ลูกศิษย์หลวงตาบัวทำไมถึงโง่เอานักหนา
วันที่ 3 มกราคม 2547 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๔๗ (ค่ำ)

ลูกศิษย์หลวงตาบัวทำไมถึงโง่เอานักหนา

 

         (มีหนังสือพิมพ์ลงเรื่องนี้อยู่เรื่องหนึ่งฮะ) เอา ลองว่าซิ (สัญญาณเตือนภัยพุทธศาสนา จากผู้ต่อต้านมหาเถร ถึงสังฆราช ๒ พระองค์ หนังสือเขาลงไว้ เห็นว่าเป็นข้อมูลที่น่าอ่านกราบเรียนหลวงตา และน่ารับฟังเอาไว้น่ะครับ.แล้วในนี้เขาเอ่ยถึงคุณทองก้อนด้วย) เอ่ยว่าไง (เอ่ยนิดหนึ่งในนี้) คุณทองก้อนเป็นประเภทนั้นหรือว่าไง (เขาว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตาแล้วคัดค้านไง) โห ก็คัดค้านล่ะ จุดไหนสำคัญๆ เขาจะเข้ามาโจมตีทุกแบบทุกฉบับ พวกที่เซ่อๆ ก็หลงกลเขาไปหมดนั่นแหละ มันโจมตีทองก้อนนี่ โจมตีมาก เพราะเขารู้ว่า คุณทองก้อนเป็นหัวใจของชาติไทยเรา พูดตรงๆ อย่างนี้ล่ะนะ พวกนี้เขามาโจมตี พวกเขาเรายังหลงเป็นบ้ากับเขา พวกบ้านี่ว่าอย่างนี้หละเรา มันฟังยังไงถึงเป็นอย่างนั้น

         คุณทองก้อนแล้วถูกโจมตีมากที่สุด ออกจากนี้แล้วเขาก็ไปหายุแหย่ท่านั้นท่านี้มาโจมตีคุณทองก้อน ไอ้พวกที่หูเบาๆ เลยเชื่อตามไปเลย หาว่าคุณทองก้อนนี้เป็นภัยต่อชาติเข้าอีกนะ นั่นเห็นไหมพวกนี้ อุบายของมัน เราบอกแล้ว บอกทุกอย่างไม่ผิดเลย ไม่เคยได้คัดค้านในความจริงของเจ้าของ เคยเป็นแล้วนี่

         (เขาว่าสนิมเกิดแต่เนื้อใน หมายถึงในวงสงฆ์ด้วยกัน) ก็ยังบอกแล้ว เดี๋ยวนี้ศาสนาเป็นภัยแก่ศาสนา ก็ยังบอกแล้ว ก็พระเป็นภัยต่อกัน ต่อศาสนานี่ เราพูดแล้วมิใช่หรือเรื่องนี้ ผิดไปไหน ไม่ผิด ลงได้พิจารณาแล้วพูดออกไปไม่ผิด  อย่างคุณทองก้อนเรานี่ เอาอันนี้ไปหาแหย่โน้นแหย่นี้ไป กระซิบกระซาบว่า คุณทองก้อนเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ พวกนี้พวกเปรตนี่ เข้าใจไหมล่ะ บางทีดีไม่ดีพระยังหลงไปตาม เห็นไหม

         ตีปากเอานะ เราว่าอย่างนี้ อย่ามาเล่นกับเรานะ ว่าอย่างนี้เลยเรา รู้ใจว่าพวกนี้มันอยู่ใต้ดิน มันยุแหย่ก่อกวนทุกแบบทุกฉบับ ก็บอกไว้เรียบร้อยแล้ว อย่าไปหลงกลมันนะ อะไรเราก็บอกไว้แล้วนี่

พวกเรานี้ โอ๊ย ไม่อยากพูดมากนะ ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้ ทำไมมันถึงโง่เอานักหนานา ว่าขนาดนั้นนะ โง่จริงๆ บางทีอย่างที่ว่า ว่าให้เรา ที่ว่าที่ออกลายเซ็นๆ ไปนั้นแหละ ว่าเราเหลวไหลนู่นนะ ฟังซิ ลูกศิษย์นะว่าเราเหลวไหล โธ้ นึก เป็นยังไงมันโง่ขนาดนี้เหรอ มันจะเอาความโง่มาตีครูให้เห็นนี่วะ เราก็ว่าอย่างงั้น ทีนี้พอมานี้เราก็จี้เอาเลย ยกเหตุผลทั้ง ๒ อย่างนี้เข้ามา ได้ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ เรื่องราวของเราที่ดำเนินมาแล้วเป็นอย่างนั้นๆ ที่ไม่ได้เสนอเพราะอะไรๆ เพราะเหตุนั้นๆๆ ทีนี้ยอมราบเลย เป็นยังไงที่นี่ครูกับลูกศิษย์ กับอาจารย์ ใครเก่ง เอ้า ว่ามา แหะๆๆๆ นั่นเห็นไหม เป็นอย่างนั้นนะ

         ให้ฟังนะ ฟังเสียงครู อย่าอวดเก่งกว่าครูนะ เราว่าอย่างงี้แหละ เล่ห์เหลี่ยมที่มันมานี้ เรารู้หมดๆ ทุกอย่างนี่นา เราบอกอย่างนี้เลย ที่เราก้าวเดินไปที่ไหน ไม่เคยผิดนี่ แล้วมันหาเรื่องอะไรมาหลอกเราอยู่นี้ มันหลงกับเขามาแล้วนี่ จะมาว่ากับเรานี่วะ ซัดเอาแล้ว เป็นอย่างงั้นนะ เราไม่เคยหวั่น ออกจากนี้พิจารณาทุกอย่างแล้ว พุ่งไม่ผิด นี่งูๆ ปลาๆ  ลูบนั้นคลำนี้ ใครว่าอะไร ก็เชื่อหมู่ล่ะซิ เป็นอย่างนั้นนะ

         นี่ไม่ได้เชื่อใครง่ายๆ บอกแล้ว ต้องเอาธรรมเป็นเกณฑ์ๆๆ แม้ใครไม่บอกก็ตาม ธรรมอันนี้บอกอยู่ในตัว รู้อยู่ในตัวนี่ พูดมันตรงๆ อย่างนี้นะ

         อย่างคุณทองก้อนนี้ เป็นเป้าหมายเขาโจมตีแล้วยังไม่แล้ว ยังกระซิบกระซาบว่า คุณทองก้อนผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้ หาอุบายที่จะทำลายชาติอย่างนั้นอย่างนี้ พวกนี้ก็เลยเชื่อละซี คุณทองก้อนเลยกลายเป็นผู้ทำลายชาติไป เราจึงจี้เอาเลย อย่ามาเเตะคุณทองก้อนนะ ว่างี้เลย

         เราพูดตรงๆ อย่างนี้นะ ให้รีบไปชำระตัวเองเสีย อย่าเข้ามายุ่งอันนี้ บอกให้รีบไปชำระตนเอง โง่มาขนาดไหนแล้วเนี่ย ว่างั้นนะ เราเอาขนาดนั้น ยังไม่รู้ตัวอยู่หรือ สังฆราช ๒ องค์ ๓ องค์มันก็หาอุบายยุ หาอุบายแหย่ เต็มไปด้วยความอยาก ความทะเยอทะยานของมัน เข้าใจไหมล่ะ พอได้กิน มันจะกิน ไม่ได้กินมันก็หาอุบายแหย่อยู่นั้นให้เกิดเรื่องเกิดราว ๒ อย่างนี่มันมาด้วยกัน ได้คิดหรือยังนี่

         (มีพวกมหานิกายกับธรรมยุตครับ) อะไรก็ตามที่พูดนี้ เป็นอุบายของมันทั้งนั้นที่จะให้แตกให้แยกให้อะไร มันจะยกเจ้าของขึ้น มันไม่ขึ้น บอกตรงๆ อย่างนี้เลย (เขาพูดทำนองว่า ธรรมยุตมีพระก็น้อยกว่า แต่ว่าเป็นสมเด็จและเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เท่ากับมหานิกาย แล้วก็ดูตามโครงสร้างของสมเด็จพระสังฆราชเก่าๆ นี่ ธรรมยุตมากกว่า มหานิกาย ๔ องค์เองครับ ทั้งหมดมี ๑๙ องค์ มีมหานิกาย ๔ นอกนั้นธรรมยุตหมด เขาก็เอามาเขียนว่า) เราไม่อยากฟัง เรารู้เรื่องของมันหมด  ไม่ทราบจะฟังไปหาอะไร พิจารณาเสียความคิดไปทำไม ว่างั้นเลย พวกนี้น่ะ ไม่ทราบว่าจะไปพิจารณาให้มันเสียเวล่ำเวลาทำไม คอยฟังไป อะไรที่มันจะมากระเทือนส่วนใหญ่ ใส่ปั๊วะหนึ่งให้มันหงายหมาไปเลย เคยหงายหมาไปแล้วทั้งนั้นนี่นะ สุ่มสี่สุ่มห้าไม่อยากค่อยเล่นนะ ฟังเฉย ไม่เล่นแหละ ถ้ามันจะมากระเทือนส่วนใหญ่ ใส่ปั๊วะทันที ค้านได้ที่ไหนวะถ้าลงได้เอาแล้ว มันจะหาเรื่องก่อตลอดเวลา เพราะพวกนี้พวกหมดหวังทั้งนั้น หาเรื่องก่อตลอดเวลา ก่อกวน พูดง่ายๆ ทำลายไม่ได้ก็ก่อกวน ก่อกวนก็คือเพื่อทำลาย เอาหลายแบบหลายฉบับ

         เป็นยังไงล่ะเรื่องภาวนา มันไปถึงไหนแล้วเดี๋ยวนี้เห็นเงียบ มันตายแล้วก็ไม่รู้ ว่าตายมาโผล่ขึ้นมานี่ อ้าวมาเกิดใหม่หรือนี่ อยากว่าอีก มันเป็นยังไง วันนี้ก็พูดเรื่องภาวนา แต่ไม่ได้บอกวิธีภาวนานะ คือมันลืมไป มีแต่ให้สนใจภาวนากันมากๆ อยากเห็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ พุทธศาสนานี่รากแก้วคือการภาวนานะ ก็บอกงั้น แต่ทีนี้วิธีภาวนาทำยังไง ๆ เราเลยไม่ได้ชี้แจงให้ทราบเสีย มันก็ลืมอย่างว่า แล้วก็ไปทางนู้น ไปทางนี้เรื่อย แล้วก็หมดเวลาพอดี

         เราอยากให้เห็นของแปลกประหลาดจากพุทธศาสนาด้วยการภาวนา อันนี้จะเด่น ไม่รายหนึ่งก็รายหนึ่งจนได้ ให้เห็นเด่นขึ้นมา นี่ศาสนาแท้จึงเกิดที่ตรงนี้นะ เพราะใจนี่เป็นมหาเหตุ กิเลสก็อยู่ที่นั่น ธรรมก็อยู่ที่นั่น เวลาภาวนามันเข้าดูที่นั่น มันก็ต้องเจอทั้งกิเลสและธรรม ทีนี้ก็ฟัดกันละ นั่น เมื่อเจอกันแล้วมันมีทางฟัด ไม่เจอจะฟัดอะไร มีแต่เขาฟัดเราเรื่อย กิเลสฟัดเอา เป็นอย่างงั้น

         จิตนี้มันเข้าถึงส่วนละเอียดมีแต่นามธรรมล้วน ๆ มันก็หมุนอยู่ในจิต มันจะไปไหน เวลามันกว้างมันก็กว้าง ถ้าเกี่ยวกับรูปธรรมร่างกายนี้กว้างไปได้ทุกแห่งทุกหน พอมันผ่านนี้เข้าไปแล้วมันก็แคบเข้ามาๆ เท่านั้นเอง มันเกิดเรื่องไหนมันเกิดจากจิต เรื่องอะไรมันก็เกิดจากจิต ดับไปที่นั่น ออกจากนี้เข้าที่นั่น ดูมันอยู่นั่น ถอยหน้าถอยหลังดูมั่นอยู่นั่น รากแก้วรากฝอยแห่งภพแห่งชาติคืออวิชชามันก็ฝังอยู่นั่น

         พอพูดอย่างนี้เราก็เลยระลึกได้ตอนเรียนหนังสือ แต่ก่อนมันได้ทั้งภาษาบาลี จำได้แต่ ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตเดิมแท้ผ่องใส แต่อาศัยกิเลสที่จรมา ทำจิตใจให้เศร้าหมอง แล้วจากนั้นก็พูดถึงเรื่องการดับกิเลส อันนี้มันก็มีปัญหาอันหนึ่ง พวกนักเรียน เอ๊ะ จิตนี้มันผ่องใสแล้วมันจะมาเกิดได้อีกยังไง ไอ้เราก็ยังไม่รู้ จิตเดิมแท้ผ่องใส ผ่องใสแล้วมันจะมาเกิดได้ยังไง นักเรียนเถียงกัน ไอ้เราก็พลอยวิ่งไปตามเขาไม่รู้เรื่องรู้ราว บทเวลามาปฏิบัติแล้วเข้าไปถึงจุดที่มันผ่องใส จิตเดิมของวัฏจักร ไม่ใช่เป็นวิวัฏจักร คืออวิชชามันผ่องใสอยู่ในนั้น พอเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วมันผ่องใสที่ว่า ดูตัวเอง อัศจรรย์ตัวเอง คือมันเข้าถึงนี้ นี่มันยังไม่พ้นนะ มันผ่องใส จิตเดิมคือจิตเดิมของวัฏจักรมันผ่องใส

         ทีนี้เวลาได้ชำระลงไปๆ แล้ว ที่ว่าจิตเดิมของวัฏจักรผ่องใสนี่มันขาดสะบั้นลงไปแล้ว มันก็เป็นจิตบริสุทธิ์ อ๋อ จิตบริสุทธิ์กับจิตผ่องใสมันต่างกัน นั่น ที่นี่ได้มาพูดเลย ไม่ต้องไปถามใครนะ ว่าผ่องใสมันมาถึงนี้ แล้วก็ผ่านมาแล้วมันถึงรู้ จนลืม ชมเชยตัวเอง เป็นบ้าอยู่คนเดียว จึงว่า โอ๋ จิตเรามันทำไมถึงผ่องใสอัศจรรย์เอานักหนาน้า มันอัศจรรย์จริง ๆ นี่เห็นไหมอวิชชามันหลอกคน ของเล่นเมื่อไร เราปฏิบัติมาเราก็ยังหลงกลมันได้ จนกระทั่งอัศจรรย์มัน ว่างั้นเถอะ

         ธรรมะท่านก็ผุดขึ้นมาอีก มันยังจับไม่ได้ ถ้าเป็นพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่นั้น เวลานั้นพอเล่านี้ไปถวายท่าน ท่านจะใส่เปรี้ยงเดียวขาดสะบั้นเวลานั้นเลย เรียกว่าบรรลุในขณะนั้นเลย อย่างที่ในครั้งพุทธกาลท่านบรรลุธรรมในขณะถาม-ตอบปัญหากัน อย่างนี้แหละ พอเล่าอย่างนี้ให้ฟังท่านก็ใส่เปรี้ยงเลย ธรรมผุดขึ้นมา นี่เรียกว่าธรรมผุด ธรรมเตือน เราหลง เอ๊ทำไมจิตเราถึงอัศจรรย์เอานักหนาน้า สว่างไสวทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด มันน่าชมเชยว่างั้นเถอะน่ะ ยืนรำพึงตอนเช้า อยู่ข้างเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ อยู่ทางด้านตะวันตก เดินจงกรม

         นี่หลงแล้ว แสดงว่าหลงแล้ว พระธรรมท่านก็เตือนขึ้นมา แหมเตือนชัดเจนมาก แต่เรามันจับไม่ได้ซิมันโง่ พอเราอัศจรรย์ ยืนนิ่ง ๆ สักเดี๋ยวก็ผุดขึ้นมาเป็นคำ ๆ ขึ้นมาเลย “ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ” จุดก็คือจุดที่อัศจรรย์นั่นเอง ต่อมก็ต่อมอัศจรรย์นั่นเอง นั้นแลคือตัวภพ ก็คือตัวนี้เอง นั่น ลงเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังซิ พอเล่าอย่างงี้ท่านจะ ก็นั่นแหละ ขึ้นทันที มันก็รู้สึกตัวมันก็ใส่กันเปรี้ยง ขาดสะบั้นในเวลานั้นเลย นี้งงไปเลยนะ เอ๊จุดยังไง ต่อมยังไงนะ มันเป็นนะ มันจุดยังไงงงไปอีก แทนที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้

         เข้าเดือนสาม เราเป็น แบกปัญหานี้ไปจนกระทั่งถึงอำเภอบ้านผือ เข้าไปลึก ๆ ไปในภูเขานู่น ไปอยู่คนเดียว ขากลับลงมาเดือนหก ถึงได้ย้อนกลับมาอีก มาวัดดอยธรรมเจดีย์ของเก่านั่นแหละ ถึงได้แตกกระจายกันตรงนั้น ทีนี้ต่อมที่ว่าผ่องใสนั้น ที่ว่าอัศจรรย์ไม่มีเลย หายเงียบหมด ทีนี้อันหนึ่งที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคืออะไร นั่นละอันนี้ปิดไว้ ไม่เห็นอันนั้นซิ พออันนี้เปิดออกผางนี้ ถึงจ้าขึ้น ทีนี้ปัญหาจะไปถามอะไรอีก แน่ะ อ๋อตัวนี้เอง ตัวภพตัวชาติแท้ ๆ คือตัวหลอกคน สุดท้ายคืออวิชชา หลอกขนาดนั้น ผ่องใส

         จุดก็คือจุดแห่งความผ่องใส เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงที่มันใส นั่นแหละเรียกว่าจุด ใสอยู่นั้น เวลาจริง ๆ ปัดจุดนั้นออกเลยไม่มีเหลือ ให้สว่างไม่มีดวงอย่างงั้น สว่างก็เป็นสว่างวิมุตติไปเสีย ที่ว่ามันสว่างไสวอัศจรรย์คือมันมีจุดของมัน เราไม่รู้ ก็ชมเชยอัศจรรย์ตัวเอง มันหากเป็นของมัน แหมทำไมจิตเราถึงอัศจรรย์เอานักหนา ทั้งผ่องใส ทั้งสว่างไสวอะไร อยู่ในนั้นหมดเลย อยู่นั้นหมดเลย พระธรรมท่านเห็นว่าหลงแล้ว ติด ถึงเตือนขึ้นมา

         เตือนขึ้นมาว่าจุดนั้นน่ะ จุดที่อัศจรรย์นั้นน่ะคือตัวภพตัวชาติ มันก็ยังไม่รู้อีก จับไม่ได้นะ ถ้าไปเล่าให้พ่อแม่ครูอาจารย์ฟังนี่ ผางขึ้นเลยนะ ก็ตัวนั้นแล้วทันทีเลยนะ ทีนี้มันรู้สึกปั๊บนี่ขาดสะบั้นไปทันที พอรู้สึกปั๊บอันนี้มันก็ทำลายกันทันที มันเป็นเอง จึงมารู้ทีหลัง อ๋อเป็นอย่างงี้เอง เวลาท่านยังมีชีวิตอยู่นี้จะขาดสะบั้นในขณะที่เล่าปัญหาจบลง ท่านจะตอบมาผางเดียวเลย นั่นเป็นอย่างงั้น ไม่อย่างงั้นจะเป็นกษัตริย์วัฏจักรของกิเลสหรือ คืออวิชชา มันขนาดนั้นนะ นี่ละกิเลสตัวสุดท้าย ตัวหลอกให้หลง ตั้งแต่มหาสติ มหาปัญญา สติปัญญาอัตโนมัติยังหลงมันได้วะ

         เวลามันผ่านไปแล้วถึงมารู้ความโง่ของตัวเอง อ๋อตรงนี้เองที่ว่าจุดว่าต่อม แน่ะ เวลามันขาดสะบั้นลงไปแล้ว มันไม่มี จุดนั้นไม่มี สว่างไสวอัศจรรย์แบบนั้นมันไม่มี อันนี้เปิดออกก็เหมือนเปิดจอกเปิดแหนออก อันนี้มันเพียงจอกเพียงแหนเท่านั้นเอง อันนั้นคืออะไร นั่นซิ ไม่ถามใครเลย ถ้าลองจ้าขึ้นนั้นแล้วไม่มีถามใคร หมดปัญหา ทีนี้มันเลยกลับกันมาอีกนะ ความสว่างหลังที่ถูกปิดไว้นั้นน่ะ อันนั้นปรากฏขึ้น พอความสว่างอันนี้ตกไปแล้ว ความสว่างนี้ขึ้นมามันก็ตำหนิกันได้เลย อ๋อความสว่างไสวที่ว่าติดอยู่มันเท่ากับกองขี้ควาย อันนั้นมันเลิศกว่ากันขนาดไหน เลยมาเห็นอันนั้นเป็นกองขี้ควายไปได้ จิตดวงนี้แหละเวลามันหลงมันก็อัศจรรย์อันนี้เอง พออันนี้ขึ้นมาเต็มที่แล้ว มันก็เห็นว่า โอ๋ย อันนี้เท่ากับกองขี้ควาย แน่ะอย่างงงั้นแล้ว ฟังซิน่ะ

        นี่ละกษัตริย์วัฏจักร คืออวิชชาตัวนี้ตัวสุดท้ายที่ผ่องใสที่สุด หลงได้ แต่หากว่ามีผู้เตือนผู้บอกไว้แล้วนี้ไม่หลงง่าย ๆ นะ พอไปรู้ อ๋อขึ้นเลยนะ มันก็จับถูกปั๊บขาดสะบั้นไปเลย ถ้าไม่มีผู้บอกติดแน่ ๆ ต้องติด เรื่องการปฏิบัติจิตตภาวนาเข้าสู่ความละเอียดนี้ โถ พูดให้ใครฟังไม่ได้นะ เรื่องความรวดเร็วของกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้มองไม่ทันเลย นักมวยแชมเปี้ยนต่อยกันก็ว่าเก่งว่ารวดว่าเร็ว แต่สติปัญญาอัตโนมัติกับกิเลสฟัดกันนี้มองไม่ทันเลย ละเอียดยิ่งกว่านั้นไปอีก เป็นของมันเองนะ มันเป็นเอง มันฆ่าเองทำลายของมันเอง เลยว่าจะเอามาพูด พูดไม่ถูก แต่พอใครเป็นเข้าไปมันก็รู้กันเอง

         อย่างที่เราเคยพูด อย่างเทศน์วันนี้ก็ออกเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติของมัน ปั๊บออกมาเป็นกิเลสเรื่อย ๆ ไม่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต สัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นกิเลสทั้งนั้น แม้แต่คิดโดยลำพังตัวเองก็เป็นกิเลสออกมา ทำงานของตัวเองโดยอัตโนมัติ ๆ  ไม่มีใครบังคับ มันเป็นของมันเอง อันนี้เราก็ไม่เคยรู้ว่ากิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ พอถึงขั้นสติปัญญามีกำลังแล้ว มันแก้กิเลสโดยอัตโนมัติละซิที่นี่ มันแก้ของมันเอง หมุนของมันเองตลอดเลย ไม่มีเวลาที่จะหยุด นอกจากหลับเท่านั้น ทุกอาการความเคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง เว้นแต่หลับ จะมีตั้งแต่กิริยาของธรรมทำงานแก้กิเลส ฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียวเป็นอัตโนมัติ

         จนได้รั้งเอาไว้ รั้งเข้าสู่สมาธิเพื่อพักงาน แล้วเอากำลังในเวลาพักสมาธิ พอได้กำลังแล้วถอนออกมาแล้วก็ใส่เปรี้ยง ที่นี่เหมือนว่ามีดเราลับหินแล้ว คมกล้า ฟันขาดสะบั้นไปเลย เราก็มีกำลังแล้ว แน่ะ พักผ่อนนอนหลับ จึงได้รู้ว่า อ๋อ อย่าว่าแต่กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติเลย เมื่อธรรมมีกำลังแล้วก็สามารถฆ่ากิเลสได้โดยอัตโนมัติเหมือนกัน โดยไม่มีใครบังคับ เป็นเองๆ เหมือนกิเลสเป็นเองอยู่บนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมันนั่นแล

         แต่ก่อนเราก็ไม่เคยได้คิด เวลามันเป็นนี้แล้วเราถึงได้เทียบกับกิเลส อ๋อกิเลสมันเป็นอย่างงั้น ทีนี้ธรรมเรานึกว่ามันจะไม่มีอะไร บทเวลาเป็นก็เป็นแบบเดียวกัน ถ้ากิเลสยังไม่ขาดสะบั้นเมื่อไรหมุนตลอด ฆ่ากิเลสตลอด พอกิเลสขาดสะบั้นปึ๊งไปเท่านั้นเองการทำงานนี้ก็หยุด เมื่อมันหมดงานแล้วจะทำอะไรมันก็รู้เอง ไม่มีใครบอก สติปัญญาอัตโนมัติที่หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่นั้นหยุดไปเองโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับนะ ก็งานเสร็จแล้วไปทำอะไร แน่ะ นี่อัตโนมัติ เรื่องธรรมเมื่อมีกำลังแล้วเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน

         คำว่าความเพียรไม่ต้องพูด ได้รั้งเอาไว้ ถ้าว่าเพียรตั้งแต่นี้ไปเพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น เวลานี้ยังไม่พ้นทุกข์ เพียรเพื่อความพ้นทุกข์นั้นถูก แต่ว่าเพียรในจังหวะการประกอบคำภาวนานี้โอ๋ยไม่มีละ มีแต่หมุนเรื่อย ๆ ๆ เป็นธรรมจักร อย่างที่เราเคยคาดเคยคิดไว้แต่ก่อนนั้นผิด ความจริงกับความคาดมันผิด เช่นอย่างเวลาเราภาวนาทีแรกมันตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลาน สู้กิเลสไม่ได้ ทั้งความขี้เกียจขี้คร้านมันก็ไปด้วยกัน เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ล้มลุกคลุกคลาน ถือว่าเป็นความลำบาก แล้วก็ปลอบใจตนเอง ฝึกทีแรกมันก็ต้องลำบากเป็นธรรมดาแหละ

         เวลามันมีกำลังวังชาพอแล้ว จิตละเอียดลออขึ้นไปแล้วมันจะเบาเป็นลำดับๆ ไม่ยุ่งอย่างนี้ ไม่หนักอย่างนี้ จะเบาไปโดยลำดับลำดา งานนี้เรียกว่าน้อยเข้าไป สบายไปโดยลำดับ ว่างั้นนะ ความคิด ความคาด พอจิตละเอียดลงไปเท่าไรแล้วก็ยิ่งจะมีความสะดวกสบายไปเรื่อยๆ คาดเอา นี่คือความคาดเอาไว้ ปลอบใจเวลามันลำบากลำบนมากๆ ทีนี้เวลามันเข้าถึงขั้นนี้แล้ว จิตสูงขึ้นเท่าไรๆ งานมันยิ่งมาก ยิ่งหมุนเข้าเรื่อยๆ สุดท้าย อ้าว ที่คิดอย่างงั้นมันผิดทั้งเพ อันนี้มันสบายได้ยังไง คนต่อยกันบนเวทีมันสบายหรือใช่ไหมล่ะ

         นี่ต่อยกับกิเลสบนเวทีโดยอัตโนมัติมันสบายเหรอ ฟัดกันตลอดเวลา ไม่มีเวลาหยุดยั้ง จนว่า อ๋อมันเป็นอย่างนี้ ว่ามันสบายไปโดยลำดับ อย่าไปว่า คนต่อยกันบนเวทีมันสบายอะไร ตอนนั้นตอนชนะเรียบร้อยแล้วนี้ ไม่บอกก็ได้ ยากอะไร งานไม่มีอะไรยุ่ง แน่ะ ตอนฟัดกับกิเลสนี้ โอ๋ย ละเอียดเท่าไร สูงเท่าไร ยิ่งหมุน ยิ่งเร็ว ยิ่งคล่องตัว นั่นมันเป็นอย่างงั้นนะ ถ้ามันเห็นประจักษ์ตัวเองแล้วทุกอย่างพูดได้เต็มปาก ไม่สะทกสะท้านกับอะไรเลย อย่างที่เราเทศน์ตลอดมาเราไม่เคยมีอะไรกับใคร ใครจะว่าอะไรมันไม่เคยสนใจ ยิ่งกว่าธรรมชาติที่ปรากฏอยู่กับตัวนี่เท่านั้น

         การเทศน์จะควรหนักเบามากน้อยเพียงไร แล้วแต่เหตุผลกลไกของธรรมที่จะหมุนไปๆ ที่จะว่าที่นั่นสูง ที่นั่นต่ำ ไม่มี เทศน์สมาคมนั้นสมาคมนี้ไม่มี สมาคมไหน แน่ะ ธรรมมันเหนือกว่าหมดแล้ว มันไม่ได้มาสมาคมนั้น ตรงนี้สูงตรงนั้นต่ำ หลบไปนู้นหลบไปนี้ไม่มี เพราะธรรมสูงกว่าทุกอย่างอยู่แล้ว คืออันนี้อยู่ในแดนสมมุติ ที่ว่าสูงว่าต่ำ อันนั้นเหนือสมมุติแล้ว แล้วมันจะมายุ่งอะไรกับสมมุติว่าสูงว่าต่ำ ทำให้ขยะแขยง ให้กล้า ให้กลัว ใช่ไหมล่ะ สุดท้ายก็มาติดเรา คือกิเลสนั้นละมามัดเรา เทศน์นี่สมาคมนี้เขามีความรู้มากนะ เทศน์เราไม่มีความรู้ทำยังไง ติดเจ้าของแล้วนั่น

         ถ้ามันอยู่ในหัวใจเราแล้วมันเบิกไปหมด อะไรจะสูงจะต่ำ มันก็มีแต่พื้นดินเท่านั้น ฝ่าเท้าของเรานี้สูงกว่ามันหมด เหยียบได้หมด ภูเขาทั้งลูกขึ้นเลย เหยียบเลย ธรรมะของพระพุทธเจ้าสูงกว่าภูเขา เข้าใจไหมล่ะ นั่น พวกนี้มันอยู่ต่ำ ๆ ฝ่าเท้าสูงกว่า เข้าใจ ธรรมะนี้สูงกว่าอย่างงั้น เทียบอย่างงั้น นี่จึงไม่มีที่ว่าเทศน์จะไปกลัวคนนั้น ไปกลัวคนนี้ ไปกล้าสมาคมนั้น ไปกลัวสมาคมนี้ เราพูดจริงๆ สำหรับเราไม่มี แล้วแต่เหตุผลกลไกที่จะออกหนักเบามากน้อยเพียงไร แล้วมันจะนั้นของมันเอง แล้วก้าวเดินเรื่อย ๆ ๆ ไม่เคยใครว่าสูงใครว่าต่ำ

         แม้แต่ท้าวมหาพรหมสูงกว่ามนุษย์ก็ยังกราบธรรม เข้าใจไหมล่ะ แล้วจะไปกลัวอะไรมนุษย์ขี้เหม็นนี่วะ ท้าวมหาพรหมไม่เห็นขี้ก็ยังไม่เห็นกลัว แน่ะ จะมากลัวอะไรมนุษย์ เทียบกันเข้าใจไหมล่ะ ที่นั่นสูงที่นี่ต่ำ สุดท้ายก็ติดตัวเอง ไปนั่งสั่นอยู่บนธรรมาสน์น่ะซิว่าไง พอพูดอย่างนี้เราก็ทำให้ระลึกได้ในธรรมะที่ท่านแสดงไว้ มีหลวงตาองค์หนึ่ง ได้ยินเขามาพรรณนา พระสารีบุตรท่านเทศน์อบรมประชาชน เขาฟังแล้วเขามาสรรเสริญเยินยอกัน เขาก็คุยกันธรรมดา สรรเสริญธรรมดา แล้วมีหลวงตาองค์หนึ่งนั้นคงคันฟัน ก็เลยหลุดปากออกมาซิ โอ๋ยท่านทั้งหลายได้ฟังธรรมพระสารีบุตรก็ได้ยกยอขนาดนี้ ถ้าได้ฟังธรรมอาตมาแล้วจะเป็นยังไงไม่ทราบ

         เขาก็จับติดละซี เข้าใจว่าเขาจะเอามาเทศน์ล่ะซี ฟังเทศน์นักธรรมชั้นเอก นักเทศน์ชั้นเอก ธรรมกถึกเอก เขาก็จับติดแล้วเขาก็จะเอามาเทศน์ตอนค่ำ เทศน์ก็ผัดเพี้ยนไป วันนี้อาตมาไม่ว่าง จะเทศน์ตอนดึก เขาจัดมาอีก ฟาดถึงตอนนี้ไม่อะไรอีก ไปถึงตอนสว่างเอาอีก เอามาเทศน์ พอถึงนั้นไม่มีทางไป ขึ้นไปนั่งตัวสั่น เขาเอาก้อนดินฟาดขึ้นธรรมาสน์ โดดลงธรรมาสน์ เขาก็ไล่ นี่ในตำราว่างั้น พอไล่ลงไปก็โดดตกส้วม ส้วมจะเป็นส้วมอะไรไม่ทราบนะ ว่าตกส้วมนะ ตกถาน ถานแต่ก่อนนี้มันต่างกันใช่ไหม เลยไปตกส้วม นั่นเห็นไหมเก่งนักตกส้วม เคยเห็นไม่ใช่หรือ มีในหนังสือ เก่งนักก็เป็นอย่างงั้น

         อวดตนอวดตัว เรื่องกิเลสเป็นอย่างงั้นอยากอวดตนอวดตัว ถ้าธรรมนี้ไม่มี อยากอวดอยากอะไรมันก็ไม่มี ธรรม แล้วแต่เหตุผลกลไก

         (เสียงเครื่องบิน) เครื่องบินไปแล้ว ธรรมดาระหว่างสิบห้านาทีมันออก วันนี้สองทุ่มสิบห้านาทีออก วันนี้สองทุ่มสามสิบห้ามานี้แล้วถึง แล้วแต่คนมากคนน้อย มันออกของมันเครื่องบินตามคน ก็ไปโดยสารเอาคนใช่ไหมล่ะ ถ้าเวลามันยังไม่พร้อมก็ต้องรอ เอาเครื่องบินเปล่า ๆ มันเกิดประโยชน์อะไร จะไปไหนก็พอได้เวลาเป๋งขึ้นเลย ก็ได้แต่เครื่องบินเปล่า ๆ ไป ว่าไง นี่ก็เหมือนหลวงพ่อตกถานเหรอ บึ่ง ๆ ไปก็ตกถาน มันไม่มีคน ตกถานอะไร ขาดทุนฉิบหายป่นปี้ เข้าใจไหม นั่น

         ก็มีเท่านั้นแหละ พูดเท่านั้น ให้พิจารณาอย่างที่ว่านี้ สงสัยอะไร พิจารณาดูใจตัวมันเป็นภัยอยู่ในนั้น ว่าแต่มันเป็นคุณ ๆ มหาภัยมันอยู่นั้น ติดอยู่นั้น ถ้ายังติดก็เป็นมหาภัยอยู่นั้น มันเปิดแล้วไม่มีภัยในโลกสมมุติทั้งมวล แน่ะไปนั้นเสีย พอถึงขั้นที่มันจะเป็นพิษมันเป็น ติดตรงไหนเป็นพิษตรงนั้น ติดตรงไหนนั้นละภัยอยู่ตรงนั้น เปิดออกแล้วก็หาย จำให้ดีนะ

         พวกนี้ยังไม่ได้กินข้าวกันเลยวันนี้ เลยไม่ได้กินข้าวกันทั้งวันเลยนะ เรามันกินข้าวหนเดียวพอ แม้แต่ฉันข้าวมันก็ไม่เห็นอยากนะ ฉันเฉยๆ ทุกวันนี้ไม่ได้อยากอะไร เฉย ถึงเวลาก็ฉัน ฉันได้ พระเล็กพระน้อยสู้เราไม่ได้ นั้นมันไม่อยาก มันก็กินไม่ถอย มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ฉันได้สบายทุกวัน ไอ้เรื่องมันอยากไม่มีละ ไม่ทราบว่ากี่ปีมาแล้วอาหารไม่เคยอยากอะไร เฉย แต่เวลามาฉันมันก็สัมผัสกันไปเอง แต่ก่อนเวลามันดูดมันดื่มก็มี แต่นี้ไม่เห็นมี เฉยๆ ธรรมดา แต่มันก็ฉันได้เวลามันสมบูรณ์ของมัน ในระยะที่พอฉันได้มันฉันได้อย่างที่ว่า แต่เวลามันฉันไม่ได้ มองเห็นนี่ โหย มันเห็นเป็นข้าศึกไปเลย

         ให้ภาวนากันนะ อย่าไปหานอนกันเอกเขนกไม่ได้นะ เราละที่ไหนเรื่องความเพียรภาวนาของเรา เพื่อความสะดวกสบายในธาตุในขันธ์ ในจิตใจระหว่างที่ครองกันอยู่นี้ เราปล่อยเมื่อไร คิดดูซิใครนิมนต์ไปที่ไหนทิศทางจงกรมของเราต้องมีๆ ตลอดไปเลย ๖ ปี ละเว้นที่ไหน เอาจนได้ เราไม่เคยขาดว่าไม่ได้เดินจงกรม เว้นแต่ฝนตกเท่านั้นเอง พอลงรถปั๊บ อยู่ในเมืองที่ไหนก็ตามนะเราจะเสาะหาสถานที่เดินจงกรม พอลงรถแล้วเที่ยวซอกแซกหาดู พอได้แล้วก็มา ได้จังหวะแล้วก็ไปเลย เวลาไป อย่างงั้นเป็นประจำ

         จนกระทั่งเวลานี้ไปที่ไหนทางวัดต่างๆ นี่ เขาทำทางจงกรมไว้ให้เราเรียบร้อยๆ ทุกแห่งไปเลยนะ เดี๋ยวนี้ไปวัดไหนเขาทำทางจงกรมให้ทั้งนั้นแหละ ให้เรียบๆ หมด แม้แต่ไปภาคเหนือก็ทำให้ ไปภาคไหนทำให้ทั้งนั้นละเดี๋ยวนี้ ก็เป็นการสอนพระอยู่ในตัว ก็เราไม่เคยละความเพียร ตลอดเวลาเป็นความสะดวกสบายในธาตุในขันธ์ และการพินิจพิจารณาในธรรมทั้งหลาย มันอยู่ในเวลาเดินจงกรมนั่น ไม่ใช่ว่าจะไปเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อความสะดวกสบายในธาตุในขันธ์ เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่จะเกิดขึ้นมีขึ้นในเวลานั้น มันเป็นไปพร้อมกัน ๆ เข้าใจรึเปล่าล่ะ

         เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เคยลดละไปที่ไหน อยู่ในนี้เราละเมื่อไร นี่ไปกรุงเทพฯ ตอนกลับจากกรุงเทพฯ มานี้อิริยาบถไม่ค่อยเสมอ วันที่ ๓๑ มานี้ ไปเทศน์นู้นกลับมานี้ นั่งรถมาจนกระทั่งเหนื่อย ธาตุขันธ์ไม่ดี มาเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อธาตุขันธ์ให้เข้าสู่ปรกติก็พอ นี่ระยะนี้เดินมากทีเดียว จนอ่อนนิ่มไปหมด เดี๋ยวนี้เข้าขั้นปรกติ นี่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ไอ้เรื่องจิตใจพินิจพิจารณาในอรรถในธรรมทั้งหลายไม่ต้องพูด พูดให้ใครฟังไม่ได้ละเรื่องอย่างนี้นะ

         อย่างที่เราไม่บิณฑบาต เราเดินสบายบิณฑบาต เราไม่ขัดข้องอะไรนะ แข็งแรงธรรมดาเรา ตั้งแต่มันไปบิณฑบาตไม่ได้ เพราะท้องเสียมากจนไม่มีกำลังบิณฑบาต เราหยุดตอนนั้นแล้ว บิณฑบาตไม่ได้จริงๆ ไปไม่ไหวแล้วเราก็หยุด ทีนี้พอธาตุขันธ์ดีดขึ้นมา บิณฑบาตได้เราก็ไม่ไป เพราะเวลาพระไปบิณฑบาตนั้นเป็นเวลาเราเข้าทางจงกรม ผลประโยชน์ที่เกิดอยู่ในเวลาเดินจงกรมกับเราบิณฑบาตต่างกันยังไง นี่เทียบกัน เช่นสมมุติอย่างทุกวันนี้ไปดูซิ มันรุมกันยุ่งไปหมด ไปได้ก้าวสองก้าวแล้วถ่ายบาตรๆ คนนั้นยุ่งคนนี้ยุ่ง ยุ่งไปหมด เลยไปบิณฑบาตเพื่อยุ่ง เข้าทางจงกรมไม่มีอะไรยุ่ง นั่น

         พอเข้าไปปั๊บก็พิจารณาเรื่องอะไรละเอียดตลอดเลย พอได้เวลาก็ออกมา เราทำอย่างนั้นต่างหากนะ เรามีเหตุมีผลของเรา เรื่องบิณฑบาตเราไม่เคยขี้เกียจแต่ไหนแต่ไรมา จะว่าขยันก็ถูก เป็นกิจวัตรของตัวเองไปตลอด เวลาธาตุขันธ์มันอ่อนไปไม่ได้ก็พักแล้ว ทีนี้พอไปได้แล้ว ตอนที่ไปไม่ได้มันก็ไปเดินจงกรมของมัน สะดวกสบายธาตุขันธ์และจิตใจได้สะดวกในการพิจารณาธรรมภายในใจ ทีนี้พอมันแข็งแรงแล้ว ถึงไปได้ก็ไม่ไป ผลประโยชน์สู้นี้ไม่ได้ เราเอานี้เทียบกันต่างหากนะที่ไม่บิณฑบาตทุกวันนี้ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เอาละไปละที่นี่

        กลางคืนเราเดินจงกรมเดี๋ยวนี้ก็ไม่แน่นะ บางทีธาตุขันธ์ไม่สะดวก การเดินจงกรมกลางคืนเราละเมื่อไร เวลาไหนเราอยากเดินลงเมื่อไรไม่แน่นะ บางทีหกทุ่มลงก็มี ตีหนึ่งตีสองลงก็มี ตีสามลงก็มี ตีสี่ลงก็มี แต่ลงเราจะพูดว่าทุกเช้าไปเลยนะ ตอนเช้า พอจวนสว่างแล้วขึ้นมากุฏิเงียบเลย ถอดรองเท้าแล้วขึ้นกุฏิเงียบ จนกระทั่งพระไปกุฏิทำข้อวัตรอยู่ข้างนอก เราก็อยู่ข้างในเงียบ พระก็ไปทำแบบเงียบ ๆ นะ จะไปทำเสียงปึงปังไม่ได้นะ ออกมาที่นั่นมันเป็นเสือตัวหนึ่งเข้าใจไหมล่ะ พระระวังยิ่งกว่าอะไร ขึ้นไปนั้นก็เหมือนไม่มีพระขึ้นไปเลย พระจะด้อม ๆ ทำ พอเสร็จแล้วก็รีบหนี เพราะรู้แล้วว่าเราไม่ยุ่งกับใครแต่ไหนแต่ไรมา ในฐานะว่าอาจารย์กับลูกศิษย์จึงไม่ได้ยุ่งกันตลอดมานะ เป็นนิสัยอย่างนี้เรื่อยมา ตั้งแต่เราเดินภาวนาเราก็ไปคนเดียวใช่ไหม แล้วนิสัยนั้นก็ติดมาตลอดนะ

         เวลาพระออกมาแล้ว ลงมาแล้ว เราก็เข้าทางจงกรม พระไปบิณฑบาต ถึงเวลาเราแล้วออกมา เป็นอย่างงั้น ถ้าวันไหนเรามีธุระที่จะไปข้างนอก พอสว่างตอนคนไม่มีเราก็รีบไปเสีย ไปดูนั้นดูนี้แล้วก็มาสั่งการสั่งงาน บกพร่องตรงไหนๆ มาบอก ที่ไปนั่นนะ ไปดูการดูงานนั้นนี้แล้วก็มาสั่งเสีย ถ้าได้ไปดูเรียบร้อยแล้วอย่างงั้นไม่ค่อยไป เข้าทางจงกรมเลย เราทำอย่างนี้เป็นประจำไม่เคยละนะ เรื่องภายในของเราบอกใครไม่ได้ ไปละที่นี่ เกือบสามทุ่มแล้วนะ ของเล่นเมื่อไร

        

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก