อยู่นี้เพื่อสงเคราะห์โลก
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๗

อยู่นี้เพื่อสงเคราะห์โลก

 

วันนี้ไม่ฉันอะไรมาก สังเกตมากวันนี้ พิถีพิถันการฉัน ไม่ค่อยฉันอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอาหาร มันผิดอะไรให้จับได้เลย อยู่ดี ๆ ก็อาเจียนออกมาอีก นั่นก็มีแต่น้ำ เพราะอาหารหมดแล้วตั้งแต่เช้าวานนี้ ถ่ายหมดเลยนะ ท้องหมดเมื่อวาน แล้ววานซืนก็หมด ถ่ายหมด อาเจียนออกหมด เมื่อวานนี้ก็เหมือนกันพอจามฟิ ๆ ขึ้น อ้าวมันจะเอาอีกเหรอนี่ จามไม่ทราบเป็นยังไงนะ มันจะเกี่ยวโยงยังไงไม่ทราบ เมื่อวานซืนก็จาม ปุ๊บ ๆ ๆ ถึง ๖ ครั้ง อ้าวนี่มันจะอาเจียนนะนี่ มันเกี่ยวโยงกันนะกับจามนี่ พอจามถึง ๙ ครั้งก็อาเจียนพร้อมเลย พุ่งๆ เลย

         เมื่อวานก็เหมือนกันอาเจียนถึง ๖ ครั้ง มันจะเอาอีกนะ ก็หมดเมื่อวานนี้หมด ถ่ายหมดจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะฉะนั้นเวลาอาเจียนตอนกลางคืนจึงมีแต่น้ำ นั่นเห็นไหม เนื้อมันออกไปก่อนแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรมาแสดงอาการต่าง ๆ ในท้อง ก็ดีอย่างหนึ่ง เวลาถ่ายมันก็ถ่ายเวลาอาเจียนก็อาเจียนไปแล้วเงียบไปเลย ไม่แสดงอาการอะไรนักนะ มันจะเป็นแบบปุบปับอะไรพูดไม่ถูก ธรรมดาท้องมันต้องมีลักษณะเจ็บหรือปวดหรือบีบหรืออะไรใช่ไหม นี่ไม่มีเลยเงียบตลอด เหมือนไม่มีอะไรเลยละ แต่มันก็อาเจียนของมัน

         เราแบกธาตุแบกขันธ์มานี้เราแบกไว้เพื่อโลกนะ เราไม่ได้แบกไว้เพื่อเรา เราพอทุกอย่าง อย่างที่ประกาศให้ทราบแล้วหนึ่งไม่เป็นสองเลย ที่ว่าอยู่นี้เพื่อสงเคราะห์โลกได้ตามกำลังของผู้พอมีนิสัยวาสนาบ้าง เพื่อได้สั่งสมความดีจากธรรมวันละเล็กละน้อยมันก็เพิ่มขึ้น ๆ ไอ้ผู้ที่มันหนาแน่นไม่สนใจกับคุณงามความดีอันนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ มอบให้เป็นกรรมของสัตว์เสีย ผู้ที่จะควรได้ก็ให้ได้เสีย จึงได้ประกาศธรรม เปิดออกมาเรื่อย เปิดออกมาเรื่อย เพื่อให้ได้สติ สะดุดใจเตือนตนในทางที่ดี

         จิตนี้พร้อมเสมอที่จะก้าวออกจากร่างนี้จะไปร่างใหม่ นั่นน่ะพร้อมเสมอ เป็นอย่างนี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ จิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่เคยฉิบหายนะ ทุกสิ่งทุกอย่างว่าายนี้ คือธาตุขันธ์นี่เป็นส่วนผสม ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ พอจิตวิญญาณถอนตัวออกไป อันนี้มันก็พังของมันไป ลงไปดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟตามเดิม ไม่ไปไหนอันนี้ นรก สวรรค์ นิพพาน บาป บุญ ไม่เอา เป็นตัวของตัวเต็มส่วน ดินเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เต็มสัดเต็มส่วนของเขา แต่จิตใจนี้ไม่เป็นอย่างงั้น

         อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านว่า จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว นั่นเห็นไหม คือมันออกจากร่างนี้จะไปร่างนั้น ออกร่างนั้นจะไปร่างนั้น สูง ๆ ต่ำ ๆ ตามแต่อำนาจของกรรมดีกรรมชั่วที่มีมากมีน้อย มันติดอยู่กับจิต ออกจากร่างนี้เหมือนบ้านนี้พังเราจะปลูกบ้านใหม่ เรามีเงินทองสมบัติเท่าไร ควรที่จะปลูกบ้านได้หลังขนาดไหนๆ มันก็ขึ้นอยู่กับสมบัติของเรา ถ้าไม่มีก็อยู่ร่มไม้ชายคาไปอย่างนั้น ถ้ามีจะสร้างหอปราสาทราชมณเทียรก็ได้ มันขึ้นอยู่กับสมบัติของผู้จะปลูกบ้านใหม่เรือนใหม่ อันนี้ออกจากร่างนี้จะออกไม่เป็นอื่น

         นี่ก็ได้พูดกันแล้วกับพี่น้องทั้งหลาย ตามจิตมาตั้งแต่วันออกปฏิบัติ จิตที่เป็นนักท่องเที่ยว ตามเข้ามา ทีแรกมันก็ไปครอบโลกธาตุ กระแสของจิตไปถึงไหนยึดมั่นถือมั่นเป็นกิเลส สร้างภพสร้างชาติ สั่งสมชาติเอาไว้เพื่อเข้ามาสู่ใจนี้ตลอดไป ทีนี้เวลาเราพิจารณาภาวนานี้เรียกว่าตามจิต เริ่มตามจิตนี่ให้ถึงที่สุดของมัน พระพุทธเจ้าตามจิตถึงได้ตรัสรู้ พระสงฆ์สาวกทั้งหลายตามจิตทันเรียบร้อยแล้ว อำนาจสิ่งที่พาให้เกิดให้ตาย ให้ท่องเที่ยวนั้นออกหมด อันนี้ละตัวพาให้เกิดให้ตายให้ท่องเที่ยว มันติดอยู่กับจิต แต่จิตนั้นไม่ตาย อันนี้พาไปสูงต่ำ บาปบุญ พาให้ไป ๆ อย่างนี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ ให้เชื่อนะ ลงเชื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้วเรานี้ก็หมดคุณค่าแล้วนะมนุษย์ทั้งคน เชื่อแต่กิเลสตัณหาจะพาจมไปเรื่อย ๆ นะ

         นี่ตัวก็ยังไม่ตายพูดยันให้พี่น้องทั้งหลายทราบเลยว่า ไม่มีสองเลยว่างั้นเลยนะ มันแน่อยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าแน่ฉันใด ไม่วัดรอยแน่ฉันนั้น ว่างั้นเลย นั่นละธรรมเป็นของประกาศอยู่กับใจ ใจเป็นนักรู้ รู้เต็มสัดเต็มส่วนแล้วก็หมด ไม่มีอะไรติดใจ นี่ละเรียกว่าธรรมธาตุ ที่ว่านักท่องเที่ยวนี่ ลงนรกก็ลง เอ้าทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์ แต่จิตไม่ฉิบหาย จะไปทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับเรื่องทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหาย ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมไปตามบุญตามกรรมของตัวเอง

         จนกระทั่งชำระหมดโดยสิ้นเชิง กิเลสเป็นแดนสมมุติติดอยู่ในจิต จึงต้องท่องเที่ยวไปตามสมมุติ ทีนี้พอชำระนี้ออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้วก็เป็นธรรมธาตุ ที่เรียกว่าจิตบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าเรียกว่าตรัสรู้ พระอรหันต์ทั้งหลายเรียกว่าบรรลุ ก็คือตรัสรู้อันเดียวกันนั่นแหละ นั่นเป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้า นี่เป็นศัพท์ใช้ในสาวกทั้งหลายก็ว่าบรรลุธรรม ความจริงก็ตรัสรู้ธรรมธาตุอันเดียวกัน เพราะฉะนั้นบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดถึงสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จึงเป็นธรรมธาตุด้วยกัน เสมอกันหมดเลย ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันคือความบริสุทธิ์ เป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมด

         ดังที่เคยเทียบให้ฟังแล้ว เหมือนน้ำในมหาสมุทร มันจะไหลมาจากคลองไหนๆ ตกลงมาบนฟ้า พอมาถึงมหาสมุทรเท่านั้นเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด จะแยกว่าน้ำนี้มาจากนู้นจากนี้ไม่ได้ จะมาจากคลองนั้นคลองนี้ก็ไม่ได้ ลงมหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรอย่างเดียวกันหมดเลย นี่ข้อเปรียบเทียบ ทีนี้ธรรมธาตุก็เหมือนกัน เทียบกับมหาสมุทร ธรรมธาตุ แต่ธรรมธาตุนี้ครอบโลกธาตุนะ ส่วนมหาสมุทรยังมีฝั่ง มหาสมุทรฝั่งโน้นฝั่งนี้ ส่วนธรรมธาตุนี้ครอบไปหมดเลย นี่ละธรรมธาตจึงพอเทียบได้กับมหาสมุทร พอจิตดวงใดบรรลุธรรมผึงขึ้นตรงนั้น ก็เหมือนกับว่าน้ำไหลมาจากสายต่างๆ พอมาถึงจุดนี้หลุดพ้นปุ๊บ แล้วก็เป็นธรรมธาตุทันที โผล่ขึ้นในท่ามกลางธรรมธาตุทั้งหลายนั้น

         เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมธาตุอันเดียวกันหมด ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน เช่นเดียวกับน้ำที่ไหลมาจากที่ต่างๆ พอถึงมหาสมุทรแล้วก็เป็นมหาสมุทรด้วยกันหมด จะแยกว่าเป็นน้ำสายไหนๆ ไม่ได้ อันนี้พอจิตพ้นแล้ว ถึงธรรมธาตุแล้วก็เป็นอันเดียวกันหมด จะแยกไปอย่างไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่าพระพุทธเจ้าหรือสาวกทั้งหลายเมื่อถึงความบริสุทธิ์แล้ว จึงเหมือนกันหมด เสมอกัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน เป็นมหาสมุทร เป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด

         นี่ละทีนีธรรมธาตุอันนี้ละท่านบอกว่านิพพานเที่ยง หมดเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในสมมุติทั้งหลาย หมดโดยสิ้นเชิงตลอดไป จึงเรียกว่าเที่ยง นอกนั้นไม่เที่ยงนะ นี่ละเที่ยงละทีนี จิตดวงนี้ไม่ตายแล้วก็เที่ยงเลย แต่ก่อนไม่ตายแต่ก็วกวนไปตามอำนาจของสมมุติ คือกิเลสพาให้หมุนเป็นไปในทางดีทางชั่วอยู่อย่างงั้น อยู่ในวงของสมมุติ นี่ได้ตามมาแล้วจึงพูดได้เต็มปากเลย ตามมาตั้งแต่ออกภาวนาทีแรก ตามมาตั้งแต่จิตมันครอบไปหมดจักรวาล รู้หมดเห็นหมดด้วยความคาดความหมายของตัวเอง แล้วยึดได้หมด ถือได้หมด คิดดีคิดชั่ว ดีใจเสียใจ ไปตามสัญญาอารมณ์ตนได้หมด

         เวลาภาวนาก็รวมเข้ามาละ จะรวมกระแสจิตเข้ามา เข้ามา ๆ ภาวนาเข้ามาจิตค่อยสงบเข้ามา กระแสของจิตก็จะค่อยหดย่นเข้ามา หดย่นเข้ามาจนเป็นสมาธิ กระแสของจิตเรียกว่าเป็นกลุ่มเป็นก้อนเข้ามาแล้วทีนี พอจากนี้แล้วกระจายออกทางด้านปัญญา อะไรติดขัดอยู่ตรงไหน มันขัดตรงไหนสติปัญญาซักฟอกออก ซักฟอกออก กระจายออก จิตหดเข้ามา ย่นเข้ามา นี่ละตัวท่องเที่ยว เหล่านั้นมันพะรุงพะรัง พาดึงไปนู้นดึงไปนี้ พอตัดอันนั้นออก ตัดอันนี้ออก ชำระออก จิตก็กลายเป็นจิตผ่องใสเข้าไป ผ่องใสเข้าไป สงบเข้าไป เย็นเข้าไป สบายเข้าไปเรื่อย ๆ ความสบายจึงมีตั้งแต่จิตสงบขึ้นไป ได้ผลไปเรื่อย ๆ ความสบายดูดดื่มในอรรถในธรรมเรื่อย ยิ่งจิตมีความสงบมาก ละเอียดมากเท่าไร ความสบายมีมาก ความดูดดื่มในธรรมทั้งหลายยิ่งมากเข้าๆ

         ทีนี้พอกระจายออกทางด้านปัญญา ทีนี้จะชำระออกหมด ปัญญานี่เป็นเครื่องซักฟอกตัดฟันออกหมด สมาธิความสงบตีตะล่อมกระแสของจิตเข้ามา เหมือนกับเราไล่สัตว์เข้าในคอก แล้วจะฟันจะฆ่าก็ได้แล้วในคอก อันนี้สมาธิตีตะล่อมให้สงบเข้ามาแล้ว ปัญญาสับฟันตีแตกกระจัดกระจาย พูดถึงขั้นนี้ก็เรื่อยออกไปถึงปัญญาเป็นขั้นๆ ตามกิเลสที่มันหยาบละเอียด กิเลสค่อยละเอียดลงไปปัญญาก็ละเอียดทันกัน ซักฟอกกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง กิเลสที่เป็นเครื่องมัวหมองและพาให้ออกท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นหมดไปๆ จนกระทั่งถึงที่สุดขาดสะบั้นออกหมดไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมธาตุอันนั้น เรียกว่าธรรมธาตุ นั่นเรียกว่าบรรลุธรรม พอถึงนั้นแล้วก็หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง

         นี่เรียกว่าตามรอยจิต ตามอย่างนี้แหละ มันไม่ตายแต่ไม่รู้เรื่องของมัน มันไม่ตายด้วยรู้เรื่องของมันด้วย ด้วยวิธีภาวนาดังพระพุทธเจ้าสอน มีวิธีเดียวเท่านั้น พุทธศาสนาเท่านั้นที่จะตามต้อนจิตให้ถึงวิมุตติหลุดพ้นได้ เป็นบาปเป็นบุญเป็นลำดับลำดา เป็นผลทั้งนั้น ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ส่วนนอกนั้นเราไม่กล่าวถึงละศาสนาใดก็ตาม เรากล่าวถึงเฉพาะศาสนาพุทธเรา แม่นยำตลอด ไม่มีที่สงสัย เราติดตามหมดเลยเต็มกำลังของเรา

         เพราะฉะนั้นจึงมาสอนโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่สะทกสะท้านด้วยความรู้ในจิตจริงๆ ไม่สงสัย เทศน์ไม่ว่าธรรมะขั้นใด เราไม่เคยสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องมาตรวจ สำนวนเทศน์ของเราว่าผิดไปตรงไหน ไม่ต้อง บอก สมบูรณ์ออกจากนี้แล้ว จากนี้แล้ว ถ้าหากว่าผิดก็เป็นคำมันคล้ายคลึงกัน เช่น อย่างเราเทียบว่ากาเช็ดสบ แต่มันไปเข้าใจว่ากาเจ็ดศพ ต้องเปลี่ยนตรงนี้ เรียกว่าพูดผิดเข้าใจไหม เท่านั้นแหละ ส่วนที่จะให้ผิดเนื้ออรรถเนื้อธรรมไม่ผิด ไปเรื่อยๆ อย่างอ่านให้ฟังเราไม่เคยเห็นได้แก้ตรงไหน อย่างที่เราเทศน์ไปแล้วเขามาอ่าน เพราะเรามันแน่อยู่ในนี้แล้ว ไม่ว่าธรรมะขั้นใดๆ พระพุทธเจ้าสอนไว้ถูกต้องหมด

         ทางเดินของธรรมก็ให้เดินตามนี้ละ การภาวนา การให้ทาน รักษาศีล เป็นความดี รวมกันมาๆ สุดท้ายก็ลงในภาวนาเป็นทำนบใหญ่ สำหรับบรรจุบุญกุศลทั้งหลายเข้าสู่จุดนั้น เมื่อรวมตัวได้แล้วก็พุ่งเลย ทะลุ นั่น เราจวนจะตายจึงได้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้พี่น้องทั้งหลายทราบ การพูดนี้แน่ในหัวใจเจ้าของว่า ไม่มีสองตลอดไปเลย พูดอะไรจึงพูดไปตามหลักเกณฑ์ คือภาษาธรรมต้องตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีหลีกมีเว้น เป็นสูงๆ ต่ำๆ เกรงนั้นกลัวนี้ไม่มี ภาษาธรรมไม่มี เหนือหมด อันนั้นสูงอันนี้ต่ำ แล้วก็กลายเป็นเรื่องเกรงใจเขาเกรงใจเรา แล้วก็ติดเขาติดเรา มันก็ไปไม่ได้ พูดแทนที่จะให้เต็มเม็ดหน่วย ก็หลีกๆ อ้อมๆ ไปเสีย นั่น

         ส่วนธรรมนี้ตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก จึงเรียกว่าธรรม ตายใจได้ภาษาธรรม อย่างอื่นตายใจไม่ได้ กิเลสนี่เรื่องปลิ้นปล้อนหลอกลวงไม่มีอะไรเกินกิเลส แต่เรื่องธรรมนี้ตรงไปตรงมาไปเลย นี่ก็ได้พยายาม ก็จะยุติการช่วยโลกในวันที่ ๑๒ เมษานี้ ได้กำหนดตายตัวไวเรียบร้อยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องพร้อมในวันนั้น  ทองคำ ๑๐ ตันขาดอยู่เท่านั้น ตั้งแต่เริ่มแรกเรามอบเสร็จเรียบร้อย ขาดอยู่ ๘๐๐ กิโล เดี๋ยวนี้ก็ย่นเข้ามาๆ จะอยู่ในประมาณสัก ๒๐๐ กิโลเท่านั้น เราประมาณ ส่วนดอลลาร์ก็ดูว่าขาดอยู่ ประมาณสัก ๑ ล้าน ใน ๑๐ ล้านนั้นเวลานี้ขาดอยู่ประมาณสัก ๑ ล้าน

         นี่จะให้ได้รวมในวันนั้น คือมอบดอลลาร์และทองคำพร้อมกันกับวันที่เราปิดโครงการ แล้วก็เลิกา เพราะหนักมากนะเราช่วยชาติช่วยสงสาร เราช่วยด้วยความเมตตาจริงๆ เราไม่มีอะไรเลยในตัวของเรา เราตั้งหน้าตั้งตาช่วยด้วยความเมตตาสุดส่วน หนักเบาเราแบกเราหามด้วยความเมตตาทั้งนั้น เราไม่ได้หวังอะไรกับโลกกับสงสาร ไม่มีคำว่าแพ้ว่าชนะ คำว่าได้ว่าเสีย ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว ในธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่มีเราก็บอกเราไม่มี มีแต่เมตตาธรรมนิ่มนวลอ่อนไปหมดทั่วโลกดินแดน แม้แต่สัตว์อยู่ในครรภ์ก็ไม่แตะ ไม่ฆ่า นั่นฟังซิ ความเมตตานี้อ่อน ให้สิทธิเสมอภาคกันไปหมด เรียกว่าเมตตาธรรม อ่อนนิ่มไม่มีอะไรเกินเมตตา นี่เราก็ได้ช่วยเต็มกำลังความสามารถแล้ว เต็มเม็ดเต็มหน่วย

จากนี้ไปก็จะมีอะไร สังขารร่างกาย ก็พาอยู่พากินแบกหามกันมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งป่านนี้ก็ยังไม่หนักเท่าไร มันมีความเพลิดความเพลิน สนุกแบกสนุกหาม หนักเท่าไรก็นึกว่าเป็นทองทั้งแท่งแบกมันไป เข้าใจไหม ส่วนอย่างอื่น เช่นอิฐก้อนหนึ่ง แบกทางนี้หนัก ทางนี้ไม่หนัก ทางนี้เป็นทองคำไม่หนัก ได้เท่าไรแบกตะพึด ทางนี้มีแต่จะปัดออกมันอิฐนี่ นั่นมันเพลินทางนั้นไม่เพลินทางนี้ไปอย่างนั้น แต่ธรรมชาตินั้นเหนือทุกอย่างแล้วไม่เพลินกับอะไร ความไม่เพลินกับอะไรคือความเหนือทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมะจึงสูงตลอด ท่านเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก ไม่ว่าโลกใดเหนือหมด ธรรมเหนือหมด จึงไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ ไม่มีคำว่าคดว่าเคี้ยว ว่าอ้อมนั้นอ้อมนี้ ตรงไปตรงมา เราก็ได้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์

ศาสนานี้เป็นธรรมทำจิตใจมนุษย์ให้มีความนิ่มนวล มีความประสานกัน มีความเห็นอกเห็นใจกัน เป็นเครื่องประสานกันให้มีความแน่นหนามั่นคง เช่น ในครัวเรือนหนึ่ง ในครอบครัวนั้นต่างคนต่างมีความพร้อมเพรียงสามัคคีต่อกันแล้ว ครอบครัวนี้ชุ่มเย็น ครอบครัวไหนที่ลงความเห็นไม่ลงรอยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่อย ครอบครัวนั้นไม่มีความสุขนะ จะเป็นเศรษฐีก็หาความสุขไม่ได้ ครอบครัวเขาอยู่ตามท้องไร่ท้องนา เขาหาอยู่หากินตามสภาพ แต่เขามีความจงรักภักดีซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เขาอยู่ด้วยความรู้ความเห็นเป็นอรรถเป็นธรรมด้วยกัน ไม่ขัดไม่แย้งกัน ครอบครัวนี้เป็นสุข เข้าใจเหรอ

เราอย่าเอาเงินมาอวดว่า ใครมีเงินมีทอง ครอบครัวนั้นเป็นสุข อย่า ผิดทั้งนั้น เอาธรรมเข้ากางรู้หมด ถ้าธรรมเข้ากางไปแล้วรู้หมด ใครเป็นสุขเป็นทุกข์มันเป็นอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้เป็นอยู่ที่สมบัติเงินทอง อันนั้นเป็นเครื่องส่งเสริม ถ้าเจ้าของไม่ฉลาดก็เอาสมบัติเงินทองมาสังหารตน เช่นคนมีเงินมีทองมาก ลืมเนื้อลืมตัวทำความชั่วช้าลามกไม่กลัวบาปกลัวกรรม ตายแล้วจม สมบัติมันไม่จม เจ้าของผู้หลงตัวลืมตัวนั้นแหละจม จึงต้องให้ระมัดระวังรักษาจิตใจให้ดี

คนเรามีอรรถมีธรรมไปที่ไหนสนิทสนมกันหมด ขอให้มีธรรม มีความดีงามภายในใจ ไม่ต้องถามชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำอะไรกัน ความดีออกมาหากันนี้รู้ เด็กดีก็รู้ ผู้ใหญ่ดีก็รู้ หญิงชายดีก็รู้ นั่นละสนิทกันได้ด้วยความดีนะ ไม่ได้สนิทกันด้วยความขัดความแย้งซึ่งกันและกัน มีเหตุมีผลแล้วดีทั้งนั้นคนเรา ให้พากันจำเอานะ ธรรมนี้ประสานได้หมดเลย ถ้าธรรมประสานไม่ได้นี่โลกแตกนะ พูดเท่านั้นละวันนี้เหนื่อย ไม่เหมือนทุกวัน สองสามวันมานี้พูดไปๆ เหนื่อยแล้ว

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก