เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
คนมีศีล ปากต้องสำรวม
โยมอินโดนีเซีย มีปัญหา ๓ ข้อ ข้อแรกอาทิตย์ที่แล้วเห็นหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบและท่านพ่อลี วัดอโศการาม ที่ทางจงกรม ต่อมาเห็นเป็นหลวงปู่มั่นองค์เดียวตลอด ข้อสอง ภาวนาแล้วเหลือแต่จิตอย่างเดียว ร่างกายและเวทนาต่างๆ หายหมด แต่จิตไม่หาย จึงดูจิตอย่างเดียว จิตพยายามคิดออกไปแต่บังคับไว้ไม่ให้ออก ข้อสาม ภาวนาไปเห็นหัวแยกจากกัน แล้วมีคล้ายน้ำผ่านหัวเข้ามาแล้วเข้าไปที่ใจ
หลวงตา อะไรก็ตามรวมเข้ามา ให้พิจารณาในร่างกายนี้ ส่วนภาพเหล่านั้นมันเคยมาแล้ว เป็นเรื่องธรรมเครื่องเตือนเสมอ ธรรมเป็นเครื่องเตือน เริ่มต้นพิจารณายังไง ภาวนายังไงเริ่มต้น
โยม ใช้พิจารณาดูจิตอย่างเดียว
หลวงตา ดูแต่จิตอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูกายด้วย ถ้าปล่อยคำบริกรรมแล้วมันก็จะออกดูเรื่องเหล่านี้ ออกดูกาย กายเป็นสำคัญมากทีเดียว ส่วนที่รู้นั้นรู้นี้ อย่างภาพหลวงปู่มั่นหรือภาพอะไร เป็นธรรมท่านมาเตือนเราให้เป็นที่อบอุ่นภายในจิตใจ เป็นกิริยาของธรรมทั้งนั้นแสดงในแง่ต่างๆ เพื่อสอนเราๆ เตือนเรา เพื่อความอบอุ่นแก่เราหลายด้านนะ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ที่ว่า มากราบเรียนถามพ่อแม่ครูจารย์ เพราะมันเป็นเอาเสียจน เร่งความเพียรเท่าไรเลยไม่มีกลางวันกลางคืน หลับตาลืมตาเห็นแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่ตลอดเวลา เวลาออกไปนะ เวลาอยู่กับท่านไม่ค่อยปรากฏแหละ องค์ท่านอยู่แล้ว นั่น พอออกจากท่านไปนี้เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าหลับตาลืมตา เลยมีแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นภาพ บางทีเหมือนว่าจะเป็นบ้า เราก็รู้อยู่ว่าเราไม่เป็นบ้า คือมันพิลึก เด่นตลอด จึงมาถามท่านว่าทำไมเป็นอย่างนั้น
เอ้า พิจารณาไป ท่านว่าอย่างนั้น นี่ก็เห็นกันอยู่นี่น่ะไปยุ่งอะไร อันนั้นเป็นเครื่องอบอุ่น เครื่องเตือนเราให้เรามีกำลังใจเพิ่มขึ้นเสมอ ท่านว่าอย่างนั้น เวลาท่านแยกออกไป เพื่อจะมาภายในนี้ เรื่องนี้ก็เพื่อจะมาภายใน มาแก้ภายใน ให้พิจารณาร่างกายนะ พิจารณาไปมันจะรู้แหละเรื่องสภาพของร่างกาย ทีแรกเราก็ใช้คำบริกรรม จากนั้นแล้วมันเข้าไปเป็นความสงบ พอสงบก็พิจารณาร่างกายกับจิตอยู่นี้ อันนี้เป็นข้อสำคัญมากทีเดียว นี่เรื่องชะล้างกิเลสชะล้างอย่างนี้ อันนั้นเป็นอุปกรณ์เครื่องหนุนเข้ามาเป็นกำลังใจเพื่อชะล้างอันนี้ มันเป็นตอนๆ ไป ไม่มีใครบอกก็รู้ พิจารณาร่างกาย
ตั้งแต่เริ่มต้นที่ว่าบริกรรม จากนั้นจิตก็เข้าสู่ความสงบ แล้วก็ออกมาพิจารณาร่างกาย พิจารณาเสียจนแหลกจนเหลวจนไม่มีอะไรพิจารณามันก็ปล่อยของมัน แน่ะ มันปล่อยของมันเอง ปล่อยเรื่อยๆ พออันนี้พอแล้วปล่อยไปเรื่อยๆ เหมือนก้าวบันได จนกระทั่งเป็นอากาศว่างเปล่า แล้วกำหนดจิตขึ้นเป็นภาพหรือเป็นนิมิตอะไรก็แล้วแต่ ฝึกซ้อมตัวเอง แล้วมันก็ค่อยเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ว่างๆ ไปหมด เป็นฐานของจิตดังที่ว่า มันหมดที่จะพิจารณาร่างกายมันก็ออกอย่างนั้นแหละ มันก็ว่างของมันไป จากว่างนั้นแล้วก็เป็นนามธรรม พิจารณาอารมณ์ของจิต เมื่อทางกายหมดอารมณ์ก็ยังเหลือแต่อารมณ์ของจิต เกิดดับ ดีชั่ว ไปเรื่อยของมันนั่นแหละ ไม่มีใครบอกมันก็ฝึกซ้อมของมันด้วยอุบายวิธีการของแต่ละคนๆ ไม่เหมือนกัน แต่เรื่องอย่างนี้เหมือนกันหากไปคนละแง่ ไปคนละแขนง การพิจารณาเหล่านี้เหมือนกัน ลงในคำว่าว่าง
พูดไปอะไร เรานี่โง่พูดจริงๆ นะ เราแจงทุกแง่ทุกมุม ผู้พิจารณาบางรายที่มีความตั้งอกตั้งใจพิจารณาจริงๆ ก็เป็นสัญญาอารมณ์ มักจะติดอันนั้นมาเป็นของตัวเสีย นี่ทำให้เสีย รายที่มีความปรารถนาลามกก็มาสวมรอยแล้วเอาไปเป็นความรู้ของตัวเอง ไปประกาศคนอื่นว่ารู้อย่างนั้นเห็นอย่างนี้ไปเสีย ลำบากนะ เพราะฉะนั้นจึงลำบากนะในการสอน แต่เราก็อยากจะให้เข้าใจจะทำยังไง แยกแยะให้ฟังทุกแง่ทุกมุม พ่อแม่ครูจารย์ท่านไม่อย่างนั้น พอไปถึงจุดสำคัญท่านหลีกปั๊บ ให้เข้าไปพิจารณาเองรู้เองๆ ไปอย่างนั้น
พูดถึงเรื่องร่างกาย ออกจากนี้มันก็ปล่อยของมันไปเรื่อย จนกระทั่งว่างไปหมด ปล่อยไปเรื่อย อย่างนี้ก็บอกไปแล้วนี่ มันก็ไปหมายแล้วนะ ผู้ที่มีเจตนาเป็นธรรมก็ไปหมาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ว่างก็ทำจิตของตัวให้ว่างไปเสีย ทั้งๆ ที่มันไม่ว่างมันก็ไม่ว่างอยู่อย่างนั้น มันลำบากนะ ให้มันเป็นขึ้นเองไม่มีใครบอกมันก็รู้ อย่างที่ว่านี่ ต่อไปอีกพิจารณายังไง เมื่อมันว่างเสียหมดโดยประการทั้งปวง มันว่างทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน จิตปล่อยวางหมด ว่างไปหมดเลย ทีนี้จะพิจารณาอะไร นั่น ทุกอย่างหมดสภาพ ผ่านไปหมดแล้วพิจารณาอะไร จะมาเป็นกรรมฐานอะไร นั่นฟังซิ จิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วไม่ได้เอาอารมณ์สมมุติทั้งหลายมาพิจารณา เพียงธรรมชาตินั้นพอตัวแล้ว นั่น มันก็หยุดของมันเอง ก็อยู่กับธรรมชาตินั้นถ้าว่าอยู่นะ อันนี้ให้มันเป็นเองมันก็รู้ด้วยกันนั่นแหละ
นี่เราก็ไม่ได้ไปเรียนจากใคร มันเป็นในเราเอง ออกยังไงมันก็ออก ที่มาสอนหมู่เพื่อนมันเป็นขึ้นมาในนี้ จะเอาเรื่องของผู้อื่นผู้ใดมาสอนมันไม่ถนัดใจยิ่งกว่าถอดออกจากนี้เลย ถอดจากนี้ๆ สอนไปเลย เวลามันหมดเสียทุกสิ่ง ชื่อว่าสมมุติหมดในจิตแล้ว พิจารณาอะไร เพื่อเป็นกรรมฐานอะไร มันก็รู้เอง ก็เป็นอย่างนั้น นี่ละทางก้าวเดิน ท่านว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มีแต่ทางก้าวเดินทั้งนั้นๆ พอถึงขั้น อนตฺตา แล้วอะไรก็เรียบ เป็น อนตฺตา หมด สมมุติมารวมกันที่ อนตฺตา นี้แหละ มันก็หมดแล้ว ผึง จาก อนตฺตา ก็นิพพาน
เพราะฉะนั้นที่ว่านิพพานเป็น อนตฺตา ฟังมันฟังไม่ได้ นั่นเห็นไหมเขียนไว้นั่น ค้านกันอย่างจังๆ ไม่มีสะทกสะท้าน ถอดจากหัวใจมานี่ บางคนก็ว่านิพพานเป็นอัตตา นิพพานเป็นอนัตตา ยุ่งไปหมดนะ ก็เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสมมุติ ทางก้าวขึ้นเพื่อพระนิพพานต่างหากนี่นะ พอพ้นจากนี้แล้วมันก็พ้นสมมุติ พ้นสมมุติแล้วก็หมดเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ธรรมชาตินั้นเป็นอะไร นั่น มันก็รู้เองอย่างนั้น แล้วยังจะไปลากอันนั้นเข้ามาเป็นอัตตา อนัตตา ถ้าอย่างนั้นนิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซี เข้าใจไหมล่ะ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ก้าวเพื่อพระนิพพาน เมื่อถึงนิพพานแล้วยังมาว่านิพพานเป็นอนัตตาอีก นิพพานเป็นไตรลักษณ์วิเศษวิโสอะไร ก็เท่านั้นเอง
อย่างนั้นละพูดมันขวางหูเขา มาถามที่เขื่อนหรือไง ออกตรงนั้นด้วย เขาออกตอนเย็นเลยนะ พอเราแก้ผางขึ้นเลยเพราะมันสะเทือนใจ เรื่องอัตตา อนัตตา ใส่ผางขึ้นมาเลย แล้วเขาก็ออกวิทยุในวันนั้นเลย เขาไม่เคยได้ยินนี่ แล้วก็ออกทั่วประเทศเลย แล้วที่จะมีใครมาค้าน เอ้ามา ว่างั้นเลย ก็ถอดออกจากหัวใจมาพูดนี่ จะเอาเงามาให้งมไม่งม งมเงา นั่นละอย่างนั้น ขอให้มันรู้เถอะ ไม่มีอะไรจะเกินยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรจะเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าผู้รู้ธรรมเป็นอันดับแรก จากนั้นอันดับที่สองก็พระสาวกอรหันต์ ท่านแน่นอนหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว นอกจากท่านจะพูดหนักเบามากน้อยให้พวกเราฟัง หรือไม่พูดเท่านั้น ท่านรู้หมดแหละ
เมื่อมันหมดเสียจริงๆ แล้ว มันก็หมดสมมุติแล้วในหัวใจ จะไปพิจารณาอะไรให้เป็นกรรมฐาน จะมากอดอะไรบันไดนี้ มันผ่านไปหมดมันก็รู้ เวลาก้าวเดินก็ก้าวเดินตลอด ปล่อยบันไดไม่ได้ บันไดคือทางเดิน กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ต้องเป็นบันไดก้าวเดินตลอด พอสุดขีดบันไดแล้วไตรลักษณ์หมด คือผ่านอันนั้นแล้วก็หมดปัญหา เรื่องธรรมทั้งหลายต้องมาขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ลงใจในการปฏิบัติ เพียงเรียนเฉยๆ เรียนเท่าไรก็คัมภีร์แตกไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ได้เหมือนปฏิบัติ เราไม่ได้ดูถูกอะไรก็เรียนมาเหมือนกัน เรียนก็เป็นทางเดิน แน่ะ เป็นแบบแปลนแผนผังก็บอกแล้ว แบบแปลนแผนผังเพื่อการก่อสร้าง ถ้าสงสัยไปดูแปลนแล้วก็มาก่อสร้างๆ ไม่ใช่มากอดแปลนโดยไม่ก่อสร้าง ก็เป็นแปลนวันยังค่ำในมือ แน่ะ
ถ้ามาก่อสร้าง สงสัยยังไงก็ดูแปลน นี่มาปฏิบัติ สงสัยยังไงก็ดูตำรา ตำราก็คือแปลน ดูเรื่อยๆ เมื่อถึงขีดแล้วแปลนก็ไม่ดู ไปดูหาอะไร กอดตำราก็ไม่กอดถ้ามันถึงที่แล้ว เพราะตำราก็ชี้เข้ามาหาจุดที่ตายใจแล้วนั่น นี่ละการปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าเวลานี้เราอยากจะพูดว่า มีแต่ทานเป็นพื้นฐานของชาวพุทธเรา เรื่องศีลมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้วผู้ตั้งใจรักษาศีลก็คือพระ มันก็กลายเป็นสูญไปหมดเดี๋ยวนี้ เราอยากพูดอย่างนั้นนะ นี่เราพูดภาษาธรรม ไม่เข้าใครออกใคร เพราะดูมันมีแต่เลอะๆ เทอะๆ คนมีศีลจะทำอย่างนั้นเหรอ
คนมีศีล ปากก็ต้องสำรวมซี ปากพูดยังไง พูดดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ทำลายผู้อื่น มันเป็นปากของคนมีศีลหรือนั่น ปากมหาภัย คนไม่มีศีลเขาพูดได้ เขาเป็นมหาภัยไม่มหาภัยเขาไม่สนใจ เพราะเขาไม่มีศีล ไอ้เรามีศีล ปากไปพูดแบบนั้นมันเลวกว่าพวกนั้นอีก คนมีศีลจะไปพูดเหรอ อะไรที่จะเป็นการกระทบกระเทือนก็เป็นการผิดศีล แล้วไปพูดหาอะไร กระทบกระเทือนคนนั้น ยุแหย่คนนั้น เหยียบย่ำคนนั้น ยกตนข่มท่านไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่คนถือศีล แล้วมันมีศีลไหมล่ะ
เช่นอย่างเหยียบหัวพระพุทธเจ้ามาโดยลำดับลำดา คนมีศีลไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้เหรอ มันเลยเทวทัตไปแล้วนั่น ฟังซิ ว่าพวกอยู่ในป่าในเขาเป็นคนวิกลจริต ฟังซิมันฟังได้ไหม มันเลวยิ่งกว่าอะไรอีก ศาสดาองค์เอกมันไม่มองดูเลย นั่นสกุลใหญ่ สถาบันแห่งพุทธศาสนาคือป่า ท่านไล่เข้าป่าทั้งนั้น ท่านไม่ได้ไล่เข้ามายุ่มย่ามๆ อยู่ในส้วมในถาน แล้วไปดูถูกพระพุทธเจ้าว่าถานของข้าดีกว่าทองคำของเธออย่างนั้น เอาถานไปแข่งทองคำ ไปโปะหัวทองคำ ฟังซิมันฟังได้ไหม
นี่ละใจไม่มีศีล ใจไม่มีธรรม ปากไม่มีศีล ปากไม่มีธรรม มันทำไปได้ทุกแห่งนั่นละ เพราะฉะนั้นจึงว่าเรื่องศีลนี่มีน้อยมากในพุทธศาสนาของเรา นอกจากท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นในวงกรรมฐานที่ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรม เฉพาะอย่างยิ่งสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่ตายใจได้มากที่สุดแหละ อย่างนี้มีศีลไม่ต้องถาม ต่างคนต่างระมัดระวังหิริโอตตัปปะประจำใจ ศีลท่านไม่ให้ด่างพร้อยเลย แนะนำก็จะแนะนำตั้งแต่เรื่องสมาธิขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างพ่อแม่ครูจารย์สอนพระนี่ ท่านไม่ค่อยเกี่ยวถึงศีล เพราะท่านทราบเรื่องพระมาแล้วมาเพื่ออะไร มุ่งหน้ามาเพื่ออรรถเพื่อธรรมอย่างเต็มใจ หิริโอตตัปปะที่ละอายต่อบาปต่อกรรมที่จะมาทำลายศีลให้ด่างพร้อยไปนี้ท่านไม่มี ท่านมีแต่ความละอายคือจะมาทำลายไม่มี อย่างนั้นท่านจึงสอนตั้งแต่สมาธิขึ้นไป นั่นยอมรับว่ามีศีลอย่างนั้น แบบโกโรโกโสพ่นน้ำลายอวดนั้นอวดนี้ มีศีลอะไรพ่นน้ำลาย พ่นตรงไหนมีแต่มูตรแต่คูถเต็มปาก พ่นออกไปก็เต็มหัวคนเลอะเทอะไปหมด เหม็นคลุ้งไปหมดทั่วประเทศเขตแดน นั่น ไม่มีศีลเป็นอย่างนั้น แล้วยิ่งภาวนาด้วยแล้วแทบว่าไม่มี นี่ภาวนา
นี่พุทธศาสนา ทาน ศีล ภาวนา หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ไม่มี มีแต่ทานเป็นพื้นฐานของชาวพุทธเรา ที่เห็นได้ชัดก็คือทาน มีอยู่ทั่วไปเป็นนิสัยของชาวพุทธเรา ศีลมีน้อย แต่เรื่องภาวนาแทบไม่มี ถ้ามีภาวนาแล้วมันจะกระจายไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดลออ ความผิดพลาดไม่ค่อยมีคนมีภาวนาในใจ แม้เป็นฆราวาสก็เถอะ ถ้าลงมีภาวนาจิตใจมีหลักมีเกณฑ์อยู่บ้างแล้ว มันจะรู้เรื่องผิดเรื่องถูก น่าทำไม่น่าทำ มันจะเป็นการเตือนอยู่ในตัวในจิต จิตเป็นเจ้าของ กิจการต่างๆ ไปจากจิต อะไรควรไม่ควรมันจะรู้
เรื่องภาวนาจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด แม้กิริยาภายนอกแสดงออกมานี้ก็ไม่ค่อยผิดพลาด น่าดูสวยงามไปทุกอย่าง คือมันไม่ค่อยผิดพลาดเนื่องจากจิตนี้มีภาวนามีหลักใจ หลักใจก็ต้องมีสติ มีสติก็ต้องมีปัญญาแนบกันไป นี่ละหลักพุทธศาสนาให้สมบูรณ์แบบต้องให้มีทาน ศีล ภาวนา หรือศีล สมาธิ ปัญญา นั่น หลักของพุทธศาสนา แล้วก็ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีการศึกษาเล่าเรียนแล้วเพื่อปฏิบัติ แล้วมาปฏิบัติปรากฏผลขึ้นมา นี่สมกับเจตนาของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนสัตว์
เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีนะ ศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่ได้เต็มบาทเต็มเต็งนะ ขาดบาทขาดตาเต็งชาวพุทธเรานะ ไม่ค่อยเต็มบาทเต็มเต็ง ให้เต็มบาทเต็มเต็ง ให้มีทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา ถึงเชือกเส้นเล็กๆ มันก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยของมัน เส้นใหญ่ก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย ๓ เกลียว ฟั่นใส่กันแล้ว ๓ เกลียว เส้นเล็กก็เต็มเหนี่ยว เหมือนเด็ก เด็กก็เต็มบาท ผู้ใหญ่เต็มบาท เต็มไปตามๆ กันเลย ถ้ามีครบ เด็กก็อวัยวะครบแล้วนั่น เต็มเด็กแล้ว ผู้ใหญ่ก็อวัยวะครบเต็มผู้ใหญ่แล้ว อันนี้เชือกเส้นเล็กๆ ก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยของเชือกเส้นเล็กเส้นใหญ่อย่างนี้ มันขาดไปสักเกลียวใดเกลียวหนึ่งเชือกก็ไม่เต็มบาทเชือกไม่เต็มเต็ง แน่ะ
คนเราขาดศาสนา ศาสนาขาดทาน ศีล ภาวนา ขาดอันใดอันหนึ่ง ยิ่งขาดภาวนาด้วยแล้วยิ่งขาดใหญ่นะ ขาดบาทขาดตาเต็ง ภาวนาไม่ค่อยมี เราจึงได้รื้อฟื้นขึ้นมา ถ้ารื้อฟื้นภาวนาขึ้นมา ต่างคนต่างภาวนาแล้วต่างคนต่างจะรู้จะเห็น แล้วศาสนาจะเกิดขึ้นในบุคคลๆ ผู้มีธรรมคือภาวนาเป็นพื้นฐานนั่นแหละ แล้วศาสนาเจริญที่นั่นนะ โลกนี่ร่มเย็น ถ้ามีแต่คำพูดมาว้อๆๆ มาอวดน้ำลายกันไม่มีความร่มเย็น มันก็มีเหมือนกับคนมีกิเลสทั่วๆ ไป คนมีธรรมก็ตาม คำว่ามีธรรมคือเรียนธรรมก็ตาม แต่ใจไม่เป็นธรรมก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เลวยิ่งกว่าเขาผู้ไม่เรียนเสียอีก วันนี้ก็เอาเท่านั้นแหละนะ พูดไปพูดมารู้สึกเหนื่อย ว่าไม่มากมันก็มากอยู่นะ
เราไม่ค่อยสบาย เมื่อวานกับวานซืนไม่ถ่ายเลยเงียบเลย เงียบๆ ไปทุกอย่างไม่ปรากฏ วันนี้(ฉัน)อาหารค่อยดีขึ้นๆ เวลานี้กำลังเร่งรีบ เร่งรีบทั้งทองคำเร่งรีบทั้งดอลลาร์ อะไรก็ไปตามๆ กันนั่นแหละเพื่อจะเข้าคลังหลวงในวาระสุดท้าย
ให้พร อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํฯฯฯ
ทองคำเมื่อวานนี้ได้ ๑ กิโลฯ ๓ บาท ๓๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐๑ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วนั้น ๙,๑๒๕ กิโลฯ นั่นแหละที่ขาดอยู่ทั้งหมดนี้ เป็นพลังของเราที่จะเอาเข้าในคราวนี้ มันก็ขาด ๘๐๐ กว่า ๗๐๐ กว่า ขาดลงมาเรื่อยย่นๆๆ ลงมานี้ เดี๋ยวนี้ขาดไม่มากนัก ดอลลาร์ก็เหมือนกันขาดไม่มาก ย่นเข้ามาๆ มีเท่านั้นแหละ
วันนี้ท้องก็เงียบ คอยดูมันจะเป็นอะไร วันนี้ฉันจังหันได้มากกว่าทุกวันนะ เมื่อวานวานซืนไม่ค่อยได้ บังคับ วันนี้ไม่ค่อยบังคับมาก หากมี มีฝืนหากไม่ฝืนมากเหมือนทุกวัน
เอ้า ภาวนาดีๆ มีอะไรมาเล่าให้หลวงตาฟัง หลวงตาอยากฟังเสมอเรื่องภาวนา มันจะพิสดารมากนะภาวนา ไม่ได้เหมือนอะไรนะ เรื่องภาวนา ผลของการภาวนาพิสดารไปโดยลำดับลำดา สิ่งไม่เคยรู้ รู้ สิ่งไม่เคยเห็น เห็นขึ้นมารู้ขึ้นมา คนเราเมื่อมันรู้มันก็พูดได้ละซิ แตกออกเรื่อยๆ อย่างที่เขามาพูดเมื่อเช้าวานนี้เห็นไหมล่ะ อย่างนั้นแหละ ความรู้มันเป็นความรู้เกิดขึ้นจากตัวเองๆ ไม่ได้ไปหาเรียนจากใคร มันหากเป็นขึ้นมาๆ เป็นขึ้นมาอะไรมันก็พูดได้ๆ อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง เป็นแชมเปี้ยนต่อยกับพ่อแม่ครูจารย์ เข้าใจไหม อย่างนั้นแหละเวลามันเป็นขึ้นมาแล้ว ซัดกันเปรี้ยงๆ เลย ถ้าเป็นภาษาตลก อย่างเรานี่เรียกว่า โห ไอ้บ้านี่ จะว่างั้นแหละนะ ไอ้บ้ามันรู้แล้วที่นี่ ท่านไม่ได้ว่าอะไรกับเรานะ ว่าเราจะมีอะไรกับท่านนี้ไม่มี เห็นเราอาจหาญผึงๆ ขึ้นมานี้ ท่านก็คงยิ้มๆ อยู่ภายใน ท่านก็นิ่ง เราก็ขึ้นเต็มลายของเราที่พิจารณามันรู้อย่างไรมันเห็นอย่างไรๆ นี้มันอาจหาญละซิ แต่ก่อนขึ้นไปหาท่านไม่ว่าองค์ใด ธรรมดาครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ลูกหา ขึ้นไปมันเหมือนผ้าพับไว้ เป็นอย่างนั้นเหมือนกันหมด
เราขึ้นไปกิริยาก็เหมือนผ้าพับไว้นั่นแหละ พอบทเวลาขึ้นเวทีเอากับท่านนี่เสียงลั่นเลยเชียว มันเป็นขึ้นมาจะว่ายังไง ท่านก็นิ่งฟัง มีแต่อดขำไม่ได้เท่านั้นแหละ พูดภาษาตลกเราว่า โอ้ นี่ไอ้บ้ามันรู้แล้วนะนี่นะ คงว่างั้นนะ ท่านก็ปล่อยให้เราพูดเต็มเหนี่ยว จากนั้นท่านก็ตอบผางออกมา เราก็คอยหมอบฟัง เพราะพูดเรื่องผลของการปฏิบัติของเราเป็นอย่างนี้ๆ ผิดถูกประการใดก็มอบถวายท่านแล้ว ทีนี้คอยฟังท่านละซิ พอเราพูดจบภูมิของเราแล้วท่านก็เปรี้ยงๆๆ มันก็เป็นกำลังใจอันหนึ่งให้ท่านเมตตา เป็นกำลังใจให้ท่านเมตตามาก ใส่เปรี้ยงๆ แน่ะอย่างนั้นแหละ เวลามันรู้มันเป็นอย่างนั้นนะ ขั้นใดภูมิใดมันจะเป็นอย่างนั้นของมัน ผางๆ เลยแหละไม่มีรอใคร เพราะมันรู้ประจักษ์ๆๆ ในจิต ถอดออกมาจากความรู้ๆ นี่เพียงภาคปฏิบัติของเรา มันรู้มากน้อยเพียงไร มันก็เป็นขึ้นมาอย่างนั้น ยิ่งรู้เสียเต็มภูมิแล้วเป็นยังไง นี่พูดหาอะไร เอาละพอ ไปละที่นี่
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www.luangta .com หรือ www.luangta.or.th |