เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ทองคำเข้าคลังหลวงวาระสุดท้าย
วันนี้บ่าย ๔ โมงไปเทศน์ที่ศรีไทยใหม่ ตอนเช้านี้พระและประชาชนจะมาก เต็มไปหมด ไม่ใช่น้อยๆ นะ ประชาชนจะมาก พระจะมาก เท่าที่ทราบแว่วๆ ดูเหมือนจะประมาณ ๕๐ องค์ (เขานิมนต์ ๕๐๐ องค์ครับ) นู่นน่ะ ๕๐ องค์อะไร ๕๐๐ องค์ เพราะฉะนั้นประชาชนจึงไปเต็มอยู่นั้นตอนเช้าวันนี้ เพราะเสี่ยธนัญชัยนี้เป็นคนที่มีนิสัยกว้างขวางมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องมีเพื่อนฝูงบริษัทบริวารมากมาย เป็นคนใจกว้างใจขวางจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ถึงไหนถึงกัน หมดเป็นหมด ยังเป็นยังไปเลยมาตั้งแต่ดั้งเดิม พระกรรมฐานเรา เฉพาะอย่างยิ่งสายอำเภอบ้านผือ เพราะเถ้าแก่นี้อยู่บ้านผือ แต่สำนักงานมีทั้งอุดร มีทั้งบ้านผือ ปฏิบัติดูแลทั้งนั้น พระมีความขาดแคลนอะไรๆ เข้าถึงเลยๆ ไม่ค่อยพูดมากอะไรแหละ แต่จริงจังมาก จึงแน่ใจว่าคนจะมามากมาย พระตั้งสี่ห้าร้อยเรานึกว่า ๕๐ องค์
ทางกรุงเทพเราก็จะมาอยู่ที่นั่นไม่น้อยนะในงานนั้น บริษัทใหญ่ๆ ก็มีเยอะ เช่น บริษัททีพีไอ เป็นต้น ก็คงจะมาแหละ เพราะเป็นเครือเกี่ยวโยงกันกับเถ้าแก่นี้ รับของมาจากทางโน้นๆ มาทุ่มออกทางนี้ๆ เราไปงานใหญ่ๆ มักจะเจอเสี่ยคนนี้อยู่ทุกงานไปๆ อย่างนั้นนะ เพราะสายการค้าเขาเกี่ยวโยงกัน วันนี้ตอนเช้าก็แน่ใจว่าคนนี้จะเต็มไปหมด พระก็เต็ม วัดเรานี้เราไม่ให้ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดเลยบอกประกาศเลยเชียว เพราะพระที่มาวัดนี้ไม่ใช่ธรรมดา เป็นกรณีพิเศษ มาจากทุกภาค มุ่งมาเพื่ออรรถเพื่อธรรมโดยเฉพาะๆ พวกขั้นเสี่ยใหญ่ๆ ก็มีเยอะงานนี้ พระเหล่านี้มามุ่งอรรถมุ่งธรรม เราจึงคิดใส่แง่อรรถแง่ธรรม สมเจตนาที่ท่านเหล่านั้นอุตส่าห์มา
ด้วยเหตุนี้เราจึงกันอะไรที่จะเป็นเครื่องกังวลวุ่นวาย ตัดทอนเวล่ำเวลาประกอบความพากเพียรลงไป เราตัดออกหมด เพราะฉะนั้นเราจึงประกาศให้ทราบเลย วัดนี้เราไม่ให้พระ หากว่ามีความจำเป็นจริงๆ เราไม่ได้ปิดตายนะ มีความจำเป็นจริงๆ คือมีข้อแม้ ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ที่จะจัดให้ เราให้หมดเลยเทียว ยกให้ไปเลย เอากี่องค์ บอกเลย เราจัดให้เลยไปเลย นั่น แต่นานๆ จะมีอย่างนั้นนะ คือต้องเหตุผลเพียงพอถึงจะรับกันได้ เรามุ่งต่อพระจำนวนมากมาย อยู่นี้มีทุกภาค ประจำตลอด ทุกภาคนี่รู้สึกจะไม่ค่อยขาดแหละ มีประจำอยู่นี้ ส่วนจังหวัดนั้นมีขาด จังหวัดนั้นจังหวัดนี้ที่ต่างๆ มานี่ ส่วนภาค ที่ไกลก็ยังมาทุกภาคอยู่นี้นะ ภาคใต้ ภาคเหนือ นั่นไกล ก็มีอยู่เป็นประจำ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคตะวันออก มาอยู่นี้เป็นประจำ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นใจ ไม่ให้ท่านเหล่านี้เสียเวล่ำเวลา ตามเจตนาที่มุ่งมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม เราจึงสงวนเวล่ำเวลาให้ท่านทำเต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้แต่งานช่วยชาติเราก็ยังไม่กวนท่าน ถ้าหากว่ามีความจำเป็นเราก็รบกวนสักชั่วระยะ จากนั้นก็ปิดเลย ให้ทำความเพียรเป็นประจำ
เรื่องความเพียรทางด้านจิตใจเราไม่ให้ด้อยเลยนะ ถึงจะมีกิจการภายนอกก็ตาม ภายในวัดนี้บำเพ็ญธรรมล้วนๆ สำหรับพระ ให้เป็นประจำเลยไม่ให้ใครไปยุ่ง ผู้ต้องการมรรคผลท่านทำอย่างนั้น ในครั้งพุทธกาลก็หากมีเรื่องนิมนต์ แต่ไม่หรูหรามากมายเหมือนทุกวันนี้ อย่างทุกวันนี้พระตายเลย วันหนึ่งๆ เหลืองอร่ามอยู่ที่ร้านนั้นร้านนี้เต็มไปหมด เมืองไหนก็เหมือนกัน เขาอยู่เมืองไหนจังหวัดไหนเขาก็นิมนต์จังหวัดนั้นไป วันหนึ่งๆ ไม่ขาด ครั้งพุทธกาลก็มี ในตำราก็มี ฉันที่บ้านที่อะไรเขาก็มี
อย่างพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านสงเคราะห์เมตตาเป็นพิเศษ ท่านอุตส่าห์พยายามสงเคราะห์เป็นพิเศษ บ้านนั้นเขาขอนิมนต์ท่านไปฉันเป็นพิเศษ เขาเป็นนายช่างแก้ว นี่ละเป็นเหตุที่ให้เราคิดมากอยู่นะ ท่านอุตส่าห์พยายาม จิตขั้นนั้นไม่ได้วุ่นกับอะไรเลย ทำไมท่านถึงเมตตาอย่างนั้น เราก็เห็นเหตุเห็นผลตามนั้นแหละ ท่านไปฉันในวันนั้น วันที่จะเกิดเหตุนะ เขาเลี้ยงนกกระเรียนไว้ตัวหนึ่งในบ้านของเขา พอดีเสนาบดีเสียด้วยนำแก้วมาให้เจียระไน ทางนี้ก็กำลังทำเนื้อทำอะไรอยู่บนเขียง เขาเอามาให้ไม่รู้จะทำยังไง ปุบปับ ก็คงจะเป็นกันเองละท่าผู้มา ไม่มีอะไรที่จะจับ ตกลงก็เลยเอาแก้วมาให้ในมือเปื้อนๆ เลือดนั่นนะ แกก็เอาแก้วจากมือเขามาวางไว้บนเขียง ลูกร้องไห้อยู่ในเรือน แม่ไม่อยู่ ไปตลาด ดูว่างั้น
ทีนี้พอลูกร้องไห้อยู่ในเรือน พ่อก็ปุบปับไป วางแก้วนี้ไว้บนเขียง แก้วเปื้อนเลือดนี่นะ วางไว้บนเขียง พระอรหันต์ท่านก็นั่งอยู่นั้น นกกระเรียนนี้พอเจ้าของเข้าไปในห้อง มันก็โดดเข้ามาคาบแก้วนี้กลืนเลย นี่มันจะเป็นกรรมอันหนึ่ง ถ้าไม่ใช่กรรมอันหนึ่งก็จะมีข้อแยกแยะกัน แต่นี้คงเป็นกรรมอันหนึ่งนั่นแหละ ท่านก็อุทานในใจ กูตาย เขาจะต้องมาถามท่าน เพราะท่านนั่งอยู่นั้น พอออกมาเขาไม่เห็นแก้ว อ้าว แก้วนี่ไปไหน ท่านไม่ตอบท่านนิ่งอยู่ ว่าใครเอาไปไหน ท่านก็ไม่ตอบ ถ้าจะว่านกกระเรียนก็จะกระเทือนนกกระเรียน ท่านเอาหรือ ท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้เอา พูดได้เท่านั้น เลยโกรธแค้นขึ้นอย่างใหญ่หลวงเลยคนๆ นั้น หมดบุญหมดบาปในเวลานั้นเลยนะ
ทั้งครัวเรือนเรานี้เป็นบ๋อยเขาทั้งครัวเรือนก็ไม่พอกับแก้วดวงนี้ แก้วก้อนนี้ เราต้องจมละตายละว่างั้น ความโมโหโทโสก็สุดขีด ถามท่านๆ ก็ไม่รับ ทางนั้นก็โมโหโทโสขึ้นทันทีเลย ท่านไม่เอาใครจะเอา จะมีใครก็มีแต่ท่านเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงนกเลยนะ ท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้เอา ก็เอาเชือกมามัดคอท่านซี มัดคอท่านก็ยอมให้มัด จนเลือดท่านทะลักออก นี่ละกรรมมันบันดาลนะ มัดคอท่านจนเลือดทะลักออกมาจากปากท่าน ท่านจะตายว่างั้นเถอะ พอดีเลือดตกออกมา นกกระเรียนตัวนั้นเห็นเลือดก็มาโฉบเลือดกลืนกิน คนนั้นก็กำลังโมโหสุดขีด เห็นนกกระเรียนมากลืนกินเลือด จึงเตะนกกระเรียนตกไปโน้น ชักอยู่โน้น เตะอย่างแรงนะ นกกระเรียนตกไปโน้นชักทีเดียว
พอท่านเห็นนกกระเรียนเป็นอย่างนั้น ท่านยังไม่ตายนี่ ท่านก็เลยทำมือ อะไร ให้ละเชือกออกสักหน่อย ละออกอะไรมึงจะตายกับนกกระเรียน เดี๋ยวให้ละเชือกออกเสียก่อน พอละเชือกออกไป ทีนี้อาตมาจะพูด ให้ไปดูนกกระเรียนเสียก่อน ถ้านกกระเรียนยังไม่ตาย ท่านจะยอมตายเลย นี่ไปดูนกกระเรียนตายแล้ว ตายสนิทเลย ก็เตะกลิ้งนั้นกลิ้งนี้มันก็ตายเท่านั้นเอง ท่านดูถนัดชัดเจนว่านกกระเรียนนี้ตายแล้ว เออ ทีนี้อาตมาจะพูดนะ อาตมาไม่ได้เอา นกกระเรียนตัวนี้มันมาโฉบเอาไป นกกระเรียนกิน ว่างั้น มันกลืนแก้วลงไป มันนึกว่าชิ้นเนื้อ ลองผ่าดูซิ พอผ่านกกระเรียน แก้วก็อยู่ในท้องนกกระเรียน ที่นี่ร้องไห้นะ
เอาตอนนี้ก่อนนะ ตอนเมียมา ตอนนั้นกำลังโมโหสุดขีด เมียมาก็บอกเมียว่า แก้วเป็นอย่างนั้นๆ เอามาวางไว้อย่างนั้นๆ แล้วแก้วนี้หายไปบนเขียง คงพระองค์นี้แหละเอา ทางเมียก็ว่า อู๊ย อย่าไปพูดเลยกับพระองค์นี้ ว่างั้นเลยนะ พระองค์นี้นิมนต์ท่านมาฉันได้ ๑๒ ปีนี้แล้วไม่เคยมีความเคลื่อนไหวที่เป็นผลลบแม้แต่นิดหนึ่งเลย เราจะตายก็ให้ยอมตายเถอะ ที่จะว่าพระองค์นี้เอาเป็นไปไม่ได้เลย เราตายไปเลยดีกว่าที่จะว่าพระองค์นี้เอาแก้วของเรา ไปทำลายพระ ทางนี้ก็โมโหสุดขีดไม่ฟังเสียงเมียเลย เข้าไปซุบซิบกันอยู่ในห้อง พอออกมาก็เอาเชือกมามัดคอ เมียก็ร้องไห้อยู่ในเรือน ผัวเอาเชือกมัดคอพระ จนถึงขีดที่เตะนกกระเรียนลงไปตายแล้ว พระก็ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ นกกระเรียนตายแล้วก็หมดปัญหา
ท่านเลยตั้งคำสัตย์ตั้งแต่บัดนั้นมา แล้วสำหรับผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรเลยกับพระองค์นี้นะ เสียอกเสียใจร้องไห้ที่เห็นผัวเอาเชือกมัดคอพระอรหันต์ ทำอะไรไม่ได้ ห้ามอะไรไม่ได้ ทีนี้พอเรื่องผ่านไปแล้ว โยมคนนั้นเห็นชัดเจนแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ ท่านก็กลับไป ตั้งแต่บัดนั้นมาท่านไม่ไปฉันบ้านใดเลย แม้แต่เข้าชายคาบ้านเขาก็ไม่เข้า ถึงขนาดนั้นละ เป็นเหตุนี้เพราะเรานั่นแหละ ท่านว่างั้น ท่านไม่ไปฉันบ้านใดอีกเลย ทีนี้เรื่องไปถึงพระพุทธเจ้า เรื่องราวมันก็ดังขึ้นซิ พระพุทธเจ้าก็แสดงบทธรรมเป็น ๓ ข้อ แต่เราจำไม่ได้นะบาลี จำได้แต่ภาษาที่แปลออกมาแล้วว่า ผู้ทำบาปตายแล้วตกนรก ก็คืออีตาคนนี้เอง ท่านรับสั่งกลางๆ ผู้ไม่ทำบาป ทำแต่บุญกุศล ตายแล้วไปสวรรค์ คือเมียคนนั้น เมียอีตานั้น ผู้สิ้นกิเลสแล้วไปนิพพาน คือพระอรหันต์องค์นี้ ตายแล้วก็เป็นอย่างว่า พระองค์รับสั่งเองนี่ คือนรกรออยู่แล้ว คนนี้ตายก็ลงนรก ผู้หญิงคนนั้นตายไปสวรรค์ ท่านตายแล้วก็ไปนิพพานเลย
การรับนิมนต์นี่เป็นต้นเหตุอันหนึ่งมันน่าคิด เราได้เอามาคิดอยู่ตลอด ท่านระบุ ๓ ข้อ เอา ๓ คนเป็นพยานเลย ผู้ทำบาปก็คือผู้เอาเชือกรัดคอพระตาย ตายแล้วตกนรก ไปตกนรกจริงๆ ผู้ไม่ทำบาปทำแต่บุญกุศลตายแล้วไปสวรรค์ คือเมียของเขา ผู้สิ้นกิเลสก็คือพระอรหันต์ตายแล้วไปนิพพาน ว่างั้น
เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๖ บาท ๖๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๔ ดอลล์ ทองคำเราก็จวนเข้ามาๆ ดอลลาร์ก็จวนเข้ามาเหมือนกัน เร่งเข้ามา ถึงวันนั้นต้องให้ครบเต็มตามจำนวนนี้เลย อย่างไรก็ครบ เพราะชี้ขาดลงไปแล้วต้องเป็นอย่างนั้นเลยเชียว ถ้าไม่ได้ตามที่เราชี้ขาดนั้นคอเราขาดเลย ถึงขนาดนั้นละ แล้วคอเราขาดจะสะเทือนทั่วโลก พี่น้องชาวไทยไม่ยอมให้คอเราขาด ทองคำต้องพอ เพื่อรักษาคอเรา เข้าใจเหรอ เอากันจุดนี้นะ เรายกชาติไทยของเราเพื่อเป็นสง่าราศีให้โลกทั้งหลายได้เห็น เราถึงขนาดตัดคอรองไปเลย ทำไมมันจะขาดไปได้ ว่างั้นนะ ไม่ขาด
ทองคำเป็นคราวที่โด่งดังมากทีเดียว ออกนอกโลก วันนั้นจะออกทุกแบบทุกฉบับ งานก็จะเป็นงานใหญ่โตมากมายทีเดียว งานแห่งความสามารถของพี่น้องชาวไทยที่รักชาติ เสียสละ ออกมาจากตับจากปอดตัวเอง คือสมบัติ ใครมีมากมีน้อยเป็นเจ้าของ มีความรัก มีความหวงแหน เหตุใดจึงสละออกมาได้ เพื่อชาติของตน กระจายออกไป ความดีอันนี้ละกระจายออกไปทั่วโลกเลย วันนั้นทองคำต้องได้ ๑๐ ตัน และดอลลาร์ก็ ๑๐ ล้าน ส่วนเงินสดก็เคยเรียนไว้แล้ว เราไม่อยากนับ คือเงินสดที่จะเข้าเป็นทองคำรู้สึกจะมีความหวังน้อยมาก เพราะคนที่มาติดต่อแทบทุกวันเต็มไปหมด มันไม่หวาดไม่ไหว แล้วจะแยกเงินสดไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวงได้ยังไง ทางโน้นมาทางนี้มา มาอยู่เรื่อยๆ ไม่หยุดไม่ถอย ก็ต้องแยกทางนั้นทางนี้ตามความจำเป็น ถึงว่าเงินสดนี้จะไม่ได้เข้าสู่คลังหลวง
จะได้ขั้นสุดท้าย นี่แน่นอน เงินสดนี้จะได้ซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงแน่นอนคือครั้งสุดท้ายเวลาเผาศพหลวงตาบัว หลวงตาบัวได้เขียนพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว ถูกต้องทุกสิ่งทุกอย่าง นักกฎหมายมาเขียนเลย ว่าเวลาหลวงตาตายนี้ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยที่บรรดาศรัทธาทั้งหลายมาจากทิศต่างๆ มาบำเพ็ญการกุศลเพื่อเผาศพเรานี้ เงินทองที่ได้มามากน้อยนั้น เราตั้งกรรมการไว้ ให้เป็นผู้เก็บรักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ออกไปจ่ายสุรุ่ยสุร่าย จะสร้างอันนั้นหรูๆ หราๆ อย่างศพทั้งหลายเราไม่ให้ทำ ถ้าเผาที่นี่เมรุของเราก็มีอยู่แล้ว จะเผาที่ไหนก็เผาได้ แต่จะเอาเงินนี้ไปทำเราไม่ให้ บอกขาดตัวเลย
เพราะเวลานี้ศพของเราก็ไม่แน่นอน แต่ก่อนแน่นอนที่นี่ ทีนี้พอเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณขึ้นมา เรื่องราวหนาแน่นขึ้นมาเกี่ยวโยงกันกับคนทั้งชาติ ตั้งแต่สูงสุดลงมา ศพนี้ก็เลยไม่แน่นอน ไม่แน่นอนก็ตาม เมื่อไปเผาที่ใดๆ เรื่องพินัยกรรมนี้จะเหนือทุกแห่งเลย อันนี้จะต้องออกไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงในวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของหลวงตาบัว จะเข้าครั้งนี้แหละแน่นอน เงินทองได้เท่าไรๆ เพราะได้ตั้งกรรมการไว้แล้วให้เก็บหอมรอมริบสงวนไม่ให้เอาไปไหนเลย ให้เข้านี่ทั้งนั้นๆ พอเสร็จแล้วก็ยกเงินก้อนนี้ซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเป็นวาระสุดท้าย ไปหายห่วงเลย เราหายห่วง เราห่วงเท่านี้แหละ ห่วงบรรดาพี่น้องทั้งหลาย นอกนั้นเราไม่มี
คิดถึงสามแดนโลกธาตุเราเคยห่วงที่ไหน ไม่มีเลย แม้เม็ดหินเม็ดทราย มาห่วงพี่น้องชาวไทยเรานี่แหละ จึงได้สมบุกสมบันถึงขนาดเอาเป็นเอาตายเข้าว่า คอขาดไม่เสียดายเลย จึงได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า เราสละชีวิตในชีวิตของเรานี่มีอยู่สองครั้งเท่านั้น ส่วนเป็นฆราวาสไม่เคยสละ แต่ส่วนเป็นพระนี้เคยสละแล้ว ฆ่ากิเลส เอ้า กิเลสไม่ตายเราต้องตาย เพราะเรามุ่งเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ถ้ากิเลสไม่ตายเราต้องตาย ฟัดกันถึงขนาดนั้น นี่อันหนึ่ง ก็สมหวังมาแล้ว
จากนี้เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นในใจกลางประเทศไทยของเรา และใจกลางพุทธศาสนาด้วย เราอยู่ใจกลางทั้งชาติทั้งศาสนาด้วย มันก็ต้องเกี่ยวโยงกันโดยตรง นั่นแหละที่นี่ที่ได้ออกโดยไม่คาดไม่หมาย พอร้องโก้กแล้วก็ เอ้า หลวงตาจะช่วยเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นก็เป็น ตายก็ตายซัดกันเลยนะ อย่าถอย มีทางที่จะออกได้ช่องว่างของเล็บเหยี่ยวใหญ่ ออกช่องนี้ๆ ได้ ถ้ากำอย่างนี้หมด ติดหนี้เขาเป็นเท่าไรกี่แสนล้าน มีปัญญามาจากไหน ถ้าเขาจะเอาเดี๋ยวนี้ตายเลยเรา นี่ยังมีช่องว่าง เขายังไม่กำ เอ้า เอาเลย
ตั้งแต่นั้นจึงพากันดิ้นมาสุดขีดสุดแดน นี่ก็เรียกว่าสละชีวิต ไม่ว่าทางไหนจะมาขวางหน้าเป็นไม่ถอยเลย ดังที่ท่านทั้งหลายเห็นนั่นแหละ ไม่มีคำว่าเหยาะๆ แหยะๆ คำว่ากลัวว่ากล้า วิ่งไปวิ่งเข้าสู้วิ่งออกไม่มีเลยเรา มีแต่เข้าพุ่งเลย คอขาดขาดไปเลยตกไปคนละทางเลย แต่ตัวยังไม่ถอยเข้าใจไหม นี่ละเราช่วยพี่น้องทั้งหลายเราช่วยขนาดนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าหนักว่าเบาเรารับทั้งนั้นเลยเชียว รับในนามของชาติของศาสนาไทยของเรา เราจึงเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เห็นผลประจักษ์เป็นที่ภูมิใจพี่น้องทั้งหลายทราบเรื่อยมาดังที่เห็นนี่แหละ
ดอลลาร์และทองคำก็จะเข้าตามจุดหมายนี้ ๑๐ ตันกับ ๑๐ ล้านดอลลาร์ จะเข้าในวันนั้นแน่นอน จากนั้นเราก็เบาใจหายห่วงว่างั้นเลย จะไปเมื่อไรก็ได้ไม่ยาก การตายของเราเราพูดจริงๆ อาจหาญเหมือนกัน เราไม่เคยสะทกสะท้านกับอะไร ใครจะสงสัยหรือไม่สงสัยก็ตาม เราไม่สงสัยเราแต่คนเดียวจากความรู้ของเราเท่านั้นพอ บอกว่าการตายของเราไม่มีอะไรเป็นห่วงเป็นใยเลย ไม่เป็นภาระ การเกิดการตายในหัวใจดวงนี้ไม่มีอะไร ถ้าว่าน้ำหนักก็เท่ากัน เช่นความเป็นอยู่มีน้ำหนักกว่าการตายไม่มี พร้อมแล้วด้วยเหตุผลไปเลย ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่างนี้แหละ บึกบึนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าเมื่อพร้อมแล้วไปแล้วหรือเท่านั้นพอ
เรื่องทุกข์ถึงขั้นตายท่านว่า มรณมฺปิ ทุกฺขํ เรื่องของสัตว์โลกทั่วๆ ไป เวลาจะตายเป็นความทุกข์มาก มรณมฺปิ ทุกฺขํ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ การเกิดมาก็ดิ้นอยู่ในท้องแม่จนไม่มีสติสตัง ตกคลอดออกมาทุกข์หรือไม่ทุกข์ เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าทุกข์มากขนาดไหน แต่โลกก็ชื่นชมในความเกิดของผู้เกิด ความดิ้นตายของผู้เกิดรอดออกมานั้นไม่คิด แน่ะ พระพุทธเจ้าคิดหมด ชราปิ ทุกฺขา ความเฒ่าแก่ชราก็เป็นทุกข์เห็นกันอยู่ชัดเจน เวลาจะตายก็ดีดก็ดิ้นจนกระทั่งไม่มีสติสตังถ้าผู้ไม่มีธรรมในใจ จนกระทั่งตายในเวลานั้น นั่นแหละ มรณมฺปิ ทุกฺขํ เหล่านี้ทั้งหมดที่เคยเป็นภาระที่จิตได้หาบหามมาแต่ก่อน บัดนี้ไม่มีเราบอกตรงๆ
เรื่องการตายการอะไรก็เหมือนได้เวลาแล้วหรือเท่านั้น เหมือนรถไฟจะออกว่างั้น ได้เวลาแล้วหรือ ปุ๊บ เคลื่อนไปเลย การเจ็บการป่วยที่ว่า มรณมฺปิ ทุกฺขํ มันเป็นอยู่ในขันธ์ต่างหาก ขันธ์จะตายขันธ์ดีดขันธ์ดิ้น จิตไม่ดีดไม่ดิ้นอยู่นอกขันธ์ดูขันธ์ เหมือนไฟไหม้กอไผ่ กอไผ่นี้เชื้อไฟมีมากขนาดไหน ไฟจะแสดงเปลวเต็มเหนี่ยวๆ ระเบิดตูมตามๆ ในกอไผ่ แต่คนอยู่ข้างนอกกอไผ่ไม่เห็นมีอะไร ไฟก็ดีกอไผ่ก็ดีเขาไม่มีความหมายของกันและกัน ไม่รู้กัน ไฟจะลุกแสดงเปลวจรดเมฆ ไฟก็ไม่รู้ความหมายของตนเอง กอไผ่กอนั้นเสียงระเบิดปึงปังๆ ก็ไม่รู้ความหมายของตนเอง ผู้รู้ความหมายคือผู้อยู่นอกกองไฟ เข้าใจไหม
เรื่องขันธ์เขาบีบบี้สีไฟกันเป็นวาระสุดท้ายที่จะตาย เข้าใจไหม ความทุกขเวทนาซึ่งเป็นเหมือนไฟ และกอไผ่เป็นเหมือนรูปธรรมเรา รูปขันธ์เรา เวทนาขันธ์คือทุกขเวทนาขันธ์มันดีดมันดิ้นของมันอยู่ในนั้น นี่เผากันอยู่ในนั้น จิตที่ไม่อยู่ในนั้น จิตออกนอกจากสมมุติคือขันธ์นี้แล้ว จิตก็อยู่ข้างนอก หมดสภาพแล้ว กอไผ่กอนั้นหมดสภาพไฟก็ดับเอง ไม่มีอะไรจะเผาไหม้กันแล้ว แล้วต่างอันต่างดับ แต่ต่างอันต่างไม่รู้จักความหมายของกันและกันและของตัวเองด้วย อันนี้ธาตุขันธ์ก็ดับไม่รู้ความหมายของตัวเอง ทุกข์ขนาดไหนก็ไม่รู้ความหมายของตัวเอง ขันธ์ทั้งหลายก็ไม่รู้ความหมายของตัวเอง ผู้รู้ความหมายคือใจ ไม่หลงแล้ว ไม่ไปตื่นแล้วไม่ร้อนด้วยทุกขเวทนามันเผาขันธ์ ดีดผึงเลยนั่น เข้าใจหรือ
ฟังให้ชัด นี่ภาคปฏิบัติ เราถอดออกมาจากหัวใจมาพูด แต่ก่อนมันกลัวเหมือนกันกลัวความเป็นความตาย กลัวมากๆ คิดถึงความตายนี้ อู๋ย ห่อเหี่ยวในจิตใจ ต้องหาเรื่องอื่นมาคิดกลบ แล้วหาเรื่องเพลิดเรื่องเพลินมาดึงมันไปพอผ่านเวลาเท่านั้น ไม่ได้ทุกข์มาก ทีนี้เวลาปฏิบัติไปๆ ความกล้าหาญชาญชัยในความดีทั้งหลายหนักเข้า ความกล้าหาญชาญชัยต่อความตายหนักเข้าๆ ฟัดทีนี้ความตายกับความเป็นอยู่มีน้ำหนักเท่ากัน นั่น ไม่มีอะไรได้เสีย เกิดตายเขาก็ไม่ได้เสีย เราผู้รู้ความเกิดตายเราก็ไม่มีได้มีเสียกับเขา ต่างอันต่างไป นั่น
นี่แหละการบำเพ็ญความดีเห็นประจักษ์ ใครจะว่าหลวงตาบัวโอ้อวดโกหกมดเท็จ เอ้า ว่าไป หลวงตาบัวไม่เคยโกหกใครมาตั้งแต่ปฏิบัติ ตัวเองก็ไม่เคยโกหกตัวเอง วันไหนที่แพ้กับภาวนา เราจะอยากทำอย่างนั้นให้ได้ ถ้าวันนั้นแพ้แล้วเอาละนะ เหมือนว่านอนไม่หลับต้องฟัดกันให้ได้คะแนนกลับคืนมาเสียก่อนถึงจะหลับได้ นี่โกหกเจ้าของได้ยังไง ฟังซิน่ะ แล้วเวลาปฏิบัติก็ฟัดเสียจนกระทั่งถึงได้ขั้นที่ได้มาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ได้มาด้วยการจริงจัง ไม่ได้มีโกหกหลอกลวงตนเองนะ เวลาได้มาแล้วก็พูดตามความจริงจังที่ปรากฏผลขึ้นมามากน้อย จนกระทั่งสุดขีดก็บอกสุดขีด เราหมดความหมายโดยประการทั้งปวงกับสามโลกธาตุนี้เราไม่มีอะไร ก็มีตั้งแต่เป็นห่วงเป็นใยพี่น้องทั้งหลายเรานี้ จึงได้บึกได้บืนถึงได้สละชีวิตถึงสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งฆ่ากิเลส ครั้งที่สองฆ่าความจนของชาติไทยเรา นี่แหละก็บึกบึนมาได้ขนาดนี้ จึงได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
นี่ผลแห่งการปฏิบัติจะประจักษ์ในหัวใจ ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้าละนะ พระพุทธเจ้าสอนแล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศตลอดเวลา ผู้ปฏิบัตินั่นแลจะเป็นผู้รู้ผลของตนเอง หนักเบามากน้อยจนกระทั่งถึงที่สุดก็รู้ถึงที่สุด นี่พระศาสดาสอนไว้แล้ว เพราะฉะนั้นพระอรหันต์บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาองค์ใดก็ตาม ไม่เคยไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์สำเร็จแล้วหรือยังไม่มี เพราะ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างแล้ว นี่เป็นพระโอวาทเด็ดขาดของพระพุทธเจ้า เมื่อเข้าถึงจิตดวงใดที่เด็ดขาดแล้วก็หมอบราบต่อพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ
การปฏิบัติธรรม ใจเป็นของสำคัญ ใจนี้ตัวดีดตัวดิ้นตัวไม่ได้หน้าได้หลัง พาเจ้าของให้ได้รับความทุกข์ เพราะใจไม่มีธรรม มีแต่กิเลสลากไปเข็นไปทุกวันทุกคืนจนกระทั่งหลับ ถ้าไม่หลับยังคิดยังดีดยังดิ้นอยู่นะ เอาความหลับมาระงับความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากความคิดดีดดิ้นนั้น นั่น มันก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลาชำระแล้วสิ่งที่พาดีดพาดิ้นไม่ตายมันก็รู้ ไม่ดีดไม่ดิ้น ดิ้นหาอะไรรู้แล้ว มีเกราะมีที่กำบังมีที่ปลอดภัย จนกระทั่งฟาดมันหมดแล้ว มาดิ้นหาอะไร แน่ะ พากันจำเอานะ
นี่ละการปฏิบัติต่อจิตใจของเราซึ่งเวลานี้กำลังมืดกำลังบอด เซ่อซ่าทุกสิ่งทุกอย่างตามกิเลสไม่มีอะไรเกินใจ ทีนี้เวลาฟิตใจขึ้นมาด้วยอรรถด้วยธรรม ความฉลาดไม่มีอะไรเกินหัวใจ กิเลสถูกเหยียบแหลกหมดเลย เอาละเทศน์เท่านั้นพอ
ให้พร อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํฯฯ
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |