ภาคปฏิบัติเป็นภาคฆ่า
วันที่ 12 มีนาคม 2547 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ภาคปฏิบัติเป็นภาคฆ่า

 

         เขาถวายเรานะวัดนาแห้ว พวกนายทหาร พวกประชาชน เขาถวาย นายทหารอยู่ทางโน้น ผู้ใหญ่เขาปกครองดูแลอยู่ทางโน้น ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีวัดมีวา เลยมาติดต่อขอเรา อยากได้พระไปอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมมาก เพราะฉะนั้นเราจึงตั้งใจไปดูจริงๆ ตั้งใจไปดูวัดเลยแหละ ไปดูก็เหมาะสม เลยให้พระไปอยู่ แต่เราไม่ได้บังคับนะ พูดเรื่องราวของวัดนี้ให้พระของเราในวัดนี้ฟัง ชี้แจงเหตุผลต้นปลายของวัดมีอะไรๆ ให้ฟัง พระเราจึงไปดูไปอยู่ ก็เลยอยู่ติดต่อกันมานั้น มัน พ.ศ.เท่าไรน้า น่าจะไม่ต่ำกว่า ๗-๘ ปีละมั้ง พระก็อยู่มาเรื่อยๆ เพราะเป็นที่สงบสงัดดีมากทีเดียว จากนั้นพอเขาถวายที่เรียบร้อยแล้วเราก็ไปดูอีกสองสามครั้ง ที่เป็นวัดแล้วเราไปดูอย่างน้อยสามหน สถานที่เหมาะสมมาก

เขาถวายอีกที่หนึ่งข้างๆ ก็พอดีลูกศิษย์ท่านสีธน วัดถ้ำผาปู่ ไปเที่ยวกรรมฐานแถวนั้น เราเลยบอกเขาให้ติดต่อนิมนต์พระท่านสีธนมาอยู่ที่นั่นเสีย เหมาะด้วยกัน เป็นพระปฏิบัติอยู่ด้วยกันอบอุ่น เราบอกเลย จึงเป็นสองสำนักขึ้นมา คือวัดถ้ำผาปู่ วัดท่านสีธน คือเราบอกญาติโยมเขาให้พระมาอยู่ที่นั่น ลูกศิษย์ท่านสีธนให้อยู่ที่นั่น เป็นอันว่าเรามอบวัดให้เลย เขาจะมาถวายเรา เราบอกให้มอบทางวัดถ้ำผาปู่เสีย ทางโน้นอยู่ทางโน้น ทางนี้อยู่ทางนี้ พอดีแหละไม่ห่างไกลนักทำเล แถวนั้นจึงมีอยู่สองแห่ง แห่งที่ว่าถ้ำผาปู่ไปอยู่นี้เราไม่ได้เข้าไปดูนะ หากเหมาะ เขาชี้แจงเรื่องราวอะไรทุกอย่างเป็นที่หายสงสัย เหมาะสมมาก เราเลยไม่เข้าไปดู เรามอบให้เขานิมนต์พระลูกศิษย์ท่านสีธน หรือท่านสีธนก็ได้ให้มาอยู่ที่นั่นเสีย จากนั้นมาก็เลยไม่ได้เข้าไปอีกนะ เข้าไปดูสถานที่จริงๆ ก็ไม่ได้ไป เป็นแต่ว่าทำเลนั้นมองดูมันเหมาะสมเหมือนกันหมด

๒๘๒ กิโลนะจากนี้ไปวัดนาแห้ว เกือบ ๓๐๐ ทางมันขึ้นลงๆ คดเคี้ยว ตั้งแต่ด่านซ้ายไป ตรงไปนี้ภูเรือ-ด่านซ้ายก็ไม่เท่าไร ทางถึงจะมีคดเคี้ยวบ้างก็เป็นทางบนภูเขา เป็นธรรมดามันต้องมี แต่คดเคี้ยวห่างๆ พอจากด่านซ้ายไปแล้วทีนี้มันคดมันงอ บางแห่งนะไม่ใช่เป็นอย่างนั้นทั่วๆ ไป มันคดมันงอ ลงอย่างนี้ก็มี มีอยู่สองสามแห่ง จากนั้นมันก็คดก็งอของมัน รถต้องรอไปตลอดไม่ได้ไปสะดวก เพราะฉะนั้นทาง ๒๘๒ กิโลเราก็ยอมรับ เพราะมันปีนขึ้นปีนลงอยู่ตลอด มันไม่ตรง อย่างเราไปจังหวัดเลยนี้เพียงแค่สองชั่วโมงไม่ถึงดี ถึงวัดถ้ำผาปู่สองชั่วโมงเราไป เพราะทางไม่คดไม่โค้ง ออกจากนั้นขึ้นภูเรือก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ช้า ไปกลับวัดนาแห้ว ๘ ชั่วโมง เหล่านี้ก็เหมาะสมๆ ทั้งนั้น

ทางภาคอีสานมีภูเขามาก เฉพาะจังหวัดเลยเหมาะ ที่ไหนก็มีทำเลที่ภาวนาทางตอนเหนือนะ แต่ทางตอนใต้ไม่ค่อยมี เช่นอย่างไปทางสารคาม ไปทางร้อยเอ็ด ไปทางนู้นไม่ค่อยมีภูเขา ถ้ามาตอนเหนือนี้มี เหมาะ เราเที่ยวทางโน้นทางนี้มาก หนองคายก็มี นครพนมก็มีทำเลภาวนา อุดรมี จังหวัดเลย เหล่านี้มีทั้งนั้น อุดรก็มีทางด้านตะวันตก อย่างผาแดง ภูสังโฆ ก็เป็นเขตอุดร หรือหนองบัวลำภูก็ไม่รู้นะ นี่มันก็เขตเดียวกัน ถ้าไปทางหนองคาย ก็ดงศรีชมภู มีหลายแห่ง สกลนครก็วัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวัดใหญ่อยู่ ทำเลภาวนาสะดวกๆ ส่วนไปทางตอนใต้ของภาคอีสานไม่ค่อยสะดวกเหมือนทางตอนเหนือนะ

อย่างโคราช ก็ต้องภูเขาทางสะแกราช ไปโน้น ห่างมาก ไปทางเขาใหญ่ไปนู้น ภูเขา ทางร้อยเอ็ด สารคาม ไม่ค่อยมี ทำเลเหมาะๆ ไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานอยู่ที่ไหน จึงมักจะอยู่ตามป่าตามเขา ด้วยเหตุนี้เองที่มีป่าเขามากๆ จึงมักมีกรรมฐานอยู่ทั่วๆ ไป อย่างอุดรก็ไม่น้อยนะ แถวหนองบัวลำภูนั่นเป็นอันเดียวกัน ต่อกันไปเลยพระ เต็มไปหมด ไปหนองคายไปอะไรทำเลภาวนาสะดวก

การบำเพ็ญภาวนาเป็นความสงบใจ ใจสงบไม่ดีดไม่ดิ้นหาเสี้ยนหาหนามก็ชุ่มเย็นเป็นสุข ศาสนามีพุทธศาสนาเท่านั้นชี้นิ้วเลย เราไม่อยากพูดอยากอะไรกับศาสนาใดๆ เพราะเราไม่ไปเกี่ยวข้อง เราได้เกี่ยวข้องสมบุกสมบันเป็นตายด้วยพุทธศาสนา ศาสนาอื่นเราก็ดู เราดูตำราทางศาสนาอื่นก็ดู แต่มาลงใจในพุทธศาสนา ลงถึงขั้นว่าเป็นศาสนาเอกในโลกเลย ว่างั้นนะ ได้พิจารณาเอาอันนี้แหละเทียบกัน พระพุทธเจ้ารู้ก็รู้ในนี้ ผู้ปฏิบัติตามท่านชี้ทางให้อย่างไรก็ปฏิบัติตาม มันก็รู้ตามที่ท่านว่าๆ ไปแล้ว รู้ที่ไหนมันยอมรับๆ ไม่มีการคัดค้านกันนะ ทีนี้เวลารู้เต็มภูมิของผู้ปฏิบัติตามนิสัยวาสนาของตน ก็เป็นพยานพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดีๆ เริ่มแต่พระโสดาขึ้นไป แน่นอนๆ เข้าไป โสดา สกิทา อนาคาแล้วพุ่งๆ พุ่งใส่จุดเลยไม่มีคำว่าถอย ถึงขั้นอนาคาแล้วมีแต่จะบุกท่าเดียว เป็นกับตายไม่สนใจ ถึงขั้นนี้แล้วเป็นขั้นที่หมดความดูดดื่ม

ขั้นอนาคาเป็นขั้นที่หมดความดูดดื่ม ความดูดดื่มของโลกทั้งหมดที่สร้างความวุ่นวายกองทุกข์ให้สัตว์โลกนี้มีอยู่ในขั้นนี้ กามกิเลส ว่าให้ชัด ออกจากนี้เลยเทียว นี่ละไม่ยอมพระพุทธเจ้าจะไปยอมใคร บอกว่าพระอนาคาท่านไม่กลับมาเกิดอีก ตั้งแต่เริ่มถึงขั้น อนาคา ไม่เกิด ตั้งแต่ได้ระดับปั๊บสำหรับผู้ช้านะ ได้ระดับปั๊บ เช่นสอบได้ ๕๐% ผู้นี้จะไม่ลง ขึ้นไปตามกำลังของตน ช้าเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ ปล่อยอันนี้ไปเรื่อย อันนี้เรียกว่าปล่อยแต่พักแรกแหละ จากนั้นส่วนที่ยังเหลือเศษเหลือเลยอยู่บ้างมันก็ปล่อยไปตามๆ กันเรื่อยๆ ไม่มีคำว่าลง มีกิเลสตัวเดียวเท่านี้ทำโลกให้เดือดร้อนวุ่นวายมาก แล้วสัตว์โลกก็ชอบด้วย โลกที่เดือดร้อนวุ่นวายก็คือตัวนี้เป็นตัวเหตุ เป็นตัวบังคับบัญชา ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใต้อำนาจของกามกิเลสทั้งนั้น เวลาตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วนี้ดีดเลยเชียว ไม่มีความกดถ่วงอะไร ความห่วงใยในโลกสงสารหมดไป ว่างขึ้นไปเรื่อยที่นี่ หมุนขึ้นไปเรื่อย เหมือนสำลีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกามกิเลสเหมือนหิน กดถ่วงหรือดึงลงเรื่อยๆ ใครมีมากมีน้อย หินมีมากมีน้อยกดถ่วงลงมากน้อย พออันนี้ขาดแล้วก็ดีดเรื่อยๆ ผู้เร็วก็เร็ว บางทีพุ่งนี้ถึงทีเดียวเลย เต็มภูมิอนาคาเลยก็มี

ผู้ที่ยังไม่เต็มก็ตั้งแต่เริ่มแรกนั่นแหละ เพราะฉะนั้นสถานที่เกิดของพระอนาคามี ๕ สถานที่นั้นจึงมีไว้สำหรับขั้นภูมิของ คือมีอยู่แล้ว ผู้ปฏิบัติตามธรรมขั้นนี้ เวลาตายแล้วจะไปอยู่ชั้นนี้ๆ ไม่ลง ตั้งแต่อวิหา อตัปปา ขั้นสอบได้ทีแรกตายแล้วจะต้องไปอยู่ที่ขั้นอวิหา ต่อไปอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา เต็มภูมิอนาคา จากนั้นก็ดีดถึงนิพพานเลย ให้ลงไม่ลง นี่ละเรียกว่าหมดเครื่องกดถ่วง ไม่ลง มีแต่ช้ากับเร็วขึ้นไปตามกำลังภูมิจิตภูมิธรรมของตน ตายที่ไหนรู้ๆ เวลาเราตายไปนี้จะอยู่ชั้นไหนรู้ในนี้ แน่ะเห็นไหมล่ะ ไปถามใครที่ไหน รู้อยู่ในนี้ๆ ละเอียดลออเข้าไปเท่าไรก็รู้ ลำดับกับชั้นที่อยู่เหมือนว่าเกี่ยวโยงกันอยู่นั้น ไม่ว่าเหมือนละ เกี่ยวโยงกันว่างั้นเลย ถ้าว่าเหมือนดูเหมือนมันห่างไกลมาก

ทีนี้พอถึงนิพพานปั๊บจ้าไปหมดเลย ไม่ต้องไปถามใคร พูดแล้วสาธุ ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้เห็นจากผลแห่งการปฏิบัติของตัวเองด้วยกันทุกรูปทุกนาม พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้ว จำเป็นอะไรจะต้องไปถามพระพุทธเจ้าให้มาอธิบายให้อีก ถึงนิพพานแล้วยังสงสัยนิพพานมีเหรอ นั่นละท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง ด้วยเหตุนี้เองธรรมจึงเป็นเครื่องคุ้มครองโลกให้สงบร่มเย็น ศาสนธรรมไม่ใช่ศาสนกิเลส ศาสนาของกิเลส ศาสนาของธรรมต่างกัน แล้วแต่จะไปแยกเอา พระพุทธเจ้านี่ศาสนธรรมล้วนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีอะไรเข้าเคลือบแฝงเลยเทียว เป็นธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉุดลากสัตว์โลกให้ถึงความพ้นทุกข์ได้โดยลำดับๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์

เวลาท่านแยกออกไปหาศาสนาเซน ศาสนาเซนก็เป็นธรรมขั้นสูงของพุทธศาสนาเสีย เวลาปฏิบัติไปแล้วดูศาสนาเซ็นปั๊บเข้ากันได้เลยทันทีไม่สงสัย อ๋อ นี่อยู่ในขั้นนี้ นั่น ศาสนาเซนที่ว่าเป็นศาสนาหนึ่ง นี่เป็นกิ่งก้านของพุทธศาสนา แต่เขาไปตั้งเป็นศาสนาเซนต่างหาก ให้เป็นสกุลหนึ่งต่างหาก ความจริงเป็นสกุลเดียวกันกับพุทธศาสนา แต่เป็นกิ่งก้านของพุทธศาสนาตอนบนไม่ใช่ตอนล่าง คือตอนบนหมายถึงพวกที่ถึงขั้นเข้าสติปัญญาเดินอัตโนมัติล้วนๆ นี่ละ แล้วบรรลุธรรม ผู้ถือศาสนาเซนจึงสอนกันว่า ศาสนาเซนสอนปัญญาล้วนๆ พุทธศาสนาถึงขั้นนี้เป็นปัญญาล้วนๆ นะ มันเข้ากันได้ อ๋อ นี่อยู่ในพุทธศาสนา แต่ผู้ที่มารุ่นหลังเขาเลยไปตั้งเป็นศาสนาเซนไป ผู้ที่รู้จริงๆ เบื้องต้นนั้นท่านไม่ได้ว่าอะไร ก็คือเรื่องของพระพุทธเจ้าโดยตรง ศาสนธรรมพระพุทธเจ้าโดยตรง ทีนี้พวกที่ไม่รู้เขาก็เลยไปตั้งเอาว่า ศาสนาเซนต้องใช้ปัญญาๆ แล้วศาสนาเซนก็ว่า ธรรมขั้นนี้ของพุทธศาสนาต้องใช้ปัญญานั่นเองพูดง่ายๆ เป็นส่วนบนของพุทธศาสนาเรา

เวลาอ่านดูนั้นปั๊บมันเข้ากันทันทีๆ อ๋อ เป็นพุทธศาสนาร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นเอง เป็นแต่เพียงว่าส่วนบน ส่วนละเอียดของพุทธศาสนาของเราที่ท่านใช้ปัญญา ถึงขั้นนั้นแล้วพุทธศาสนาต้องก้าวทางด้านปัญญาล้วนๆ พุ่งๆ ไปเลย ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้นก็เป็นลำดับลำดา นี่เหมาะสมสมบูรณ์ทุกอย่างพุทธศาสนาของเรา ตั้งแต่ทาน แต่ศีล สมาธิ แล้วปัญญา เป็นลำดับ เรียกว่าสมบูรณ์แบบ คำว่าสมาธิก็มีขั้นละเอียดเข้าไปๆ ถึงขั้นปัญญาก็ ตรุณวิปัสสนา ก็คือปัญญาขั้นอ่อนเสียก่อน แข็งขึ้นไปๆ ก็ไปเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ศาสนาเซนก็มาจุดนี้แหละ คือใช้สติปัญญาขั้นนี้

พวกที่ว่าศาสนาเซน เอาอันนี้แหละออกไปเป็นศาสนาเซน ศาสนาตอนปลาย คือธรรมส่วนละเอียดของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้สำหรับผู้บำเพ็ญ ถึงขั้นนี้แล้วเป็นเอง สติปัญญาเป็นเอง หมุนเองๆ เรื่อยๆ เวลาเขาตั้งเขาก็ตั้งว่านั้นเป็นศาสนาเซน คือกิ่งก้านของพุทธศาสนา อันนี้เราไม่ค้าน ถ้าพูดถึงสองศาสนา สองศาสนานี้เราไม่ขัดข้องในหัวใจเราเลย ศาสนาอื่นเราไม่ค่อยได้เรียน ไม่ค่อยได้ศึกษามากนัก แต่ศาสนาเซนพออ่านปั๊บมันวิ่งถึงกันเลย จะว่ามากหรือน้อยมันก็เข้าใจกันทันที ศาสนธรรมแท้ไม่มีอะไรทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งอะไรกัน ไม่มี ใครอยู่ธรรมขั้นใดยอมรับกันตามนั้น สวยงามตามขั้นภูมิของตน ยิ่งขั้นละเอียดลออเท่าไรก็ยิ่งหาสิ่งคัดค้านกันไม่ได้ ละเอียดลออ จนถึงสุดยอดแล้วหมดปัญหา ไม่มีอะไรคัดค้านกัน

ให้มันรู้ในใจซี พุทธศาสนารู้ในใจ พระสาวกทั้งหลายรู้ในใจทั้งนั้นมาสอนโลก ไม่ได้ลูบคลำสุ่มสี่สุ่มห้ามาสอนกัน แล้วก็ทำให้ผิดๆ พลาดๆ ทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันไปตลอด นี่ละความจำได้มา ตีความหมายไม่เหมือนกัน สำหรับความจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติแล้วไม่มีเถียงกันละ มันรู้ด้วยกัน เห็นด้วยกัน ละด้วยกัน ไม่มีอะไรที่จะมาเถียงกัน นี่ภาคปฏิบัติ คือภาคปริยัติได้แก่ความจดจำ อันนี้เถียงกันได้วันยังค่ำ หลงผิดได้วันยังค่ำเหมือนกัน เพราะเป็นเพียงความจำ ความจำก็เหมือนเราจำเรื่องโลกเรื่องสงสาร ใครเรียนใครก็จำได้ เรียนธรรมใครก็จำได้เหมือนกัน แต่จำได้แต่ชื่อของธรรม องค์ธรรมเองไม่รู้ จำได้แต่ชื่อของกิเลส ตัวกิเลสจริงๆ เราไม่ได้ละ เพียงแต่จำชื่อ

เช่นอย่างสัตว์ตัวนี้ๆ จำได้แต่ชื่อ ถ้าเรายังไม่ฆ่ามันก็ยังไม่ตาย แม้เสือโคร่งมันก็ไม่ตาย จำว่าเสือโคร่งได้มันก็ไม่ตาย ต้องฆ่าเสือโคร่งเสียก่อนมันถึงจะตาย ภาคปฏิบัติเป็นภาคฆ่า จำได้แล้วมาปฏิบัติ วิธีการที่จะฆ่าเสือตัวนี้ฆ่ายังไง มันชื่อว่าอย่างนั้น รูปร่างลักษณะของมันเป็นอย่างนั้นๆ แล้วจะทำวิธีใดถึงจะฆ่าเสือตัวนี้ได้ นี้เป็นภาคปฏิบัติ หาอุบายวิธีฆ่าเสือ ตามที่ท่านบอกไว้ให้ฆ่าวิธีนั้นๆ เข้าไปก็ฆ่าได้ นั่น เพียงจำได้เฉยๆ โหย ดีไม่ดีเสือตะปบเอาไม่มีหนังห่อกะโหลกศีรษะแหละ ก็ไม่ได้ฆ่ามัน มีแต่มันฆ่าเรา ความจดความจำฆ่าเจ้าของ เรียนมากเรียนน้อยไม่มีความหมายอะไรแหละ กิเลสเอาไปเป็นเจ้าของ ไปเป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งหมด แล้วกลับมาฆ่าตัวเอง ฆ่าโลกฆ่าสงสาร ก่อกวนให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายต่อกัน ด้วยความรู้ความเห็นที่เป็นทิฐิมานะ อันเป็นเรื่องของกิเลสนั้นแหละ เข้าไปเป็นผู้ทำงาน เรื่องราวมันถึงได้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย

ถ้ากิเลสเข้าตรงไหนเกิดเรื่องที่นั่น ถ้าธรรมเข้าตรงไหนเรื่องสงบๆ เรื่องหัวใจเรามันวุ่นวายก็สงบ ถ้าธรรมคือสมถธรรมได้เข้าไป เพราะเราเจริญสมถธรรม เจริญยังไงถึงเป็นความสงบ นั่น วิธีการเป็นอย่างนั้น ถ้าเพียงจำเฉยๆ ไม่ว่าท่านว่าเรา แบกคัมภีร์ไปก็หลังหักเปล่าๆ เพราะแบกแต่ความจำ เหมือนแปลนอยู่ในบ้านเรา แปลนนี้เอามาไว้เต็มห้อง ปลูกบ้านสร้างเรือนขนาดต่างๆ กันอย่างนี้ก็มีอยู่ในนั้นเสร็จ อ่านได้รู้ได้ขนาดไหนก็เท่านั้นแหละแปลนนะ ถ้าเราไม่ได้เาออกมากางสร้างบ้านสร้างเรือน ถ้าเราดึงออกมากางจะเอาขนาดไหน สร้างตามนี้ๆ สำเร็จผลขึ้นไปตามนี้

เรื่องมรรคผลนิพพานก็คือแปลนแห่งธรรมทั้งหลาย แปลนแห่งมรรคผลนิพพาน นรกอเวจีอยู่นั้นหมด ท่านสอนไว้หมด ทางนี้เป็นทางไปนรก ทางนี้เป็นทางไปสวรรค์นิพพาน ท่านบอกไว้หมด เป็นแปลนบอกไว้ แปลนละแปลนบำเพ็ญท่านบอกไว้หมด เราปฏิบัติตามนั้นไปตามนั้น อันใดท่านว่าให้ละเราก็ละ อะไรท่านให้บำเพ็ญเราก็บำเพ็ญ มันก็ไปตามนั้น ถ้าไม่ได้บำเพ็ญไม่ได้ทำไม่มีทาง

ศาสนาให้สมบูรณ์แบบอย่างน้อยต้องเรียกว่ามีสอง ส่วนปฏิเวธเป็นผลของการปฏิบัติ บอกไม่บอกก็เกิดเอง ถ้าลงได้ลงมือสร้างแล้วนะ ผลจะปรากฏขึ้นกับตาของเรา เช่นปลูกบ้าน เอาแปลนมาดู บ้านนี้ขนาดเท่านั้นๆ เราเริ่มสร้างตั้งแต่ขุดดินก็เห็นแล้วนั่น ปฏิเวธปรากฏแล้ว เริ่มขุดดินเห็นประจักษ์ตา วางต้นวางเสาวางคานก็เห็นเป็นลำดับๆ นี่เป็นปฏิเวธเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติที่เราขุดดิน นี่แหละภาคปฏิบัติ เริ่มขุดดินเริ่มวางรากวางฐาน เป็นภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติบอกวิธีการปลูกบ้านสร้างเรือน นั่น เห็นเรื่อยๆ ไป เพราะฉะนั้นจึงว่า แปลนกับบ้านมันต่างกัน ปริยัติกับมรรคผลนิพพานต่างกัน ความจำกับความจริงต่างกัน ความจำจำได้เท่าไรก็จำได้เหมือนเราจำแปลนได้ มันไม่สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนให้ ต้องเอาแปลนมาปลูกบ้านปลูกเรือน อันนี้เราจำแปลนของศาสนาได้ ก็เอาแปลนออกมากางปฏิบัติตาม มันก็เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาเรื่อยๆ นั่น

ทองคำเมื่อวานนี้ได้ ๑๒ บาท ๑๓ สตางค์ ส่วนดอลลาร์ได้ ๓๑๘ ดอลล์

ฟ้าหญิงฯท่านก็จะเสด็จแหละวันไปเทศน์สี่แยก(อำเภอ)สมเด็จนะ วันที่ ๒๑ เดือนนี้ ตอบรับมาเรียบร้อยแล้วทีนี้แน่นอน ฟ้าหญิงฯท่านจะเสด็จมาในงานนี้ งานสี่แยกสมเด็จ เสร็จแล้วท่านก็กลับในวันนั้น แต่เรายังต้องไปแวะที่วัดมัชฌิมวาส วัดท่านเมืองเสียก่อนรับผ้าป่าเขาที่นั่น ค้างนั่นคืนหนึ่ง วันที่ ๒๒ กลับ ๒๓-๒๔ อยู่ วันที่ ๒๕ ก็ลงกรุงเทพฯ

ลงกรุงเทพฯคราวนี้ เรียกว่าลงไปเป็นภาระที่หนักอยู่มาก เพราะจะรวบรวมทองคำดอลลาร์ให้ได้ตามจำนวนนั้น ไม่ให้ขาดแม้สตางค์หนึ่งขาดไม่ได้เลย ทองคำที่เรากำหนดไว้ว่า ๑๐ ตันนี้ขาดบาทขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้ ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน นี้ก็ขาดดอลล์หนึ่งสองดอลล์ไม่ได้ จึงต้องไปหมุนอันนี้ ทีนี้เวลาออกมาแน่ละ เราบวกลบคูณหารเรียบร้อยทั้งทองคำดอลลาร์ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ประกาศออก ได้ครบแล้ว รอวันที่เท่านั้น จวนวันนั่นแหละมันถึงจะครบ พอไปถึงทีแรก กระเป๋าไหนเอาไว้หมิ่นๆ เหม่ๆ นี้เอาเลย เข้าใจไหม ใครเซ่อๆ ไม่ได้ถ้าเราลงกรุงเทพฯแล้ว กระเป๋าไหนต้องเข้มงวดกวดขัน ไม่เข้มงวดกวดขันไม่ได้ เที่ยวตีเอาหมดทุกกระเป๋านั่นแหละ ตีเงินตีทองตีเอาหมดนั่นแหละ มารวบรวมได้เท่านั้น เอ้า ทีนี่แน่ละ ถึงวันนั้นก็ออกเลย

เราตั้งใจจะให้ชื่อเสียงของชาติไทยเรา กระเทือนไปทั่วโลกในคราวนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงขะมักเขม้นเอาอย่างจริงอย่างจังให้ได้ตามนี้ และเป็นการเชิดชูกิตติศัพท์กิตติคุณศักดิ์ศรีดีงามของชาติไทยเรา ให้ทัดเทียมกับชาติอื่นๆ เฉพาะอย่างยิ่งว่าเราช่วยชาติ นี่ซิสำคัญ ผลเป็นยังไงช่วยชาติ นี่คือผลช่วยชาติได้อย่างนั้นๆ เหมาะ นี่แหละเราที่ได้อุตส่าห์พยายามนะ ที่เราคิดว่าเมืองไทยเราจะจนตรอกจนมุม จนของอยู่ของกินอะไรเราไม่สนใจ เมืองไทยเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่อดบอกตรงๆ แต่ชื่อเสียงนี่ซิกิตติศัพท์กิตติคุณ เราก็อยู่กับโลกเขาทั่วๆ ไป ก็ควรจะทัดเทียมกันไป สม่ำเสมอกันไป ไม่ดูถูกเหยียดหยามกัน การคบค้าสมาคมการซื้อการขายเขาก็ไม่ดูถูกเรา เพราะฐานะของเรากับฐานะของเขาก็พอๆ กัน เข้าใจไหมล่ะ นี่เรารักษาอันนี้ต่างหากนะ ที่อุตส่าห์พยายามเวลานี้ ที่จะกลัวเมืองไทยเราอดอยากเราบอกเราไม่กลัว ว่างั้นเลย

เมืองไทยเราเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำมาตั้งแต่ไหนๆ ไม่เคยอดอยาก อันนี้เกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณศักดิ์ศรีดีงามของเมืองไทยเรา ให้ทัดเทียมกับโลกอื่นๆ เขา จะอยู่ด้วยความสนิทใจมีหน้ามีตาไปไหน เข้าใจไหมล่ะ นี่ละที่เรามุ่งอยู่เวลานี้มุ่งอย่างนี้ต่างหากนะ ที่จะกลัวเมืองไทยจะจมเราไม่กลัวๆ แต่กลัวสิ่งที่ว่าน่ากลัวนั่นแหละมากกว่า วันนี้ก็ไม่มีอะไรละนะ

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน   ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก