เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
วันว่างอย่าให้ว่างเพื่อกิเลสตัณหา
ก่อนจังหัน
พระให้เข้มแข็งทางด้านภาวนานะ อย่ามาขี้เกียจขี้คร้านในวัดนี้ให้เห็นนะ ขวางหน้าขวางตาเหลือเกิน เราเป็นหัวหน้าหมู่เพื่อนเราดูอยู่ตลอดเวลานะ อย่าว่าไม่ดู มันเป็นซุงทั้งท่อนๆ มากีดมาขวางในวัดนี้แล้วก็ไปกีดขวางทั่วประเทศไทยละ พระเราไม่ดีใครจะดีในโลกนี้ คำว่าพระก็แปลว่าผู้ประเสริฐ นั่นฟังซิมันประเสริฐเรื่องอะไรเดี๋ยวน่ะ ขอให้ตั้งใจปฏิบัตินะ เวลานี้เลอะเทอะมากนะ เราพูดอย่างตรงไปตรงมานี่ภาษาธรรม พระเราเลอะเทอะแล้วประชาชนญาติโยมเขาจะพึ่งใคร แล้วยังพระเป็นหัวหน้าโจรเสียด้วยแล้ว แล้วหมดแล้วนะชาติศาสนาในเมืองไทยของเรานี่
ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติให้ดี มา หูตาให้สอดให้ส่องความคิดความอ่าน นี่ละศาสนาสอนให้คนเฉลียวฉลาดรอบคอบ ปฏิบัติตนในทางที่ดี ปัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายออกตลอดเวลาด้วยสติด้วยปัญญา พินิจพิจารณา อะไรสัมผัสสัมพันธ์ให้มีสติปัญญาคัดเลือกไตร่ตรองเสมอนะ อย่าอยู่แบบเซ่อๆ ซ่าๆ มันดูไม่ได้นะ พระนี่มีเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ แต่ว่าเรื่องความดีจะได้ด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือมาอยู่พอเป็นปากเป็นทาง แล้วก็ไปโอ้อวด เอ๊ะนี่ลูกศิษย์อาจารย์มหาบัว ใครอยากทดลองเครื่องให้มา นี่กำลังฟิตมา โถเลื่อมพั่บ ๆ ๆ ว่างั้นนะ นี่ลูกศิษย์อาจารย์มหาบัวองค์ลือนาม ว่างั้นนะ มันจะลือตั้งแต่ความขี้เกียจขี้คร้านน่ะซิลูกศิษย์อาจารย์มหาบัว ความไม่เอาไหน ๆ นี่
ข้อวัตรปฏิบัติเคยได้พูดเสมอ เวลาปัดกวาดๆ เวลาเท่าไร ให้มีจริงมีจังต่อเวล่ำเวลาหน้าที่การงานทุกอย่าง อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ ให้เห็นนะ ศาสนาไม่มีคำว่าเหลาะๆ แหละๆ นี่ละคนเอากิเลสเข้าไปพอกพูนศาสนา พอกพูนพระ ศาสนาเลยมีตั้งแต่ของเหลวไหลๆ เต็มบ้านเต็มเมือง ศาสนาออกไม่ได้ มีแต่กิเลสออกนะเวลานี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพินิจพิจารณา ใครมาศึกษาๆ ให้ศึกษาจริง ๆ ศาสนาพระพุทธเจ้านี้เพื่อชาวพุทธของเรา มีพระเป็นต้น นำเอาไปปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้แล้วนี้ ศาสนาพุทธจะเลวในเมืองไทย คนชาติไทยจะเป็นคนเลว ขอให้เห็นสักทีเถอะ ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ประกาศธรรมสอนโลกมานานแสนนาน เป็นยังไงมาสอนประเทศไทยเรา พระไทยเราเป็นยังไงบ้าง มีผลประโยชน์อะไรบ้าง พิจารณาซิ
มีแต่เอากิเลสเข้ามาโปะศาสนาๆ แล้วเอาชื่อศาสนาออกหน้า กิเลสเหยียบหัวศาสนาไปในตัวนั่นละ เวลานี้เยอะนะ มากจริงๆ จนสลดสังเวช แม้ที่สุดเพื่อนฝูงพระเณรดูกันจะดูไม่ได้นะเวลานี้ มันเลอะเทอะขนาดนั้น พวกเรารู้ตัวแล้วยังเป็นพระด้วยกันทุกคน ตั้งใจมาศึกษานี่ก็ตั้งใจสอน ให้เต็มอกเต็มใจทุกคนด้วยการปฏิบัติ สมกับที่มาศึกษาอบรมนะ อย่าให้มันเลอะๆ เทอะๆ นะ เวลานี้เลวมากนะพระเรา
นี่ได้พูดเสมอ ก็มันเลวเป็นประจำ พูดเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้นมันก็ยังไม่ทันกัน มันเลวตลอดเวลา อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ที่ไหน เลวด้วยนิสัยเลวๆ ของกิเลสนั้นแหละ เอามาเหยียบศาสนา มันเลอะเทอะอยู่ทุกวันนี้ พระเราเป็นแนวหน้านี่นะในการปฏิบัติ ในครั้งพุทธกาลก็ พุทฺธํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นั่นเป็นแนวหน้าๆ ของสัตว์โลก พวกเราจะมีแต่ความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่เอาไหน ความโก้ความเก๋ ความเป็นบ้าอำนาจบาตรหลวงนั่นเหรอ ให้ร่ำลือไปทางนั้นเหรอ เลวที่สุดนะ จำให้ดีทุกองค์ เอาจะให้พร
หลังจังหัน
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒๒ มกรา ๔๗ รวมทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๙,๑๒๕ กิโล ดอลลาร์ที่มอบแล้ว ๘,๘๐๐,๐๐๐ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นทองคำ ๙,๑๗๓ กิโลครึ่ง ยังขาดอยู่อีก ๘๒๖ กิโลครึ่ง จะครบจำนวน ๑๐ ตัน ดอลลาร์รวมทั้งหมดได้ ๘,๘๘๔,๒๖๘ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๑๑๕,๗๓๒ ดอลล์ จะครบจำนวน ๑๐ ล้านดอลลาร์นะ ที่เราจะได้มอบทองคำเข้าสู่คลังหลวงคราวนี้ กะให้เป็นวาระสุดท้ายแห่งการช่วยชาติของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ จะได้มอบทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ ๑๐ ล้านดอลล์ ที่เราจะมอบในวันที่ ๑๒ เมษายน ซึ่งเป็นวันจะปิดโครงการ
วันนั้นเราจะเตรียมทองคำให้พร้อมเสร็จ มอบในวันเดียวกัน เรียกว่าเป็นทองคำที่มอบในวันนั้น ๑๐ ตันเป็นอย่างน้อย และดอลลาร์ ๑๐ ล้านเป็นอย่างน้อยเหมือนกันในวันนั้น กรุณาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วหน้ากัน กำลังวังชาศรัทธาและความรักชาติของพี่น้องชาวไทย มารวมอยู่ในกระดาษอันนี้แล้ว ซึ่งได้ผลผ่านมาโดยลำดับลำดาแล้ว เวลานี้ก็ดังที่ว่า ทองคำได้ ๙,๑๒๕ กิโล ดอลลาร์ได้ ๘ ล้าน ๘ แสนดอลล์ นี่เป็นผลซึ่งเราได้รวบรวมกำลังวังชาแห่งความรักชาติของเรามาบริจาค ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ยังขาดอยู่อีกดังที่ว่านี้ ทราบแว่วๆ มาว่า อันนี้ก็ไม่แน่นักที่ว่า ทองคำขาดอยู่ ๘๒๖ กิโลครึ่งจะครบ ๑๐ ตันนี้ ดูว่าจะขาดลดลงกว่านั้น เราคาดเอาไว้เฉยๆ เวลานี้จะขาดอยู่ประมาณ ๖๐๐ กิโล ในย่านนี้ละ
บัญชีนี้มันมีอยู่ทางอุดร-ทางกรุงเทพ บางทีมันสับสนกันบ้างระหว่างบัญชี จึงไม่แน่นัก แต่คาดเอาไว้คงไม่ผิด เวลานี้ทองคำเราที่ขาดอยู่ประมาณ ๖๐๐ กิโล ว่าอย่างนี้เลย จะครบจำนวน ๑๐ ตัน ส่วนดอลลาร์ก็ว่าไปตามนี้ก่อน ขาดอยู่ ๑,๑๑๕,๗๓๒ ดอลล์ จะครบจำนวน ๑๐ ล้าน นี่เป็นเครื่องประกาศให้พี่น้องชาวไทยทั่วประเทศที่รักชาติ ได้สละกำลังวังชาศรัทธาทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้ว เป็นสมบัติจำนวนเท่านี้แหละ ในวันที่ ๑๒ เมษา นี้เป็นวันสุดท้ายที่จะปิดโครงการ
คำว่าโครงการนี่หมายถึงว่า โครงการที่หลวงตาเที่ยวเทศนาว่าการในที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยนั้นเราจะงด คือเราจะไม่ไปเที่ยวเทศน์ในที่ต่างๆ ดังที่เคยปฏิบัติมา จะเทศน์ตามอัธยาศัยและกำลังของธาตุขันธ์เท่านั้น ไม่ว่าจะเทศน์ในโครงการหรือนอกโครงการ เราจะเทศน์ตามอัธยาศัยหรือธาตุขันธ์ของเรา ไม่ได้เป็นไปตามโครงการที่เที่ยวซอกซอนทุกแห่งทุกหนทั่วประเทศไทยนับเป็นเวลา ๖ ปี ที่ได้อุตส่าห์พยายามสละชีวิตจิตใจนั่นแหละ หลวงตาช่วยพี่น้องทั้งหลายไม่ได้ช่วยเล่นๆ นะ ช่วยถึงขนาดชีวิตจิตใจเราไม่เคยเสียดายชีวิตจิตใจในการขู่เข็ญทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา เราสร้างความดี ความชั่วก็ผ่านเข้ามา บางรายก็จะเอาชีวิตชีวาของหลวงตาบัวไป เอา ใครได้ทำวิธีใด หลวงตาบัวได้ จะฆ่าจะแกงจะต้มจะยำอะไร ก็ให้ต้มแกงยำ พวกนี้เขาจะกินเลี้ยงกัน หลวงตาก็ไม่เคยสนใจ ให้เอาโคตรเอาแซ่มาแกงหลวงตาบัวก็ตาม หลวงตาบัวก็ไม่เคยหวั่น หลวงตาบัวมีโคตรมีแซ่จะพาหลวงตาบัวไปกินต้มยำพวกนี้อีก ที่เขาไม่ตายจะกินดิบกินสดก็ได้ อย่างทุกวันนี้มันกำลังขึ้น กินเบ็ดกินเสร็จ กินดิบกินสุกมันมี
หลวงตาไม่เคยหวั่นเรื่องชีวิตจิตใจ หวั่นตั้งแต่เรื่องชาติไทยของเราที่จะล่มจม ให้โลกเขาได้มองเห็นด้วยความสลดใจ นี้เราหวั่นมากทีเดียว จึงได้อุตส่าห์พยายามช่วยพี่น้องทั้งหลายเต็มกำลังความสามารถเรื่อยมา ทั้งด้านการแนะนำสั่งสอนด้านอรรถด้านธรรมและด้านวัตถุที่จะนำเข้าสู่คลังหลวง ด้านอรรถด้านธรรมนำเข้าสู่จิตใจเพื่อเป็นพลังแห่งการครองชีพ และความอยู่เป็นสุขสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน เพราะธรรมประสานจิตใจแล้วอ่อนนิ่มไปทั่วหน้ากันหมด ไม่มีความโหดร้ายทารุณจะฆ่าจะแกงจะต้มจะยำกันอย่างนี้ ไม่มีในธรรมของพระพุทธเจ้า นี้มีในกองทัพของกิเลส พวกยักษ์พวกผีไม่มีเหตุมีผล
เราสละไปหมดแล้ว ได้มาช่วยพี่น้องทั้งหลาย ผลแห่งการช่วยก็ พี่น้องทั้งหลายเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตั้งแต่วันก้าวออกประกาศธรรมสอนโลก หรือว่าประกาศเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย บรรดาพี่น้องทุกภาคทั่วประเทศไทยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีประจักษ์เรื่อยมา ไม่เคยขัดข้องยุ่งๆ เหยิงๆ มีความพร้อมเพรียงสามัคคี ด้วยน้ำใจอันดีงามต่อความรักชาติของตน และดำเนินตามผู้นำที่เห็นว่าชอบธรรมแล้วมาโดยลำดับ ผลจึงปรากฏขึ้นมาดังที่ว่านี้แล้ว ทองคำได้ ๙ พันกว่าแล้ว ยังขาดอยู่อีกเพียงประมาณ ๖๐๐ กิโลจะถึง ๑๐ ตัน นี่เป็นน้ำใจของพี่น้องทั้งหลายที่แสดงออกทั่วหน้ากัน มารวมอยู่ในจุดคลังหลวงแห่งเดียว ซึ่งเป็นหัวใจของชาติ แล้วดอลลาร์นี้ก็ขาดไม่มากนัก นี่ก็จะให้ได้ ๑๐ ล้าน เวลานี้ขาดอยู่เพียง ๑ ล้านกว่าไม่มากนักจะเข้าคลังหลวง
ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำใจของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติที่รวมกันๆ จากความรักชาติของตนๆ ได้มาแสดงผลให้เห็นนี้แหละ ต่อไปนี้เราก็จะก้าวเดินต่อไปจนกระทั่งถึงจุดหมายที่ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกันว่า ทองคำเราให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ได้ ๑๐ ล้าน มอบเข้าคลังหลวงเรียบร้อยในวันที่ ๑๒ เมษา ๒๕๔๗ นั่นเป็นวันประกาศ แล้วโครงการต่างๆ ก็ปิดในวันนั้น โครงการดังที่หลวงตาเรียนให้ทราบนี่แหละ คือเทศนาว่าการในที่ต่างๆ ปิด ส่วนบัญชีเงินนี้ เช่น ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ยังปิดไม่ได้ เพราะคนทั้งประเทศ
ท่านผู้นั้นถวายมา ท่านผู้นี้โอนมา ท่านผู้นั้นส่งมาอยู่เรื่อยๆ เราจึงปิดบัญชีอันนี้ยังไม่ได้ จะปิดภายหลัง เมื่อเห็นเป็นกาลอันสมควรแล้วก็จะประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า ในระยะนั้นๆ จะปิดบัญชีโดยสิ้นเชิงให้เป็นปรกติธรรมดา เวลานี้ยังปิดไม่ได้เพราะศรัทธาที่ปลีกที่ย่อยอยู่ทั่วประเทศ กำลังมาอยู่เรื่อยๆ จึงปิดบัญชียังไม่ได้ ส่วนการดำเนินของเราให้เป็นไปตามโครงการนั้นเราหยุดแล้ว เราจะไปตามอัธยาศัย เทศน์ตามอัธยาศัย ไม่ว่านิมนต์ในโครงการหรือนอกโครงการ เราจะไปให้ตามอัธยาศัยของเราเท่านั้น กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน นี่ละผลแห่งการช่วยชาติของเรา ความรักชาติของเรา มีแต่ผู้รักชาติ มีแต่ผู้เสียสละ มีแต่ผู้อุ้มชูชาติ ศาสนา ในเมืองไทยของเราให้ขึ้นมาเด่นดวง
เวลานี้ทองคำก็ได้เกือบ ๑๐ ตันแล้ว นี่เป็นผลแห่งความรักชาติ แห่งความพร้อมเพรียงสามัคคี ถ้าแตกจากนี้แล้วก็ทำเมืองไทยให้จมได้นะ และต่อจากนี้ไปก็ให้ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายาม ให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามที่กล่าวนี้ เวลานี้ทองคำขาดอยู่จะประมาณ ๖๐๐ กิโล จะครบจำนวน ๑๐ ตัน ก็คือหมื่นกิโล เวลานี้ได้ ๙ พันกิโลกว่าแล้ว นี่เราจะให้เสร็จสิ้นในวันนั้น วันที่ ๑๒ เมษา ๒๕๔๗ ทองคำ ดอลลาร์ ให้ได้ครบในวันนั้น แล้วก็ปิดโครงการในวันนั้น ต่อไปจะยังเหลือตั้งแต่บัญชีที่เปิดเอาไว้สำหรับท่านผู้บริจาคในที่ต่างๆ มา ซึ่งไม่มีกำหนดบริจาคมา เราจะเปิดไว้เพียงเล็กน้อย แล้วเราก็จะประกาศปิดโดยสิ้นเชิง กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้อย่างนี้ทั่วหน้ากัน
วันนี้ก็มีคณะศรัทธามาหลายแห่งหลายหน ทางจังหวัดลพบุรีเราก็ดูว่ามากันมากมาย ไม่ใช่ลพบุรีเมืองร้างแล้วหรือ มาทางนี้หมดแล้วนี่น่ะ เหอ ลพบุรีเห็นว่ามามากมาย ไม่ใช่เมืองลพบุรีร้างหมดแล้วเหรอ ร้างก็ช่างเถอะ เมืองอุดรจะตั้งเป็นมณฑลขึ้นมาถ้ามีพลเมืองมากนะ หลวงตาจะตั้งขึ้นรับกันทันที เอ้า มาเถอะ มาหมดทั้งลพบุรีก็ได้ ทางนี้จะตั้งมณฑลขึ้นรับ ทางโน้นเมืองร้างมาขึ้นเมืองนี้ เข้าใจไหม มาเสาะแสวงหาบุญหากุศล
วันว่างอย่างนี้อยากให้พี่น้องทั้งหลายได้สนใจในอรรถในธรรม เพื่อนำกุศลผลบุญอันเลิศเลอนี้เข้าสู่หัวใจของเราๆ ในวันว่างเช่นนี้ อย่าให้ว่างเพื่อกิเลสตัณหาไปถลุงเสียหมด ด้วยความเพลิดความเพลินรื่นเริงบันเทิง กระเป๋าฉีกเรื่อยๆ จนกระทั่งจะไม่มีเงินติดในกระเป๋าก็มี เพราะความเพลิดเพลินในวันว่าง พอวันไหนว่างๆ วันนั้นละวันกิเลสมันได้ทีของมัน มันจะไปถลุงเงินในกระเป๋าของเรา เอาจนกระเป๋าฉีกๆ ไม่ฉีกก็ตกเรี่ยราดอยู่ตามสถานที่ใส่บาตร ไม่ทราบว่าตกมากเท่าไร ได้ประกาศหานี่ เราประกาศหาให้ได้แล้วตะกี้นี้ เอาไปให้เก็บให้ดีนะ อย่าไปจ่ายสุรุ่ยสุร่าย ครั้นเวลาตกทีหลังนี้ ถ้ากิเลสมันเอาไปกินไม่ตก มันไม่เหลือนะ ไปเรื่อยๆ เลย
วันไหนว่างให้พากันบำเพ็ญการกุศล ไปวัดไหนๆ ก็ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เสมอในวันว่าง ว่างนี้เพื่อจะบำเพ็ญคุณงามความดีเข้าสู่ใจ เพราะใจนี้เหือดแห้งด้วยคุณงามความดีทั้งหลาย แต่กิเลสนั้นท้องป่องๆ ใครก็หามาบำรุงกิเลสๆ กิเลสเลยท้องป่อง ส่วนธรรมภายในจิตใจแห้งผากๆ เพราะฉะนั้นวันที่ว่างเช่นนี้จึงควรเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมเข้าสู่ใจตนเอง ดังที่ท่านแสดงไว้ตั้งแต่ต้นพุทธกาลมา วันพระคือวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ หรือวัน ๑๔-๑๕ ค่ำ นี้ให้เป็นวันว่างสำหรับชาวพุทธทั้งหลาย จะได้ถือโอกาสไปบำเพ็ญงานการกุศลในวันเช่นนั้น เพราะนอกจากนั้นแล้วมีแต่วันวุ่นทั้งหมด วุ่นทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอนก็มี วุ่นเพื่อปากเพื่อท้อง วุ่นเพื่อกิเลสตัณหาความได้ไม่พอก็มี วุ่นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องของกิเลสเสียมากต่อมาก
เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจึงบัญญัติให้เป็นวันพระ วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ ให้เป็นวันของธรรม วันของธรรมจิตใจเราก็เสาะแสวงหาธรรม คือบำเพ็ญการกุศล ไปให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา วันเช่นนี้เป็นวันสำคัญ ได้ธรรมอันเลิศเลอเข้าสู่ใจ ใจมีความบันเทิงรื่นเริงกับอรรถกับธรรม ไปที่ไหนสบายไปเลย อยู่ก็สบายในหัวใจ ตายไปก็เป็นสุขในเมืองฟ้าแดนสวรรค์ ต่างกันอย่างนั้นนะ
วันนี้ได้พูดต้อนรับพี่น้องทั้งหลายที่มาจากสถานที่ไกลๆ มาดูวัดป่าบ้านตาด เป็นยังไงสภาพของวัดป่าบ้านตาด ก็เป็นป่าเป็นเขาอย่างนี้แหละ บริเวณนี้เป็นบริเวณสำหรับประชาชนที่มาจากที่ไหน ให้อยู่ในบริเวณนี้เท่านั้น นอกจากนี้อยู่ในป่านี้มีแต่พระนะ พระตั้ง ๕๐-๖๐ องค์อยู่ในป่า ท่านบำเพ็ญภาวนา ที่ท่านอยู่เป็นกระต๊อบๆ เล็กๆ จะมีหรูหราบ้างก็บริเวณรอบๆ ศาลา ทำไว้สำหรับประกาศตัวว่า วัดป่าบ้านตาดก็เป็นวัดคน เขาโก้ทำไมเราโก้ไม่ได้ เขาโก้ได้เราต้องโก้ได้ เลยสร้างโก้ๆ ไว้รอบๆ นี้ แต่พอเข้าไปข้างในนี้หมอบเข้าไปนะ เข้าไปจากนี้แล้วต้องได้หมอบเข้าไป ไม่งั้นมันจะไปโดนกระต๊อบพระ เข้าใจไหม มีแต่กระต๊อบๆ
แต่ก่อนมุงด้วยหญ้า เวลาหน้าแล้งไฟป่าไหม้มาๆ ลมพัดเข้ามามาไหม้กระต๊อบพระ แต่ก่อนมุงหญ้า เลยต้องเปลี่ยนใหม่ ทีนี้หาสังกะสี หากระเบื้องมามุง แต่สังกะสีเป็นสังกะสีเศษเหลือตามนี้เอาไปมุง กระเบื้องก็เหมือนกัน ไม่ได้หาสวยๆ งามๆ แหละ เพราะวัดป่าบ้านตาดมีวาสนาน้อย ต้องได้ตามสภาพ เวลาเข้าไปในป่าจะเห็นแต่กระต๊อบพระเต็มอยู่ในนั้น แล้วก็ให้ดูอีกทางจงกรมของพระ เดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา สถานที่ภาวนาของพระนี้มีประจำกระต๊อบๆ ตลอดเวลา นั้นคือที่ทำงานของพระเพื่อชำระกิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ให้เบาบางและสิ้นสุดไปไม่ให้มีเหลือ สิ่งเหล่านี้ไม่กวนใจ ใจก็มีความผาสุกร่มเย็น ด้วยอำนาจจิตตภาวนาชำระสะสางสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่กล่าวมาให้หมดไปจากจิตใจ ใจครองอรรถครองธรรม ใจมีความสง่างาม สามารถขึ้นถึงขั้น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ได้
พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ หรือเป็นสรณะของพี่น้องชาวไทย ก่อนที่ท่านจะได้เป็นสรณะของพี่น้องทั้งหลาย ท่านเป็นสรณะของท่านโดยสมบูรณ์แล้วจากการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เพราะฉะนั้นสถานที่นั่นจึงมีแต่สถานที่บำเพ็ญเพื่อเป็นสรณะของตนผู้ภาวนา เป็นกระต๊อบๆ มีอยู่ประมาณ ห้าหกสิบ พระไม่ใช่น้อยๆ นะ ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งตรงนั้น สงวนไว้สำหรับพระตลอดมา นี่บริเวณที่ป่าเข้าไปนี้มีแต่พระ สถานที่อยู่ของพระเต็มไปหมด ออกจากนี้ไปก็เพื่อประชาชนเข้ามา คือไม่ให้เข้าไปจุ้นจ้านกัน ให้พระท่านทำงานเต็มหน้าที่ของพระ งานของพระคือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มีสติมีปัญญาสำรวมระวังตนเสมอ ไม่ให้สิ่งสกปรกโสมมคือกิเลสเข้าไปแปดเปื้อน ให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก เพราะกิเลสมันทำคนให้ลำบาก ท่านพยายามปัดเป่าด้วยสติปัญญา ด้วยการเดินจงกรม ด้วยนั่งสมาธิภาวนาอย่างนั้นเรื่อยมา
สำหรับวัดนี้ไม่ให้มีการก่อสร้างอะไรทั้งนั้น ให้สร้างตั้งแต่ศีลแต่ธรรมแต่ภาวนา สร้างศีล สร้างสมาธิ สร้างปัญญา สร้างวิมุตติหลุดพ้นตามทางของศาสดาที่พาดำเนินมาเรียบร้อยแล้ว พระก็อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายเดินตาม เพราะฉะนั้นจึงต้องอยู่ในสถานที่อย่างนั้น นี่ท่านทั้งหลายได้มาดูวัดป่าบ้านตาด ก็ขอให้ดูให้ทั่วถึง ข้างในเราไม่ให้เข้าไปดู แล้วเวลาออกมานี้เป็นยังไงดูพระดูเณรที่ออกมาจากป่า ท่านมาขบมาฉันที่นี่ดูท่านเป็นยังไง หรือไม่ได้ดูเลย ครั้นมาแล้วก็เถ่อนู้นเถ่อนี้ หาแต่สิ่งที่เพลิดเพลินนั่นเหรอ ไม่หาสิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อประดับจิตใจเราให้สง่างาม แล้วถือเอาไปเป็นคติปฏิบัติตามท่านบ้างเหรอ ขอให้คิดนะอันนี้ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
(มีปัญหาทางอินเตอร์เน็ตครับ) เอ้าว่ามาปัญหาอะไร
โยม เป็นปัญหาจากประเทศสหรัฐอเมริกาครับ พระท่านส่งมา ผู้อ่านก็อ่านตามที่เขาถาม ถ้ามีอะไรผิดพลาดบกพร่องขอกราบขมาอภัยหลวงตาไว้ล่วงหน้าครับ
ข้อที่ ๑ ผมดูทางทีวี สงสัยว่าท่านหลวงตาปฏิบัติธรรมอย่างไร จึงยังมีความโกรธอยู่
หลวงตา ปฏิบัติธรรมที่พวกขี้โกรธทั้งหลายให้ได้ดูบ้างว่า กิริยาท่าทางนี้ไม่ใช่กิริยาแห่งความโกรธ ผู้ดูต่างหากมันตัวโกรธ ตัวหมายเรื่องกิเลส เพราะกิเลสเต็มหัวใจมัน ธรรมะที่ออกนี้ไม่มีกิเลส พูดตรงๆ ว่าหลวงตาไม่มีกิเลสในหัวใจ เปิดโล่งหมดแล้วมาได้เป็นเวลา ๕๔ ปีนี้แล้ว หลวงตาเปิดโล่งได้เลย โลกเขาเอาออกโชว์ได้ ทำไมธรรมจึงออกโชว์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าปฏิบัติมาออกโชว์แก่โลกทั้งสามนี้ได้ตลอดมา นี้คือธรรมที่เลิศเลอที่ท่านปฏิบัติได้ นี้เราดำเนินตามธรรมที่เลิศเลอ ปฏิบัติได้รู้ได้เห็นมาจนกระทั่งถึงธรรมที่เลิศเลอเต็มหัวใจ แม้จะแสดงกิริยาอะไรออกมา เป็นพลังของธรรมทั้งนั้น ไม่ได้เป็นพลังของกิเลส นอกจากพวกคลังกิเลสมันเห็นอะไรก็ตีเข้าไปเป็นกิเลสเสียทั้งหมด เอะอะตดแตก นี้ก็ว่าตดนี้มันเหม็นนะ ดุในเจ้าของ จะว่าอย่างนั้นไปนะ ไม่ดุเจ้าของ มันดุแต่กิเลสมันเฉียดจมูกคนไป เข้าใจไหม ใครหลบไม่ดีจมูกขาด เข้าใจไหม ตะกี้นี้ถามว่ายังไง
โยม ถามว่า เขาดูทางทีวี สงสัยว่าท่านหลวงตาปฏิบัติธรรมะอย่างไร จึงยังมีความโกรธอยู่
หลวงตา เอา เราอยากถามย้อนหลังอีก ดูแบบไหนถึงดูว่าเป็นคนโกรธหรือไม่โกรธ หลวงตาโกรธหรือไม่โกรธ ให้ตอบมาวันหลังนะ ถ้าตอบวันนี้ไม่ทัน นี่หลวงตาได้เปิดแล้วว่า กิริยาท่าทางนี้เป็นกิริยาของธรรม พลังของธรรม ไม่ใช่พลังของกิเลส กิริยาของกิเลส เพราะเครื่องมือของกิเลสได้แก่ธาตุขันธ์ของเรา กิริยาที่แสดงเวลานี้เป็นเครื่องมือของธรรม ถ้ากิเลสมีภายในใจมากน้อย แสดงความรุนแรงออกมา จะเป็นฟืนเป็นไฟทั้งหมด ถ้าภายในจิตใจหมดกิเลสแล้ว มีแต่ธรรมบรรจุภายในใจ ธรรมแสดงออกมาก็มีลักษณะท่าทางเหมือนกัน แต่เป็นธรรมล้วนๆ นี่หลวงตาแสดงเวลานี้แสดงออกเป็นธรรมล้วนๆ หลวงตาไม่มีกิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายในหัวใจเลย ได้เป็นเวลา ๕๔ ปีมานี้ เอาไปฟังไปพิจารณา ถามมาอีกจะตอบอีก ถามมาทางสหรัฐ เมืองไทยก็จะตอบได้เป็นไรวะ
โยม คนเดียวกันนี้ถามต่อไปอีกครับว่า เจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้นาม รูป มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์อยู่เนืองๆ จะบรรเทากิเลสได้มาก ทำลายความเป็นตัวตนให้ลดลง สมาธิระงับกิเลสได้แค่ชั่วคราว กิเลสจะลดลงต่อเมื่อมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์เสมอๆ ท่านหลวงตามีความเห็นอย่างไรครับ
หลวงตา แล้วคุณมีปรมัตถธรรมแล้วยังที่ละกิเลสนั่น หรือมีแต่ถามหลวงตาว้อๆ เท่านั้นเหรอ เราไม่อยากตอบ ถามแบบลมปากว้อๆ กิเลสไม่ได้ขาดสักนิดหนึ่ง เข้าใจเหรอ ก็มีเท่านั้นแหละ
โยม คนที่สองครับ อันนี้ผมกราบขอขมาหลวงตาล่วงหน้าครับ
หลวงตา นี่ก็ให้อภัยล่วงหน้าแล้ว ฉะนั้นเราจะฟัดกันจนปากแตกก็ไม่เป็นไร เพราะเราให้อภัยกันแล้ว เอ้าว่าไป
โยม คนที่สองเขาขอให้หลวงตาและลูกศิษย์กรุณาเงียบสงบ
หลวงตา เราเงียบสงบแล้วเดี๋ยวนี้ ให้ว่ามา
โยม อย่าให้มีปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราวพระสังฆราชในขณะนี้
หลวงตา ถ้าต้องการให้สงบ ก็อย่าถามมา อย่าพูดมาแบบนี้ ท่านก็สงบเอง อันนี้มาแหย่ท่านท่านก็ต่อยเอาบ้าง เพราะไม่ใช่พระตาย เข้าใจไหม แหย่มาอีกต่อยอีก เอ้าว่ามา
โยม คนที่สามครับ เกล้ากระผมพยายามมีสติดูจิตในชีวิตประจำวันว่ามันปรุงแต่งไปในทางใด มีทั้งกุศลและอกุศลหลากหลายอย่างที่เข้ามาในแต่ละวัน เมื่อเกล้ากระผมใส่ใจดูจิตที่เป็นกลาง หรือบางทีก็บริกรรม พุทโธ เพื่อให้จิตเด่นขึ้นมาจากปรกติ ก็จะทำให้เห็นว่า กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปตามธรรมดา จึงอยากกราบเรียนถามองค์หลวงตาว่า ขณะที่จิตรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลาง เป็นทางปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้ตลอดสายหรือไม่ ขอกราบขอบพระคุณหลวงตา และขอให้องค์หลวงตาทรงอยู่เป็นเวลา ๑๒๐ ปีหรือหนึ่งกัป เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ศิษยานุศิษย์ตลอดไป
หลวงตา ได้ ถ้ามีสติตลอดไปก็จะได้ตลอดไป ถ้าไม่มีสติตลอดไปก็เป็นไปตามความไม่มีสติ ไม่ค่อยได้ผลและไม่ได้ผล ถ้ามีสตินี้แน่วเข้าไปเรื่อย ก็ได้ผลไปเรื่อยๆ มีเท่านั้น การถามนี่เราก็เล็งดูว่าควรตอบไม่ควรตอบ ถามบางทีสุ่มสี่สุ่มห้า ตอบสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็ไม่เหมาะ เพราะฉะนั้นจึงได้เลือกตอบ ไม่เลือกตอบไม่ได้นะ
โยม ที่เขาขอให้หลวงตามีอายุหนึ่งกัปให้เขานะครับ
หลวงตา เออ เราต้องไปปรึกษาลมหายใจเราเสียก่อน ถ้าลมหายใจตัดสินมายังไง เราจะยอมรับตรงนั้นเราจะไม่ฝืน เอาละพอใจนะลูกศิษย์ หลวงตาจะอยู่ตลอดถ้าลมหายใจยังอยู่ เลยกัปไปก็ได้นะ (สาธุ) เอ้า ว่าไป
คนที่ ๔ ถาม เวลาผมนั่งวิปัสสนา ผมจะยกเอาภาพผู้หญิงที่ผมพบเจอ แล้วก็เกิดความพอใจมาพิจารณากายคตานุสติกรรมฐาน พอเจอผู้หญิงสวยแล้วใจหายวาบเสมอ
หลวงตา โอ กรรมฐานใหญ่ทำไมเป็นอย่างนั้น มันกำลังจะเป็นบ้าแล้วกรรมฐานใหญ่นี่ เอ้า ว่าไป เห็นผู้หญิงไม่ได้ ผู้หญิงเต็มโลกทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ
โยม ฟังต่อไปนะครับผม พอเจอผู้หญิงสวยแล้วใจหายวาบเสมอ (กรรมฐานแตกเข้าป่าเรียบ เอ้า ว่าไป) ตามควบคุมจิตไม่ค่อยทัน ขณะกำลังพิจารณาก็เกิดสว่างไปทั่วแล้วก็คลาย ทีแรกผมก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่พอหลังๆ ผมเข้าใจว่าจิตมันเริ่มสงบ เป็นอย่างนี้บ่อยครับ ขอโอกาสถามหลวงตาว่า ผมพิจารณาอย่างนี้แล้ว ทำไมความพอใจในความสวยความน่ารักของผมยังมีอยู่อีก ในทุกครั้งที่ได้เห็นก็ว่าได้เลยครับ
หลวงตา นี่เพราะเราพอใจดูผู้หญิงเรื่อย ต่อไปจะเป็นบ้าวิ่งตามผู้หญิงไม่รู้ตัวนะจะว่าไม่บอก เข้าใจเหรอ เห็นเขาครั้งเดียวก็ใจหายวาบ ถ้าเห็นเขาซ้ำเข้าอีกตายเลยเข้าใจไหม ถ้าไม่อยากตายอย่าดูอีก เข้าใจไหม เอาเท่านั้นแหละ
โยม เขาขอเมตตามาว่า ผมทุกข์ใจกับจิตของผมมากพอสมควร ขอความเมตตาจากหลวงตาช่วยแนะทางสว่างให้ด้วยครับ
หลวงตา ถ้าไม่อยากตายอย่าไปดูอีก ถ้าอยากตายให้ยกมาทั้งโคตรมาดูให้มันฉิบหายหมดทั้งโคตร เข้าใจไหม ใจจะหายวาบตายไปทั้งโคตรนั่นแหละ ถ้ามันยังฝืนดูอยู่อีก ก็มีเท่านั้นแหละตอบ มีอะไรอีก
โยมในครัวถามปัญหาธรรมะ
ถาม มีนิมิตเป็นโครงกระดูกเจ้าค่ะ คราวนี้โครงกระดูกแต่งตัวเป็นผู้ชาย แล้วโครงกระดูกนั้นกำลังกอดรัดผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งค่ะ แล้วหนูเกิดความกลัวเลยขยับท่านั่งสมาธิ พอขยับอีกคราวนี้โครงกระดูกมากอดหนูค่ะ หนูก็เลยกลัวก็เลยทำอะไรไม่ถูกเจ้าค่ะ กลัวมากเพราะเป็นโครงกระดูก ปกติก็ใช้โครงกระดูกเพื่อจะทำให้จิตสงบเฉยๆ ไม่ได้พิจารณาอะไรมากนัก หรือไม่ก็ให้โครงกระดูกทำลายตัวเขาเองกลายเป็นกองขี้เถ้า แต่คราวนี้โครงกระดูกมากอดหนูก็เลยกลัว จิตก็เลยถอน พอถอนเสร็จเราก็นั่งกอดเข่าลืมตากลัวอยู่ แต่ว่ามีสติ ลมหายใจชัด แต่คราวนี้ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับโครงกระดูก
หลวงตา ให้เข้าใจนะ ที่เราภาวนานี้ โครงกระดูก เช่นผู้หญิงผู้ชายมากอดกัน นี้มีแต่กลมายาของกิเลสกับธรรม ที่ว่าเป็นกลมายาของกิเลสที่มากอดกันความสวยงามเป็นเรื่องของกิเลส ทำให้แตกกระจัดกระจายไปเป็นโครงกระดูกนั้นเป็นเรื่องของธรรม มันแก้กันอยู่ในตัวของการภาวนาของเรา เข้าใจไหมล่ะ
โยมถาม แล้วคราวนี้จิตของหนูก็ถามขึ้นมาเองว่า หนูกลัวอะไร ข้างในก็ตอบขึ้นมาเองอีกว่า กลัวเพราะว่าหนูคิดว่ากระดูกนั้นเป็นเขาและเป็นเรา คือยังมีเขากับเราอยู่ค่ะ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะเชื่อได้ไหม เป็นกิเลสหรือเป็นธรรม
หลวงตา เชื่อได้ๆ อันนี้ เขากับเราก็อยู่อันนี้ แล้วให้พิจารณาแยกอันนี้ไปเรื่องเขากับเราก็จะแยกกันเอง เข้าใจไหม จะค่อยหมดไปเอง เราไม่ต้องตกใจไม่ต้องกลัว เรื่องการภาวนา กิเลสกับธรรมจะออกภายในใจ เพราะกิเลสอยู่ในใจธรรมอยู่ในใจ เวลากิเลสออกมาเป็นอย่างนั้น เวลาธรรมออกมาแก้กันเป็นอย่างนี้ เช่นความสวยความงามหรือกอดกันนี้เป็นเรื่องของกิเลส เข้าใจไหม เรื่องมันเป็นกระดูกอะไรๆ นี้เป็นธรรม เข้าใจหรือ ให้เราพิจารณาแยกอย่างนี้ ครั้นเวลาเสร็จสิ้นลงไปแล้ว สุดท้ายก็เรียกว่า สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมด สิ่งเหล่านี้ไม่มี ในหัวใจของผู้สิ้นกิเลสไม่มีเลย เข้าใจไหม ให้พากันเข้าใจอย่างนั้นก็แล้วกัน เวลานี้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างไรพิจารณาตามแยกให้รู้เรื่องของมัน เข้าใจเหรอ นี้เป็นพระธรรมกับเรื่องของกิเลสมาสอนใจของเราที่มันแสนโง่ ให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวด้วยการภาวนาของเรา เข้าใจ มีเท่านั้นแหละนะ
โยม ยังมีอีกเจ้าค่ะ หนูไม่เคยจิตสลดปลงสังเวชเพราะโครงกระดูกเลย แต่ว่าคราวนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดนิมิตที่ว่า ดวงตามืดบอด คราวนี้ก็เลยเกิดสลดสังเวชร้องไห้ใหญ่เลย เพราะรู้สึกว่าดวงตามันสำคัญมาก พอหลังจากนิมิตอันนี้เสร็จก็จะมีนิมิตเป็นโครงกระดูก แต่ว่าโครงกระดูกนี้มีเส้นเลือดเส้นเอ็นแล้วก็มีเนื้อแดงพันอยู่ แล้วก็มีลูกนัยน์ตาอยู่ด้วย แต่พอหลังจากที่รู้ว่าจะต้องสูญเสียดวงตาแล้ว ก็มาเห็นนิมิตโครงกระดูกที่ประกอบไปด้วยเส้นเลือดเส้นเอ็นนี้ ก็ทำให้ปลงสลดสังเวชมากขึ้นเจ้าค่ะ
หลวงตา เรื่องตาเราบอด เราไปเสียใจตาเราบอด ตาใจของเรามาเห็น เมื่อตาเราบอดเป็นเครื่องสอนเรา นั้นตาใจของเราสว่างแล้วเข้าใจไหมล่ะ ตาใจนั่นแหละมาเห็นเรื่องตาเราบอด เราอย่าไปเสียใจกับมัน มันบอดก็ช่างมัน ขอให้ใจมันสว่างขึ้นมา นี่สว่างแล้วนะใจมันเห็นตาเราบอด เรายังไปเสียดายมันเป็นกิเลส อย่าไปเสียดายมันตาบอดเข้าใจเหรอ เอาให้จิตใจของเราสว่าง นี้เราสว่างแล้วเราเห็นตาเราบอด คนใจบอดมีมากตาบอดเช่นนั้นเสียใจ ใจบอดไม่เห็นเสียใจกันบ้างเลย ทั่วโลกนี้มีแต่คนใจบอดทั้งนั้นแหละเข้าใจไหม เราพยายามพิจารณาอย่างนี้ให้มันเห็นใจสว่างขึ้นมา พอใจสว่างแล้วจ้าไปหมดนะใจสว่าง ตานี้สว่างเห็นแต่เพียงแค่พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ตกลงไปปั๊บมืดทันที นี่ตาสว่าง แต่ใจสว่างนี้ อาโลโก อุทปาทิ สว่างโร่ไม่ว่ากลางวันกลางคืนสว่างตลอดเวลา เข้าใจเหรอ นั่นละ ใจสว่างเราเริ่มขึ้นแล้วนะ เริ่มขึ้นกับตาของเราบอด ตาของเราบอดภายนอกใจของเราสว่างภายใน สุดท้ายตาของเราก็ดีตามเดิมใจของเราก็สว่างไปตามเดิม เข้าใจไหมล่ะ เอาละมีอะไรอีก
โยม มีอีกข้อหนึ่งเจ้าค่ะ ข้อสุดท้าย คือเวลาที่จิตภาวนาแล้วบริกรรมเองว่า ธัมโม ค่ะมันแผ่วๆ เบาๆ แต่ว่าเป็นแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่ว่าพอสักพักหนึ่งในระหว่างที่จิตบริกรรม ธัมโม เองนี่ มีสังขารแต่เป็นสังขารฝ่ายกิเลสเข้ามาแทรก แล้วใช้คำไม่สุภาพแต่ว่าเป็นเสียงอันดัง เลยทำให้หนูตกใจกลัวเจ้าค่ะ
หลวงตา เสียงดังที่ไหน
โยม เสียงดังแต่เป็นของกิเลสที่แบบเป็นคำไม่สุภาพ
หลวงตา เสียงกิเลสมันเป็นยังไง มันว่ามาซิ มันเกิดมันยังเกิดขึ้นได้ เราว่ามันบ้างว่าไม่ได้เหรอ อายอะไรพูดธรรมะไม่อาย
โยม คือจิตเขากำลังบริกรรมเองว่า ธัมโม เจ้าค่ะ แล้วคราวนี้หนูต้อง
หลวงตา ธัมโม นั่น คือหมายถึงว่าความหยาบอันหนึ่งมาเหยียบธรรมเข้าไป ความหมายคิดว่าอย่างนั้นนะนี่ ที่ว่ามันหยาบเราไม่อยากพูดเรื่องของกิเลสลากคอมันออกมาพูดซิ มันเป็นยังไงมันหยาบยังไงว่ามันออกมา นั่น มันตามติดกันอย่างนั้นซิธรรมกับกิเลส ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสหยาบแล้วอายเสีย ไม่อยากพูดอะไร ๆ นั่น ใช้ไม่ได้ เข้าใจ มันเป็นยังไงพิจารณาตามมัน ถึงไม่พูดให้ใครฟัง ก็ให้พูดกับกิเลสซัดกับกิเลสอยู่ภายในนะ เข้าใจแล้วเหรอ หมดแล้วนะ
โยม หมดแล้วเจ้าค่ะ
หลวงตา ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องให้พรละ ได้พรไปหมดแล้วนี่นะ โอ้ เหนื่อยแล้วนะเรา ไม่ใช่เล่น ๆ นะ ให้พร ๆ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |