เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
อยู่แบบศาสดา
วัดภูวัวนี้เรียกว่าเราเลี้ยงดูเป็นประจำเลย หมดทั้งวัดเลย ใครจะมาไม่มาก็ไม่เห็น เพราะมันอยู่ในป่าลึกๆ มันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ส่งเสีย อยู่ได้ทีละสององค์ หรือสามองค์เป็นอย่างมาก เวลาเราไปอยู่นั้น ๓๐-๔๐ อยู่ตลอดมา เราบอกว่ามาเท่าไรให้มา ถ้าพระตั้งใจภาวนาแล้วให้มาเราจะรับเลี้ยง เลี้ยงหมดเลยเชียว ถ้าหากว่าเราสู้ไม่ไหวเราจะบอก ก็เห็นสู้มาตลอด ยังเปิดทางให้มา พระที่มาท่านจะมากกว่านั้นเราก็ไม่ว่า เพราะเราเปิดไว้แล้วว่าให้มา มากเท่าไรให้มา เราไม่ได้กำหนดว่าพระนี่มากไปน้อยไป เราบอกว่าให้มาเลย เท่าไรไม่ว่า
ทีนี้เวลาพระมาเราก็เปิดไว้แล้วนี่ มาเท่าไรก็ให้คัดเลือกพระ พระตั้งใจภาวนานะ มาที่นี่ เราบอกเราไม่ได้บอกเหมือนใคร บอกเด็ดขาดๆ เลย เคลื่อนไปไม่ได้ ถ้าพระตั้งใจปฏิบัติดีมาเท่าไรเอามา ถ้าพระโกโรโกโสให้ไล่ลงภูเขา อย่าให้อยู่หนักภูเขา นั่นเด็ดไหมล่ะ เราจะเลี้ยงดูตลอดจนกระทั่งถึงเวลาที่โลกอนิจจังเมื่อไร พอมาถึงเมื่อนั้นก็รู้กันเอง เราก็บอกงั้น ก็เลี้ยงมาอยู่ตลอดเวลา วัดนี้เรียกว่าเราเลี้ยงทั้งวัดเลยเชียว ถึงวันจวนสิ้นเดือน ตามธรรมดาวันที่ ๒๖-๒๗-๒๘ เขาไป นี่จะให้ย่นเข้ามาไปในระยะนี้เสีย(วันที่ ๒๐) เพราะเราจะไปกรุงเทพฯ และพวกนี้ก็จะต้องติดตามไปด้วย
เวลานี้เราสงวนพระมากนะ ให้พระได้ตั้งใจปฏิบัติ พระที่ตั้งใจปฏิบัติก็มาอยู่ที่นั่น แต่ส่วนมากท่านไม่ฉันครบองค์นะ ทำนองวัดนี้ ขาดอยู่ตลอดเหมือนกัน แล้วแต่ท่านจะฉันเมื่อไรท่านก็มาฉัน ท่านภาวนาจริงๆ เพราะฉะนั้นเราจึงตัดออกหมดไม่ให้คนไปยุ่มย่าม บอกอีกเด็ดขาดอีกเหมือนกัน ไม่ให้ใครไปยุ่มย่ามที่นั่น จะให้อยู่เฉพาะที่จำเป็น เช่นอย่างมาพักชั่วคราว มาจากกรุงเทพฯ เขามาพักชั่วคราวนี้อนุโลมให้เท่านั้น ที่จะมาอยู่ประจำนั้นไม่ได้เลย เราสั่งขาด ท่านอุทัยก็เอาคำพูดของเรานี้ออกพูด
ถ้าว่ามันขัดข้องตรงไหนเราไปเอง ไปไล่เองนะ นู่นน่ะเห็นไหมล่ะ เราเคยไล่แล้ว นี่ ไม่ให้อยู่ บอกไล่เลย ท่านอุทัยอำนาจไม่เท่าเรา เราเป็นคนสั่ง ทุกอย่างท่านอุทัยคอยฟังคำเรา ปฏิบัติตามนั้น ปฏิบัติอย่างนั้นเรื่อยมา ท่านก็สะดวกในการภาวนา เวลาเราไปเราก็ดู ดูคนที่มาเกี่ยวข้องมากน้อย ดูแล้วก็ถามอีก ก็ปรกติเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ ๒๐ ปีกว่าแล้วนะ ตั้งแต่เราเข้าไปเกี่ยวข้องวัดนี้ ได้ ๒๐ ปีกว่าแล้ว
เข้มงวดกวดขันเพื่อจะให้พระที่ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ไปอยู่ที่นั่น สั่งสมอรรถธรรมเข้าสู่หัวใจ เวลานี้มันสั่งสมแต่ส้วมแต่ถานเต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณรไปหมด ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมด เวลานี้พระเลอะเทอะมากทีเดียวจนจะดูไม่ได้ มิหนำซ้ำยังสร้างฟืนสร้างไฟขึ้นเผาบ้านเผาเมือง เผาชาติ เผาศาสนาไปด้วย โดยไม่คำนึงถึงความผิด ถูก ชั่ว ดี ไม่มีบาปบุญ ไม่มีผิด ถูก ชั่ว ดี หาเหตุผลไม่ได้ ไม่ฟังเสียงเหตุผล มีแต่ดื้อด้านหาญธรรม จะเอาให้ได้อย่างใจ คือความโลภ บ้ายศ ชื่อเสียง เอาเท่านั้นแหละ บวชมาในศาสนาเอาเท่านั้นแหละ ไม่ได้เอาอะไรนะ
เรื่องอรรถเรื่องธรรมขี้รดลงไปเลยไม่ได้สนใจ มือหนึ่งคืบคลานเข้าไปหาส้วมหาถาน เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ จึงน่าสลดสังเวชนะ เราพูดเป็นอรรถเป็นธรรม เราไม่ได้เหมือนใคร เอาธรรมออกกางเลยทีเดียว ไม่ให้ผิดเลยผิดธรรม ถึงจะนิ่มนวลอ่อนหวานเด็ดขาดอะไรมีแต่ธรรมล้วนๆ ออกไป เราไม่เอากิเลสเข้ามาแฝงเลยละ พูดตรงไหนรับรองตรงนั้นเลย ใช่ไหม ใช่ทันทีเลย เป็นอย่างงั้นละ
ปฏิบัติธรรมต้องให้เป็นธรรม ไม่เป็นธรรม ธรรมจะเกิดขึ้นที่ใจไม่ได้นะ ต้องเปิดทางให้ธรรม ให้ถูกต้องตามสายธรรมแล้วธรรมเจริญๆ จึงให้พระท่านได้ภาวนาอยู่ที่นั่นสะดวกสบาย จะไม่มีแล้วนะพระเวลานี้ พระทั่วประเทศไทยเต็มไปหมด แต่จะหาพระดิบพระดี พระตั้งใจปฏิบัติรู้สึกว่าหายากมากทีเดียวนะเวลานี้ ฟังแต่ว่าหายากมากทีเดียว หาใครก็มาโดนตัวเลวๆ นี้เสีย ไปหาใครก็เลวแบบเดียวกับตัวเอง ก็เลยทั้งโลกมีแต่พระเลวใช้ไม่ได้นะ อู๊ย ทุเรศสงสารมากนะ
ยิ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองไทยเราเวลานี้ เราจึงได้เอาธรรมเข้าวัดเข้าตวงถึงเรื่องกิเลสกับธรรม เหยียบหัวธรรมไปเลย ขี้รดธรรมไปเรื่อยๆ เลย ไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรมยิ่งกว่าความอยากความทะเยอทะยาน ให้เป็นไปตามใจๆ ไม่ฟังเหตุฟังผลอะไรเลย นี่ละเลวขนาดนั้นละพระเราทุกวันนี้ มันเลวลงถึงขนาดนั้น จะให้ว่าไง เทียบเอาดูเอาพี่น้องทั้งหลาย เราพูดอย่างเป็นอรรถเป็นธรรม เปิดหัวอกพูดเลย เอาธรรมมาพูดไม่ให้ผิดว่างั้นเลย เลวก็บอกว่าเลว ดีก็บอกว่าดี
เวลานี้เลวมาก สร้างฟืนสร้างไฟเผาวัดเผาวา เผาชาติเผาศาสนาไปด้วยกัน ไม่ได้คำนึงเลย จะเอาให้เป็นใหญ่เป็นโต เอาขี้กองใหญ่ๆ เท่าภูเขานี่มาเป็นใหญ่เป็นโตโปะหัวคนทั้งชาติทั้งศาสนาให้แหลกเหลวไปตามๆ กันหมด เวลานี้กำลังขวนขวายหามูตรหาคูถเข้ามาโปะพุทธศาสนาให้แหลกเหลวไปด้วย แล้วจากนั้นก็โปะไปทางชาติให้แหลกเหลวไปตามๆ กันหมด ด้วยความสกปรกโสมมนั่นแหละ นี่ละคนเราถ้าไม่มองดูธรรมแล้วเป็นอย่างงั้นละ ร้อนที่สุด พระก็ร้อนถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมโยมก็เย็น ฆราวาสก็เย็น พระก็เย็น ที่ไหนเย็นไปหมด
ถ้าไม่มีธรรมใครอย่าอวดดีเลย ไม่มีดี หงายเลย หงายแบบไหนก็ไม่ทราบ หงายหมู หงายหมา หงายแมวก็ไม่ทราบ ถ้าลงอวดธรรม ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเอาธรรมมาสอนโลกด้วยความสะอาดสุดยอดแล้ว แต่เรามากว้านเอาแต่มูตรแต่คูถไปโปะธรรม เหยียบหัวธรรม ขี้รดธรรมความดีงาม มันไม่ได้มองดูอรรถดูธรรม โลกมันถึงได้ร้อนเวลานี้
จึงได้สั่งถึงพระให้ตั้งใจปฏิบัติ สถานที่นี่เหมาะสมมากทีเดียว เรียกว่าเป็นเอก ป่าก็เป็นเอกอยู่ด้วย อยู่ได้ทุกแห่งทุกหนบนภูเขา ไม่มีใครมากวนเลย เงียบทั้งวันทั้งคืนอยู่ตลอดเวลา ถึงตอนเย็นท่านก็มาประชุมกัน ส่วนมากมีแต่เทปเราละ ไปเปิดฟังอย่างน้อยวันละกัณฑ์ ท่านมารวมกันที่นั่น แล้วนั่งภาวนาฟังเทป พอจบเรียบร้อยแล้ว องค์ไหนอยากลุกไปประกอบความพากเพียรในท่าอื่นใดก็ไปได้ ผู้ไม่อยากไปก็นั่งภาวนาเรื่อยไป อย่างนั้นเป็นประจำสำหรับวัดนี้นะ
เราจึงส่งเสริมมาตลอดด้วยความพออกพอใจ เพราะพระทำให้เป็นความพอใจสำหรับเรา ไม่ได้เป็นข้อน่าตำหนิอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าผิดถูกประการใดเราก็ไปคอยแนะคอยสอน ดุด่าว่ากล่าวไปเรื่อยๆ เหมือนหนึ่งว่าเรารับผิดชอบวัดนี้เพื่อจะสั่งสมพระให้มีอรรถมีธรรมภายในใจ พระมีธรรมภายในใจ ในบ้านหนึ่งมีองค์เดียวก็เย็นฉ่ำไปเลยนะ ขอให้ได้พระดีๆ เถอะน่ะ ถ้าพระเลวๆ มีร้อยเท่าไรก็เป็นส้วมเป็นถาน ร้อยส้วมร้อยถาน มันไม่เกิดประโยชน์อะไร กีดขวางหูตาประชาชน สะเทือนใจไปด้วย นี่ละพระเลว ถ้าพระดีไปที่ไหนเย็นไปเลย มองเห็นฟากทุ่งนานู่นเขากราบแล้วๆ ชื่นใจ ไม่ว่าเขาว่าเรา
คิดดูซิอย่างหลวงปู่มั่นท่านไปบิณฑบาตมา เราไปถึงทีแรกพระท่านก็บอกว่าท่านมาบิณฑบาต ท่านเข้ามาทางสายนี้ว่างั้น วันหลังเราก็บิณฑบาตแต่เช้ากว่าปรกติหน่อยแล้วก็รีบกลับมา ได้ไม่ได้ไม่สำคัญละ เราจะต้องไปดูหลวงปู่มั่น นั่นเห็นไหมล่ะ พระบอกท่านมาแล้ว ไหน เราก็ดู ดูทุกอย่างเลยเต็มกำลังความสามารถ ดูด้วยความปลื้มปีติ ด้วยความอิ่มเอิบภายในจิตใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสภายในใจ พอท่านใกล้เข้ามาๆ เราก็ปุ๊บปั๊บเข้าห้อง แล้วก็ไปดูประตูอยู่ข้างในนะ เข้าไปอยู่ในนั้นแล้วดูช่องฝา ท่านเดินมานั้น ดู โอ้โหย ไม่ได้ว่าอื่นนะเพราะมันเชื่อฝังลึกแล้ว เนื่องจากได้ยินกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านมาเป็นเวลานาน ว่าองค์ใดออกมาก็ตามออกมาจากหลวงปู่มั่น พูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ว่าท่านอาจารย์มั่นไม่ใช่พระธรรมดา เป็นพระอะไรไม่ใช่พระธรรมดา พระอริยะ อริยะก็มีหลายขั้น โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ อริยะทั้งนั้น ท่านอยู่ขั้นใด ท่านบอกเป็นเสียงเดียวกัน ขั้นสุดยอด บอกอย่างนั้นเลย นั่นละฝังลึก ทีนี้เวลาท่านมาแล้วเราก็ดูกิริยาท่าทางของท่านทุกอย่างเลย ท่านจะดูไม่ดูเราก็ตาม เราอยู่ในกุฏิส่องออกมา วันนั้นปีติทั้งวันเลยนะ มันเอิบอิ่ม นั่นเป็นยังไง เห็นพระดีเป็นอย่างนั้น
เราเป็นพระด้วยกันก็เลยมึน เหมือนกับขี้หมาชมทองคำทั้งแท่งว่างั้นเถอะน่ะ เราอยู่ในห้องเป็นขี้หมา ชมทองคำทั้งแท่งที่เดินฉากไปนี้ เราดู วันนั้นเอิบอิ่มทั้งวันเลย นี่ละดูพระดีเป็นอย่างนี้ละ เราเอาเราเป็นตัวตั้งขึ้นเลยใครจะว่าบ้าก็ตาม วันนั้นเราปีติทั้งวันเลย เอิบอิ่มภายในจิตใจ และกิริยามารยาทของท่านทุกอย่างที่เดินผ่านมานี้ เข้ามาในหัวใจหมดเลย นี่แหละเห็นพระดีเป็นอย่างนั้นนะ ใครก็อยากพบ ใครก็อยากเห็นพระดี มันรื่นเริงภายในจิตใจ เย็น เวลานั้นทุกข์หายไปหมด เวลาได้เห็นพระเห็นครูบาอาจารย์ที่เรามีความเคารพเลื่อมใสแล้วมันปลื้มอกปลื้มใจ ทุกข์ทั้งหลายกระจายหายไปเวลานั้นนะ นี่อำนาจแห่งธรรมเย็นฉ่ำ
เราจึงได้อุตส่าห์พยายามบำรุงพระที่ท่านตั้งใจปฏิบัติดี ผู้เช่นนั้นแหละผู้ที่จะทรงมรรคทรงผลตามทางของศาสดา เพราะอยู่แบบศาสดา อยู่ในป่าในเขาลำเนาไพร ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก ทรงบำเพ็ญในป่า ๖ ปี ได้ตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้ในป่า แล้วสั่งสอนสาวก บรรดาผู้ที่มีอุปนิสัยเข้าถึงก่อนๆ สอนบรรดาสาวกทั้งหลายมีพระอัญญาโกณฑัญญะ เบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้แหละเป็นต้น เรื่อยมา อยู่ในป่าๆ บำเพ็ญในป่า สำเร็จในป่า เป็นสรณะของโลกอยู่ในป่าเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้สืบต่อกันมา เป็นแถวทางที่ราบรื่นดีงามตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นพระท่านจึงอยู่ในป่าตามทางของศาสดาที่ทรงดำเนินมาแล้ว และสั่งสอนอบรมไว้อย่างนั้น
เราจึงได้พยายามบำรุงรักษาพระ ผู้เช่นนี้แลผู้ตักตวงเอาอรรถเอาธรรม ตื่นขึ้นมาเอาแล้วเร่งแล้วงานสั่งสมธรรม จนกระทั่งหลับๆ สั่งสมธรรมๆ ภายในจิตใจ เมื่อสั่งสมสิ่งใด เพราะธรรมชาติเหล่านี้มีอยู่ ธรรมก็มีอยู่ โลกกิเลสตัณหาก็มีอยู่ หมุนไปทางไหนก็ติดทางนั้นแหละ นี่ท่านหมุนไปทางธรรม ธรรมะก็เข้าซึมซาบถึงใจ เดี๋ยวองค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ทางด้านธรรมะขึ้นมา สมาธิเป็นเช่นนั้นๆ ขึ้นเรื่อยๆ แหละ จากนั้นโสดา สกิทา อนาคา ขึ้นไปตามๆ กัน นี่ละมรรคผล ขอให้ไปเปิดเถอะน่ะ เปิดจอกเปิดแหนออกจากหัวใจ คือกิเลสตัณหานั้นเป็นจอกเป็นแหนปกคลุมหัวใจไม่ให้มีค่ามีราคาอะไรเลย มีแต่จอกแต่แหนซึ่งหาค่าไม่ได้ เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร
น้ำที่อยู่ในบึงในบ่อที่ถูกจอกแหนปกคลุมไว้ไม่มีความหมายอะไรเลย เหยียบย่ำไปมา นั่นละคือธรรมของพระพุทธเจ้า มีมากขนาดไหน เต็มโลกเต็มสงสารก็ไม่มีความหมาย เพราะโลกเขาไม่สนใจยิ่งกว่าจอกกว่าแหนที่เขาคลุกเคล้าไปมาตลอดเวลานี้ นั่นโลกเป็นอย่างนั้น ทีนี้เมื่อเวลามีผู้มาเปิดจอกเปิดแหน คือผู้บำเพ็ญความดี ก็เรียกว่าเปิดจอกเปิดแหน ก็ปรากฏเห็นน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ เปิดออกเรื่อย เห็นน้ำกว้างเข้าไปเรื่อย เปิดออกเรื่อยๆ เปิดออกหมด จอกแหนปกคลุมหุ้มห่อ น้ำในบึงใหญ่ บึงใหญ่คือหัวใจ น้ำคือธรรมอยู่ในใจ จอกแหนคือกิเลสปกคลุมหัวใจ เปิดออกๆ จ้าขึ้นมา องค์นี้สำเร็จโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นโสดา คือเปิดจอกเปิดแหนออกแล้วเห็นน้ำชัดเจน ตักมาอาบดื่มใช้สอยเป็นที่พอใจ ทีนี้ถึงจอกแหนจะปกคลุมก็ตาม ความเชื่อนี้ฝังลึก นี่เรียกว่าพระโสดา เข้าใจไหม ฝังลึกไม่มีถอย ต้องการเมื่อไรก็เปิดน้ำนี่ใช้ไป เบิกจอกเบิกแหนออกเรื่อยๆ ต่อไปก็เปิดกว้างออก สำเร็จเต็มภูมิเป็นพระอรหันต์ จอกแหนหมดภายในหัวใจ
คือกิเลสตัณหาเป็นจอกเป็นแหน เปิดออกหมดภายในหัวใจแล้วจ้าขึ้นมา เป็นน้ำอมตธรรมขึ้นภายในจิตใจ นี่ท่านอยู่ในป่าในเขา เราจึงได้อุตส่าห์พยายามเต็มเม็ดเต็มหน่วยแหละ เอาให้ได้เป็นประจำไม่ให้ขาดตกบกพร่อง พระท่านก็เข้าออกเรื่อย มากตลอดนะ อันนี้ให้เป็นเรื่องของท่านอุทัยพิจารณาเอง เพราะเราเปิดทางไว้แล้วว่า ผู้ใดตั้งใจปฏิบัติดี มาเท่าไรให้มาเถอะ ให้ท่านคัดเลือกเอง ถ้าไม่ดีก็ท่านคัดเลือกเอง ดีท่านคัดเลือกเอง จะรับมากรับน้อยเป็นเรื่องของท่านเป็นผู้ให้อยู่เอง เราเปิดทางให้แล้ว ท่านก็อุตส่าห์พยายามปฏิบัติเรื่อยมาอย่างนี้
นั่นละมรรคผลจะเกิดที่นั่น พระเหล่านี้เป็นผู้บำเพ็ญธรรม ต้องเจอธรรม ต้องเห็นธรรม ใครคุ้ยเขี่ยหาอะไรเจออันนั้นละ หามูตรหาคูถก็เจอแต่มูตรแต่คูถ หาอรรถหาธรรมเจอแต่อรรถแต่ธรรม นี่ท่านหาอรรถหาธรรมก็เจออรรถเจอธรรม องค์นั้นเจออย่างนั้น องค์นี้เจออย่างนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่ธรรมในสระใหญ่เดียวกันนั่นแหละ สระอันเดียวกันในหัวใจ เจอขึ้นมาๆ ผู้นี้ทรงมรรคทรงผลเรื่อยๆ ผู้มีอรรถมีธรรมจริงๆ ท่านอยู่ในป่าอย่างนั้น มักจะอยู่ในป่ามากกว่าอยู่ในที่อื่นๆ ที่อื่นๆ ก็มีเราไม่ได้ปฏิเสธ แต่มีจำนวนน้อยมากกว่าผู้ที่อยู่ในป่าด้วยความตั้งใจบำเพ็ญ มรรคผลนิพพานจึงมีตลอดสำหรับผู้ปฏิบัติ ผู้ไม่ปฏิบัติก็มีแต่ปฏิเสธมรรคผลนิพพานไม่มีๆ เกิดมาหมดโคตรหมดแซ่มาปฏิเสธด้วยกัน มันก็เป็นโคตรแซ่ที่ท้องแห้งๆ เหมือนกันหมด ไม่มีใครเต็มด้วยอรรถด้วยธรรมเหมือนผู้ปฏิบัติโดยไม่ต้องบ่น โดยไม่ต้องลบล้างอะไร ลบล้างแต่กิเลสภายในหัวใจออกให้หมด แล้วก็ผ่านขึ้นมาๆ นี่ละผู้ที่จะทรงมรรคทรงผล คือผู้อยู่ในป่าในเขานี่ พูดจริงๆ อย่างนี้แหละ
นอกนั้นเราเขียนใบตายให้เลยตั้งแต่ยังไม่ตายก็ได้ ว่าอย่างนี้เลย จะไม่มีหวังแหละ เพราะสั่งสมแต่ความชั่วช้าลามกเต็มหัวใจ มีแต่ความชั่วช้าลามก แล้วจะไปอวดดิบอวดดีด้วยฝีปากกิริยาท่าทางต่างๆ ให้โลกเขาเชื่อ ใครจะเชื่อ ตัวเป็นฟืนเป็นไฟเต็มหัวใจ กิริยาที่ออกมาจากฟืนจากไฟจะเป็นน้ำเป็นท่าได้ยังไง ถึงจะนิ่มนวลอ่อนหวานมันก็ไม่ได้หวาน มันเป็นกิริยาหลอกลวงโลกต่างหาก ไม่ใช่กิริยาที่เป็นความสัตย์ความจริงพอจะเชื่อถือได้ นำไปปฏิบัติเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตน มันมีแต่ฟืนแต่ไฟ ใครเชื่อก็เป็นฟืนเป็นไฟด้วยกันหมดนั่นแหละ นี่ละเรื่องกิเลสเป็นอย่างนี้ พากันจำเอานะ แล้วก็ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
วันคืนปีเดือนผ่านไปๆ อย่าเป็นบ้ากับกิเลสตัณหามากนัก มาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ให้มีความจืดจางกับมันบ้าง และหมุนใจเข้าสู่อรรถสู่ธรรม ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความมั่นใจแน่ใจตัวเองภายในใจนะ สมบัติเงินทองข้าวของเต็มโลกธาตุ ไม่มีอะไรเป็นที่ไว้ใจได้ยิ่งกว่าธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจจากการบำเพ็ญของตัวเองนะ ให้จำอันนี้เอาไว้ เอาละพอ เท่านั้นละ
คราวนี้ก็แน่นอนแล้วนะว่าวันที่ ๑๒ เมษา ๒๕๔๗ นี้ จะเป็นวันมอบทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ขาดไม่ได้ และดอลลาร์ ๑๐ ล้าน ขาดไม่ได้ ขาดอยู่เท่าไรนั่นละจะเอาไปให้พอในวันนั้นเลย ส่วนเงินบาทก็ดังที่เรียนให้ทราบแล้ว มันหมุนอยู่รอบเมืองไทยเรา เงินบาทนะ หมุนตลอดไม่ได้อยู่แหละ วันนั้นขอนั้น วันนี้ขอนี้ เมื่อวานก็มาแต่เราไม่ตอบรับ เพราะเราหมดกำลัง อยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ นี่หมายถึงเงินบาท หมุนรอบประเทศไทยเรา ส่วนทองคำกับดอลลาร์ร้อยทั้งร้อยเข้ามาตลอดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ไม่แยกไปไหนเลย สำหรับเงินบาทนี้กระจายทั่วโลก ก็มีแบ่งเข้าไปหาทองคำบ้างไม่มาก นิดหน่อย ดังที่ว่าดูเหมือนสองพันล้านกว่า นอกนั้นออกทั่วโลกไปเลย
เวลานี้ดอลลาร์ได้ ๑๓๗,๗๗๒ ดอลล์ รวมดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๙๓๗,๗๗๒ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๐๖๒,๒๒๘ ดอลล์ จะครบจำนวน ๑๐ ล้าน ส่วนทองคำเมื่อวานได้ ๑ กิโล ๓๐ บาท ๑๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๔๔๔ ดอลล์
ทองคำและดอลลาร์ต้องให้ได้ตามนั้น ไม่งั้นเสียเกียรติของเมืองไทยเราอย่างมากทีเดียว ไม่เอาเงินเข้าคลังหลวงเสียดีกว่า ทองคำที่ขาด ๑๐ ตันอยู่เท่านั้นเท่านี้ แหม อ่อนมากทีเดียว เสียมาก เพราะฉะนั้นจึงว่าคำนี้จะโผล่ขึ้นมาในวันมอบทองคำนั้นไม่ได้ ทองคำขาดเท่านั้นเท่านี้มอบไม่ได้ มีขึ้นไม่ได้เลยวันนั้น เพื่อรักษาเกียรติชาติไทยเรา ต้องรักษาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยิ่งเป็นวันสุดท้ายด้วยแล้วขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้เลย นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ว่าดอลลาร์ ไม่ว่าทองคำ ขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้ ต้องให้ได้อย่างนั้น เป็นจุดอันใหญ่โตของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติเลย ทองคำต้องได้ ๑๐ ตัน ดอลลาร์ต้องได้ ๑๐ ล้าน ประกาศออกทั่วโลกดินแดน
คราวนี้จะเป็นคราวที่โด่งดังอยู่สำหรับเมืองไทยเรานะ การมอบทองคำคราวนี้จะกระเทือนทั่วโลกนะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ทีนี้งานที่ว่าจะมอบที่วัดสวนแสงธรรม ตกลงทาง กทม.มาขอแบ่งเบาด้วย เลยขอไปจัดใหม่ให้ กะว่าจะได้สวนอัมพร เพราะจะมีคนมามากมายงานนี้ไม่น้อยนะ เฉพาะพระก็เต็มแล้วสวนแสงธรรม แล้วประชาชนก็ไม่มีที่อยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องหาใหม่เพื่อให้พอเหมาะกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายพระฝ่ายฆราวาส ตกลงเขาหาเรียบร้อย ที่สวนอัมพร ตกลงจะเอาที่นั่นก็ตกลงจะเอาที่นั่น คนจะมากนะ เพราะฉะนั้นเราให้สมเกียรติ ทองคำเราต้อง ๑๐ ตันว่างั้นเลย ดอลลาร์ต้อง ๑๐ ล้าน เป็นอย่างน้อย จะเพิ่มกว่านั้นเราไม่ว่านะ แล้ววันนั้นเป็นวันกระเทือนโลก จะออกทางวิทยุออกทางไหนหมดเลยแหละวันนั้น ทั่วโลกจะได้ยินชื่อเสียงของความอุตส่าห์ความรักชาติ ความเสียสละของพี่น้องชาวไทยเรา ประกาศก้องทั่วโลกจะได้ยินในวันนั้นทั่วถึงกันหมด จำเอานะ เอาละ จะให้พร
อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํฯฯฯ
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |