ผู้ทำคุณต่อแผ่นดินไทย
วันที่ 27 มกราคม 2547 เวลา 8:45 น. ความยาว 62.18 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ผู้ทำคุณต่อแผ่นดินไทย

 

ก่อนจังหัน

 

พระที่อยู่ข้างในวัดนี้ภาวนากันไหมล่ะ งานการทุกอย่างผมไม่ให้เข้าไปยุ่งกับพระนะ เพราะสงวนเรื่องภาวนาสำหรับพระ อันนี้เป็นอันดับหนึ่งเลยในวัดนี้ เรื่องภาวนาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนง่าย ๆ ให้ได้ทำหน้าที่การภาวนาชำระความชั่วอยู่ภายในจิตใจออก นั่นละกิเลสพาให้คนชั่ว ให้สัตว์ชั่ว ให้ภาวนานะ มันมีภาวนารึเปล่า เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้เดินไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนนี้ไปซอกแซก ๆ ไปถ้ารายไหนไม่เป็นท่าคอยจับตลอด ถึงตลอดรุ่งเลยนี่นะ แล้ววันหลังซ้ำอีก พอได้ความชัดเจนแล้วให้ไปได้องค์นี้ ไม่ยากนะ มันขี้เกียจภาวนามาทำไม

         นี่พูดจริง ๆ ไม่ได้คุยนะ อย่างทุกวันนี้พระหนุ่มเหล่านี้อาจสู้เราไม่ได้เป็นไรวะ เรื่องอิริยาบถในความพากความเพียรของเรา เราเคยละที่ไหน ไปที่ไหนเราไม่เคยละนะ ไม่ว่าจะบ้านใหญ่เมืองเล็กเมืองใหญ่  พอลงรถปั๊บจะเข้าซอกแซกหาที่เดินจงกรมทุกแห่งเลย  ถึงเวล่ำเวลาลงเลย ๆ ใครมายุ่งไม่ได้ ๆ ๆ ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ทั้งรักษาอิริยาบถ ทั้งเรื่องอรรถเรื่องธรรมประจำในขันธ์ในจิตนี้หมด อันนี้กินแล้วมันเป็นยังไงพระเราน่ะ การบำเพ็ญตั้งแต่เริ่มต้นบำเพ็ญมา มันควรจะได้มรรคได้ผลปรากฏขึ้นในจิตใจบ้างถ้าบำเพ็ญตามอรรถตามธรรม

         ถ้ามาวิ่งตามกิเลสในหนทางจงกรมนั้นแหละ ในที่ภาวนานั่นละ วิ่งตามกิเลสอยู่ในทางจงกรมด้วยสัญญาอารมณ์ ไม่อยู่กับทางจงกรมซิ ไปอยู่กับกิเลส นั่งก็ไปอยู่กับกิเลส นั่งเป็นหัวตอคน แต่จิตไม่เป็นหัวตอ มันวิ่งตามกิเลสๆ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ค่อยได้เหตุได้ผลอะไร ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอสุดยอดแล้ว ท่านทั้งหลายจะไปหาที่ไหนอีก เรานี้สุดหัวใจแล้วเรื่องพุทธศาสนานี้ ไม่มีที่ต้องติสงสัยที่ตรงไหนว่าบกพร่อง ส่องเข้ามาที่ไหนมาบกพร่องที่ตัวของเรา ๆ ด้วยสายตาของธรรม ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ

         เรื่องความพากความเพียรสำคัญมากสำหรับพระเรา ไม่มีอะไรสำคัญมากยิ่งกว่าการประกอบความพากเพียรชำระกิเลสตามทางของศาสดา ซึ่งมีเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าจนกระทั่งปัจจุบันนี้ สอนไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนมากต่อมากมีแต่กิเลสไปแย่งเอาๆ เดี๋ยวนี้ศาสนากลายเป็นสนามของกิเลสแล้วนะ ในวัดก็เป็นสนามของกิเลส ไม่เป็นสถานที่อบรมธรรม ไม่ว่าสถานที่ใด กิเลสจึงมีอำนาจมาก เหยียบหัวไป เหยียบหัวพระในวัดในวาทุกแห่งทุกหน เหยียบไปหมด เพราะกิเลสมันแยบคายมากทีเดียว ถ้าไม่มีธรรมขึ้นภายในใจจะมองหากิเลสไม่เห็นเลย ทั้งๆ ที่มันเหยียบอยู่บนหัว ขี้รดหัวเรานั่นแหละนะ

         ให้พากันตั้งอกตั้งใจมาประพฤติปฏิบัติ ตลอดข้อวัตรปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าให้บกพร่อง ผู้เป็นนักปฏิบัติแล้วจะไม่บกพร่องทั้งภายนอกภายใน ข้อวัตรปฏิบัติปัดกวาดเช็ดถูอะไรๆ หรือเก็บนั้นเก็บนี้ นี่ก็เป็นข้อวัตรปฏิบัติอันหนึ่ง ภายในจิตมีสติติดตามงานคือความเคลื่อนไหวของตนอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นผู้มีความเพียรตลอดนะ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

 

         เวลาว่างก็ได้ไปกราบศพท่านเจ้าคุณปู่วัดศรีเมืองอยู่เสมอนะ ไปเงียบๆ พอว่างๆ ไปปั๊บเลย ไปกราบศพท่านอยู่เสมอ โอ๋ย ไม่ทราบว่ากี่เที่ยวนะ เพราะสนิทสนมคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เราบวชเป็นพระหนุ่มน้อย ท่านเป็นเปรียญอยู่นู้น เรื่อย ที่ไปสนิทสนมกันมากก็คือเราไปอยู่ที่หนองคาย ท่านก็อยู่วัดศรีเมือง เราอยู่วัดทุ่งสว่าง นั่นละถึงสนิทสนมกันมากตรงนั้นแหละ จากนั้นก็ต่อกันมา ท่านเป็นพระที่ไม่ถือเนื้อถือตัว เข้าได้หมด ท่านเจ้าคุณองค์นี้ สนิทกันมากกับเรา เรายังไม่ลืม

         ที่เคยพูดว่า ที่วัดโนนนิเวศน์ ท่านอาจารย์บุญมี ท่านเสียชีวิต เลยไปงานศพท่านหรือไง เขานิมนต์เราไปฉันเช้าที่นั่น พอดีท่านเจ้าคุณนี้ท่านก็มาฉันเช้าร่วมกัน ท่านอยู่ก่อนแล้วเราพึ่งไปทีหลัง ท่านเห็น อย่างนั้นแหละนิสัยเคยพูดหยอกกัน ปุ๊บปั๊“พระสีวลีมาแล้ว ๆ ” มันอะไรเราโมโห ก็ท่านก็พูดสนุกของท่านเอง พระสีวลีมาแล้ว ๆ ขึ้นปึ๋งปั๋ง ๆ พระมาก ๆ บางองค์ไม่รู้เรื่องก็อาจจะตื่นเต้นนะ องค์ที่รู้เรื่องก็รู้ว่าท่านพูดเล่น พูดหยอกกับเรา

         เรายังไม่ลืม ท่านเป็นพระที่มี สมานตฺตตา วางตนได้กับคนทุกชั้นทุกวัยสม่ำเสมอ เวลาท่านมรณภาพลงไปแล้วเราก็เลยไปกราบเยี่ยมศพ ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่เราก็ไป ดูเหมือนสองครั้งหรือสามครั้ง โอยท่านดีใจ แสดงอะไร พูดอะไรไม่ได้ท่านแสดง พวกนั้นเป็นล่าม ในกิริยาของท่านที่แสดงออก รู้หมดนะ ไอ้เรานั่นเซ่อซ่า ๆ ท่านชี้แจงบอกใบ้อะไรพวกนั้นรู้หมดเลย เราไม่รู้เรื่อง นี่ดูว่าศพท่านจะเผาที่วัดอรุณรังษีละมัง (ทางนี้บอกเจ้าคณะจังหวัดจะเอาไปเผาที่วัดจันทร์ครับ) ก็เหมาะอยู่แล้วทั้งสอง (ยังไม่แน่นอนนะครับ เป็นแต่ข่าวเฉยๆ ครับ) วัดจันทร์มีเมรุอยู่หรือเปล่า ส่วนวัดอรุณรังษีมีเมรุ วันจันทร์เราเคยไป ดูเหมือนได้ไปหนเดียว

         ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด ไปเผาวัดจันทร์ซึ่งเป็นวัดของท่านก็เหมาะ แต่สถานที่ที่เป็นทำเลสำหรับรับแขกคนนั้น เท่าที่ผ่านมาแล้วรู้สึกสู้วัดอรุณไม่ได้นะ วัดอรุณเหมาะกว่า วัดนั้นเราเข้าไปแล้วหาที่อะไรที่จะเหมาะสมสู้วัดอรุณไม่ได้ วัดทุ่งสว่างแต่ก่อนมันเป็นคนละวรรคละตอน ถนนผ่านหน้าวัด มีแต่ทุ่งนานะแถวนั้น ทุ่งนาหมดเรื่อยมา อย่างวัดศรีเมืองมาวัดศรีคุณเมือง แล้วถนนทางด้านนี้ไม่มีบ้านคนเลย จะมีบ้างนิดหน่อย มาจุดนั้นและวัดศรีคุณเมือง บ้านคนมาจุดนั้น นอกนั้นว่างไปหมด

         ตอนที่เราไปพักอยู่กับท่านอาจารยกู่ พ.ศ.๒๔๘๓ ละมั้ง จะเริ่ม ๒๔๘๔ มันเป็นทุ่งกว้างขวาง แถวนั้นมีแต่ทุ่ง วัดทุ่งสว่างก็เป็นเกาะ ทุ่งนาล้อมรอบหมด วัดทุ่งสว่างก็เป็นเกาะท่ามกลางทุ่งนา เดี๋ยวนี้มันท่ามกลางบ้าน ตลาดแล้ว ส่วนวัดอรุณรังษีนั้น โอยเป็นวัดป่าจริงๆ วัดทุ่งสว่างนี้อยู่กลางทุ่งนา จึงเรียกว่าเป็นเกาะ คือวัดมันเป็นเกาะอยู่นั้น นอกนั้นทุ่งล้อรอบหมดเลย เดี๋ยวนี้ก็ดูเอาซิ พ.ศ.๒๔๘๓ นั่นแหละเราไปพักอยู่นั้นนาน ๒๔๘๓ กับมาถึงระยะนี้มันสักกี่ปีแล้ว มันก็เปลี่ยนแปลงไปหมด อย่าว่าวัดทุ่งสว่าง วัดอรุณรังษี หนองคายเลย อยู่ที่นี่มันก็เหมือนกัน เหมือนกันหมด

         อย่างกรุงเทพฯ นี้เราไม่รู้ที่ไหนเลยนะ ทุกวันนี้ไม่รู้เลย ก็คือความเปลี่ยนแปลง จำได้ตั้งแต่ที่อะไรถนนแถวสังฆภัณฑ์ หน้าวัดสุทัศน์นั่นน่ะ นี่กรุงเทพฯ เราก็บอกงั้น นี่กรุงเทพฯ เราว่า คือจำได้แห่งเดียว นอกนั้นจำไม่ได้เลย เปลี่ยนขนาดนั้นละจำไม่ได้เลย จำได้ตั้งแต่ถนนแคบๆ แถวนั้นเขาขายสังฆภัณฑ์ มาวัดสุทัศน์มาเห็น นี่ ๆ กรุงเทพฯอยู่ตรงนี้นะ นอกนั้นไม่มีเครื่องหมายเก่าแก่ของกรุงเทพฯ เลย หมดเลย เรือนจำอยู่ที่นั่นก็รื้อออกแล้วนะ รื้อออก เรือนจำดูเหมือนติดกับวัดสุทัศน์มิใช่หรือที่ไหน (ย้ายไปแล้วครับ) แต่ก่อนอยู่ที่นั่น แล้วย้ายออกไปแล้วนะ ตอนเขาย้ายเราก็รู้ เราก็ทราบอยู่

         จากกรุงเทพฯ ไปดอนเมืองดูเหมือน ๒๒ กิโล ห่างกัน ดอนเมืองไปหากรุงเทพฯ  เป็นวรรคเป็นตอนขนาดนั้น ๒๒ กิโล แล้วเวลานี้ดอนเมืองกับกรุงเทพฯ เป็นยังไง อย่างนนทบุรี-ปากน้ำนะ แบบเดียวกันเลย ปากน้ำกับกรุงเทพฯ ก็แบบเดียวกัน แต่ก่อนเป็นคนละจังหวัด คนละวรรคละตอนจริง ๆ ไม่มีบ้านผู้บ้านคนนะ ตั้งแต่กรุงเทพฯ นครหลวงไปปากน้ำเป็นวรรคเป็นตอน พระโขนงก็เป็นเกาะของพระโขนง จากนั้นก็เป็นกรุงเทพฯมาพระโขนง จากนั้นไปก็เป็นปากน้ำ เดี๋ยวนี้เป็นอันเดียวกันหมด นนทบุรีก็เหมือนกัน แบบเดียวกัน คือคนมาก มากขึ้นทุกวันๆ คน

         นี่เราได้พูดเกี่ยวกับเรื่องพระให้ภาวนา เวลานี้การภาวนาของเรานั้นรู้สึกว่าแทบจะไม่มีเหลือในวงพุทธศาสนาของชาวพุทธเราเลย ทั้งๆ ที่การภาวนานั้นแล คือแก่นพระศาสนาอยู่ตรงนั้นนะ พระพุทธเจ้าออกมาจากแก่น ผุดขึ้นมาจากแก่นด้วยอานาปานสติ นั่นแหละแก่น พระพุทธเจ้าขึ้นที่นั่นก่อน แก่นธรรมขึ้นที่นั่น ๆ สาวกทั้งหลายที่เราเปล่งถึงท่านว่า สรณํ คจฺฉามิ ออกมาจากแก่นนี้ทั้งนั้นๆ เวลานี้มันไปลูบไปคลำแต่ดอกแต่ใบไปนู้นนะ ต้นไม่มาบำรุง ไม่มารักษาให้ดี แล้วจะหากินแต่กิ่งแต่ก้านดอกใบ มันไปเท่านั้น ลูบคลำกิ่ง ก้าน ดอก ใบ ต้นที่สำหรับส่งอาหารให้กิ่งก้านสาขา ดอกใบ มันไม่ดู เป็นยังไงต้นไม้มันจะเจริญได้ยังไง เมื่อลำต้นไม่ได้รับการบำรุง ไปส่งเสริมตั้งแต่ภายนอก ส่งเสริมก็กลายเป็นกิเลสตามกิ่งไปอีกแหละทีนีนะ ส่วนภายในนี้ปิดๆ แทบจะมิดเลยละ

         เราจึงอยากจะให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบถึงเรื่องพุทธศาสนาอย่างแท้จริง อยู่ที่ไหนแน่ ตรงนี้ละตรงสำคัญมาก ถ้าขึ้นที่ใจนี้จะกระจายออกทันทีเลย ฤทธิ์เดชของจิตตภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อย่างพระพุทธเจ้าพอผุดขึ้นมาก็เป็นศาสดาของโลกทั้งสามได้ทันที นั่นฟังซิ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ สำคัญจริงๆ อยู่ที่นั่นนะ แต่ไม่มีใครเหลียวแลเหลือบมอง เฉพาะพระเรานี้เป็นหน้าที่การงานร้อยเปอร์เซ็นต์ ตามหลักพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงประทานอุปสมบทให้เรียบร้อยแล้ว ไล่เข้าป่าๆ ๆ ทั้งหมด นี้เป็นปฐมโอวาทเลยเชียว ที่ให้โอวาทสั่งสอน ไล่เข้าป่า ขึ้น รุกฺขมูลเสนาสนํ เลย ไล่เข้าป่าเข้าเขา

         มีแต่เพื่อความสะดวกสบายในการชำระกิเลสได้อย่างสะดวกๆ สถานที่สะดวก ที่อยู่กินหลับนอนอยู่ในป่าทั้งหมด สะดวก ตา หู เรานี้ ที่สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก ปิดไม่ให้ยุ่งกัน นั่น อยู่ในป่าจะไปเห็นอะไรมีแต่ต้นไม้ ป่าไม้กับป่าคนต่างกัน ป่าคนป่ายุ่งเหยิงวุ่นวาย ป่าฟืนป่าไฟ ทั้งความเพลิดความเพลิน ทั้งฟืนทั้งไฟเผาไหม้ไปด้วยกันกับป่าคน แต่ป่าไม้ชุ่มเย็น มันต่างกันนะ นี่ละพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นที่ตรงนั้นนะ ที่จิตตภาวนา บรรดาสาวกสรณะของพวกเรานี้ขึ้นจากนั้นทั้งนั้น จากจิตตภาวนา แล้วก็ขาดความเหลียวแล เฉพาะพระเรานี้เป็นหน้าที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว

         อย่างทุกวันนี้โอวาทสอนก็สอนแบบเดียวกัน ถึงอุปัชฌาย์จะรังเกียจในการอยู่ในป่าในเขาก็ตาม แต่การสอนต้องสอนสัทธิงวิหาริกผู้มาบวชในโอวาทอันนี้ เว้นแต่องค์เดียวไม่ได้นะ ไม่มีเว้น สอนอย่างเด็ดอย่างเดี่ยวเฉียบขาดที่จุดนี้นะ เพราะจุดนี้เป็นจุดที่จะบุกเบิกกิเลสออกจากจิตใจ ให้ธรรมได้โผล่ขึ้นสง่างามแก่โลกแก่สงสาร จุดจิตตภาวนา ต้องหาสถานที่เหมาะสมให้ เป็นแนวรบเอาชัยชนะมาจากในป่าในเขา นี่การภาวนาไม่ค่อยมีศาสนาก็จืดไปจางไป ถ้ายังมีหลักการภาวนาก็ยังมีผู้บำรุงลำต้นอยู่ กิ่ง ก้านสาขา ดอก ใบ ก็มีทางที่จะงอกเงยให้เป็นประโยชน์ตลอดทั่วๆ กันไป

         ถ้าขาดภาวนาเสียอย่างเดียวก็ลูบๆ คลำๆ ไปอย่างงั้นละ ถ้ามีหลักภาวนาภายในจิตใจแล้วก็เหมือนว่าต้นลำของต้นไม้ดี จึงอยากให้บรรดาชาวพุทธเราได้สนใจทางจิตตภาวนา จะได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของพุทธศาสนาขึ้นที่จิตใจ สว่างจ้าขึ้นที่นั่นนะ ไม่ได้เหมือนอะไรเลย นี่ละธรรมเมื่อได้โผล่ขึ้นแล้วจะไม่เหมือนสิ่งใด พอโผล่ขึ้นแล้วเริ่มชนะไปหมดๆ โดยลำดับ ละเอียดเข้าไปเท่าไรชนะไป ส่วนหยาบส่วนละเอียดของกิเลสนี้ชนะไปเรื่อย ๆ เพราะโลกอันนี้มันเป็นวัฏวน เป็นสถานที่อยู่ของวัฏจักร สัตว์โลกถูกหมุนไปด้วยอำนาจของกิเลส ให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ มีสุข มีทุกข์ เจือปนกันไปทั่วดินแดนจักรวาล หรือดินแดนวัฏจักร นี่เป็นสถานที่อยู่ของกิเลส แล้วก็ถลุงหัวใจสัตว์นั่นแหละ

         กิเลสไม่ได้ไปอยู่ต้นไม้ ภูเขานะ ดิน ฟ้า อากาศ ที่ไหนไม่อยู่ อยู่ที่หัวใจสัตว์โลก เพราะฉะนั้นเวลาทุกข์จึงทุกข์จากหัวใจก่อนอื่น กิริยาอาการของเราเจ็ไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน ถ้าใจมีธรรมเป็นเครื่องอยู่แล้วไม่ค่อยเป็นทุกข์นะ มันก็รู้ทุกข์ตรงไหนๆ ก็รู้ แต่จิตใจไม่สร้างความกังวลใส่ตนเอง ก็สะดวกสบาย เยียวยารักษากันไปตามหลักธรรมชาติ ความวุ่นวายของใจไม่มีสิ่งเหล่านั้นเขาก็สงบ ไม่สงบ ถึงเขาจะเป็นจะตายก็เป็นเรื่องของเขาไป จิตใจไม่มีคำว่าไปตายกับเขานะ ไม่มี มีความสง่างามอยู่อย่างงั้นตลอดเวลา

         นี่ละอำนาจของธรรมที่เข้าสู่ใจ ยิ่งธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วก็อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านจ้าอยู่ตลอดเวลา อยากให้บรรดาพี่น้องชาวพุทธเรา เฉพาะอย่างยิ่งพระเราควรจะหันหน้าเข้าหาการภาวนาบ้าง มีตั้งแต่หันหน้าออกไปสั่งสมกิเลสเอาฟืนเอาไฟมาเผากัน เวลานี้ไปหาแต่กิเลสนะมาเผากัน ทางโลกก็เดือดร้อน ทางธรรมที่ควรจะให้ความร่มเย็นแก่โลก เรียกว่าน้ำดับไฟ กลายเป็นเชื้อไฟไปได้เลย ให้กิเลสเผาเอาแหลกไปเลย เลยหาความหมายไม่ได้นะ

         อยู่แต่ในป่าในเขาสง่างามอยู่ภายใน เวลานี้ก็พอที่จะพูดได้บ้าง แต่ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ เราพูดตามหลักความจริง พอที่จะเป็นเกาะเป็นดอนได้ซุกหัวนอนให้สะดวกสบายบ้าง ก็คือผู้ภาวนา นักภาวนา เฉพาะอย่างยิ่ง เช่น พระกรรมฐานอยู่ในป่าในเขา นั่นละท่านทรงความสุข ความสงบร่มเย็นจะไปรวมอยู่ที่นั่นๆ อย่างเงียบๆ นะ โลกมีแต่เอิกเกริกเฮฮา ตื่นเต้นเรื่องนั้น ตื่นเต้นเรื่องนี้ ตื่นเต้นไปเรื่องฟืนเรื่องไฟ เดี๋ยวไฟกระเด็นไปติดคนนั้น ฮือขึ้นมา ๆ ไฟกระเด็นไปติดคนนี้ ฮาขึ้นมา ฮือขึ้นมา ทั่วโลกทั่วสงสารมีแต่ฮือฮาเรื่องไฟเผาหัวคน เข้าใจไหม

         เรื่องน้ำดับไฟ ไฟสงบลงโดยลำดับลำดาด้วยอรรถด้วยธรรมไม่ค่อยมี ถ้ามีอรรถมีธรรมมากน้อยจะเป็นน้ำดับไฟ พออยู่ พอเป็น พอไป คนเรานะ ถ้าไม่มีธรรมเลยใครอย่าอวดดีว่าใครมั่งมีศรีสุข ใครใหญ่โต ใหญ่โตขนาดไหนก็นั่นละคือกองฟืนกองไฟใหญ่ขนาดนั้น ความสำคัญเป็นเรื่องของกิเลส ฟืนไฟอยู่กับตรงนั้น มันเผาหัวใจสัตว์โลกอยู่ตรงนั้น ทีนี้กิเลสมันออกมาประดับหน้าร้านซิ ตัวสกปรกลามกที่สุดคือกิเลส มันประดับหน้าร้านของมันให้เป็นพวกิเลสด้วยกัน เป็นบ้ากับกิเลสด้วยกันนั้นละ หลอกกัน กิเลสหลอกกัน ผู้ที่หลอกก็คือกิเลสพาให้หลอก ไอ้ผู้หลงก็คือกิเลสพาให้หลง โลกจึงหลงกันด้วยอำนาจของกิเลสตลอดไปอย่างนี้

         ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่อยากแซงกันไป ว่าจะอวดดี อวดเด่น อวดร่ำอวดลือว่าอะไรว่าเป็นของดิบของดี อยากอวดอันนั้น ครั้นเอาออกมาแล้วมันมีแต่กองมูตรกองคูถมาอวดกัน ผู้ที่หลงมูตรหลงคูถ ก็แหมอันนี้ดีนะ อันนั้นดีนะเรื่อย ดีไปตามมูตรตามคูถ แล้วทีนี้ความสุขที่เกิดขึ้นจากความเห็นดีกับมูตรกับคูถมันมีที่ไหน มันมีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น เรื่องธรรมท่านจับเอาหมด ธรรมนี้แหลมคมไม่มีอะไรละเอียดเท่า จึงเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนือเสียทุกอย่าง

         แต่โลกมอมแมม ไม่รู้ตัวเลยว่ามอมแมม จนมองหาคนไม่เห็น เห็นแต่กองมูตรกองคูถเต็มตัว แต่ธรรมจับจ้าเข้าไปหมด นั่นละท่านเอามาสอนโลก ท่านเอาสิ่งที่รู้แล้วเห็นแล้วมาสอน ท่านไม่ได้สอนแบบลูบๆ คลำๆ นะ จึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ถ้าปฏิบัติตามนั้นก็เป็นการชะล้างตัวเองไปโดยลำดับ ความทุกข์ก็จะค่อยเบาบางลง ความสุขค่อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นไป ใจเป็นรากฐานสำคัญ ทรงไว้ซึ่งอรรถซึ่งธรรม นั้นแลเป็นสถานที่ทรงไว้ซึ่งความสุขความเจริญ สงบร่มเย็น ตลอดถึงจะตัดวัฏวน ซึ่งเป็นกองทุกข์แบกหามกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ออกได้โดยลำดับ ก็คือการบำเพ็ญความดีทั้งหลาย รวมลงในจิตตภาวนา แล้วขาดสะบั้นลงหมด สิ่งทั้งหลายที่พัวพันมาแต่ก่อนแต่เก่า ขาดสะบั้นลงไปด้วยอำนาจแห่งตปธรรม คือธรรมะเป็นเครื่องแผดเผา ขาดกระเด็นลงไปหมด เหลือแต่ความสว่างจ้าภายในจิตใจ ก็สว่างน่ะซิทีนีไปที่ไหนสว่างหมด

เราไปวัดใดๆ ถ้าไปธรรมดาสำหรับวัดทั้งหลายไม่ค่อยเข้า ถ้าเป็นวัดกรรมฐานเราเข้า เข้าก็ต้องดูซอกแซกซิกแซ็ก ดูสถานที่ทำงานของพระ ที่อยู่ ที่กิน ที่หลับที่นอนของพระผู้ตั้งหน้าตั้งตาชำระกิเลส ความเป็นอยู่ปูวายเป็นยังไง กิริยาท่าทาง หรือความเป็นอยู่อันนี้เข้ากับอรรถกับธรรมเพื่อทรงมรรคทรงผลได้ไหม จึงต้องดูอย่างนั้น

         อยู่ในป่า ความถูกต้องจริงๆ อยู่ในป่าในเขาที่โลกเขาไม่ต้องการ ท่านอยู่ในที่นั้นเหมาะแล้ว ทีนี้สถานที่ท่านทำความพากเพียร ทางจงกรม สถานที่ภาวนา มีแต่ความสงบงบเงียบ นี่ถูกต้องแล้ว เป็นทางเพื่อความพ้นทุกข์แล้ว อาหารการบริโภคโลกเขาถือว่าเป็นของสำคัญๆ มากทีเดียวกับลิ้นกับปาก แต่ท่านพอทรงไว้เท่านั้น บิณฑบาตได้อะไรมาก็ตาม แม้ที่สุดข้าวเปล่าๆ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะจิตใจท่านมุ่งอยู่กับธรรม ท่านไม่มาถือสิ่งเหล่านี้เป็นของสำคัญ พอยังอัตภาพให้เป็นไปในวันหนึ่งๆ บิณฑบาตจากเขามาได้เท่าไรท่านก็สักแต่มาเยียวยาธาตุ ท่านไม่มาเป็นอารมณ์กับอาหารการขบฉันเหล่านี้นะ ธรรมนั้นมีน้ำหนักมากกว่า ท่านก็อยู่สบายด้วยการกิน การหลับการนอนล้มที่ไหน หลับไปได้พอบรรเทาร่างกาย ตื่นขึ้นมาปั๊บใส่ความเพียรเลย

การอยู่การกินการหลับนอนท่านสะดวกสบาย การใช้สอยอะไรนี้ไม่อยากพูดถึงแหละ เครื่องใช้สอยพระกรรมฐาน มีบริขาร ๘ เอาอะไรมาใช้ ใช้หาอะไร นี่ละทางของผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ต้องมี อัปปิจฉตาๆ มักน้อยทุกอย่าง สิ่งที่จะทำความกังวลนั้น ปัดออกๆ เป็นผู้มักน้อย นอกจากนั้นย่นเข้ามาเป็นผู้มักน้อยในอารมณ์ภายในจิตใจ ไม่ให้เกิดไม่ให้มีในอารมณ์บรรดาที่เป็นกิเลสทั้งหลายโดยลำดับลำดา นั้นแลดีๆ เป็นความมุ่งหมายแล้ว อัปปิจฉตา สิ่งภายนอกเป็นวัตถุก็มีความปรารถนาน้อยมากทีเดียว ไม่ค่อยได้ยุ่งเหยิงอะไรละกรรมฐาน ใช้นั้นใช้นี้ไม่มี ถ้าว่ามีดก็เล่มเท่านี้ ติดย่ามไปแค่นี้ พอได้ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มี แต่ส่วนมากไม่ติดแหละ นี่เราพูดว่าถ้ามีนะ สำหรับใช้สอยในสถานที่อยู่ เช่น ทำไม้กวาดไม้อะไร ปัดกวาดลานวัดอย่างนี้ ก็เอาจากชาวบ้านเขาก็ได้มาทำ แน่ะ ไม่เห็นยากอะไร

การอยู่การกินการหลับการนอนท่านสะดวกทั้งนั้น ล้มลงที่ไหนหลับได้พอบรรเทาร่างกาย ตื่นขึ้นมาเร่งแต่ความเพียร จิตใจอยู่กับการชำระซักฟอกสิ่งที่สกปรกรกรุงรัง ที่จะนำมาซึ่งฟืนไฟออกไปโดยลำดับลำดา นั่นผู้บำเพ็ญธรรมเพื่อความสง่างาม เพื่อความพ้นจากทุกข์โดยลำดับลำดา ท่านดำเนินอย่างนั้น เวลานี้พอเป็นเกาะเป็นดอนอยู่ก็คือกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น เราพูดตามหลักความจริง เพราะเราได้ผ่านมา ทางปริยัติเราก็เรียกว่าโชกโชนสำหรับเราเอง ไม่ว่าวัดไหนๆ ทางปริยัติ วัดใหญ่วัดเล็กวัดน้อย วัดหลวง วัดราษฎร์เข้าหมดเลย ทางภาคปฏิบัติเราก็เป็นพระที่เรียกว่า ล่าครูล่าอาจารย์เหมือนกัน สถานที่ไหนไปดู เพราะเรามุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างยิ่ง แม้แต่เรียนหนังสืออยู่เราก็ไม่เคยปล่อยวางการภาวนา พอโรงเรียนปิดปั๊บนี้ออกป่าแล้ว

ไปอยู่จังหวัดไหนก็เหมือนกัน เช่นอย่างไปอยู่เชียงใหม่นี้ พอโรงเรียนหยุดปั๊บเข้าป่าแล้ว ไปเที่ยวอยู่อำเภอนั้นอำเภอนี้ เช่นอย่างทางสันกำแพงบ้าง ทางไหนหลายแห่ง ซึ่งมีสถานที่บำเพ็ญภาวนาอยู่ ไปแล้ว พอถึงเวลาโรงเรียนจะเปิดแล้วค่อยมา นี่เป็นประจำ ไปอยู่ในสำนักนั้นสำนักนี้ ทางเชียงใหม่ก็มีสำนักกรรมฐาน เรามักจะไปอยู่ตามสถานที่เช่นนั้นๆ แหละ เวลาออกมาแล้วทีนี้ก็เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์เรื่อยไปเลย จึงเรียกว่าโชกโชน ในการเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ ไม่ว่าทางด้านปริยัติด้านปฏิบัติ เราเข้านอกออกในได้หมดเลย เที่ยวหมด จึงได้มาเจอเอาพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ เท่านั้นพอ บอกว่าพอ ทุกอย่างๆ พร้อมหมดแล้วๆ และก็ลงใจอย่างสุดเหวี่ยง นี่ที่ได้สละเป็นสละตายก็ตอนหลังจากฟังเทศน์หลวงปู่มั่นเรียบร้อยแล้ว

ทีแรกความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานมี แต่ขาดครูขาดอาจารย์ทำให้เกิดแง่สงสัยต่างๆ แต่พอได้ฟังอรรถธรรมจากท่านแล้ว สุดหัวใจ หมดทีนี้ความสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน ท่านเปิดโล่งออกหมดเลย จากนั้นมาก็ทุ่มกันเลยตั้งแต่วันนั้น จึงว่าทุกข์ทรมานมากที่สุดตั้งแต่ชีวิตของมนุษย์เรา ฆราวาสก็ทุกข์เหมือนเขาเหมือนเราไม่เห็นแปลกประหลาดอะไร แต่ทางด้านพระนี้จะว่าแปลกหรือไม่แปลกก็แล้วแต่เถอะ เรามันเหมือนตกนรกทั้งเป็นตั้งแต่วันก้าวออกปฏิบัติกรรมฐาน ก้าวขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส เหมือนตกนรกทั้งเป็นตลอดไปเลย จึงได้พอหายใจบ้างเล็กๆ น้อยๆ นิดหน่อยๆ เท่านั้นเอง นอกนั้นมีแต่สมบุกสมบันกับการประกอบความพากเพียรเพื่อชำระกิเลส ทรมานทุกแบบทุกฉบับที่กิเลสจะค่อยหลุดลอยไปตามความเข้าใจของตน ดำเนินมาอย่างนั้นๆ

ที่หนักมากก็คือ เรื่องอดอาหารนี้มาก สำหรับเรานี้จริตนิสัยเป็นคนหยาบ จะอยู่ธรรมดาๆ ฉันธรรมดานี้ไม่ได้ ธาตุขันธ์เวลายังหนุ่มน้อยมันคอยจะดีดไปทางกิเลสตัณหา ต้องได้บังคับกันไว้ตลอด จากนั้นก็อด ถ้ามาฉันก็ฉันแบบบังคับไม่ให้อิ่ม เช่นอย่างอยู่หนองผือกับหลวงปู่มั่นนี้ อยู่นานเท่าไรก็ตามไม่ให้อิ่มทั้งนั้น คือถ้าไม่ฉันไม่ได้ คือถ้าอดต้องทุ่มกันเลย นี่เราไม่ได้ทุ่ม อยู่กับหมู่กับเพื่อนคอยสอดส่องดูแลเรื่องนั้นเรื่องนี้ เกี่ยวกับคนหมู่มาก พระจำนวนมากอยู่ด้วยกัน ความเพียรมันก็ไม่เด็ดได้ จึงเพียงผ่อนเอา ผ่อนตลอด พอออกจากนั้นแล้วดีดผึงเลย ฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันเท่าไรช่างมัน กี่วันไม่ได้สนใจ

มันจะตายจริงๆ เหมือนหนึ่งว่าคลานไปบิณฑบาต ทั้งๆ ที่เดินไปละ คือมันไม่มีกำลัง กำหนดกฎเกณฑ์ว่า นี่ถ้าเราบิณฑบาตวันนั้นๆ จะพอดีถึงบ้านเขา ขนาดนั้นนะแล้วไป นี่หมายถึงร่างกายมันอ่อนของมันเสียเต็มที่ แต่ในขณะที่ร่างกายอ่อน ที่จิตนี้ดีดผึงๆ นี่ซิมันเป็นคู่แข่งกันอยู่ เวลาจะมาฉันจังหันก็เสียดายทางด้านอรรถธรรมที่คล่องแคล่วๆ เพราะการอดอาหารเป็นเครื่องสนับสนุน ถ้าไม่ฉันร่างกายมันก็จะตาย ก็ต้องได้แบ่งให้เป็นสัดเป็นส่วน บางทีทางธาตุขันธ์ก็โอดขึ้นมาแหละ ฟ้องขึ้นมา นี่จะอดให้ตายเทียวเหรอ โอดขึ้นทีเดียว ทางอื่นที่พอจะสะดวกสบายไม่มีเหรอ จะอดให้ตายเชียวเหรอ

ทางหนึ่งก็ตอบรับกัน ถ้าปล่อยให้กินอิ่มหมีพีหมาแล้วภาวนาไม่เป็นท่า นี่มันตอบกันนะ ทางนั้นก็ว่า จะเอาให้ตายเทียวเหรอ ทางธาตุขันธ์ ทางหนึ่งก็บอกว่า ถ้าให้กินอิ่มหมีพีหมาแล้วมันนอนเหมือนหมูขึ้นเขียงไม่ยอมลง แล้วทางผู้พิพากษาก็มาตัดสินให้ อิ่มบ้างอดบ้างนั่นแหละดี เอาตรงนั้นเสีย สุดท้ายก็ลงที่เก่านั่นแหละ จึงเรียกว่าทุกข์มาก เราเป็นทุกข์ทางด้านอดอาหาร จนท้องเราเสีย เวลาที่จะออกช่วยชาตินี่ก็กำลังจะไปแล้ว เดชะวาสนาของเราและของพี่น้องชาวไทยครอบกัน เลยดีดผึงขึ้นเลยผิดสังเกตทุกอย่าง ยานี้ประหนึ่งว่าเป็นยาเทวดา ว่ายาธรรมดาเราไม่อยากพูดนะ ถ้าว่ายาเทวดาช่วย ยาดวงชะตาของชาติไทยเราช่วย นี้รู้สึกจะเด่นขึ้นนะ

พอฉันยาของหมอแล้วดีดขึ้นอย่างเจ้าของผิดสังเกต ถึงขนาดไม่ยอมเชื่อทีแรก อ้าวทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ คนจะตายอยู่แล้ว เวลาฉันยาขึ้นมานี้ ทำไมมันถึงได้ดีดขึ้นผิดหูผิดตาอย่างนี้ มันจะหายจริงๆ เหรอ ถามหมอเลยแหละ หมอที่รักษาชื่อ หมอเติ้ง ทำไมมันเป็นอย่างนี้ เวลานี้มันหายวันหายคืนขึ้นไปอย่างผิดหูผิดตานะ มันจะหายจริงๆ เหรอ หายจริงๆ ว่างั้น เพราะเหตุไร เอ้าว่ามา โรคชนิดนี้ผมเคยรักษามาเป็นร้อยๆ คนแล้ว หายทั้งนั้น เราก็ยอม โรคของเรามันจะเป็นโรคเทวทัตมาจากไหน เขาหายกันเราไม่ยอมหายมันมีได้เหรอ ก็หมอบ แต่หมอบด้วยความระวัง สุดท้ายก็ดีดขึ้นตลอด นี่มันแปลกประหลาดนะ จึงได้มาช่วยชาติ เพราะอำนาจแห่งการอดอาหารมาเป็นประจำ เพียง ๙ ปีเท่านั้น ที่อดอาหารไปเรื่อยๆ เป็นเวลา ๙ ปี แต่ไม่ได้หมายถึงว่าไม่ฉันตลอดนะ มีฉันสับกันไป คือมันจะตายจริงๆ ก็เหมือนหนึ่งว่าคลานไปบิณฑบาตเสียทีหนึ่งๆ อยู่อย่างนี้ ที่ทรมานตนเป็นเวลา ๙ ปีหนักมากทีเดียว

ทีนี้พอหยุดจากนั้นแล้ว เราจะพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือว่า พอลงเวทีแล้ววันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งนั้น เวลาตัดสินกันบนเวที จากนั้นมาเราก็ไม่เคยอดอาหารอีกนะ ไม่อด เพราะมันรู้ชัดเจน ขาดสะบั้นไปหมดแล้วเรื่องทั้งหลาย ที่จะฝึกทรมานฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสตัวใดมันก็รู้อยู่แล้ว มันม้วนเสื่อไปหมดแล้วจะฆ่าอะไร นี่เรียกว่าลงเวที ทีนี้การขบฉันจังหัน ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยอดอาหาร ไม่มี ฉันเท่าไรมันก็อย่างว่าแหละ ทีนี้ท้องมันได้ขึ้นของมันแล้ว มันค่อยคืบค่อยคลานของมันไปจนกระทั่งถึงเวลาจะออกช่วยชาติ มันเอาหนัก มันจะเอาให้ตายในระยะนั้น นี่เป็นพื้นมาตั้งแต่เราอดอาหารทีแรก เรียกว่าทุกข์มากที่สุด แล้วยานี้ก็เป็นยาเทวดามาช่วย ฟื้นขึ้นมาได้เลย จนกระทั่งทุกวันนี้ ท้องเราใครจะมาคาดฝันไม่ได้เลย ต้องตายถ่ายเดียว แต่ทำไมจึงฟื้นขึ้นมาได้ เจ้าของเองยังไม่ยอมเชื่อเจ้าของ ฟังซิน่ะ มันก็ฟื้นขึ้นมาได้อย่างนี้

นี่ก็เป็นดวงชะตาวาสนาของพี่น้องชาวไทยเรา เหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันก็ตาม รวมแล้วเป็นดวงวาสนาของชาติไทยเราที่จะพอพยุงชาติไทยของเราไปได้ โดยอาศัยศาสนาเป็นผู้นำ นำมาเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ เราอดคิดไม่ได้นะ นี่พูดถึงเรื่องการประกอบความพากเพียร เอาหนักขนาดนั้น ตั้งแต่วันนั้นแล้วเราไม่เคยอดอาหาร นอกจากธาตุขันธ์มันไม่ค่อยสะดวกสบายก็ไม่ฉันธรรมดาเสีย ไม่ใช่มีเจตนาที่จะอดอาหารเพื่อฆ่ากิเลส ไม่มี จนกระทั่งปัจจุบันนี้แหละ เรื่องความทุกข์ความทรมาน

ทีนี้ผลแห่งการปฏิบัติเสือกคลานแทบเป็นแทบตายมาตั้งแต่นั้นแล้ว ผลเป็นยังไงๆ เรายังไม่ได้พูดถึงผลให้ชัดเจนตามลำดับลำดาของเหตุที่ได้สมบุกสมบันตัวเองมา ซึ่งทุกข์มากแสนมากตลอดมานั้น ผลเป็นยังไง จิตตั้งได้เพราะอันนี้เอง จิตที่มันตั้งไม่ได้ ล้ม ตั้งสติแล้วล้มๆ   จนกระทั่งน้ำตาร่วงบนภูเขาเราไม่ลืม   นี่เรามาฝึกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ มีการอดอาหารเป็นต้น  ค่อยพยุงได้ๆ  ทีนี้ก็ได้ ได้เรื่อยๆ  เรื่อยจนกระทั่งตั้งตัวได้ เพราะการอดอาหาร ด้วยเหตุนี้เองมันจะทุกข์ขนาดไหนก็ทุกข์ ผลเห็นอยู่อย่างนี้ แน่ะ การขบการฉันมันจะอ่อนเปียกจนกระทั่งไปไม่ได้ พอเข้าถึงปาก กลืนลงไปถึงท้องเท่านั้น มันเป็นเหมือนม้าแข่ง คือกำลังวังชาของธาตุขันธ์ดีดขึ้นมาทันทีเลย ง่ายมาก แต่กำลังของจิตใจนี้มันยากหนา จึงต้องเอาตรงนี้

กินเมื่อไรก็ได้นี่นะ กินแล้วมีกำลังทันที แต่เรื่องจิตใจนี้ไม่มีกำลังง่ายๆ จึงต้องเอาทางจิตใจให้หนักมากกว่าๆ แล้วก็ดีดขึ้นโดยลำดับลำดา อาศัยอันนี้แหละ สติสตังดีขึ้นๆ อดอาหารนี้อดเป็นพื้นไปเลยนะ ตั้งแต่ขั้นจิตตั้งตัวได้ ขึ้นถึงขั้นสมาธิ อดอาหารไม่ได้หยุดนะ ฟาดขึ้นถึงขั้นวิปัสสนา สติปัญญา จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ก็อดอาหารอยู่อย่างนั้น ทีนี้ความดีของการอดอาหารที่ถูกกับจริตนิสัยนี้ ตั้งแต่ต้นๆ ล้มลุกคลุกคลาน ตั้งขึ้นได้เพราะการอดอาหารพยุง ไม่ให้ธาตุขันธ์แรงเกินไป ถ้าธาตุขันธ์แรงเกินไปแล้วมันกลายเป็นกิเลสตัณหา เข้าใจไหมล่ะ ดีดดิ้นไปทางกิเลสตัณหาที่จะพาตัวให้จม เพราะฉะนั้นจึงตีมันไว้ๆ ให้ธรรมได้เกิด ให้เจริญงอกเงยขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องตีไว้ทีเดียว ธาตุขันธ์เวลานั้นจะปล่อยมันไม่ได้ มีแต่บังคับๆ เรื่อยเลย แล้วจิตก็ตั้งตัวได้โดยลำดับลำดาขึ้นไป

ถึงสมาธิการอดอาหารก็ไม่ถอย อด อดเท่าไรสมาธิจิตยิ่งแน่นลงไป นั่นมันเห็นชัดๆ จากนั้นถึงขั้นปัญญา เอ้า ปัญญาก็ว่าเป็นธรรมชาติที่คล่องตัว พอเราอดอาหารนั้นมันยิ่งคล่องเข้าไปอีกกว่านั้น จึงว่าการอดอาหารสำหรับผู้ที่ถูกนิสัยแล้วไม่ว่าขั้นใดของธรรม ถูกทั้งนั้น เราได้ก้าวเดินมาเรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งลงเวทีถึงได้หยุด แล้วจึงได้มาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง เพื่อนฝูงเหล่านี้ก็รู้สึกจะไปทางเราเสียมากต่อมาก วันหนึ่งๆ พระอดอาหารมากขนาดไหน เราไม่ได้สั่งเราไม่ได้สอน เป็นคำบอกเล่าธรรมดาในปฏิปทาการดำเนิน แล้วแต่จะถูกจริตนิสัยของใคร ให้ไปปฏิบัติเอา สำหรับเรานี้ถูกทางด้านอดอาหารเราก็ว่าอย่างนี้ เราพูดให้พระฟัง ทีนี้พระทั้งหลายก็รู้สึกว่าจะถูกเหมือนอย่างเรา จึงไม่ค่อยมาฉันจังหันครบองค์กัน วันหนึ่งขาดสักกี่องค์ ตั้งแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดมาจนกระทั่งป่านนี้

นี่การฝึกฝนอบรมตนเองด้วยความเอาใจใส่ จิตนี้เห็นชัดเจนๆ สง่างามขึ้นมาเรื่อยๆ ทีนี้เวลามันขึ้นภายในจิตใจแล้ว ท่านทั้งหลายก็เคยเห็นไม่ใช่เหรอ เราเคยสะทกสะท้านกับใคร ใครจะมาตำหนิติเตียนอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ กลัวคนนั้น เกรงคนนี้ ที่นั่นสูงที่นี่ต่ำ เราพูดจริงๆ ราบไปหมดไม่มีเลย ถ้าจะพูดเป็นหลักธรรมชาติ สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ว่างตลอดเวลา สมมุติไม่มีภายในใจ ใจว่างจากกิเลส ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง กิเลสเป็นตัวขวางสำคัญ สิ่งใดเหล่านี้เขาไม่ขวางนะ กิเลสนี้ขวางใจ เป็นก้างขวางคอ มีมากมีน้อยขวาง เหมือนแหลมเหมือนหลาว เหมือนเสี้ยนเหมือนหนาม เหมือนผลธุลีเข้าไปโดยลำดับ ปัดอันนี้ออกหมดแล้วไม่มี โล่งไปหมดเลย

เมื่อมันโล่งไปหมดแล้ว จะมีอะไรมาขวางหัวใจ ก็มีกิเลสเท่านั้น กิเลสปัดออกหมดแล้วเอาอะไรมาขวาง กิเลสในหัวใจเราไม่มีก็ไม่ขวางหัวใจเรา ก็ไม่นำกิเลสคนอื่นมาขวางตัวเอง ก็ไม่เกรงใจเขาไม่เกรงใจเรา ไม่ติดเขาไม่ติดเรา เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ติดกันแล้ว คือไม่ไปติดเรื่องของเขา ไม่ไปติดเรื่องของเรา ไม่ติดเรื่องของใครแล้วก็โล่งไปหมด เอา เหตุผลกลไกของอรรถของธรรมที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกมากน้อยเพียงไร ใครจะตักตวงเอาได้ตามกำลังของตน หรือเอาให้เต็มกำลัง ธรรมะจะออกทันทีๆ ผางเลย ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ เกรงใจคนนั้นคนนี้ ไม่มีบอกตรงๆ สำหรับเราไม่มี เทวบุตรเทวดาสูงขนาดไหนไม่ได้เหนือธรรม นั่นเห็นไหมล่ะ เทวดาอินทร์พรหมกราบธรรมทั้งนั้น ธรรมเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอยู่ในหัวใจแล้วธรรมจะไปต่ำกับอะไรที่ไหนล่ะ เวลาต่ำมันขึ้นบนฟ้าบนอากาศ จรวดดาวเทียมมันก็ต่ำอยู่นั้น เพราะกิเลสเหยียบหัวมัน เข้าใจไหม เมื่อกิเลสพังลงไปแล้ว เหนือตลอดเลย อยู่ไหนสบายหมด นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรมด้วยจิตตภาวนา

รายใดก็ตามเถอะน่ะ ไม่มีเพศมีวัย ว่าหญิงว่าชายอะไรละ ธรรมมีอยู่กับทุกคน ใครสนใจให้ปฏิบัติก็แล้วกัน ถึงจะไม่ได้ปรากฏเป็นความสงบสุขร่มเย็นขึ้นมาก็ตาม แต่อานิสงส์แห่งการภาวนานี้มีมากกว่าการกุศลอย่างอื่นอยู่ไม่น้อย อันนี้เราก็ไม่อยากพูดว่าจะไม่ปรากฏ ผู้ภาวนาทั้งหลายจะไม่ปรากฏผล เราพูดไม่ได้เลย ต้องปรากฏไม่มากก็น้อย ว่างั้นเลย ถึงจะไม่ปรากฏผล อานิสงส์แห่งการภาวนานี้ก็มากกว่าทุกสิ่งแล้วในการกุศลทั้งหลายนะ ให้พี่น้องทั้งหลายจดจำเอาไปปฏิบัติ ให้มันเห็นเด่นขึ้นภายในจิตใจ จะไม่สะเทือนหวั่นไหวกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดายเหมือนแต่ก่อนนะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีเหตุผลเข้าจับกันๆ เพราะมีธรรมความถูกต้องดีงามอยู่ในใจมันจะเอาวัดกันหมดนั่นแหละ ให้พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ

โยม มีคำถามจากเว็บไซค์หลวงตาครับ

กราบเรียนหลวงตาที่เคารพ ผมเองฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตาไว้ในใจ ไม่เคยได้กราบเรียนถวายตัว แต่ก็ได้ไปทำบุญที่สวนแสงธรรมเป็นประจำ เรื่องการแต่งตั้ง(อันนี้เขาคงจะหมายถึงการแต่งตั้งเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราชปัจจุบันครับ) ผมเข้าใจเหตุผลของหลวงตา แต่ปัญหาตอนนี้คือ วิธีการประท้วงที่ลูกศิษย์หลวงตาออกมาปฏิบัติ แม้จะเข้าใจเจตนาดี แต่ภาพพจน์ออกมาไม่ดี ผมอาจบอกได้ว่า ฝ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์ แสดงภาพออกมาแบบผู้ดีแม้จะมีอะไรลึกๆ ส่วนหลวงตาและลูกศิษย์มีเจตนาบริสุทธิ์ แต่วิธีการนำเสนอการประท้วงมันดูไม่ดี จึงพลอยทำให้ประชาชนเข้าใจกันผิดไปหมด อยากฝากกราบนมัสการด้วยความเคารพว่า อยากให้ศิษย์ท่านเปลี่ยนวิธีการประท้วง เปลี่ยนจากตะโกนโหวกเหวกหรือกรีดเลือด ซึ่งออกดูจะรุนแรงไป เปลี่ยนไปเป็นวิธีอื่น เช่น การเข้ากราบนมัสการสมเด็จพระสังฆราช ถวายพระกำลังใจ จัดพิธีอธิษฐานจิต บำเพ็ญกุศลถวาย หรือพระสงฆ์ที่เห็นกับหลวงตาประชุมกัน และมีมติโดยสันติวิธี เหมาะที่สุดแล้ว การแต่งตั้งสมเด็จเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการแทน หรือการยกเลิก ก็ต้องสุดแล้วแต่รัฐบาลอยู่ดี กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งด้วยเศียรเกล้า จากนาย...

หลวงตา เอาละ เรื่องของเราก็เป็นเรื่องที่ทางโน้นจะปฏิบัติกันเอง หลวงตาไม่จำเป็นเวลานี้ เป็นแต่เพียงว่าฟังเฉยๆ ไม่ตอบทั้งเห็นด้วยทั้งคัดค้าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินกันไปทั้งสองฝ่าย เข้าใจเหรอ ไม่ใช่มีทางเดียวไปตบต้นไม้ต้นเสาคนเดียวไม่มีเครื่องรับกัน เรื่องราวทั้งหมดมันมีเครื่องรับกันมาโดยลำดับ ควรจะหนักจะเบามากน้อยมันก็รับกันมาตามสัดตามส่วนของมัน เข้าใจเหรอ เราจะไปตำหนิเอาอย่างหาเหตุผลไม่ได้ เราทำไม่ได้นะ จะชมเอาเลยทั้งๆ ที่เลวที่สุด เราก็ชมไม่ได้ แน่ะ เข้าใจ เอาแค่นั้นไม่เอามากแหละ

โยม อันนี้สั้นๆ นะครับ จากหนังสือไทยโพสต์ ที่เขาลงมา ในคอลัมน์ เปลว สีเงิน เขาว่าเทวทัตกลับชาติ ผมย่อเอาเลยนะครับ เขาว่าคุณทองก้อง วงศ์สมุทรครับ นี่รายละเอียด

หลวงตา โอ๋ย เราไม่อยากพูด กลับชาติยังไง เทวทัตกลับชาติ มันก็ต้องต่อยกันเป็นธรรมดา นักมวยมันต่อยกันทั้งนั้นแหละ ตรงไหนที่ถนัดมันจะต่อยกัน เทวทัตกลับชาติมันกลับชาติไปเป็นอะไร มันกลับชาติจากมนุษย์ไปลงอเวจีก็ได้ นี่เทวทัต เข้าใจเหรอ ยากอะไรการตอบกัน เข้าใจเหรอ กลับชาติจากมนุษย์ไปลงอเวจีก็ได้ แน่ะ แล้วมีอะไรอีก เราไม่ตอบ อะไรไม่ควรตอบเราไม่ตอบ

โยม กราบเรียนสั้นๆ นักเรียนมาฟังเทศน์วันนี้มา ๒๔ คน ครู ๑ คน จากโรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ครับ

หลวงตา จะให้ว่าไง ก็ฟังเอาก็แล้วกันนะบรรดาลูกหลาน เด็กก็ให้เป็นเด็กดีตั้งแต่บัดนี้ต่อไป อย่าให้โตขึ้นมาๆ โกโรโกโสเป็นนักเลงโตใช้ไม่ได้นะ พูดเท่านั้นละเพราะเทศน์มากแล้ว อย่าให้พูดอะไรมากนักเถอะ ก็ฟังกันอยู่แล้วตะกี้นี้ทุกอย่างใช่ไหมล่ะ ก็พอสมควรแล้ว เอาละอย่าให้หลวงตาพูดมากเลยนะ นี่ตะวันก็สายเข้าๆ

เรื่องมันขึ้นมาทุกแง่ทุกมุมนั่นแหละมาอย่างนี้ เราจะเลือกฟังเลือกตอบ เราก็หูมีตามีใจของเรามี เป็นสิทธิ์ของเราเองเข้าใจไหม แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่เขาจะพูดมาได้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะพิจารณาของเรา เราปฏิบัติตามความรู้สึกของตนได้เหมือนกัน แน่ะ ก็มีเท่านั้นแหละ

มันทำไมคุณทองก้อนทำงานเพื่อแผ่นดินไทยเรา ก็คือหมายความว่า ถ้าเป็นข้าศึกมันก็ต้องมาต่อยที่จุดสำคัญ เข้าใจไหม เช่นอย่างว่าคุณทองก้อนๆ เอะอะคุณทองก้อนๆ คุณทองก้อนเป็นคนทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินไทยมาตั้งแต่ดั้งเดิมมาแล้ว พวกนี้มันทำอะไร มันไม่เห็นยกขบวนขึ้นมาว่า ข้าชื่อนั้นๆ ออกมาให้ได้ฟัง เอะอะก็มีแต่คุณทองก้อน ตัวเทวทัตมันไปอยู่ไหน มันไม่เห็นแสดงตัวออกมา ตัวเก่งๆๆ อยู่ใต้ดินเหนือดินเต็มไปหมด เหมือนตาสับปะรด มันทำไมไม่แสดงตัวออกมาบ้าง มันอวดดิบอวดดีอยู่ใต้ดินทำไม ลองลากมันขึ้นมาซิ อันนี้เขารักษาชาติบ้านเมืองมาตั้งแต่ตั้งแผ่นดินไทยมา ลูกหลานก็สืบทอดกันมาด้วยการระมัดระวังรักษาเท่านั้นเอง แล้วเสียหายไปไหนคุณทองก้อน พิจารณาซิ

ผู้ที่ก่อแผ่นดินไทยให้จะล่มจมทั้งเปิดเผยทั้งที่ลับที่แจ้ง ทั้งใต้ดินเหนือดินมันเต็มอยู่แผ่นดินเวลานี้ เรื่องก็เกิดขึ้นมาจากคนพวกนี้แหละ แล้วทำไมไม่ระบุออกมาบ้างใครตัวเก่งๆ ที่ทำลายชาติมาตลอดคือใคร ระบุออกมาบ้างซิให้รู้ โลกเขารู้เขาไม่พูดเฉยๆ เราเป็นผู้รู้ผู้ทำผู้แสดงตัวอยู่ แสดงตัวออกมาให้เห็นชัดเจนบ้างซิ เข้าใจเหรอที่พูดนี่ มันก็มีเท่านั้นจะให้เราตอบ เราตอบเพียงเท่านั้นแหละ ตอบอย่างอื่นไม่ได้ คุณทองก้อนแกมีความเสียหายที่ตรงไหน แกแบกแผ่นดินทั้งแผ่นจะว่ายังไงคุณทองก้อนน่ะ เดี๋ยวนี้ก็คือแกเป็นผู้ค้ำไว้ พวกนี้จะกลืนทั้งที่ลับที่แจ้ง กลืนชาติกลืนบ้านกลืนเมืองกลืนทุกวิธีการ ของดิบของดีอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ชาติไทย ไม่เห็นมันเอาขึ้นมาแสดง ถ้าเรื่องความเสียหาย ความฉิบหายป่นปี้คอยกีดคอยกันคอยขัดคอยขวางคอยจุดคอยเผามาตลอด คือพวกนี้เอง จะเป็นพวกใคร ที่เราโต้ตอบกันอยู่เดี๋ยวนี้ ถึงขนาดที่มาว่าคุณทองก้อนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็คือพวกนี้เอง จะว่าใคร หลวงตาบัวไม่เคยว่าคุณทองก้อนนะ เพราะเห็นใจคุณทองก้อนอยู่แล้วว่าแบกแผ่นดินไทยมา เราไม่ว่า แล้วใครไม่แบกมันมาเหยียบลง ทำไมไม่ว่ามันบ้างล่ะ พิจารณาซิ มันไม่แบกแต่มันเหยียบลง เข้าใจหรือที่พูดนี่ ก็พูดบ้างซิพวกเหยียบลงคือใคร เอาเท่านั้นแหละพอ

วันนี้ได้ให้เขาไปภูวัว ตอนจวนสิ้นเดือนไปทุกเดือนๆ ไปไม่ให้ขาดเลยนะ เราไปวันที่เท่าไรนะ ตอนกลางเดือนนั่นแหละ ถามพระดูได้ประมาณ ๓๐ องค์ อยู่ในย่านนี้ วัดภูวัวนี้ เราพูดอย่างตรงไปตรงมาตามความสัตย์ความจริงเลย เรารับเลี้ยงมาได้ ๒๐ กว่าปีแล้ว ทีแรกเรานึกว่า ๑๐ กว่าปี ทางโน้นตอบมาไม่ใช่ ๑๐ กว่าปี ตั้งแต่พ.ศ.เท่านั้นๆ ท่านว่า มัน ๒๐ กว่าปี นี่ทุกเดือนเลย เราส่งอย่างไม่อัดไม่อั้น แล้วยังเปิดเผยไว้ด้วยว่า ถ้ามีพระตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเข้ามาในภูเขาลูกนี้จะมาพักที่นี่ เอ้า มาเถอะ ผมจะรับเลี้ยงบอกตรงๆ เลย เอาให้สุดเหวี่ยง ถ้าหากว่าผมกำลังไม่พออย่างไรแล้ว ผมสู้ไม่ไหว ผมจะบอก ว่างั้นเลย

ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติอบให้มา ผมจะรับเลี้ยง แต่ถ้าผู้ปฏิบัติโกโรโกโสให้ไล่ลงภูเขาให้หมด อย่าให้อยู่มันหนักภูเขา นี่เราพูดแล้ว เพราะฉะนั้นเราถึงส่งมาตั้งแต่บัดนั้น ไม่เคยเรื่องว่าบกพร่องขาดเขินเราไม่ให้มี ไปทีไรถาม มีพระเท่าไรๆ แล้วยังเปิดไว้ด้วยว่า ถ้าขาดเหลืออะไรให้รีบสั่งไป ทางโน้นจะรีบส่งมาเมื่อของมีอยู่ เราบอกอย่างนี้เลย ประกาศมาจนกระทั่งป่านนี้ วันนี้ก็ไป เดี๋ยวนี้รถสี่คันเต็มเอี๊ยดๆ เลย เต็มทุกคัน ฟาดลงนี้กองเท่าภูเขา เราไม่ได้คำนึงคำนวณว่าหมดเท่าไร ถ้าเราไปคำนึงอย่างนั้นเราทำไม่ได้ เราจะเอาตั้งแต่ให้พอดิบพอดีหรือความสมบูรณ์พูนผล เพื่อผู้รับไปจะได้รับความสะดวกสบายเท่านั้น เราจึงไม่มาสนใจกับเรื่องว่าหมดเท่าไรคราวหนึ่งๆ เราไม่เคยถามจนกระทั่งป่านนี้ มีแต่ว่าเอาให้มากนะ

เมื่อวานเขาก็มาบอกว่าจะไปภูวัววันนี้ บอกว่าเอาให้เต็มเหนี่ยวนะ บอกเอาให้มาก เขาก็ทราบแล้วเรื่องนิสัยเราเป็นอย่างนั้น ทุ่มเลย ไม่มีอะไรเหลือสำหรับหัวใจเราและตัวของเราเอง อย่างทุกวันนี้ก็เหมือนกัน เงินทองข้าวของติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรัง คนมีจะมาติดหนี้เขาทำไมใช่ไหม ก็คือมันไม่มี แต่น้ำใจมันมี บางทีติดหนี้ติดสิน เอ้า ติดก็ติด นั่นเห็นไหมล่ะ เราทำอย่างนี้กับบรรดาพี่น้องทั่วทั้งแผ่นดินไทย เฉพาะอย่างยิ่งคุณทองก้อน เป็นทางฝ่ายบ้านเมืองก็ช่วยเต็มเหนี่ยวเต็มกำลังความสามารถ ออกไปจากใคร ออกจากแผ่นดินไทยด้วยกันทั้งนั้น ให้ทำงานเพื่อแผ่นดินไทยเรา แล้วคุณทองก้อนมีความเสียหายที่ตรงไหน จึงมาจ่อแต่คุณทองก้อน ตัวมหาโจรมหาภัยที่ทำลายชาติอยู่เวลานี้คือใคร ไล่มันเข้ามาบ้างซิ มันถึงจะสมดุลกันเรื่องราว การต่อยกันใครเจ็บใครปวดไม่ต้องคำนึงฟัดกันเลย เข้าใจเหรอ

เวลาต่อยกันนักมวยเขาไม่ได้มายกยอปอปั้น หรือมาประจบประแจงกันแหละ หมัดใครเก่งก็เอาเลย เอาความจริงเป็นหลักตั้ง อันนี้หลักตั้งของเราคือชาติบ้านเมืองของเราเคยรักษามานานสักเท่าไร ปู่ย่าตายายของเรารักษามาด้วยความสงบร่มเย็น เริ่มเกิดเหตุนี้เกิดขึ้นจากอะไร ใครเป็นคนกุขึ้นมาก่อขึ้นมา ผู้ดีทั้งหลายไม่ก่อ แล้วใครเป็นคนก่อขึ้นมา ก็ชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วนั่น แล้วยังจะมาหาเรื่องคนผู้รักษาสมบัติของชาติว่าเป็นคนเลว เป็นคนเสนียดจัญไร เป็นข้าศึกของโลกได้ยังไง ของแผ่นดินไทยก็เป็นคุณอยู่แล้ว จะไปเป็นข้าศึกต่อโลกได้ยังไง นี้เป็นคุณของแผ่นดินไทย

คุณทองก้อนพร้อมด้วยคณะทั้งหมด ซึ่งเป็นผู้รักษาสมบัติของชาติ พร้อมหน้าพร้อมตากันกีดกันรักษาสิ่งที่จะเป็นภัยมหาภัย ที่จะเข้ามาทำลายชาติบ้านเมือง เป็นความผิดไปที่ไหน ไม่ได้มีอะไรผิด นั่น เราจึงยกยอสรรเสริญผู้ที่รักษาชาติบ้านเมือง ที่ทำทุกวันนี้เราก็รักษาชาติบ้านเมืองนั่นเอง เราถึงได้ดีดดิ้นออกมานี่ เราไม่ได้ทำลายชาติบ้านเมือง อันนี้คุณทองก้อนก็ทำหน้าที่สำหรับคนทั้งแผ่นดิน ก้าวเดินไปตามจารีตประเพณีขนบธรรมเนียมกฎหมายบ้านเมืองมาโดยถูกต้องทุกอย่างๆ ไม่ผิดที่ตรงไหน แล้วคุณทองก้อนไปผิดที่ไหน เอ้า พิจารณาซิ ตัวสำคัญๆ มันคอยกีดคอยกันคอยทำลายเผาบ้านเผาเมืองมาตลอดทั้งใต้ดินเหนือดิน มันอยู่ที่ไหน มันเกิดมาจากใครเวลานี้ ให้คุณทองก้อนได้หมุนตัวเป็นเกลียวจนจะเป็นบ้าอยู่เวลานี้ เกิดมาจากใคร ถามหาสาเหตุที่มันเกิดมา และผู้ทำก่อให้เกิดขึ้นคือใครบ้างซิ มันถึงจะถูก เอาละพอ ๒ พอ ๓ พอแล้ว ไปแล้วทีนี้

เอา ให้พากันเสริมคุณทองก้อนนะ เป็นกำลังช่วยคุณทองก้อน คุณทองก้อนแบกแผ่นดินนะเวลานี้นะ ให้พากันเข้าใจทุกคน คุณทองก้อนเป็นคนแบกแผ่นดินกรุงสยามเราทั้งศาสนาอยู่ในคุณทองก้อนแบกกับหมู่คณะ ทางไหนมีกำลังวังชาทางใดช่วยกันมาแบก ให้พากันอนุโมทนาสาธุการช่วยสนับสนุนทุกวิถีทาง (สาธุ) ไปละทีนี

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก