กายกับใจไม่ใช่อันเดียวกัน
วันที่ 5 มีนาคม 2547 เวลา 9:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

กายกับใจไม่ใช่อันเดียวกัน

 

         วันนี้เป็นวันสงบความฟุ้งซ่านของใจเข้าสู่ธรรม วันนี้เป็นวันมาฆบูชา ต้นเหตุที่เป็นมาฆบูชาก็มีพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ซึ่งบวชด้วย เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระพุทธเจ้าทรงบวชเองทั้งนั้น มาเองในวันนั้น ไม่มีใครได้นิมนต์ท่านมา อยู่ๆ ท่านก็มาพร้อมหน้ากัน ล้วนแล้วแต่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ และพระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วย เอหิภิกขุอุปสัมปทา ทั้งนั้นเหมือนกัน ท่านทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายที่เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ นั้น ท่านแสดงไว้ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ นี่ท่านแสดงแก่ผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ เพื่อเป็นคติและเป็นเครื่องรื่นเริงของบรรดาพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ล้วนๆ นั้น ได้ฟังเป็นเครื่องรื่นเริงใจและเป็นที่ระลึกอันใหญ่หลวง จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้

ในพระบาลีท่านแสดงไว้ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปทั้งปวง หนึ่ง กุสลสฺสูปสมฺปทา การยังกุศลผลบุญให้ถึงพร้อม หนึ่ง สจิตฺตปริโยทปนํ การทำจิตของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ หนึ่ง เอตํ พุทฺธานสาสนํ  นี่เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือว่าทุกพระองค์ก็ได้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายไปเลย รอบ รวบไปเลย จากนั้นท่านก็แสดงเป็นปริยายไปอีก แยกออกจากข้อใหญ่ใจความสามบทนี้ว่า อนูปวาโท อย่าไปกล่าวร้ายกับผู้ใด อนูปฆาโต อย่าไปทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใดตลอดสัตว์ทั้งหลาย ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร สำรวมอยู่ในพระวินัย ปาฏิโมกข์คือพระวินัยหรือกฎหมายพระ มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ เป็นผู้รู้จักประมาณในการขบการฉันการรับประทาน ให้จำเอานะเป็นข้อๆ วันนี้แปลเลย ปนฺตญฺจ สยนาสนํ ยินดีอยู่ในที่นอนที่นั่งอันสงบสงัด ปราศจากความพลุกพล่าน อธิจิตฺเต จ อาโยโค ประกอบจิตของตนให้มีความสงบผ่องใสจนถึงขั้นบริสุทธิ์ เหล่านี้ก็เป็น เอตํ พุทฺธาน สาสนํ เหมือนกัน เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ท่านสอนให้ละความชั่วทั้งนั้น ให้บำเพ็ญแต่ความดีงามจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งความดีงามแล้วก็เรียกว่า ถึงความพ้นทุกข์ ท่านแสดงไว้อย่างนี้ ในวันนั้นท่านแสดงเป็นพระโอวาท เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์

เราทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์พระตถาคต ท่านแสดงไว้เป็นเครื่องรื่นเริงของพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผู้บริสุทธิ์ ละบุญ บาป ทั้งหมดได้โดยสิ้นเชิง ฟังซิ บุญก็ละ บาปก็ละ คือบุญเป็นบันไดเป็นเครื่องหนุนให้ถึงความพ้นทุกข์ บาปก็ละ คือบาปนั้นเป็นสิ่งที่กดถ่วงลง ให้สัตว์โลกได้รับความทุกข์ความลำบากเพราะการกระทำของตน ส่วนความดีนั้นเกิดขึ้นจากการทำความดีของตนโดยลำดับ จนหนุนขึ้นถึงที่สุด เหมือนบันไดพาดขึ้นถึงที่สุดของบ้าน ขึ้นถึงบ้านแล้วก็ปล่อยบันได ขึ้นถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นแล้วก็ปล่อยบุญและบาป ซึ่งเป็นเรื่องสมมุติทั้งมวล อันนี้เป็นสมมุติ บาปก็เป็นสมมุติ บุญก็เป็นสมมุติ บุญเป็นเครื่องหนุนให้ถึงนิพพาน พอถึงนิพพานแล้วเลยสมมุติทั้งหลายเหล่านี้ไปแล้ว ท่านจึงเรียกว่า ปุญญปาปปหินบุคคล เป็นผู้ละบุญและบาป ซึ่งเป็นแดนสมมุติเสียได้โดยสิ้นเชิง

นี่พระโอวาทของพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ วันนี้จึงเป็นวันสำคัญ ในเวลาบ่ายท่านมาเองด้วยกันทั้งนั้น พระองค์ก็ประทานโอวาทเป็นที่ระลึก เป็นที่รื่นเริงของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็เป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราให้ได้ประพฤติปฏิบัติตาม อย่าปล่อยใจ ปล่อยกาย วาจา ปล่อยใจนี้สำคัญมาก ถ้าปล่อยใจแล้ว กาย วาจา ซึ่งเป็นบริษัทบริวารเครื่องใช้ของใจก็เป็นอันปล่อยไปด้วย เพราะกาย วาจา เป็นเครื่องมือของใจ จะทำดี จะทำชั่ว พูดดี พูดชั่ว ออกไปจากกาย วาจา แล้วทั้งสองนี้ออกไปจากใจ ถ้าใจได้รับการอบรมแล้ว การพูดการจาการกระทำทุกอย่างจะมีความสำรวมระวัง ในความผิดถูกดีชั่วที่ตนจะกระทำลงไปแต่ละชิ้นละอัน เรียกว่าใช้ความระมัดระวัง

ท่านจึงสอนให้อบรมใจ อบรมอะไรไม่มีความหมาย จะว่าอะไรดีตกแต่ง อะไรดีตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ที่อยู่ที่อาศัย เครื่องนุ่งห่มใช้สอยต่างๆ จะทำให้ดิบให้ดีอะไรๆ ก็ตาม ถ้าใจไม่ดีแล้วก็เหมือนกับสิ่งเหล่านี้ประดับโลงผีนั้นแล ผีคือผีโลภ ผีโกรธ ผีหลงอยู่ภายในใจ ตัวนี้เป็นตัวอาละวาด เพราะฉะนั้นจึงควรได้รับการอบรมจิตใจตัวนี้ให้ดี ให้อยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรมคือความดีงาม อย่าปล่อยใจ จะกลายเป็นการปล่อยเนื้อปล่อยตัวไป เลอะเทอะ คนทั้งคนหาคุณค่าไม่ได้ถ้าปล่อยใจให้เป็นตามยถากรรม คือกิเลสฉุดลากไปโดยลำดับ ไม่มีชิ้นดีเลย จึงต้องใช้ความระมัดระวัง

การอยู่การกินการใช้การสอย การประพฤติตัว เหล่านี้ต้องอยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรมความระมัดระวัง จะพอดีพองามไปทุกอย่าง กินก็ไม่กินแบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม กินแบบลืมเนื้อลืมตัว กินไม่หยุดไม่ถอย จิ๊บๆ แจ๊บๆ ทั้งวันทั้งคืน สร้างความสิ้นเปลืองให้แก่ตัวเอง และสร้างความไม่ดีให้แก่จิตใจ ใจเลยกลายเป็นใจรั่ว อะไรเก็บไม่อยู่ คนใจรั่วเก็บอะไรไม่อยู่ทั้งนั้น มีสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อย ใจรั่ว ใจเหลวแหลกแหวกแนวเสียอย่างเดียว ย่อมยังสมบัติทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งควรจะมีคุณมีประโยชน์แก่ตน ให้กลายเป็นความเสียหายกลับมาเผาตนเอง และทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นได้ด้วยทรัพย์สินเงินทองที่มีมากในบุคคลผู้ที่ใจลอยใจรั่ว ตรงกันข้ามผู้มีจิตใจเป็นหลักเป็นเกณฑ์ มีอะไรมามากน้อยเป็นประโยชน์ทั้งหมด ต่างกันอย่างนี้

การอยู่ก็เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็อยู่ไปเถอะมนุษย์เรา ไม่มีใครฉลาดกว่ามนุษย์เรา แต่ความฉลาดอย่าให้กลายเป็นความโง่ ทำลายตัวเองด้วยการปลูกสร้างสิ่งต่างๆ ไม่พออยู่ๆ อยู่บ้านหลังหนึ่ง นกตัวหนึ่งเขาทำรังพอดีกับเขา คนเราควรจะสร้างที่อยู่ที่อาศัยพอดีกับตน ไม่สร้างแบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนกลายเป็นสมมุติในแดนมนุษย์ว่า  เป็นหอปราสาทราชมณเทียร เอาไปแข่งเมืองสวรรค์ซึ่งเป็นเมืองที่แข่งยังไงก็แข่งไม่ได้ ก็เป็นเรื่องความเสียหายของเราที่ไม่รู้จักประมาณ เกิดจากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความลืมเนื้อลืมตัวทั้งนั้น สร้างบ้านสร้างเรือนสร้างแต่พออยู่พอเป็นพอไปให้อยู่ อย่าสร้างแบบที่ว่าชิงดีชิงเด่น มันไม่ได้ดีได้เด่นนะ ชิงเลว ชิงเด่นในความเลวต่างหาก ในความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมซึ่งเป็นการทำลายตัว

เมืองไทยเรานี้ถ้ามีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเต็มตัวแล้ว เมืองไทยนี้จมได้นะ ถ้าต่างคนต่างมีการประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักเป็นอยู่ปูวายใช้สอยให้พอเหมาะพอดีแล้ว เมืองไทยก็เป็นเมืองที่สวยงาม สวยงามไปจากใจที่รู้จักประมาณ สถานที่อยู่อาศัยที่หลับที่นอนก็พอเหมาะพอดีไปตามๆ กัน นี่ท่านเรียกว่าพอเพียงหรือเพียงพอ นอกจากนี้เสียทั้งนั้นแหละ ให้พากันไปปฏิบัติ

จิตใจเป็นของสำคัญ ชาวพุทธเรารู้สึกว่าห่างเหินศีลธรรมเอามาก เวลานี้มีตั้งแต่เรื่องความเสียหายล้อมหน้าล้อมหลัง เราหุ้มห่อตัวของเราด้วยหนังด้วยเสื้อด้วยผ้า แต่กิเลสมันหุ้มห่อ มัดเราอีกหนาแน่นยิ่งกว่านี้ คนทั้งคนเห็นแต่กิเลส เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามขนาดไหนก็เป็นเครื่องประดับกิเลส เพื่อทำลายตัวเราด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อคะนองนั้นแล ให้พากันระมัดระวังบ้างนะ ศีลธรรมนี่เป็นของสำคัญ ห่างเหินศีลธรรมเท่าไรก็ยิ่งใกล้ชิดติดพันกับฟืนกับไฟความเผาไหม้เดือดร้อนไปโดยลำดับลำดา ถ้ามีความใกล้ชิดติดพันกับธรรมแล้ว ความรู้จักประมาณ ความดิบความดี สวยงามไม่มีจืดจางก็คือความสวยงามแห่งศีลธรรมประจำตัวของบุคคลแต่ละคน

รูปร่างกลางตัวเราตกแต่งไม่ได้ เกิดมาก็มาตามกรรม อาศัยพ่อแม่เป็นแดนเกิดแล้วก็เกิดมาเป็นหญิงเป็นชาย รูปร่างกลางตัวไม่เหมือนกัน จริตนิสัยก็ไม่เหมือนกัน มันเป็นแกนอันหนึ่งอยู่ภายในใจของแต่ละคนๆ เกิดมานี้มีบุญกรรมเป็นแกนมา อาศัยพ่อแม่เกิดขึ้นมา รูปร่างกลางตัวขี้ริ้วขี้เหร่สวยงามขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมของตัวเอง พ่อแม่อยากให้ลูกสวยงามทุกคนนั้นแหละ ไม่ว่าพ่อแม่ของลูกคนใด ต้องการให้ลูกมีความสวยงาม เฉลียวฉลาด ยิ่งเฉลียวฉลาดกว่าพ่อกว่าแม่ พ่อแม่ยิ่งเป็นที่พอใจ แต่นี้มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะกรรมไม่อำนวย กรรมอำนวยอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น รูปร่างกลางตัวเป็นลักษณะใดก็เป็นไปตามกรรมของเรา

ตามที่ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกแจกสัตว์ให้มีความประณีตเลวทรามต่างกัน ใครจะไปตกแต่งอะไรๆ ไม่ได้ กรรมเป็นผู้ตกแต่งมาพร้อมแล้ว จะไปเกิดในสถานที่ใดก็ไม่เหนือกรรมเป็นผู้ตกแต่ง ไปเกิดในแดนฟ้าแดนสวรรค์ ก็เป็นกรรมตกแต่งพาให้ไปเกิด ไปเกิดในแดนนรกก็เป็นกรรมตกแต่งให้ไปเกิด กรรมนั้นเกิดขึ้นจากตัวผู้ทำเอง แล้วก็มาให้ตนเป็นผู้รับผลทั้งดีทั้งชั่ว จึงพากันให้ระมัดระวัง

เรื่องจิตใจเป็นตัวสำคัญ ซึ่งจะสร้างกรรมดีกรรมชั่วขึ้นมาได้ เราให้อบรม วันหนึ่งคืนหนึ่งชาวพุทธเรานี้ได้เคยระลึกถึงพุทโธไหม ธัมโม สังโฆไหม อย่างน้อยเวลาจะหลับนอนกราบพระเสีย พุทโธเป็นองค์ประเสริฐเลิศเลอสุดยอดแล้ว ธัมโม สังโฆ เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เรากราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ชั่วขณะหนึ่ง เราได้ความเลิศเลอมาสวมใส่ประดับประดาจิตใจของเรามากมาย และสวยงามเป็นอย่างมากทีเดียว ขอให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เวลาจะหลับนอน

จากนั้นก็ควรจะสละเวลา เราจะนั่งอย่างนี้ก็ได้(พับเพียบ) นั่งแบบไหนก็ได้ ให้ภาวนาสงบใจ คือทำใจให้สงบด้วยอารมณ์แห่งธรรม อารมณ์แห่งธรรมเท่านั้นที่จะพาใจให้สงบ อารมณ์ของกิเลสพาใจให้ฟุ้งซ่านรำคาญ สร้างฟืนสร้างไฟมาเผาเราอยู่ทั่วโลกดินแดน มีแต่อารมณ์ของกิเลสทั้งนั้น อารมณ์ของธรรมไม่มี ทีนี้เรามาอบรมจิตใจของเราด้วยอารมณ์ของธรรมโดยการภาวนา นั่งนึกพุทโธก็ได้ หรือธัมโม หรือสังโฆก็ได้ ตามจริตนิสัยชอบ แล้วมีสติกำกับ เอาคำบริกรรมกำกับใจของเรา ใจคือผู้รู้ ผู้รู้นี้จับไม่ได้นะ ละเอียดลออมาก ซ่านอยู่ทั่วสรรพางค์ร่างกาย สัตว์โลกต้องถือว่าคนทั้งคน สัตว์ทั้งตัวนั้น เป็นตัวเลยทีเดียว โดยไม่ได้แยกได้แยะว่าจิตเป็นอันหนึ่งต่างหาก ที่ครองร่างกายของสัตว์หรือบุคคลอยู่ นี้เป็นความจริง

ทีนี้เรารวมกระแสของจิตนี้เข้ามาอยู่กับพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆอย่างเดียว มีสติกำกับอยู่กับจิตของเราโดยเฉพาะในเวลานั้น ให้นึกแต่พุทโธ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องอารมณ์ใดๆ เพราะเรานึกมาแล้วตั้งแต่เราตื่นนอนๆ ทุกวันจนกระทั่งหลับ ทีนี้เราจะให้สงบด้วยพุทโธ ไม่เอาอารมณ์อื่นเข้ามาเจือปน นึกพุทโธให้จิตสงบในเวลานั้น มีสติกำกับอยู่ นี่ท่านเรียกว่าอบรมใจ เรียกว่าภาวนา คือการอบรมจิตใจของเราให้มีความสงบเย็นจากสิ่งก่อกวนทั้งหลายคือกิเลส เราสงบลงด้วยคำภาวนาของเรา นี่ขอฝากพี่น้องทั้งหลายที่มาในวันนี้เพื่ออรรถเพื่อธรรม จึงขอฝากธรรมไว้กับพี่น้องทั้งหลายให้นำไปคิดไปอ่าน

ใจนี้ถ้าได้รับการอบรม ดังที่ท่านสอนไว้ว่าอบรมภาวนา คือพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น อยู่โดยสม่ำเสมอ ในวันคืนหนึ่งๆ ไม่ให้ขาด ทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน ให้ได้ทุกวัน จิตใจนี้จะเป็นความสง่างามขึ้นมาภายในท่ามกลางแห่งร่างกายนี้แหละ ร่างกายเป็นเรือนร่างของใจ ใจเป็นผู้อยู่ในท่ามกลางแห่งร่างกายนั้น แต่ใจนี้ยังไม่ได้รับการอบรม กระแสของจิตจึงซ่านไปทั่วสรรพางค์ร่างกาย พร้อมกับความอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตนของตนเสียทั้งหมด คนทั้งคนกับใจจึงบวกเป็นอันเดียวกัน ว่าเป็นคนเป็นสัตว์ เมื่อเราได้ทำการอบรมจิตใจของเราแล้ว เรื่องของใจกับเรื่องของกายมันจะแบ่งกันไปเอง แบ่งสันปันส่วนกันไปเรื่อยๆ จิตใจจะสงบตัวเข้ามา แล้วมองเห็นร่างกายนี้ว่าเป็นอันหนึ่งที่เป็นเรือนร่างของใจ เป็นที่อยู่ที่หลับนอนของใจ ว่างั้นก็ได้ ใจก็สงบเข้ามา

เมื่อได้รับการอบรมให้สงบเข้ามาหนักเข้าๆ ใจสว่างไสว ใจรวมตัวมาเป็นชิ้นหนึ่งชิ้นเดียว ก้อนหนึ่งก้อนเดียว ร่างกายเป็นอันหนึ่งต่างหาก ทีนี้แยกกันได้ เช่นอย่างเราเอาผลไม้ผลหนึ่งมาวางบนจาน จานนี้เป็นจาน ผลไม้เป็นผลไม้ แม้จะอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่อันเดียวกัน จานเป็นจาน ผลไม้เป็นผลไม้ฉันใดก็เหมือนกัน ร่างกายกับใจ ร่างกายเหมือนกับภาชนะ จิตใจเหมือนกับผลไม้ อยู่ด้วยกันแต่ไม่ใช่อันเดียวกัน จิตใจย่อมกลั่นกรองตัวเองให้มีความแปลกต่างจากร่างกายเข้ามา หดย่นเข้ามาเป็นความสงบร่มเย็นภายในใจ เมื่อจิตมีความสงบร่มเย็นแล้วจะแสดงความผ่องใสแปลกประหลาด ตลอดถึงความอัศจรรย์เป็นขั้นๆ ขึ้นไปภายในจิตใจ

ไม่มีใครบอกก็รู้เองว่า กายกับใจไม่ใช่อันเดียวกัน ใจคือนักรู้ กายนี้เป็นเครื่องมือของใจไม่ใช่นักรู้ ที่อวัยวะต่างๆ ของเรารู้นั้นเป็นกระแสของใจ ซ่านไปตามสรรพางค์ร่างกาย และประสาทส่วนต่างๆ ให้รับรู้ต่างๆ กัน ตารับรู้ในทางเห็น หูรับรู้ในทางได้ยิน จมูกรับรู้ในกลิ่น ลิ้นรับรู้ในรส กายรับรู้ในสิ่งสัมผัสต่างๆ อะไรสัมผัสรู้ๆ นี่ออกมาจากใจ คือกระแสของความรู้ซ่านไปตามสรรพางค์ร่างกายนี้ ร่างกายจึงรู้ได้ทุกสัดทุกส่วน อาศัยใจออกไป ทีนี้พอใจหดเข้ามาเสียเท่านั้น ตาก็เป็นตาเฉยๆ เหมือนตาไม้ไผ่ หูก็เป็นหูกระทะ หูกะทอไป เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ พอใจคือความรับทราบนั้นหดตัวเข้ามาสู่หลักเดิมของตนคือใจแท้ กระแสของใจเข้ามาสู่ใจนี้แล้ว สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนไปหมด

พอกระแสของจิตกระจายออกไปนี้ ก็รู้ว่านั้นเป็นนี้ นี้เป็นนี้ ตาใช้ทางดู หูใช้ทางฟังได้สะดวกสบาย ให้ท่านทั้งหลายพากันจำเอา นี้กระแสของจิตออกรับทราบในสิ่งต่างๆ ทั่วสรรพางค์ร่างกายเรา ทีนี้เวลาฝึกหัดเข้าไปจริงๆ จิตมีความสง่างามอยู่ภายในตัว กระแสของจิตก็รู้ว่าส่งไปส่วนร่างกายส่วนต่างๆ ก็รู้ รากฐานของความรู้คือใจก็รู้ตัวเอง นี่เวลาเราอบรมใจเข้าไปจะรู้อย่างนี้ ต่อจากนั้นจะสงบเข้าไปๆ ความผ่องใสของใจจะแยกตัวจากร่างกายเป็นลำดับลำดา ความสง่างาม ใจสง่างามไม่ได้เหมือนกายที่เราแต่งเนื้อแต่งตัวให้สง่างาม มันแต่งตัวให้ซากผี ข้างในพุงเรามันมีอะไรนั่น พิจารณาซิ

ใจนี้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นนะ สะอาดสะอ้านอยู่หมด แต่อาศัยสิ่งสกปรกเหล่านี้เป็นเรือนร่างอยู่เป็นประจำจนถึงชั่วอายุขัย เมื่อได้รับการอบรมแล้วใจจะแยกตัวเอง เหมือนอย่างบ้านกับเรา ถึงบ้านเป็นบ้านเราแต่ไม่ใช่เรา เราเป็นเรา บ้านเป็นบ้าน เสื่อเป็นเสื่อ หมอนเป็นหมอนไม่ใช่เรา อันนี้ใจอาศัยอะไรอยู่ อันนั้นเป็นอันนั้นๆ ไม่ใช่ใจ ร่างกายส่วนต่างๆ มากน้อยเต็มสรรพางค์ร่างกายไม่ใช่เรา ใจเป็นเรา เราไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น รวมเข้าๆ จิตใจนี้จะสงบแปลกประหลาดเข้าไปเรื่อยๆ สง่างามผ่องใสแล้วอัศจรรย์ขึ้นภายในตัวในท่ามกลางแห่งร่างกาย ร่างกายไม่เป็นของอัศจรรย์อะไร แต่ใจนี้เมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมแล้วสง่างามขึ้นๆ แล้วเป็นการสั่งสมความสุขความเย็นใจขึ้นภายในใจของผู้อบรมจิตใจเสมอไป ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ

นี่เราอบรมและอธิบายเพียงขั้นนี้ก็พอเป็นเครื่องดูดดื่ม เป็นที่พึ่งของใจได้เป็นลำดับ ยิ่งจิตได้รับการอบรมให้มากยิ่งกว่านี้แล้ว ความพิสดารของจิตไม่มีอะไรเกิน ไม่มีอะไรคาดถึงเลย คำว่าสุขก็เหนือขึ้นไปโดยลำดับ สว่างไสวก็สว่างกว้างออกไปๆ เรื่อย ความอัศจรรย์ก็แปลกประหลาดขึ้นไปเรื่อย ชำระสิ่งที่มัวหมองทั้งหลายซึ่งหาคุณค่าไม่ได้ออกจากใจด้วยการภาวนาเป็นลำดับลำดาไป

ใจเมื่อได้รับการซักฟอกให้มีความผ่องใส ยิ่งสง่างามไม่มีสิ้นสุด ตลอดจนกระทั่งถึงวิมุติพระนิพพาน นันแหละใจดวงนั้นแหละเป็นใจที่เลิศเลอ ส่วนร่างกายนี้เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วก็กระจายออกไปจากส่วนผสมของตน ส่วนดินเป็นดิน เป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ ส่วนใจก็ถอนตัวออกไปด้วยความบริสุทธิ์ กลายเป็นธรรมธาตุไปหมด นี่การอบรมใจมีคุณค่ามหาศาลอย่างนี้แล

เราเป็นลูกชาวพุทธ ไม่ควรที่จะปล่อยวางธรรมชาติที่ประเสริฐเลิศเลอนี้ออกจากใจกายวาจาความประพฤติของเรา ให้กลมกลืนไปกับศีลกับธรรมไปเรื่อยๆ เราจะมีความผาสุกร่มเย็น ประพฤติตัวอยู่ตามบ้านตามเรือนก็มีความสงบเย็นใจ ครอบครัวหนึ่งๆ พ่อแม่มีศีลมีธรรม ลูกเต้าก็ชุ่มเย็นเป็นสุข สนิทสนมทุกสิ่งทุกอย่างกับพ่อกับแม่กับตัวของตัวเอง แล้วลูกต่อลูกก็ไม่ค่อยทะเลาะกัน นี่แหละอำนาจของธรรม ประสานเข้าตรงไหนเป็นความสงบร่มเย็นไปหมด

ขอให้ท่านทั้งหลายนำธรรมเหล่านี้ไปปฏิบัติ วันนี้พูดถึงเรื่องมาฆบูชาเพียงย่อๆ ให้พอเหมาะพอดีกับกาลเวลากำลังวังชาของท่านทั้งหลายที่มาศึกษาอบรม กลับไปแล้วก็อย่าลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นเครื่องอบรมใจเสมอนะ ส่วนธรรมที่เลิศเลอกว่านี้ หลวงตายังไม่พูดเวลานี้ เราอยากทราบท่านผู้บำเพ็ญธรรมได้ความรู้วิชาขนาดไหนมา มา มาถามหลวงตา หลวงตาจะโง่ขนาดไหนท่านทั้งหลายจะได้เห็นๆ พระพุทธเจ้าโง่ฉลาดขนาดไหน สาวกยอมรับทันทีๆ ว่าพระพุทธเจ้าเลิศหรือไม่เลิศ สาวกประกาศตนออกมาด้วยธรรมชาติอัศจรรย์ขนาดไหนยอมรับพระพุทธเจ้าทันที

นี่การสอนพี่น้องทั้งหลาย อยากให้ได้ความดิบความดีเป็นทุนรอนของตน แล้วก็จะประกาศสักขีพยานแห่งพุทธศาสนาออกไปทั่วโลกดินแดน ว่าเป็นความดีความเลิศ โลกทั้งหลายเราก็จะมีความสงบร่มเย็น เอาละการแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าเหมาะสมกับกาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ ต่อไปนี้จะให้พรนะ

อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ฯฯ

โยม หลวงตาครับกราบขออนุญาตครับ นั่งภาวนากำหนดลมหายใจตามด้วยพุทโธๆ แล้วรู้สึกตัวเหมือนหลับไปครับ พอรู้สึกตัวอีกทีก็ยังรู้ลมหายใจอยู่ แต่เหมือนมันหลับครับจะแก้ยังไงครับ

หลวงตา ไม่ได้หลับ ไม่ได้หลับแหละอย่างนั้น

โยม มันไม่รู้สติเลยนะครับ มันไม่รู้อะไรเหมือนมันหายไปเฉย ๆ เลยนะครับ

หลวงตา สติกับจิตมันคนละอย่าง สติก็ระงับจะเป็นยังไง เช่นอย่างที่ว่าพระอรหันต์อย่างนี้สตินีท่านใช้ในวงสมมุติเข้าใจเหรอ สตินี้ก็เป็นสมมุติ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ความระลึกรู้ในความบริสุทธิ์นี่เป็นสติเข้าใจไหม ความบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติอันหนึ่งต่างหาก อันนี้เวลามันสงบลงไปเงียบไปเลยสติก็ปล่อยอยู่นั้น พอถอนขึ้นมาสติก็รับทราบออกมาเข้าใจเหรอ มันไม่ได้หลับแหละ

โยม ต้องแก้ใช่ไหมครับ

หลวงตา ให้ภาวนาไป มันเป็นไปได้มากน้อยเพียงไรภาวนาไปมันลงไปอย่างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

โยม ไม่รู้ตัวครับ หายไปเลย ผมเป็นปีแล้วครับติดตรงนี้มาเป็นปีแล้วครับ

หลวงตา อันนี้มันมีอันหนึ่งอยู่ภายในนั้นแหละ แล้วกำหนดลมหายใจนั้นมันหายไปเลยเหรอ

โยม กำหนดตอนแรกก็รู้อยู่ครับ สักพักหนึ่งก็หายไปครับ มันไม่รู้อะไร

หลวงตา หายไปทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ง่วงไม่ใช่เหรอ หรือว่าเราหลับด้วยการภาวนามันก็มี คือพุทโธ ๆ หลับไปกับพุทโธอย่างนี้มี มีประจำกรรมฐาน ท่านภาวนาในจิตของท่านจะรู้อยู่จนกระทั่งพอหลับปั๊บปล่อยมันไป แน่ะ มันไม่ได้ไปที่อื่นพูดง่าย ๆ ว่างั้น มันภาวนาแล้วลมมันหายไปแล้วมันเป็นยังไงทีนี่

โยม พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้ลมหายใจเข้าออกเหมือนเดิมครับ ยังมีพุทโธกำกับอยู่เหมือนเดิมครับ

หลวงตา แล้วเวลาลมหายใจดับแล้วมันเป็นยังไงที่นี่

โยม มันไม่รู้ตัวเลยครับ

หลวงตา พอลมหายใจมันดับหรือลมหายใจดับ รู้อยู่ไหมว่าลมหายใจดับ

โยม ไม่รู้เลยครับ หายไปเลยครับ ไม่รู้สึกตัวเลยครับ

หลวงตา ลมหายใจมันหายไปมันรู้อยู่นี่น่ะ

โยม อันนี้ไม่รู้ครับ คงหลับใช่ไหมครับ

หลวงตา จะว่าหลับก็ไม่เชิง ความหลับในวงภาวนาก็ถูกอยู่ ยังไม่ถูกต้องดี อย่างนั้นหลับไปเป็นอย่างนั้น พอเวลาลมหายใจมันดับมันก็รู้นี่ เวลามันปล่อยเสียจริง ๆ มันปล่อยหมดทุกอย่างลงของมัน นั่น เวลาถอยขึ้นมามันก็มารับทราบสมมุติทั่วๆ ไป เป็นอย่างนั้น แล้วเรากำหนดดูว่าลมหายใจมันจะดับไปถึงไหน ให้ดูลมหายใจ เวลาลมหายใจดับมันเป็นยังไงอีกให้รู้อีกตรงนี้อีกทีหนึ่งนะ อย่าด่วนอันนั้นไปทีเดียว ให้มีสติดูอยู่ลมหายใจนั้นนะ แล้วพอลมหายใจดับมันหายไปเลยอย่างนี้ ลมหายใจดับแล้วมันจะหายหรือไม่หายผู้รู้รู้อยู่ลมหายใจดับ ให้มีผู้รู้อยู่นี้หน่อยหนึ่งเข้าใจเหรอ เอ้า ตั้งใหม่ เอาแค่นั้นแหละ ยังไม่อธิบายมากละ ก็มีเท่านั้นแหละ เอ้า ใครอยากเลิกก็เลิกได้ทีนี่

ทองคำวันนี้ได้ ๒๕ บาท ๗๘ สตางค์ เอาละเท่านั้นละพอ

 

ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน   ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก