก็ไม่มีอะไร แล้วลูกพิจารณาไม่ต้องเห็นอะไรด้วย ไม่ต้องมีอะไรด้วยไม่ต้องได้อะไรด้วยไม่ต้องช่วยอะไรด้วย ถ้าต้องเห็นต้องมีต้องเจอต้องได้ อันนี้แปลว่าเป็นตัณหาค่ะ ตัณหานี้เป็นอัตตา แล้วลูกเข้าใจสิ่งทั้งหมดค่ะ ลูกภาวนาต่อแล้วก็พิจารณาอีกยังไม่เชื่ออะไรอีก ยังไม่เห็นอะไรอีกยังไม่มีอะไรอีกยังไม่ได้อะไรอีก แล้วก็หนูเข้าใจทำไมไม่เห็นทำไมไม่เจอทำไมไม่มีทำไมไม่ได้ แต่ว่าไม่มีตัณหา ตัณหาไม่มี แปลว่าอันนี้ไม่มีอัตตา ไม่มีอัตตาแปลว่าอนัตตา หนูเข้าใจอย่างนี้ไม่รู้ถูกหรือเปล่าคะ แต่ว่าอันนี้ไม่มีตัณหาแล้ว ไม่มีตัณหาแปลว่าไม่มีอัตตา ไม่มีอัตตาแปลว่าอนัตตาอย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ
หลวงตา ที่แยกมาพูดเหล่านี้เป็นแขนงของความจริงนะ การพูดออกมานี้มันอาจผิดพลาดได้บ้าง มันไม่ค่อยตรงกับความจริง เพราะฉะนั้นเพื่อฝากให้เข้าไปรู้ความจริงหายสงสัยนั้น ให้ย้ำกันจนกระทั่งที่ว่าหมดสงสัยแล้วมันจะประกาศขึ้นเอง เอาอย่างนี้นะ เอ้า พิจารณาอย่างนั้นไปก่อนนะ เมื่อมันรู้แล้วมันก็เหมือนเรารับประทาน(อาหาร) รับประทานไปๆ พอมันเริ่มอิ่มมันก็รู้ พออิ่มเต็มที่แล้วพอหมดทั้งหวานทั้งคาวพอหมด อันนี้ก็เหมือนกันเรื่องจิต ถ้ามันพอแล้วเรื่องที่เคยพิจารณาอยู่มันปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงประจักษ์เป็นคนละฝั่งๆ ไปเลย เข้าใจ? เข้าใจนะ
เอ้า ให้พิจารณาอย่างนั้นแหละ เอานี้เป็นงานของเราทำในวันหนึ่งๆ ได้หรือไม่ได้ความรู้ไม่ลดละ ให้มันรู้อยู่ตามสิ่งเหล่านั้นนะ มันเป็นยังไงๆ เมื่อมันสิ้นสุดการที่จะพิจารณาการละการถอน มันรู้เองด้วยกันทุกคนนั่นแหละ สาวกรู้เองหมด นี่เมื่อมันยังไม่ถึงขั้นนั้นให้มันทำงานของมันมันพอของมันมันก็รู้เองนะ เอาอย่างนั้นเสียก่อน ทำงานในวงนี้เพราะวงนี้ไม่เสียหาย ไม่มีอะไรเสียหาย
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|