สมณศักดิ์จากพระพุทธเจ้า
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๗

สมณศักดิ์จากพระพุทธเจ้า

 

ก่อนจังหัน

 

        พระมาเรื่อย ๆ นะ เปลี่ยนหน้ามาเรื่อย ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะพระ ให้ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งใจจริง ๆ ปฏิบัติ อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ดังที่เลอะ ๆ เทอะ ๆ มาทั่วเมืองไทยแล้วนะ หาพระดีจะไม่มีละ ก็หาเรา เราไม่หา จะไปหาคนอื่นได้ยังไงตัวเราไม่ดี ต้องหาแต่เราไปซิ เลอะเทอะไปหมดนะเวลา เราพูดจริง ๆ ถึงขนาดสลดสังเวช เห็นพระต่อพระด้วยกันมาพูดจาแบบเลยเทวทัตลงไป อย่างนี้ฟังไม่ได้ สลดสังเวช เลยไม่ลืมนะฝังลึกมาก วาจาของพระที่สอนโลก เอาอันนี้เหรอมาสอนโลก เราว่างั้นนะ โธ่ทุเรศจริง ๆ อยากให้ได้อย่างใจตัวด้วยอำนาจความโมโหโทโส มันจะได้อย่างใจตัวก็มีแต่อันนั้นแหละ ต้องเอาเอาความจริงเป็นแบบฉบับ ถ้าผิดจากนี้ตีเข้ามานี้ ถูกทางนี้เสริมขึ้น อย่างนั้นถึงถูกเรื่องอรรถเรื่องธรรม อันนี้ดูไม่ได้ ฟังไม่ได้นะเรา

         แล้วให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนานะ พระเหล่านี้มีแต่พระขี้เกียจขี้คร้านหรือ ในวัดนี้สั่งสมอรรถธรรมนะ.งานการอะไรก็ตามผมไม่ให้พระเข้าไปเป็นภาระหนักหน่วง และเสียเวล่ำเวลาในการภาวนาของพระนะ หากจำเป็นจริงๆ ผมก็ขอร้องให้มาช่วยเป็นชั่วระยะๆ เกี่ยวกับเรื่องบ้านเมืองผมก็ทำของผมไป เรื่องของพระที่จะอบรมศีลธรรมเข้าสู่จิตใจของตนเพื่อเป็นประโยชน์ตนและส่วนรวมนั้น ขอให้ถือเป็นข้อหนักแน่นจริง ๆ นะ สติสำคัญนะ อย่าลืมสติ สตินี้ตั้งแต่พื้นถึงมรรค ผล นิพพา พ้นจากสตินี้ไปไม่ได้เลย ท่านจึงบอกว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา  สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง คือไม่เว้นเลย ให้มีสติเถอะ ถ้ามีสติทำงานการอะไร ๆ นี้จะสวยงามน่าดู สติมีอยู่จำเพาะก็มี กระจายออกไปก็มี ถ้ามีสติแล้วดีทั้งนั้นละ คนไม่มีสตินี้จากนั้นเขาก็เรียกว่าคนบ้านั่นละ เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

 

         ศพท่านเจ้าคุณ อยู่วัดศรีเมืองนั่นได้กำหนดวันหรือยัง (ยังค่ะ) ยังเหรอ แล้วจะกำหนดเผาที่ไหนละ ที่วัดอรุณดูว่าอย่างงั้น ได้ยินว่าวัดศรีเมือง วัดศรีเมืองเผาอะไร ให้ไปเผาบนกุฏิพระเราก็บอกงั้น พูดไม่รู้เรื่องนี่ว่ะ เราอยู่ไกล ๆ เราก็รู้แล้วนี่ พอหลังมานี้ได้ยินว่าจะเผาที่วัดอรุณ เอ้อว่างั้นซี วัดอรุณมันสมควร วัดศรีเมืองจะเผาได้ยังไง (วัดจันทร์ไม่ยอมครับ จะเผาที่วัดจันทร์) ทางนู้นจะเอาไปวัดจันทร์เหรอ จะให้เหมาะแล้วก็วัดอรุณเหมาะมาก เพราะวัดจันทร์เราก็ไปดูแล้วไม่มีอะไรที่จะเหมาะกับการเผาศพนะ สำหรับวัดอรุณเราก็ไปหลายปีมาแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยมาอยู่แล้ว

         เราจึงแน่ใจว่าวัดอรุณดีกว่า วัดจันทร์ไปดูแล้วมันก็ไม่เห็นสภาพที่จะเหมาะสมกับการเผาศพ หรือเหมาะที่ตรงไหน มีเมรุที่ตรงไหนวัดจันทร์ (ไม่มีค่ะ) นั่นแล้ว วัดอรุณมีมานานแล้ว เหมาะสมมาประจำเสียด้วยวัดอรุณ วัดจันทร์เราพึ่งไปเห็น เร็ว ๆ นีน่ะ ไปก็เข้าไปวัดจันทร์  พึ่งไปดูวันจันทร์ พึ่งไปหนเดียว วัดอรุณแต่ก่อนไปเป็นประจำ ระยะนี้มานี้ไม่ได้ไป วัดอรุณรังษี ท่านให้เหตุผลอะไรให้ไปเผาวัดจันทร์ (เจ้าคณะจังหวัดครับ) อันนั้นไม่เป็นเหตุผล นึกว่าเจ้าคณะจังหวัดนี้จะยิ่งมีเหตุผลหนักแน่นเข้าไป สมควรที่เป็นเจ้าคณะจังหวัด

         ไปดูแล้วไม่เหมาะ สำหรับวัดอรุณมันเป็นทำเลอยู่แล้วนะพร้อมทุกอย่าง เขาเตรียมไว้สำหรับศพโดยเฉพาะ เป็นเมรุ เราเห็นตั้งแต่นู้นแล้วเราก็แน่ใจว่าไม่เปลี่ยนแปลง ต้องเป็นอย่างงั้น เป็นทำเลที่เหมาะสมอยู่แล้ว แล้วเผาครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นเผาศพโยมเปลี่ยน นี่ก็ลูกศิษย์แล้วก็อีกคนหนึ่ง ชื่อลืมแล้ว เราไปเผา ที่จำได้ชัดเจนก็คือเผาโยมเปลี่ยน (ยายวิจิตรค่ะ) เออ เป็นลูกศิษย์มานานนะ หนองคายก็ลูกศิษย์เยอะ พอลูกศิษย์เหล่านั้นร่วงโรยไป ก็เลยจำไม่ได้ ลูกๆ หลานๆ ว่าเป็นใครจำไม่ได้นะ สุดท้ายหนองคายเลยไม่มีลูกศิษย์ มีคนเดียวนี้ คนเดียวก็บอกมีคนเดียวซี นอกนั้นมองหาใครไม่เห็น คือร่วงโรยไปหมด รุ่นก่อนๆ ร่วงโรยไปแล้วมันก็เลยไม่ได้สืบทอดต่อกันมา หนองคายจำใครไม่ได้นะ

         หนองคายที่รู้จักกับประชาชนญาติโยมมากก็คือ เราไปพักอยู่วัดทุ่งสว่าง ท่านอาจารย์กู่ท่านอยู่ที่นั่น เรารีบมาให้ทันหลวงปู่มั่น แล้วท่านไปสกล หวุดหวิด ผ่านไปสองวันเราก็มาถึง โอ้เสียท่า เลยไปวัดทุ่งสว่าง ทราบว่าท่านอาจารย์กู่อยู่ที่นั่น กับท่านอาจารย์กู่ก็คุ้นกันมานานแล้ว แน่ะ ก็เลยไปหาท่าน ไปอยู่นั่นนานนะ วัดทุ่งสว่างนี้ไปๆ มาๆ อยู่ตลอด ที่ไปอยู่ประจำพักนานๆ ไม่ได้ไปอยู่ ไปก็ไปการไปงาน ค้างคืนอะไร เผาศพอะไรต่ออะไร วัดทุ่งสว่างเคยพักเป็นประจำสักสามเดือนละมั้ง พักประจำที่นั่นกับท่านอาจารย์กู่

         ออกจากนั้นก็ลาไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่สกลนคร ที่บ้านโคกนามน จากนั้นมานี้มันเป็นคนละโลกไปแล้วแหละ ผู้คน-ตึกรามบ้านช่องนะ มันเป็นคนละโลกไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมาแล้วเราก็ไม่ค่อยได้ไปพัก ไปค้าง เช่นวัดทุ่งสว่างก็ดี วัดอรุณก็ดี ไม่ได้ไปพักค้าง หากว่าค้างก็ค้างในงานเผาศพบ้างอะไร แต่ก่อนรู้จักหมด พวกโยมอะไรเสียไปแล้วแหละ พ่ออะไรเขาเรียก… วัดทุ่งสว่าง โยมอะไร แล้วก็พวกประมวลหรืออะไรจำไม่ได้เดี๋ยวนี้นะ มันนานแสนนาน ทางนู้นก็ไม่ได้ติดต่อมา เราก็ไม่ได้ติดต่อไป ลืมชื่อแล้ว อันนี้คุ้นกันมาก โยมที่ว่านี้อะไรนะ ที่เป็นเจ้าภาพผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากวัดทุ่งสว่างนี่นะ ชื่อว่าไงสกุลนี่น่ะ เอ้าจำแม่ได้เราก็จะรู้ไปหมด นี่จำชื่อแม่ไม่ได้ แม่นี่ โอ เคารพมากกับเรานะ เคารพมากทีเดียว เราลืมแล้วนะ ก็ไม่น่าจะลืมนะ ลูก ๆ เดี๋ยวนี้ก็แก่ลงหมดแล้วแหละ

         ไปวัดอรุณรังษีไปเรื่อย ๆ เพราะบรรดาลูกศิษย์ลูกหาร่วงไป ๆ ไปเผาศพ ตั้งแต่โยมชื่อยงหรืออะไร มันลืมแล้ว ทั้งผัวทั้งเมียสนิทกันมานาน โยมอะไรที่ใหญ่กว่าเพื่อนนั้นเสียแล้ว พอไปอยู่วัดทุ่งสว่างนานตอนนั้นอยู่ถึงสามเดือน อยู่ที่วัดทุ่งสว่างกับท่านอาจารย์กู่ พอจากนั้นก็ไปสกลเลย เลยจำใครไม่ได้ที่หนองคาย จำได้คนเดียว  อ้าวจริง ๆ เดี๋ยวนี้จำได้คนเดียว นี่เจ้าของโรงสีนะ ของง่ายเหรอ เราเคยไปเยี่ยมบ้านแล้ว

         จากนั้นท่านอาจารย์กู่ท่านพาไปวัดอรัญวาสี ท่าบ่อ เป็นดงทั้งหมดนะนั่น ที่ตลาดนี้เป็นดงทั้งหมดเลย ที่เรางงเขาบอกว่า เราลงมาจากภูเขาตอนเช้า มากลางคืน พอเดือนเมษาจวนพฤษภานี่ร้อนมากทีเดียว กลางวันเดินลำบาก เดินกลางคืนเอา กะว่าเดินจากทางนู้นน่ะขึ้นภูเขา ลงมาพอมาถึงวัดทุ่งสว่างนี้ก็พอดีพระออกบิณฑบาต เราก็มาที่นั่นมาถามเขา ไหนวัดอรัญวาสีอยู่ไหน พอเราไปถึงหน้าวัดนั้นแล้วแหละ แต่ไม่ทราบว่านี่เป็นวัดอรัญวาสี เพราะเห็นมันแปลกต่างมาเรื่อย ๆ เป็นบ้านผู้บ้านคนทั้งหมดแล้ว แต่ก่อนเราไปมันไม่มี เป็นดงทั้งหมด นู่นตัวตลาดอยู่ลึก ๆ อยู่ทางด้านทางนู้น ทางนี้เป็นดงทั้งหมด ไกล จึงเรียกว่าวัดอรัญวาสี ที่อยู่ในป่า แปลออกว่างั้น

         นั่นสมเหตุสมผลเป็นดงทั้งหมด เราลงมาจากภูเขา ก็ห่างกันเพียง ๘ ปีนะเราไม่ลืม คือตอนพรรษา ๘ นั่นละที่เราจะไปหาหลวงปู่มั่น พรรษาที่ ๘ จำโคราช จากนั้นเราก็มานี้ไม่ทันท่านหลวงปู่มั่น เราก็เลยไปที่นั่นเป็นพรรษา ๘ ไปวัดอรัญวาสีนี่แหละ ไปพักอยู่นั่นหลายคืนอยู่ ไปบิณฑบาตในตลาด ผ่านดงมา เข้ามาในวัดเป็นดงทั้งหมด ไม่มีบ้านคนเลยนะ ๘ ปี เราก็ไปวัดสกลนคร พอพรรษาที่ ๑๖ พอถวายเพลิงหลวงปู่มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็หลบมาอยู่ทางนี้ละทีนี้นะ นี่เป็นพรรษา ๑๖ ๘ ปีพอดี เป็นบ้านเป็นตลาดทั้งหมดเลย ๘ ปีนะ มางงหมดเลย มาถามถึงวัดอรัญวาสี เขาบอกว่าก็นี่แล้ว เหอใช่เหรอ เราไม่เชื่อ เราก็เดินเข้าไปข้างในจึงไปเห็นศาลาเก่าหลังหนึ่ง โอ้ใช่แล้วที่นี่ มันเปลี่ยนแปลงไปหมด นั่นละเรื่องราวมัน

         ตั้งแต่ไปนู้นแล้วก็ไม่ค่อยได้กลับมาพักที่ทางหนองคายอีก มาก็มาในงานศพงานอะไรๆ ไป เปลี่ยแปลงหมด หลวงปู่มั่นเราก็ไปอยู่ที่นั่นแหละ ไปอยู่ที่วัดอรัญวาสี ดูเหมือนจะเป็นหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ มั้งไปสร้างวัดที่นั่น เป็นวัดป่าจริงๆ เหมาะสมจริงๆ  ท่านสร้างเหมาะสมมาก ห่างจากหมู่บ้าน จากตลาดมานี้จะได้กิโลหนึ่ง เป็นดงทั้งหมดเลย เดี๋ยวนี้เป็นตลาดหมดแล้ว ที่หน้าวัดก็เป็นตลาดไปเลย

         พอพรรษา ๑๖ ก็ไปทางนู้น ภูเขาทั้งนั้น ทางถ้ำผาดักผาอะไร เลยเข้าไปกระโหมโพนทองเข้าไปลึก ๆ นู่น ไปพักอยู่นู้นสบาย สบายคนเดียวนะในป่า จากนั้นก็จึงได้ลงมา มาจึงมาหลงวัดนี่แหละ ๘ ปีเปลี่ยนแปลงหมดเลย จากนั้นเลยไปสกลนคร ท่านเจ้าคุณก็ให้ไปบวชหมอเจริญนั่นแหละ บวชแล้วเราก็ขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์นั้นแหละ มาจากนู้นก็ไปขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์ ก็เลยพักอยู่จนกระทั่งเดือนสิบ พอเดือนหกแรม ๑๕ ค่ำเดือนดับเราก็กลับมาขึ้นดอยธรรมเจดีย์ ก็อยู่นานอยู่ จนกระทั่งถึงวันที่ว่า แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ เวลาไปดูปฏิทินแล้วเป็นวันที่ ๑๕ พฤษภานะ เราจำได้แต่แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ พอเช้ามาก็ลงอุโบสถ เสร็จแล้วก็กลับไปวัดสุทธาวาส ท่านเพ็งแหละติดตามไป

         จากวัดสุทธาวาสเข้าไปอำเภอวาริชภูมิ จะไปจำพรรษาที่ถ้ำ เรากำหนดไว้เรียบร้อยแล้วเราจะไปจำพรรษาที่นั่น เพราะถ้ำนี้เราเคยอยู่แล้วเห็นว่าเหมาะสมดี ไปไมกี่วัน ก็ถูกบุญคุณของบ้านนี้ละครอบหัวเรานะ เราปลงใจแล้วจะจำพรรษาที่นั่น พอทราบว่าหนองผือไม่มีพระเลย เป็นเหมือนวัดร้าง บ้านหนองผือคนก็มีปรกติแต่เหมือนบ้านร้าง ไม่มีพระเลย สลดสังเวชนะเรา วัดนี้เป็นวัดที่มีบุญมีคุณมากมายต่อพระเจ้าพระสงฆ์ครูบาอาจารย์มาเป็นเวลาหลายปี พอหลวงปู่มั่นมรณภาพไปแล้วพระแตกหนีหมดเลย ไม่มี เป็นวัดร้าง

         ตื่นเช้ามาวันหลังเขาเล่าให้ฟัง ตื่นเช้าวันหลังเตรียมของกลับมาเลยมาจำพรรษาหนองผือ เหตุที่มา มาเพราะเหตุนี้เอง บุญคุณของหนองผือครอบหัว จึงย้อนกลับมา มาก็มีหลวงตาอยู่สามองค์ งๆ งันๆ  โอยพิลึก ขึ้น ๘ ค่ำจะเข้าพรรษาแหละ พอ ๑๕ ค่ำก็เริ่มเข้าพรรษา พเราไปถึงขึ้น ๘ ค่ำ ทราบเท่านั้นละหลั่งไหลมานี่พระเณรเต็มหมดเลย ร่วม ๓๐ อยู่นั้นนะ ๒๘ หรืออะไรนี่แหละ เราจึงได้มาจำพรรษาหนองผืออีก อุ่นหนาฝาคั่งหนองผือ พระตั้งร่วม ๓๐ ถ้าพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่ท่านก็ไม่รับมาก ก็อยู่ในระยะเดียวกัน ถึง ๓๕ เป็นอย่างมาก 

         นี่เราไปอยู่ที่นั่นปีนั้นก็ร่วม ๓๐ ไปฉลองบุญคุณของเขา เพราะฉะนั้นเราถึงไปบ่อย ทางหนองผือนิมนต์มาเราไป เพราะบุญคุณอันนี้แหละฝังลึกนะ เราไม่ได้เหมือนใคร เรื่องบุญเรื่องคุณเรื่องอะไร ฝังลึกมากทุกอย่างเลย ฝังสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ตลอดเวลา  จากนั้นออกพรรษาแล้วก็เลยไป จนกระทั่ง ๓๐ ปีย้อนกลับมาอีก ทีนี้ก็ไปเรื่อยมาเรื่อยละ พูดเรื่องอะไรไปต่อไปที่ไหน ๆ (หนองคายครับ) หนองคายแล้วก็ต่อไปทางนู้นนะ

         อยู่สกลนคร ๘ ปี เพราะหลวงปู่มั่นอยู่นั้น ๘ ปี เราก็อยู่กับท่าน ๘ ปีเหมือนกัน จากนั้นก็ระเหเร่ร่อนเอากำหนดกเกณฑ์ไม่ได้  เถลไถลมาสร้างวัดนี่ละ หลังจากนั้นมากี่ปีก็ไม่รู้ มาสร้างวัดนี้ปี ๒๔๙๙ ๒๔๙๘ จวนจะสิ้นปีพฤศจิกา ๒๔๙๘ จำพรรษาที่จันท์ ย้อนมาก็พาโยมแม่มาอยู่ที่นี่ รักษาโยมแม่ เหตุการณ์ของมันนะที่จะเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา ทีนี่ก็สะดวกสบายทุกอย่าง เรารับพระเพียง ๑๘ องค์เป็นอย่างมาก ไม่ให้มากกว่านั้น เพื่อความสงบของวัด

         จนกระทั่งถึงปีนี้มัน ๔๘ ปีแล้วนะ สร้างวัดนี้ ๔๘ ปีแล้ว เลยไม่ได้ไปไหนละ อยู่ที่นี่เรื่อยจนกระทั่งบัดนี้ ศาลาหลังนี้เตี้ย ๆ นี่ยกขึ้นนะ เขาจะมาสร้างใหม่เราไม่เอา สร้างอะไรๆ ไม่เอาทั้งนั้น สุดท้ายก็เลยมายกศาลาหลังนี้ขึ้นเป็นสองชั้น ชั้นบนชั้นล่างอยู่มา ไม่ต้องการเรื่องการปลูกการสร้างสำหรับพระเรา ตามหลักในพุทธกาลที่ท่านพาดำเนินมาท่านไม่ได้ยุ่งกับด้านวัตถุ มีแต่ด้านศีลด้านธรรม เรื่องศีล เรื่องสมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติหลุดพ้น ตำรับตำราเปิดเผยเต็มที่เลยนะนี่ แต่ไม่มีใครออกมา มีตั้งแต่พวกจุ้นจ้าน ๆ เอาเรื่องวัตถุ อิฐ ปูน หิน ทราย เหล็กหลา หรูหราฟู่ฟ่ามาเป็นศาสนาแทน

         เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายจึงหรูหราฟู่ฟ่า สวยงามอร่ามตา แต่พระแต่เณรอยู่ในวัดในวาเหมือนส้วม คือไปสนใจตั้งแต่เรื่องภายนอก ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนานะ เรื่องของศาสนาที่แท้จริงของพระพุทเจ้า คือสอนลงในหัวใจเลย ผลิตหัวใจให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ไหนอยู่ได้ ไปไหนไปได้ เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับกิเลสพาดิ้น สร้างวัดทุกวันนี้มันมีแต่กิเลสพาดิ้น ไม่ได้ธรรมพาไปนะ สร้างที่ไหนหรูหราฟู่ฟ่า ขึ้นวัตถุนี้ก่อนเลย มีที่ไหนธรรม ในสายธรรม ตำราไม่มี มีแต่ไล่เข้าป่าๆ ๆ อยู่กระต๊อบกระแตบอย่างงั้น พออยู่ได้อยู่ไป ที่พักที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัยไทยทานได้มามากน้อยฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไปๆ

         นั้นละหลักพุทธกาล หลักของท่านผู้จะแก้กิเลส ถอดถอนกิเลสท่านไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับอะไรนะ ตั้งหน้าตั้งตาทำความเพียร ก็บอกวิธีการทำความเพียร อปัณณกปฏิปทา บอกเลยทีเดียว การทำความเพียรทำยังไง ๆ ท่านแสดงไว้เรียบร้อยหมด มีแต่การพูดการจาถึงอรรถถึงธรรม เช่นอย่างพระสงฆ์สาวกได้เข้าเฝ้า รับสั่งถาม เป็นยังไงอยู่ที่นั่น คำว่าอยู่ที่นั่น ภาวนาเป็นยังไง นั่นนะ อยู่ป่านั้น เขานั้น ถ้ำนั้น เป็นยังไงภาวนา ท่านถามกันอย่างงั้นนะ ในตำรา เรียนมาแล้วด้วยกัน ใครมาตบตาเราได้เหรอ

         ไหนวิหาร ไหนศาลาหรูหาฟู่ฟ่า กุฏิหรูหราฟู่ฟ่า สิ่งก่อสร้างในวัดในวาสมบูรณ์แล้วยัง นู่นน่ะ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างงั้นนะ ไม่ได้ถามถึงอรรถถึงธรรม อยู่ในวัดแต่ไม่ถามถึงธรรม ไม่คิดถึงธรรม อยู่ในวัดก็นอนกองกันกับกิเลส ให้กิเลสพันคอ พูดออกมาเป็นเรื่องของกิเลส กิริยาอาการแสดงออกมาในวัดในวา ในพระในเณรเรานั้นน่ะเป็นโลกไปหมด เป็นกิเลสตัณหาพัวพันตั้งแต่จิตใจมาถึงกิริยามารยาท การเสาะแสวงหาเป็นเรื่องของโลกไปเสียแทบทั้งสิ้นเลยนะ จะไม่มีเรื่องธรรมเหลืออยู่เลย

         ไปดูที่ไหนก็เห็นแต่หรูหราฟู่ฟ่าในวัตถุซึ่งไม่ใช่เรื่องศาสนา เป็นที่อาศัยเพียงชั่วกาลเวลาเท่านั้น เดี๋ยวนี้เป็นยังไง ไปที่ไหนมีแต่วัตถุออกหน้าออกตาเรื่องของกิเลสทั้งนั้นแหละ ท่านไปที่ไหนมีแต่ป่าแต่เขา ที่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ถามกันมีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วน ๆ โลกไม่เข้ามาแฝงเลย พระปฏิบัติถามกัน ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไง ๆ ๆ เล่าเรื่องความเป็นอยู่และการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ผลเกิดขึ้นมาอย่างไรๆ บ้าง แล้วก็มาเล่าสู่กันฟังเป็นพลังใจอันสำคัญๆ มีแก่ใจผู้ได้ยินได้ฟัง และเสริมความรู้ต่อกันเวลาสนทนากัน

ทุกวันนี้สนทนาอะไร มันมีตั้งแต่เรื่องส้วมเรื่องถานเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร เรื่องธรรมะธัมโมมันสนใจที่ไหน พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้แหละ เอา ใครจะเอาคอหลวงตาบัวไปตัดก็ตัดซิน่ะ มันได้เห็นมาแล้วด้วยกัน เรียนมาแล้วด้วยกัน มาโกหกกันได้เหรอ มันเป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ ศาสนามีที่ไหน เอาตามหลักความจริง ศาสนามีอยู่ที่ไหน ถ้าขึ้นอันดับหนึ่งก็มีอยู่ที่พระ พระทำหน้าที่อะไร กิริยาของพระที่แสดงตัวออกเป็นเจ้าของศาสนา เป็นลูกศิษย์ตถาคต ประกาศตนว่าเป็นพระๆ ปฏิบัติยังไงตามหลักของพระ นั่น

ตามหลักของพระก็ ศีลรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ระมัดระวัง มีหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมที่จะมาแตะต้องทำลายตัวเองอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็เจริญสมาธิ เจริญจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นๆ ด้วยสมถธรรมเพื่อความสงบใจ นี่ศีลบริสุทธิ์แล้ว การบำเพ็ญจิตใจก็ให้มีความสงบร่มเย็น จิตใจถูกกิเลสลากถูไปไหนต่อที่ไหน เอาธรรมลากเข้ามา มาชะมาล้างให้พอเป็นตนเป็นตัวของใจขึ้นมาบ้าง ใจก็มีความสงบเมื่อได้รับการอบรมด้วยความมีสติสตัง สตินี่เป็นสำคัญมากนะ ไม่ว่างานใดๆ ขาดสติแล้วเป็นบ้าไปเลยคนเรา อบรมจิตใจให้มีความสง่างาม เป็นความสงบ เพียงสงบเท่านั้นสบายแล้วนะ นี่เห็นผลแห่งการปฏิบัติต่อพุทธศาสนาแล้ว

ไม่ได้เห็นผลจากวัตถุนั้นวัตถุนี้ หรูหราฟู่ฟ่า กุฏิหลังเท่าภูเขา ศาลาหลังจรดเมฆนู่น ท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของโลกไม่พอ เรื่องของโลกไม่พอ เข้ามาในวัด วัดก็ไม่พอ ทำอะไรสร้างอะไรไม่พอ ความโลภไม่พอ อยู่ในนั้นหมดเลย ท่านอยู่ในป่าท่านไม่ได้ยุ่งกับอะไร เรื่องศีล เรื่องสมาธิภาวนา ออกจากนั้นปัญญาแทงทะลุกิเลสเป็นลำดับลำดาไป ในป่าในเขาที่ว่ามหาวิทยาลัยป่าแต่ก่อน ท่านไม่เรียกชื่อมหาวิทยาลัยป่านะ ทุกวันนี้เรียกโก้ๆ ไปอย่างนั้น มหาวิทยาลัยส้วมทุกวันนี้นะ มีอะไรความรู้ในหลักวิชาของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง มีแต่ความรู้ติรัจฉานกถา ติรัจฉานวิชา ความรู้ของธรรมมีที่ไหน นั่นจะเอามาวิเศษวิโสอะไร มันมาตั้งโก้ๆ เฉยๆ  มหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยาลัยนี้ เพื่อโก้ โก้ไปตามกิเลสนะไม่ได้โก้ตามอรรถตามธรรม ถ้าโก้ตามธรรมแล้ว รุกฺขมูลเสนาสนํ ไล่เข้าในป่าในเขา สำเร็จออกมา องค์นี้เป็นโสดา องค์นี้เป็นสกิทา องค์นั้นเป็นอนาคา องค์นี้เป็นพระอรหันต์ สุดท้ายเป็นสงฆ์สาวก สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ล้วนแล้วตั้งแต่สำเร็จออกมาจากป่าจากเขาทั้งนั้นนะ นี่ละยันกันอย่างนี้ละ

เวลานี้มีที่ไหน พระเข้าไปอยู่ในป่าในเขาก็หาว่าพระวิกลจริตไปแล้ว ฟังซิเดี๋ยวนี้มันหนาขนาดไหนกิเลส พระพุทธเจ้าอยู่ในป่าในเขา เป็นเจ้าของศาสนามาดั้งเดิม สกุลของพระพุทธเจ้าเป็นสกุลอยู่ในป่าทั้งนั้น อยู่ในบ้านท่านไม่ห้าม แต่ในป่าท่านไล่เข้า เป็นความจงใจของพระพุทธเจ้า อยู่ในบ้านท่านไม่ได้ไล่ แต่มันอยากเข้าบ้านอยู่แล้ว ก็เถลไถลเข้าไปในบ้าน พอเอาดินเหนียวติดหัวแล้วก็กลับมาด่าพระพุทธเจ้าซิ ด่าพระพุทธเจ้า โคตรพระพุทธเจ้า โคตรอะไร กูอยู่ในป่าทั้งนั้นลูกศิษย์สาวกของพระพุทธเจ้า เรียกว่าโคตร ทั้งโคตร ไล่ลงมาตั้งแต่พระพุทธเจ้า พวกวิกลจริต พระพุทธเจ้า สาวกอรหันต์ วิกลจริต พระป่าวิกลจริตไปหมด พวกเสือกไปอยู่ในบ้านนั้นมันจริตอะไร ไปพิจารณาซิ เอาไปแปลเทียบกันเข้าไปซิ

มีไหมพระพุทธเจ้าท่านสั่งเสียให้ไปอยู่ในบ้านจริงๆ ไม่มี มันเถลไถลของมันไปอย่างนั้น จึงได้ให้ชื่อว่า อรัญวาสี คามวาสี ผู้ที่อยู่ในแดนบ้าน แดนป่า แดนบ้านก็มี แดนป่าก็มี อรัญวาสีอยู่ในป่า ห่างไกลจากวัดเข้ามาหาที่บ้านเขาตั้งแต่ ๑ กิโลขึ้นไป ท่านเรียกว่าอรัญวาสี ใกล้กว่านั้นเข้ามาท่านเรียกว่าคามวาสี อยู่แดนบ้าน หรืออยู่ใกล้บ้าน หรืออยู่ในบ้าน พูดได้ทั้งนั้น ท่านไม่ได้ตั้งกฎกำหนดบทบัญญัติลงมาอะไร ให้เป็นความพออกพอใจ พอจะเอาเรื่องพระพุทธเจ้าไปอ้างว่าพระพุทธเจ้าให้อยู่ในบ้าน ไม่เห็นว่า แต่สำหรับในป่านั้นบ่งบอกชัดเจน คำสอนนี้ใครไม่รับไม่ได้บวชจากพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องได้รับคำสอน รุกฺขมูลเสนาสนํ นี่นิสสัย ๔ เป็นข้อที่หนึ่ง ไล่เข้าอยู่ในป่าในเขา จากนั้นสรุปความลงว่า ให้ท่านทั้งหลายจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่ในที่เช่นนี้ และบำเพ็ญอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิตเถิด นั่นเห็นไหม

อยู่ในบ้านท่านไม่เห็นว่า เอาเข้าไปในบ้าน เข้าไปอยู่ในส้วมในถานไหนๆ ให้พากันอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิตเถิด ไม่เห็นว่า มันพยายามอยู่แล้วจะไปบอกมันอะไร จับหางดึงไว้ก็หางขาดพวกนี้น่ะ มันอยากไปอยู่แล้ว ว่าอย่างนั้นซิ แล้วยังย้อนกลับมาตีหน้าผากพระพุทธเจ้าอีก มันมีคุณค่าอะไรคนๆ นี้ พระองค์นี้น่ะ ลงได้ฟาดพระพุทธเจ้าถึงขนาดล้มคว่ำหมดเลยศาสนาไม่มีเหลือ เพราะพระพุทธเจ้าอยู่ในป่า คว่ำลงมาหมดทั้งพระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลาย ธรรมที่เกิดในแดนป่าก็ล้มไปตามๆ กันหมดไม่มีเหลือเลย นี่หรือคนวิเศษ ไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าหรือคนวิเศษ แล้วเอาความวิเศษที่ไหนมา ที่ไปอยู่ในแดนบ้านเอามาอวดบ้างซิ

เอามาอวดอย่างหลวงตาบัวมาอวด เอามาพูดกัน แดนบ้านได้อะไร หลวงตาบัวก็เคยอยู่แดนบ้าน เคยอยู่มาแล้วตั้ง ๒๐ ปี ปี ๒๑ บวช จำได้แน่นอนเลยว่า ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน เราเป็นฆราวาสตั้งแต่เกิดมา ๙ เดือนก็คือว่าเราบวชเดือน ๖ เราเกิดเดือน ๙  พอถึง๙ ก็เป็น ๒๑ ปี เราก็ผ่านมาเหมือนกันเรื่องโลกเรื่องสงสาร เอามาอวดกันหาอะไร ไปหาธรรมะพระพุทธเจ้าที่เลิศเลอมาอวดโลกบ้างซี สอนโลกพระพุทธเจ้าเอาธรรมเหล่านั้นนะมาสอนโลก ไม่ได้เอาขี้เป็ดขี้หมูขี้หมาอย่างนี้มาสอนโลกนะ เพียงดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอน เป็นบ้าหงอน เป็นบ้าดินเหนียวไปหมด

โหย เขาตั้งยศให้เป็นอะไรๆ นี้เห่อเป็นบ้าไปเลยนะ ธรรมไม่สนใจ ยศของพระพุทธเจ้า ยศของสาวกทั้งหลาย ยศมีธรรมเต็มหัวใจ ยศของพวกเรามีตั้งแต่มูตรแต่คูถ ขี้หมูขี้หมาเต็ม จากดินเหนียวที่ได้รับยศเป็นนั้นเป็นนี้ ตั้งแต่สมุห์ ใบฎีกา พระครูพระคัน เจ้าฟ้าเจ้าคุณ ฟาดจนกระทั่งสมเด็จสมไหนก็ช่างเถอะน่ะ ถ้าลงปฏิบัติตัวเหมือนส้วมเหมือนถานแล้ว ตั้งฟาดจรวดดาวเทียม มันก็ส้วมก็ถานอยู่นั้นแหละจะเป็นใครไป

ยศของพระพุทธเจ้า เอ้า ทำจิตใจให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สงบร่มเย็นซิ ตั้งแต่ศีลรักษาให้ดี ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนด้วยพระเมตตา เอา ศีลรักษาให้ดี หิริโอตตัปปะให้มีประจำใจ ทำจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น เราจะไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นบ้าไปตามโลกตามส้วมตามถาน ดังที่เป็นอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองในสังฆมณฑลของเราทุกวันนี้นะ เวลานี้เต็มไปหมด มีแต่ส้วมแต่ถานแบบนี้แหละ บวชเข้ามามันไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม เป็นบ้ากับยศกับลาภ สรรเสริญ รายได้รายรวยไปแล้ว อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ พระอำนาจของท่านเป็นอำนาจธรรมต่างหาก ยศของท่านก็เป็นยศเป็นธรรม ท่านไม่ได้ยศเป็นส้วมเป็นถานอย่างนี้นะ ท่านเป็นอรรถเป็นธรรม

สงฆ์สาวก ๘๐ องค์ที่ได้รับสมณศักดิ์จากพระพุทธเจ้า มีองค์ไหนปรากฏว่าเสียไป ไม่เคยมี ๘๐ องค์นี่พระพุทธเจ้าทรงตั้งสมณศักดิ์ เรียกว่า เอตทัคคะ คือเลิศในทางนั้นทางนี้เรื่อยไป ๘๐ องค์ แล้วปรากฏองค์ไหนบ้างที่เห่อเหิม ที่คึกคะนองเป็นบ้ายศ อย่างพระเราปัจจุบันนี้มันเลยบ้ายศไปแล้วนะ มันกำลังเป็นบ้ายศเวลานี้ มันเป็นอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองทำไมจะพูดไม่ได้ ใครหาเรื่องใส่กันวะ มันมีอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น พูดตามนั้นทำไมจะพูดไม่ได้ ผู้เป็นยังเป็นได้ ผู้พูดทำไมพูดไม่ได้ พูดเฉยๆ ไม่ได้เป็น ผู้นั้นไม่พูดมันก็เป็นจะให้ว่าไง พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ซิ

มันกำลังเป็นบ้านะ อู๋ย ทุกวันนี้เอาศาสนามาบังหน้าเท่านั้น เอาส้วมเอาถานโปะเต็มตัว มองหาพระแทบไม่เห็นนะ มีแต่ส้วมแต่ถาน ครั้นโผล่ขึ้นมาก็นี่ข้าได้เป็นปลัด ข้าได้เป็นสมุห์ ใบฎีกา ข้าเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ข้าเป็นสมเด็จขึ้นไปแล้วนะ สมเด็จอะไรเราก็ไม่ทราบแหละ โคตรพ่อโคตรแม่เราไม่ได้เกิดมากับสมเด็จ หลวงตาก็ไม่ได้เกิดมากับสมเด็จ จึงไม่รู้ ก็พูดงูๆ ปลาๆ ไปอย่างนั้น ฟังเอา ใครเป็นปลาไหลว่าไปนะ เราพูดแบบงูๆ ปลาๆ  พวกใครเป็นปลาไหลที่ตัวคล่อง ไหลคล่อง ตามกันไปกับพวกนี้นะ มันจะหมดศาสนาเวลานี้ พวกบ้าเห่อยศลาภสรรเสริญ บ้าอำนาจนี่ จะทำลายชาติและศาสนาไปด้วยกันด้วยนะ จะไม่มีอะไรเหลือ ถ้าเราหลงตามนี้แล้วแหลกหมดเลยนะ

ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมหลง ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมผู้นั้นไม่หลง ผู้ไหนแหวกแนวออกนอกธรรมแล้ว เลยหลงไปไหนก็ไม่รู้แหละ นี้มันน่าทุเรศเหลือเกินนะ นี่เราพูดมาตั้งแต่เรื่องศาสนาไม่ใช่ด้านวัตถุ เพียงอาศัยเท่านั้น ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ของศาสนาจริงๆ ไม่มี มีแต่กิ่งก้านสาขา เป็นเครื่องอาศัยๆ ไปเท่านั้น จตุปัจจัยไทยทาน ที่อยู่ที่อาศัย พออาศัยไปวันหนึ่งๆ  อาหารบิณฑบาต พอยังอัตภาพให้เป็นไปวันหนึ่งๆ แต่ความมุ่งธรรมนี้แข็งแกร่งเทียวนะ นี่ท่านปฏิบัติกันมาอย่างนั้น นี่ละด้านวัตถุเพียงอาศัยเท่านั้น ท่านไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มี แต่เป็นกิ่งก้านของศาสนา ของศาสนาแท้ๆ แล้ว สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ คือการไม่ทำบาป หนึ่ง การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม หนึ่ง การทำจิตของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ หนึ่ง นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ นั่นฟังซิน่ะ ท่านบอกที่ไหนว่าเป็นบ้าเห่อ ท่านไม่ได้มีนี่นะ

มันแหวกแนวไปอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มันรู้นอกลู่นอกทางของศาสนา แล้วก็เอาความรู้ที่นอกลู่นอกทางกลับเข้ามาทำลายศาสนาแหลกเหลว อย่างแบบหน้าด้านด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา พวกนี้พวกหน้าด้าน ไม่มียางอาย ไม่มีหิริโอตตัปปะ ทำเอาแบบสมใจๆ หรือได้ว่าผู้ใดให้สมใจก็พอ ผิดถูกชั่วดีไม่คำนึง ขอให้ได้ว่าอย่างสมใจเท่าที่กำลังมันโกรธมันแค้นด้วยอำนาจของมูตรของคูถ คือความขี้โกรธ ขี้โลภ ขี้หลง อยู่เต็มหัวใจ ระบายออกมา มันพุ่งออกมามันก็เป็นอย่างนี้ ใครฟังๆ ไม่ได้นะ มันน่าทุเรศไหม

นี่เราพูดถึงเรื่องศาสนาแท้ สอนให้คนระมัดระวังรักษาตัว ไม่ได้ไปรักษาอิฐปูนหินทรายสิ่งก่อสร้างต่างๆ อันนั้นเพียงพออาศัยเท่านั้นๆ ที่ให้รักษาจริงๆ รักษากายวาจาใจของตน มีศีลเป็นรั้วกั้นอย่างแน่นหนามั่นคง มีหิริโอตตัปปะระมัดระวังรักษาศีล และทำใจให้สงบร่มเย็น อยู่ที่ไหนสบายหมดคนมีใจสงบร่มเย็น ต่างกับคนที่ฟุ้งซ่านรำคาญเป็นบ้าไปเป็นไหนๆ นะ จากนั้นก็เจริญปัญญา เหล่านี้พระพุทธเจ้าสอนเป็นแก่นของศาสนาจะเป็นอะไร ไม่ใช่จิตตภาวนาจะเป็นอะไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยการภาวนามาโดยลำดับ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ปรากฏขึ้นมาด้วยการภาวนา ธรรมะนี่ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวใจของ เช่นอย่างพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก จากการภาวนา

ธรรมทั้งหลายมีอยู่ แต่ไม่ขวนขวายคือไม่ภาวนาก็ไม่เห็นไม่มี พระพุทธเจ้าทรงขวนขวายทางด้านภาวนา มีขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นเป็นศาสดาเอกของโลกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นี้เกิดขึ้นจากการภาวนา ท่านไม่เห็นว่ากุฏิหลังนี้สำเร็จเป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ โบสถ์หลังนี้สิ่งก่อสร้างหรูหราฟู่ฟ่าได้สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา ท่านไม่เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้บำเพ็ญ ไม่ได้สอนให้ขวนขวายจนเป็นบ้าอย่างทุกวันนี้นะ ทุกวันนี้มันเลยธรรมดาแล้ว มันเป็นบ้า แล้วพระก่อสร้างนี้กวนบ้านกวนเมืองเสียด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา

เพียงแต่เราทำกระต๊อบในที่พักของเราไปกรรมฐานเท่านั้น วันนี้ทำกระต๊อบยังไม่เสร็จ ยังเป็นอารมณ์ใช่ไหมล่ะ อารมณ์นี้กวนใจภาวนาไม่สะดวก ความหมายว่างั้น พอกระต๊อบนี้เสร็จแล้ว ทางจงกรมเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ผึงเลย นั่น เพียงกระต๊อบเท่านี้ก็สร้างความกังวล แล้วสร้างอันหรูหราฟู่ฟ่าใหญ่โต หอปราสาทราชมณเทียรขึ้นในกลางวัดกลางวา เอาไปแข่งเทวบุตรเทวดาสวรรค์ชั้นนั้นๆ เขาแตกฮือกันหมดสู้ไม่ได้ ก็ไม่เห็นเกิดผลเกิดประโยชน์อะไร เอาฟังซิ ใครไปอยู่ในสถานที่เหล่านี้ได้สำเร็จอะไรไม่เห็นมี พระพุทธเจ้าถึงไล่เข้าในป่า สำเร็จในป่า นี่ละศาสนาแท้เป็นอย่างนี้

เดี๋ยวนี้มันมีที่ไหนศาสนา มีแต่ผ้าเหลืองหัวโล้นๆ คลุมหัวเท่านั้น บาปบุญมันระลึกถึงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เรานี้ไม่เชื่อนักนะว่ามันจะระลึกถึงบาปถึงบุญ ถ้าระลึกถึงบาปถึงบุญได้ คำพูดที่แสดงออกมาให้สังคมได้ยินได้ฟังทั่วโลกดินแดน จะไม่เป็นคำพูดประเภทเปรตประเภทผี ทั้งๆ ที่หัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ อย่างนี้เลย ใครจะไม่ได้ยินคำพูดประเภทนี้ คำพูดประเภทนี้เป็นของเปรตของผี ไม่ใช่ของพระหัวโล้นๆ ตามหลักศาสดาที่สอนมาเป็นลูกศิษย์ตถาคตนะ นี้ฟังได้ไหมล่ะ เอาละพอ

ผู้กำกับ โยมผู้หญิงในครัว ถวายทองคำ ๑ กิโล เขาเขียนชมหลวงตามา เขาอยู่ในนี้นานแล้ว

หลวงตา เอ้าอ่านดูซิ ชมยังไง ติยังไง ให้ได้ฟังทั้งติทั้งชม หูเรามันเคยฟังมาแล้วทั้งสอง เอ้าว่ามา

ผู้กำกับ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ลูกกราบถวายทองคำน้ำหนัก ๑ กิโลกรัม แด่องค์หลวงพ่อมหาบัว ญาณสัมปันโน พร้อมนี้ขอกราบประทานโอกาส เขียนถึงความระลึกที่ลูกมีต่อหลวงพ่อ มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านไปแล้วและกระทบจิตใจของลูก ซึ่งเคารพบูชาหลวงพ่ออย่างแทบจะทรงตัวไม่ได้ ในท่ามกลางแห่งความเชี่ยวกรากของกระแสแห่งวัฏวนนี้ สัตว์โลกที่ไม่มีหลักใจหลักธรรมครองอยู่บ้าง ก็จะไหลลงสู่อบายภูมิกันอย่างมาก ความเป็นมหามงคล ความมหัศจรรย์ของหลวงพ่อที่ปรากฏแก่สายตาโลกนี้ ลูกมั่นใจว่าไม่มีใครในโลกสามารถที่จะบรรยายให้เข้าถึงความจริงทุกอย่างขององค์ท่านได้ ไม่มีภาษาสมมุติใดๆ ที่จะเปล่งออกไปให้เหมือนของจริง และทุกอย่างขององค์ท่านเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ทำให้น้อมระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราด้วย ในสมัยพุทธกาลจะเป็นเช่นไร

ผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ทรงความจริงไว้ทุกรูปแบบ คนที่ได้สัมผัสและยอมรับความจริงจะต้องตะลึงงันธรรมะที่หลวงพ่อครองไว้ทั้งหมดนี้ เปรียบเสมือนด้วยชวาลาอันยิ่งใหญ่ เป็นเส้นทางเดียวกัน ที่จะพาสัตว์โลกไปสู่ความพ้นทุกข์ พระคุณอันหาประมาณมิได้นี้ ลูกขอกราบแทบเท้ามาครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ จึงใคร่ขอฝากข้อความนี้ไว้กับสาธารณชนทุกท่าน โปรดช่วยกันตระหนัก ปกป้องรักษา เทิดทูนยอดแห่งพระธรรมคำสอนนี้ และกระทำทุกอย่างขององค์ท่านไว้เป็นสมบัติของตัวเอง ของชาติไทยและของโลกสืบต่อไปชั่วอนันตกาล กราบแทบเท้าหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง จากลูก สุพรรณี

หลวงตา เออ พอใจๆ ได้ทองคำตั้ง ๑ กิโล นี้เราจะเอาไปบูชาเป็นหัวใจของชาติ ชาติร่มเย็นเพราะอันนี้แหละ เข้าไปอยู่ในจุดกลาง เอาละพอใจ เวลานี้ทองคำเราลดลงเรื่อยๆ ละ จะอยู่ประมาณสัก ๓๐๐ มังระยะนี้ แต่ยังไงต้องได้วันนั้นว่างั้นเลย เน้นลงตรงนี้เลย ขาดเท่าไรก็ขาดไป คือรวมมันยังไม่แน่นัก เราก็มีลักษณะจริงบ้างเดาบ้าง ว่าขาดอยู่ราว ๓๐๐ เอาแค่นี้เสียก่อน พอถึงวันจริงเอามารวมเรียบร้อยแล้วผางออกเลย ใช่แล้ว นั่น เวลานี้ยังไม่ใช่ สำหรับดอลลาร์ก็ยังขาดอยู่เป็นล้าน ไม่เป็นไร เหล่านี้จะมาด้วยกันวันนั้น ถึงวันนั้นจะต้องมาด้วยกัน ให้พร

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก