อย่าพากันลงนรก
วันที่ 10 มกราคม 2547 เวลา 14:00 น. ความยาว 67.04 นาที
สถานที่ : วัดป่าสัมมานุสรณ์ ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์ ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย

เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์

อัครราชกุมารี ทรงเสด็จเป็นประธานในงานฉลองเจดีย์ บรรจุอัฐิธาตุ อัฐบริขาร

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ (บ่าย)

อย่าพากันลงนรก

 

         (ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทราบฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า นายสำเริง เชื้อชวลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ในนามข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ตลอดจนผู้มาเฝ้าฝ่าพระบาทอยู่ ณ ที่นี้ ต่างรู้สึกซาบซึ้ง และสำนึกในพระกรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ที่ฝ่าพระบาทเสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานในการบรรจุอัฐิธาตุ ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมแผ่นป้ายเจดีย์พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม และทอดผ้าป่าช่วยชาติตามโครงการผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตามหาบัว ณ เจดีย์อนุสรณ์สถานหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ในวันนี้

         ในโอกาสนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานกราบทูลความเป็นมาในการก่อสร้างเจดีย์อนุสรณ์สถานหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๑ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น ๑๐ ล้านบาท  โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคุณเฉลียว อยู่วิทยา บัดนี้ได้เวลาอันเป็นอุดมมงคลฤกษ์แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกราบทูลเชิญฝ่าพระบาท เสด็จทรงบรรจุอัฐิธาตุพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ณ เจดีย์อนุสรณ์สถาน ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม)

         (หลวงตาให้ศีล) วันนี้เป็นวันมหากุศล เป็นวันมหามงคลอันยิ่งใหญ่แก่พี่น้องชาวจังหวัดเลย และจังหวัดต่างๆ เรียกว่าทั่วประเทศไทย ที่อุตส่าห์พยายามสละเวล่ำเวลา หน้าที่การงาน มาในงานมหากุศลครั้งนี้ โดยมีทูลกระหม่อม เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับพระสวามี เสด็จมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นสักขีพยานแห่งความแน่นหนามั่นคง และชุ่มเย็นแก่พี่น้องชาวไทยทั้งหลายของเราที่รวมกันอยู่เวลานี้ ที่ต่างท่านต่างได้มาบริจาคตามกำลังศรัทธา พร้อมทั้งการสดับตรับฟังธรรมเทศนา ซึ่งนานๆ จะได้ยินเสียทีหนึ่ง เรื่องเสียงอรรถเสียงธรรมไม่เหมือนเสียงโลก เสียงกิเลสตัณหา ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน หาความสงบร่มเย็นแก่จิตใจบ้าง พอพักผ่อนนอนหลับนิดหน่อยไม่ค่อยมี

         แต่วันนี้เป็นโอกาสอำนวย วาสนาสูงส่งของพี่น้องทั้งหลายที่ได้มาพร้อมหน้ากัน ได้บริจาคมหาทานการกุศล เพื่อเป็นมหามงคลแก่ชาติและพระศาสนาของเรา โดยอาศัยการบรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่ชอบในวันนี้ ซึ่งอาจารย์หลวงปู่ชอบนี้เป็นพระที่มีคุณธรรมสูงส่ง การประพฤติปฏิบัติองค์ท่านเป็นความราบรื่นดีงาม เป็นความสงบร่มเย็น เย็นตาเย็นใจ แก่ผู้ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังตลอดมา เวลาท่านมรณภาพลงไปแล้วก็แสดงคุณลักษณะแห่งความดี และความดีเลิศให้พี่น้องทั้งหลายได้ประจักษ์เป็นพยานเรื่องพระพุทธศาสนา ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานสุดยอดแห่งธรรม คือท่านมรณภาพจากไปแล้ว อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุเป็นลำดับลำดามาแล้วเวลานี้

         การที่อัฐิของคนทั่วไปจะกลายมาเป็นพระธาตุนั้นเป็นไปไม่ได้ ตามหลักตำราท่านยืนยันรับรองไว้แล้วว่า อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้ ต้องเป็นอัฐิของพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสแล้วเท่านั้น นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันให้พี่น้องชาวพุทธทั่วหน้ากัน ได้ทราบความแปลกประหลาดอัศจรรย์แห่งธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงแก่สัตว์โลกด้วยความบริสุทธิ์พุทโธ ทรงไว้ซึ่งธรรมธาตุในพระทัยของพระองค์ แล้วนำธรรมที่ออกจากพระธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ผุดผ่องนั้น มาประกาศธรรมสอนโลกเรื่อยมา หลังจากตรัสรู้แล้วมาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นเวลาสองพันห้าร้อยกว่าปี

         คุณธรรมทั้งหลายที่ทรงนำมาแสดงแก่โลกนั้น เป็นธรรมที่คงเส้นคงวาหนาแน่น ที่จะให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติตลอดมา ไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นธรรมเรียกว่า อกาลิโก เสมอต้นเสมอปลาย ผู้ทำดีมากน้อยย่อมได้ผลมาเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่ประโยคแรกแห่งการบำเพ็ญความดีทั้งหลายจนกระทั่งปัจจุบันและอนาคต เมื่อยังมีผู้ปฏิบัติดีอยู่ บุญกุศล มรรค ผล นิพพาน จะแสดงแก่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตลอดมา ดังที่หลวงปู่ชอบท่านปฏิบัติองค์ท่าน มีแต่เป็นที่ชมเชยของมนุษย์มนา เทวดาทั้งหลายตลอดมา เพราะท่านรู้สึกจะเชี่ยวชาญทางด้านเทวบุตรเทวดามาก

         ในเวลาท่านมีชีวิตอยู่ เคยได้เล่าให้ผู้เทศน์ฟังโดยเฉพาะในเวลามีโอกาส เกี่ยวกับเรื่องเทวบุตรเทวดา และสัตว์ร้ายต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับท่าน เช่น เสือเป็นต้น ขึ้นมาหาท่านในเวลาเดินจงกรมอยู่ เดินขึ้นมาหาท่านที่ทางจงกรมเลย คือขึ้นมาจากตีนเขา กระหึ่มๆ มาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงที่ท่านเดินจงกรม แล้วก็มานั่งดูท่านอยู่ ท่านก็เดินจงกรมกลับไปกลับมา ตาเขาก็จ้องมองท่าน สำหรับท่านก็เดินจงกรมไปมา  แล้วทักเขาว่า แกขึ้นมาอะไร แกเคยเดินจงกรมไหมแกเป็นสัตว์ ตั้งแต่มนุษย์ยังไม่เคยเห็นเดินจงกรมนั่งภาวนาเลย นี้แกทำไมจึงด้นดั้นขึ้นมาหาเรา ซึ่งกำลังเดินจงกรม เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมที่ล้นโลก เข้ามาสู่จิตใจ แต่แกนั้นเป็นสัตว์ แล้วทำไมถึงบึกบึนขึ้นมาหาเรา แกภาวนาเป็นไหม ท่านถามเขา เขาก็นั่งมองท่านอยู่อย่างนั้น

         นี่ละเราเดินจงกรมทำอย่างนี้ ประเพณีของมนุษย์ผู้มีศีลมีธรรมย่อมรู้จักบุญจักบาป นรก สวรรค์ นิพพาน จึงต้องได้มาปฏิบัติตามแนวทางของศาสดาองค์เอก ซึ่งเป็นผู้กระจ่างแจ้งแล้วทั้งบาป ทั้งบุญ ทั้งนรก เปรต ผี ประเภทต่างๆ จนกระทั่งสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน แล้วจึงนำธรรมเหล่านั้นมาสั่งสอนสัตว์โลกทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วให้รู้ทั่วถึงกัน สิ่งใดที่ควรละก็ให้ละ สิ่งใดที่ควรบำเพ็ญก็ให้บำเพ็ญ เช่น ความดีให้บำเพ็ญ ความชั่วให้ลดละ ธรรมท่านสอนมาอย่างนี้ เราก็ปฏิบัติตามธรรม เวลานี้กำลังเดินจงกรม บำเพ็ญตนเพื่อเข้าสู่มรรคสู่ผล แล้วเธอเคยรู้ไหมว่ามรรค ผล นิพพาน เป็นอย่างไร นอกจากหาอยู่หากินไปวันๆ เท่านั้น

         เขาก็นั่งจ้องมองท่านอยู่ แล้วอีกสักพักหนึ่งท่านก็บอกว่า ให้ลงไปเสีย นี่เราจะทำความเพียร เพื่อบุญเพื่อกุศลอันเป็นมงคลสุดยอดแก่หัวใจเรา เธออยู่ในสภาพแห่งความเป็นสัตว์ ก็ให้ก้าวเดินรักษาชีวิตไปตามสภาพแห่งความเป็นสัตว์เถิด ไปลงไป ท่านว่างั้นนะ เขาก็ยังไม่ลงไป ท่านก็เลยเดินไปหาเขา แล้วท่านยกจีวรขึ้น กระพือเป็นลักษณะเตือนเขาให้ไป ท่านยกจีวรกระพือขึ้น ไปลงไปเสีย พอว่าอย่างงั้น เขาร้องโก้กทีเดียวนะ นั่นฟังซิฟังเสียงภาษาสัตว์ เสือด้วยเข้าไปหาท่าน ฟังเสียงเขาร้องโก้กทีเดียว เขาก็โดดปึ๊งเดียว แต่ไม่ได้โดดไกลนะ โดดประมาณสักหนึ่งวา แล้วเขาก็เดินดุ่มๆ ลงไปเลย ท่านก็เดินจงกรมต่อ

         นี้ยกมาพูดเพียงเอกเทศเท่านั้น สำหรับท่านผู้บำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลาย  เฉพาะองค์ท่านหลวงปู่ชอบนี้ รู้สึกจะเด่นมาก เกี่ยวกับเรื่องสัตว์เรื่องเสือ มาบ่อย ๆ มาหาท่าน บางทีก็เข้ามาใกล้ๆ ตัวของท่านเวลาค่ำคืน ท่านก็คุยกับเขา ฟังซิท่านทั้งหลาย เชื่อได้ไหม นี่ละท่านผู้ที่ปฏิบัติธรรม ทรงอรรถทรงธรรม เป็นผู้รู้ผู้เห็นเอง แล้วนำมาให้พวกเราทั้งหลายซึ่งไม่เคยรู้เคยเห็นเลยนั้น เราจะยอมรับเชื่อได้หรือไม่ได้ เอาไปพินิจพิจารณาว่า ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นธรรมที่เลิศเลอ ยืนยันความจริงทั้งหลายได้ ตั้งแต่พื้น ๆ แห่งความดี จนถึงวิมุตติพระนิพพาน

         แต่เมื่อได้ยินเสียงอย่างนี้ พวกเราจะยอมรับฟังได้ไหม เสือมันยังขึ้นมาหาท่าน คุยกับเสือ เขาจะรู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็ตาม ท่านก็พูดตามเรื่องของท่านเป็นพระ เป็นคน เขาเป็นสัตว์เป็นเสือ ไม่รู้กี่ครั้งท่านเล่าให้ฟัง รู้สึกว่าท่านเด่นมากเกี่ยวกับเรื่องเสือ และงูด้วย แต่งูนี้ไม่ค่อยสำคัญยิ่งกว่าเสือ เสือนี้บ่อยที่สุดท่านว่า บางทีกำลังเดินลงไปบิณฑบาต เขาก็เดินผ่านมา พอเดินผ่านมา แล้วท่านก็เดินลงไป นี่จะขึ้นมาอะไร เรากำลังหิวข้าว ไปขอบิณฑบาตชาวบ้านเขามาพอประทังชีวิต ข้างบนนั้นไม่มีอาหารของสัตว์ของเสืออย่างเธอนี้ ให้ลงเสีย ท่านก็ยกผ้าจีวรกระพือใส่เขา เขาก็โก้กเดียว เขาก็วิ่งลงภูเขาไปสบาย เดินดุ่ม ๆ ไปเลย

         นี่คือประวัติของหลวงปู่ชอบ ที่ท่านชอบเป็นนิสัยดั้งเดิมมาตั้งแต่ออกปฏิบัติ คือบวชแล้วท่านตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ได้พูดอรรถพูดธรรมต่อหน้าต่อตากันกับหลวงตานี้หลายครั้งหลายหน เพราะมีความสนิทสนมกันมาก มาตั้งแต่สมัยอยู่หนองผือ เวลาท่านไปกราบเยี่ยมหลวงปู่มั่น ไปพบกันคุยกันท่านพักเวลานาน ๆ จึงได้สนิทสนมตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งท่านมรณภาพ นี่เป็นอย่างไรบ้างพี่น้องชาวพุทธเรา พอฟังได้ไหม เสียงอรรถเสียงธรรมที่แสดงความสัตย์ความจริงมาให้เราทั้งหลายฟัง จากพระผู้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ใช่ท่านผู้จะประพฤติตัวมาเป็นคนโกหกหลอกลวงตัวเองแล้วก็หลอกลวงคนอื่น ดังที่มีอยู่ทั่วๆ ไป

ท่านเป็นผู้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติต่อศีลต่อธรรมตลอดมา เวลาท่านมรณภาพจากไปแล้ว อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุขึ้นมาให้เห็นประจักษ์ ตามตำราที่ท่านแสดงไว้เป็นข้อยืนยันว่า อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ต้องเป็นอัฐิของพระอรหันต์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่เป็น นี่คือความยืนยันจากพระบรมศาสดาที่ประทานไว้ ได้อ่านได้เห็น ได้ยินได้ฟัง แล้วบรรดาท่านที่เป็นสักขีพยานต่อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือธรรมอันเลิศเลอที่ทรงแสดงออกมาจากพระทัยอันบริสุทธิ์นั้นมีมากมาย

ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนมากจะเป็นสายหลวงปู่มั่น จะแยกไปเป็นนิกายใดก็ตาม เป็นธรรมยุต มหานิกาย ไม่ได้นิยม นิยมที่ความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้นี้แลเป็นผู้จะทรงมรรคทรงผล ทรงสวรรค์ นิพพานได้ด้วยกันทุกคน แม้แต่ฆราวาสซึ่งไม่เป็นนิกายใด ก็สามารถรับผลจากการปฏิบัติของตนได้ นี่ธรรมยุตและมหานิกาย นี้เป็นชื่ออันหนึ่งเพียงเท่านั้น แม้นกแม้กาเขาก็มีชื่อ พระเราก็มีชื่อว่าธรรมยุต มหานิกาย แต่ผู้ที่จะยืนยันรับรองเอามรรคผลนิพพานนั้น มหานิกายหรือธรรมยุตปฏิบัติดีได้ด้วยกัน มีสิทธิที่จะได้รับผล เป็นที่พึงพอใจด้วยกัน

จึงมีมากสำหรับลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ทั้งฝ่ายมหานิกายฝ่ายธรรมยุตที่เป็นชื่อเป็นนามเฉยๆ  สำหรับองค์ท่านเองที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความเป็นธรรม ร่วมกันอยู่แล้ว ท่านไม่ได้ไปถือว่า นั้นเป็นธรรมยุต นี้เป็นมหานิกาย ท่านจะถือข้อปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเครื่องวัดตวงและอยู่กันสนิทสนมได้ด้วยศีลด้วยธรรม จากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของตน

เวลานี้อัฐิของพระส่วนมาก คือสายหลวงปู่มั่น ทั้งฝ่ายมหานิกายทั้งฝ่ายธรรมยุต เวลาท่านล่วงลับไปแล้ว อัฐิธาตุของท่านนั้น กลายเป็นพระธาตุมาเป็นจำนวนมากมาย เท่าที่เราพอทราบแล้วตั้งร่วม ๒๐ องค์ ไม่ใช่น้อยๆ ที่ท่านล่วงไปๆ  ทั้งฝ่ายแม่ชี แม่ขาว ฆราวาสก็เป็นได้ด้วยกัน เพราะธรรมไม่นิยมเพศ ไม่นิยมวัย นิยมการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นเครื่องรับรองยืนยันมรรคผลนิพพานด้วยกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นสายหลวงปู่มั่นจึงมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เวลาล่วงลับไปแล้ว อัฐิกลายเป็นพระธาตุในที่ต่างๆ แต่ท่านไม่ค่อยพูดอะไร เหมือนอย่างที่โลกๆ ทั้งหลาย เขาพูดกันได้ไม่มีขอบเขต สำหรับธรรมท่านเล็งถึงความพอเหมาะพอดี ความเหมาะสมที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อย ท่านจะพูดตามอรรถตามธรรมได้ด้วยกัน

เวลาท่านพูดกันเรื่องอรรถ เรื่องธรรม เรื่องมรรค เรื่องผล เริ่มต้นตั้งแต่เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ศรัทธา วิมุตติ ท่านจะสนทนากันได้อย่างสนิทสนม เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง เพราะความปีติยินดี.ความดูดดื่มในอรรถในธรรม ที่ต่างท่านต่างปฏิบัติและได้ผลเป็นที่พอใจแล้วมาสนทนากัน จึงต่างฝ่ายต่างได้กำลังใจจากกันเป็นลำดับลำดา ผลก็ปรากฏเป็นมรรคเป็นผลมาเรื่อยๆ ในวงกรรมฐานเป็นส่วนมากกว่าวงอื่นๆ เพราะได้มีเวล่ำเวลาปฏิบัติบำเพ็ญ

การชำระจิตใจของตนนี้ ท่านนิยมเรียกว่า ทำความเพียร ทำความเพียร เพียรอะไร เพียรละความชั่ว บำเพ็ญความดีให้เกิดขึ้น เช่นเริ่มแต่ศีล ที่บวชมาจากอุปัชฌาย์แล้ว วันนี้ต้องรักษาศีลตลอดไป เป็นศีลสมบูรณ์เต็มวัน เต็มคืน เต็มปี เต็มเดือน จนกระทั่งวันตาย ท่านก็มีศีลสมบูรณ์เต็มที่ นี่ก็เป็นศีลเป็นคุณธรรมเครื่องรื่นเริงภายในจิตใจสำหรับตนแต่ละองค์ๆ ด้วยกัน

จากนั้นท่านก็บำเพ็ญเพียรชำระจิตใจ คือ ชำระกิเลส คำว่า กิเลสได้แก่ สิ่งมัวหมองมืดตื้อ และแสดงพิษภัยขึ้นมา บีบบี้สีไฟทรมานสัตว์โลก ให้ได้รับความทุกข์ความทรมานมากน้อยต่างกันทั่วโลกดินแดน ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผลที่กิเลสผลิตขึ้นมาจากใจสัตว์โลก ที่ดิ้นไปตามมันด้วยความเพลิดเพลินไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้นแล แสดงพิษภัยขึ้นมา ให้เกิดความเดือดร้อนภายในจิตในใจ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผลของกิเลส ท่านให้ชื่อว่า ความมืดความมัวหมอง ความเป็นภัย เกิดในหัวใจของสัตว์โลกด้วยกัน

ธรรมก็ดี เกิดภายในจิตใจของสัตว์โลกเช่นเดียวกัน เฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์เรา  ที่จะพอมองเห็นและแก้ไขบำเพ็ญกันได้ ท่านจึงกล่าวถึงกิเลสและธรรมภายในใจของมนุษย์เรา ย่นเข้ามาถึงชาวพุทธของเราอีกทีหนึ่ง มนุษย์ทั่วๆ ไปก็มี พอรู้เรื่องบ้าง แต่ชาวพุทธนี้ควรที่จะรู้เรื่องอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า และได้ผลมาเคารพบูชา ให้เกิดความปลื้มปีติยินดีชุ่มเย็นภายในใจบ้าง จากความสนใจและการปฏิบัติของตน จากคำว่า เป็นลูกชาวพุทธ หรือถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะพอสมควร

วันนี้ท่านทั้งหลายจึงจะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ที่ได้นำมาแสดงนี้ เป็นผลของธรรมพระพุทธเจ้า วางพื้นฐานไว้เลย ว่าขอให้ปฏิบัติเถิดตามอรรถตามธรรม ที่ตถาคตทรงแสดงไว้แล้วโดยชอบธรรม ที่เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุม ไม่มีคำว่าผิดว่าพลาดไปที่ตรงไหน ก็คือธรรมของศาสดาที่สอนสัตว์ จากความบริสุทธิ์แห่งพระทัยที่กระจ่างแจ้งครอบแดนโลกธาตุแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดบังลี้ลับ ให้พระจิตของพระองค์มัวหมอง มองดูสิ่งใดไม่ชัดเจนอย่างนี้ เหมือนจิตใจสัตว์โลกที่มีกิเลสตัวมืดดำนั้นปกปิด ไม่มีสำหรับจิตพระพุทธเจ้า ท่านทรงแสดงธรรมด้วยความแม่นยำ จากพระทัยของท่านมาสู่สัตว์โลกทั้งหลาย

เริ่มต้นตั้งแต่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า มาถึงพวกเราทั้งหลาย การประพฤติปฏิบัติมีอยู่ในผู้ใด ผลเป็นที่พึงพอใจเป็นลำดับ จะมีในบุคคลผู้นั้น ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งนักบวชและฆราวาส เพราะธรรมไม่นิยมเรื่องวัย นิยมการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพศก็ไม่นิยม เพศหญิง เพศชาย นักบวชและฆราวาส ทรงยืนยันกันที่การปฏิบัติตัว เมื่อต่างคนต่างปฏิบัติตามศีลตามธรรม ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย และเป็นคุณโดยถ่ายเดียวจากธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะได้ชมจิตใจของเราที่ว้าวุ่นขุ่นมัว เป็นส้วมเป็นถานมาตั้งแต่วันเกิด จนกระทั่งเวลาเราได้ปฏิบัติธรรม จิตใจมีความสว่างไสว ออกมาจากการบำเพ็ญธรรม เช่นการภาวนา นี่เป็นสำคัญมาก ค่อยเกิดขึ้น

ภาวนาคือ ความทำจิตใจของเราให้สงบจากสิ่งมัวหมองมืดตื้อ คือ กิเลส มันฉุดมันลากไป ชวนให้คิดทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ตามเรื่องของกิเลส ทีนี้จิตใจก็เป็นตัวลุ่มหลงงมงาย ก็วิ่งตามมัน แล้วขนเอาทุกข์เข้ามาเผาจิตใจของตนตลอดมา นี่คือกิเลสทำงาน  ทีนี้เวลาเราต้องการให้ธรรมทำงาน ให้นำบริกรรมเข้ามา เรียกว่า ภาวนา

คำบริกรรม คือ สิ่งที่เราบ่นอยู่ภายในจิตใจ นึกภายในจิตใจ เช่น พุทโธๆ เป็นต้น นำเข้ามากำกับจิต ทำจิตให้สงบจากอารมณ์ภายนอก ดังที่เคยคิดมาแล้วตั้งแต่ตื่นนอน ให้สงบในเวลาจะภาวนา แล้วเปิดทางให้คำบริกรรม ซึ่งเป็นทางของธรรม งานของธรรม ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ว่า พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือมรณัสสติ ก็ได้ หรือกำหนดลมหายใจเข้าออกก็ได้ ตามจริตนิสัยของผู้ชอบธรรมบทนั้นๆ  แล้วนำธรรมบทที่ตนชอบใจนั้น เข้ามากำกับใจ ไม่ให้กิเลสมันฉุดลากไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้ธรรมพาคิด คิดเรื่องพุทโธก็เป็นธรรม ธัมโมก็เป็นธรรม สังโฆก็เป็นธรรม คิดติดคิดต่อมีสติเป็นเครื่องกำกับไว้ อย่าให้คิดอย่างอื่น นอกจากคำบริกรรมของตน ที่คิดอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น มีสติกำกับให้คิดอยู่กับพุทโธ

แล้วกิเลสมันจะผลักดันออกมา แซงออกมา ดันออกมา  ด้วยความอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้ปิด ห้ามไม่ให้มันคิด เวลานี้จะให้คิดทางธรรม ให้ทำงานกับธรรม มีพุทโธๆ เป็นสำคัญ แล้วมีสติกำกับจิตไว้ ใจเมื่อกิเลสออกทำงานไม่ได้ ก็ไม่หาเรื่องหาราว มายุแหย่ก่อกวนจิตใจของเรา ให้ได้รับความทุกข์ เปิดทางให้ธรรมทำงานมีพุทโธๆ เป็นต้น ติดแนบกันไป มีสติควบคุมเวลานั้น ไม่นานใจของเราจะค่อยสงบตัวลงๆ ด้วยบทธรรมกล่อมจิตใจให้สงบเรื่อยๆ นี่เรียกว่า ทำงานด้วยธรรม เปิดธรรมให้ทำงานมีพุทโธเป็นต้น ทำงานว่า พุทโธๆ แล้วมีคำบริกรรมกำกับใจของเราไว้ ใจจะค่อยสงบลงๆ  เพราะกิเลสเข้ามาแทรกไม่ได้

กิเลสคือ ตัวยุ่ง พอคิดออกไปนี้ ยุ่งไปเรื่อยๆ ตา หู จมูก ลิ้น กายคอยรับฟังแต่เสียงจากความอยากคิด อยากปรุง อยากรู้ อยากเห็นทั้งนั้น จึงต้องปิดให้หมด ให้เหลือตั้งแต่คำบริกรรม พุทโธๆ บังคับไว้ เอ้า จะเป็นจะตายก็ให้เห็นสักที ให้คิดตัดสินตัวเองอย่างนั้น ผู้ที่ต้องการจะเอาชัยชนะกับกิเลส ซึ่งเคยเป็นตัวภัยต่อเรามานมนาน ต้องเอาชนะด้วยการบังคับบัญชาฝ่าฝืนกัน มันอยากคิดเรื่องกิเลส เราไม่ยอมให้คิด ให้คิดกับพุทโธๆ ไม่นานนักจิตของเราจะค่อยสงบตัวเข้าไปๆ อารมณ์ของกิเลสจะค่อยจางไปๆ จิตใจสงบ พอจิตใจสงบแล้ว ปรากฏเป็นขั้นๆ ตอนๆ

สำหรับผู้ปฏิบัติ นิสัยไม่เหมือนกัน จะค่อยเย็นสงบ พอสงบแล้ว ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้นที่ใจ สงบมากเท่าไร ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้นที่ใจๆ ใจในขณะนั้นเริ่มปรากฏเห็นตัวเอง คือใจของตัวเอง เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งใจสงบแน่ว นั้นแหละที่นี่คุณค่าของใจเราตั้งแต่วันเกิดมา จะมาปรากฏในวันเราบังคับให้ภาวนากับพุทโธ ให้พุทโธทำงาน ได้สิ่งที่พึงใจขึ้นมาต่อจิตใจของเรา กลายเป็นจิตใจที่สงบเย็น จากนั้นก็สงบเข้าเรื่อย แน่นหนามั่นคง มีความสว่างไสว อยู่ที่ไหนมีความเอิบอิ่มภายในจิตใจ

หน้าที่การงานที่เราเคยทำประจำทุกวันๆ นั้น จิตใจจะไม่ไปเพลินกับสิ่งนั้นดังที่เคยเป็นมา แล้วจิตใจจะมาประหวัดเพลิดเพลินในงานภาวนาของตน เมื่อมีโอกาสเมื่อไร จะทำใจดวงนี้ให้สงบเย็นและสร้างคุณค่าให้มากกว่าที่ปรากฏนี้ขึ้นเป็นลำดับๆ จิตเลยปฏิพัทธ์ยินดีกับการอบรมจิตของตนไปเรื่อยๆ นี้แหละผลแห่งการทำความเพียรของผู้ปฏิบัติทั้งหลาย มีพระกรรมฐานเป็นต้น ท่านภาวนาอย่างนี้แล

ขอให้พี่น้องทั้งหลายซึ่งเป็นกองรับเหมาทุกข์ด้วยกันนั้น ให้พากันมาชำระทุกข์ ด้วยทำความสงบใจโดยจิตตภาวนาดังที่กล่าวมานี้ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความปรากฏแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นจากพุทธศาสนาของเรา ซึ่งเวลานี้กำลังถูกเหยียบย่ำอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ซึ่งเทียบกันเหมือนกับส้วมกับถาน ครอบคลุมอยู่ในหัวใจของเราตลอดเวลา หาความแปลกประหลาดอัศจรรย์อะไรไม่ได้จากส้วมจากถาน มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน ซึ่งเป็นผลของกิเลสเสาะแสวงหามาเผาเรา ไปเรื่อยๆ อย่างนี้

ทีนี้เวลาเราได้เปลี่ยนงานจากกิเลสเข้ามาสู่งานของธรรม เราจะได้เห็นผลประจักษ์อย่างนี้เรื่อยๆ ไป จนจิตมีความสว่างเท่าไรแล้ว ทีนี้ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณา อันนี้ยิ่งเบิกกว้างออกไป พิจารณาเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ เรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีด้วยกันทุกคนไม่ว่าอยู่ที่ไหน นั่งอยู่นี่ทุกคนมีเหมือนกัน อยู่ฟากฟ้าแดนดินที่ไหน ก็เป็นผู้แบกหามความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ ความเดือดร้อนเสมอหน้ากันหมดนั่นแหละ แล้วให้เอาสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์

ความเกิด เกิดมาจากอะไร ก็มีส่วนผสมคือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยมีจิตเข้าไปเป็นเจ้าตัวการ ไปยึดครองในสถานที่นั่น เรียกว่า เข้าไปสู่ปฏิสนธิวิญญาณ ปรากฏเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ขึ้นมาจากการเกิด โดยที่มีส่วนผสมของธาตุรวมตัวกันนั่นแล จึงเรียกว่าสัตว์ว่าบุคคลต่อไป แล้วพิจารณาแยกธาตุ ถึงกาลเวลาแล้วมันก็มีแตกสลาย ถึงไม่มีการแตกสลาย มันก็แปรสภาพตั้งแต่วันเกิดมา ตั้งแต่เด็กจนโต และจากโตไปก็แก่เฒ่าคร่ำคร่าชราตายไปเหมือนกัน ให้พิจารณาในตัวของเรานี้ ด้วยปัญญา

เมื่อปัญญาพิจารณาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความทุกข์ ความตาย มีอยู่ภายในกายนี้ เราก็จะได้เห็นภัยในความตะเกียกตะกาย ซึ่งประหนึ่งว่าไม่มีป่าช้าในตัวของเรา ได้เห็นป่าช้าเสียบ้าง ด้วยอำนาจแห่งปัญญาที่พินิจพิจารณา ความเพลิดความเพลินของเราที่เป็นมา เพราะอำนาจของกิเลสลากถูไปนั้น จะค่อยสงบตัวเข้ามาๆ ความตายแต่ก่อนติดแนบอยู่กับเรา เราก็ระลึกไม่ได้

ทีนี้พอระลึกความตายได้ เราก็มีความรู้สึกตัวขึ้นมา จะบำเพ็ญคุณงามความดี เพื่อเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่ยึดที่เกาะของจิตใจดวงนี้ ซึ่งไม่เคยตาย ส่วนความชั่วที่จะมาเป็นภัยต่อเรา เพราะเคยเป็นภัยต่อเรามาแล้วนั้น ก็ได้พยายามกำจัดปัดมันออกไป ความชั่วไม่ทำ ทำแต่ความดีงาม ก็พอกพูนความเป็นสาระขึ้นภายในจิตใจ เรียกว่า ธรรมๆ หรือบุญกุศลขึ้นสู่ตัวเอง ใจของเราก็เริ่มเยือกเย็นเข้ามาๆ ยิ่งพิจารณาความเป็นความตายมากน้อยเพียงไร ก็ยิ่งเป็นการเตือนสติเรา ไม่ให้ลืมเนื้อลืมตัว เรื่องความเป็นความตายเกิดได้กับทุกคน ตามแต่กาลเวลาใดที่จะเป็นกับรายใดเท่านั้น เวลานี้มีปัญญาสอดส่องออกเป็นตาข่ายกางไว้ ให้รู้ตามเรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากกัน ตลอดถึงคติที่จะไปข้างหน้า

เราเกิดมานี้ เกิดมาจากภพใดชาติใด เราก็ทราบไม่ได้ และปัจจุบันนี้ก็ทราบว่า เป็นคน แต่ตายแล้วนี้ จะไปเกิดในสถานที่ใด เรายังทราบไม่ได้ ก็เป็นความเดือดร้อน ทีนี้เวลาเราสร้างความดีขึ้นภายในจิตใจ แม้เราจะไม่ทราบความเป็นมาของเรามาจากภพใดก็ตาม ยังไม่ทราบ ภพนี้ตายแล้วจะไปภพใดก็ตาม เมื่อการบำเพ็ญมีมากเข้า จะทราบในตัวเอง จะไปภพใดก็ตาม จิตที่มีธรรมเป็นเครื่องบำรุงรักษาเยือกเย็นตลอดเวลานี้ เป็นที่แน่ใจ จะไปภพใดก็คือ จิตดวงเป็นสุขๆ นี้แล จะพาไปเกิดในสถานที่ดี คติที่เหมาะสมทั้งนั้น จะไม่พาไปเกิดในสถานที่ชั่ว นี้เป็นอย่างหนึ่ง

จากนั้นละเอียดเข้าไปทราบจนกระทั่งว่า เราจะไปเกิดในภพใดชาติใด ความดีมีมาก มันเลยกลายเป็นเรื่องไปจับจองสวรรค์ พรหมโลกไปแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ตาย คำว่า ไปจับจองแล้ว จิตแน่แล้ว การกุศลนี้แหละเป็นเครื่องวัดตวง ให้ส่องทางถึงสวรรค์กี่ชั้น จากอำนาจแห่งกุศลส่องทาง เรียกว่า ไปจับจองสวรรค์ พรหมโลกกี่ชั้นจับจองไว้แล้วด้วยความแน่ใจ จากการบำเพ็ญความดีของตน นี้ก็แน่ใจเข้าไปด้วยการพินิจพิจารณาเรื่อยๆ จิตใจก็ยิ่งมีความสง่างามผ่องใส คล่องแคล่วว่องไวในการพิจารณาไปเรื่อยๆ

จากนั้นมาก็ค่อยปล่อยค่อยวางเรื่องการเกิด การตาย คือ ธาตุขันธ์อันนี้ เรายึดเราถือมันเพื่ออะไร ธาตุขันธ์ ดินมีอยู่ทั่วแผ่นดิน น้ำก็มีอยู่ทั่วไป ลม ไฟมีอยู่ทั่วไป ทำไมมายึดมาถือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีอยู่กับตัวของเรานี้ ตายแล้วจะเอาไปได้ไหม เมื่อพิจารณาดูแล้ว ตายแล้วก็ทิ้งลงสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามเดิม เอาไปไม่ได้ แล้วอะไรที่จะเอาไปได้ ก็คือบุญ คือบาป

บาปนั้นสร้างมามากน้อยเป็นกรรมเป็นเวร เป็นคู่กรรมคู่เวร คู่ทรมานตัวเองไปโดยลำดับ เราชอบไหม เกิดในภพใดชาติใด มีแต่สิ่งที่มาทำให้เกิดความทุกข์ ความทรมานหาความสุขไม่ได้ จากการสร้างบาปสร้างกรรม เรายังพอใจจะสร้างบาปสร้างกรรมอยู่อีกหรือ เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตมันก็รู้เอง บาปก็รู้ว่าเป็นบาป ไฟก็รู้สึกเป็นไฟ แล้วยังจะไปกล้าหาญจับมัน แล้วบังคับให้มันเย็นได้อย่างไร ไฟเป็นของร้อน มันก็ปล่อยกันเองตามหลักธรรมชาติ การสร้างบาปเป็นฟืนเป็นไฟแก่ตัวเอง มันก็ปล่อยของมัน เข้ามาเองๆ

แล้วการสร้างบุญก็คือ สร้างคุณงามความดี สงบร่มเย็น ใจของเรามีความอบอุ่นชื่นชมยินดีตลอดไปๆๆ มันก็ยิ่งเบิกกว้างออกไป ทีนี้สุดท้ายก็ไปจองสวรรค์ได้แล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย จิตใจจ่อถึงสวรรค์ชั้นนั้นๆ ตายแล้ว เราจะไปเกิดสวรรค์ชั้นนั้นๆ แน่เข้าไปโดยลำดับ

นี่การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าโกหกโลกที่ไหน มีแต่พวกเราให้กิเลสมันโกหกตลอดเวลา บาปไม่มีบุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี เปรต ผีประเภทต่างๆ สัตว์ประเภทต่างๆ ไม่มี มันพูดออกมาด้วยความสำคัญผิดจากความตาบอดใจบอดของตัวเองต่างหาก พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนตาบอดใจบอด เป็นผู้ที่ทรง โลกวิทู รู้แจ้งโลก อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าทั้งกลางวันกลางคืน จากพระทัยที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วจากกิเลสทั้งหลาย สอนสัตว์โลกจึงไม่มีผิดมีพลาด

นี่ท่านสอนมาอย่างนั้น ทีนี้มันก็ยอมรับ สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ไม่ต้องบอก รู้จากอำนาจแห่งกรรมดีของตน จนกระทั่งว่าจองสวรรค์ชั้นนั้นๆ ได้ แล้วจองพรหมโลกชั้นนั้นๆ ได้ สุดท้ายก็จองนิพพานได้เลย จวนจะถึงนิพพานแล้ว จวนจะถึงนิพพานด้วยความสง่างามของใจ ความแก่กล้าสามารถของใจ แล้วประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ จับกันคว้าใส่กันหวุดหวิดๆ นี่ผู้มีความเพียรกล้า ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญตนสม่ำเสมอ เพิ่มพูนกำลังของธรรมเข้า กำลังของธรรมก็กล้า สติก็กล้า ปัญญาก็กล้า ความจะหลุดพ้นจากทุกข์ ยิ่งมีความแก่กล้าสามารถลืมหลับลืมนอน มีตั้งแต่พุ่งๆ ใส่ นี่ละเรียกว่า จองนิพพาน

จากนั้นมาก็กิเลสขาดสะบั้นลงไป นิพพานจับติดปุ๊บเลย นี่คือผู้สำเร็จอรหันต์ ทีนี้ไม่ต้องไปหาจองที่ไหนแล้ว โลกไหนมีแต่โลกกองทุกข์ความทรมาน ภพใดชาติใดของสัตว์ตัวใด ไม่พ้นที่จะเป็นที่อยู่ของกองทุกข์ อยู่ในภพชาตินั้นๆ มากน้อยต่างกัน เพียงเท่านั้น นี่ก็รู้ชัด พอจิตขาดสะบั้นไปจากสิ่งที่พาให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนมากน้อย ได้แก่ กิเลสหมดไปจากใจแล้ว ทุกข์ไม่มี นั่นแหละท่านว่า พระนิพพาน คือ บรมสุข ได้แก่ พระนิพพาน คือ ได้แก่จิตของท่านผู้บริสุทธิ์จากกิเลสแล้ว แม้ชีวิตยังมีอยู่ ท่านก็ไม่เป็นทุกข์ในทางจิตใจ มีตั้งแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัว ตัวร้อน ซึ่งเป็นอยู่ภายในร่างกาย แต่ไม่สามารถที่จะเข้าซึมซาบถึงจิตใจให้ได้รับความทุกข์ได้

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากใจนั้น เพราะอำนาจของกิเลสต่างหากสร้างขึ้นมา เมื่อกิเลสสิ้นซากไปแล้ว ทุกข์ทางใจจึงหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดเหลือ จะเหลือตั้งแต่เศษของวัฏวนคือธาตุขันธ์ของเรา อยู่ไป ครองไป ท่านผู้บริสุทธิ์แล้วก็รักษาธาตุขันธ์ไปพอถึงกาลเวลา และทำประโยชน์ให้โลกได้ตามกำลังความสามารถของธาตุขันธ์นี้ ว่าจะได้เพียงไร พอผ่านนี้แล้ว ธาตุขันธ์จะไปไม่ได้แล้วหรือ สลัดปั๊วะเดียวเท่านั้น ท่านไม่ได้มาห่วงมาใย กับธาตุกับขันธ์ กับความเป็นความตาย เพราะธรรมชาติที่บริสุทธิ์สุดส่วนเลิศเลอนั้น อยู่ในเงื้อมมือ อยู่ในหัวอกของท่านแล้ว ท่านจะมาห่วงมาอะไร พวกเศษเดนของส้วมของถาน พาสัตว์ให้เกิดนี้จากกิเลส ท่านจะมาห่วงมันอะไร นี่ละเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า

ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกชาวพุทธ วันนี้ขอให้ฟังอย่างถึงใจ การเทศนาว่าการเวลานี้ หลวงตาไม่ได้มีคำว่า โอ้อวด มดเท็จอะไรแก่ท่านทั้งหลาย การปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เป็นเวลา ๗๐ ปี ๗๑ ย่างเข้าแล้ว แต่ยังไม่เต็มปี เพียงออกพรรษาย่างมา ๗๑ พรรษาแล้ว และบวชมาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน นั่นละวันนั้นวันตัดสินกันกับการประพฤติละชั่วทำดีตั้งแต่บัดนั้น ศีลก็บริสุทธิ์มาตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งบัดนี้ สมาธิก็ก้าวเดินเรื่อยไป เอา เรียนหนังสือก็เรียนเพื่อจะแก้กิเลส เป็นวิชาแก้กิเลสเรื่อยมา เรียนพอสมความมุ่งหมายที่จะพอเป็นปากเป็นทาง แก้กิเลสได้แล้ว ก็นำมา ออกประพฤติปฏิบัติธรรม เข้าป่าเข้าเขาลำเนาไพร ไม่เยื่อใยเสียดายกับสิ่งใด ยิ่งกว่าธรรมอันเลิศเลอ ที่มุ่งหวังอยู่แล้วด้วยความเชื่อมั่นในธรรมทั้งหลายจากหลวงปู่มั่น ที่ท่านแสดงให้ฟังอย่างถึงใจๆ แล้วออกปฏิบัติกำจัดกิเลส

กิเลสนี้เป็นตัวโหดร้ายทารุณมาก เหนียวแน่นมั่นคง เฉลียวฉลาดมาก ลำพังเราๆ ท่านๆ ให้กิเลสกล่อมตลอดเวลา เพราะฉะนั้นตื่นขึ้นมา กิเลสจึงกล่อม ความโลภก็กล่อม ความโกรธก็กล่อม ราคะตัณหากล่อม มีตั้งแต่มหาภัยๆ กล่อมจิตใจของเรา ให้หลับเคลิบเคลิ้มไป สิ่งที่ได้มาจากมัน ก็คือความทุกข์ความทรมานจิตใจ สุดท้ายก็ตายไปด้วยความทุกข์ ความทรมานอย่างนี้เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด

ทีนี้เวลาได้บำเพ็ญธรรมเข้าไป สิ่งที่เคยเป็นภัยและไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้เห็นมันว่าเป็นภัย ค่อยกระจ่างแจ้งขึ้นมาจากการอบรมภาวนา ดังที่ได้ชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบเวลานี้ แล้วกระจ่างขึ้นมาภายในจิตใจ จนเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในตัวเอง บางทีถึงสะดุ้งก็มี เพราะอัศจรรย์ใจที่ได้บำเพ็ญกับธรรมทั้งหลาย ชำระกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยได้มากน้อยเพียงใด จิตใจมีธรรมขึ้นภายในใจ ยิ่งมีความกระหยิ่มยิ้มย่อง มีความอดความทน ความพากความเพียรมาด้วยกันๆ หมุนตัวไปเรื่อยๆ ก้าวเข้าสู่สมาธิแน่นหนามั่นคง เป็นอยู่ในหัวใจนี้ จากการปฏิบัติตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้ว ด้วยสวากขาตธรรมตรัสไม่ผิดว่างั้น

เราปฏิบัติไม่ให้ผิดตามคำของพระพุทธเจ้า ผลก็ไม่ผิด ได้มาเป็นลำดับลำดาเป็นขั้นเป็นภูมิ จนกระทั่งพูดเปิดอกเสียทีเดียว เปิดหัวอกเสียเลย ทีแรกบวชว่าอยากจะไปสวรรค์ ครั้นต่อมาอ่านไปๆ อยากไปพรหมโลก ครั้นต่อมาท่านพูดถึงเรื่องนิพพาน ไปสวรรค์ก็ไม่อยากไป พรหมโลกไม่อยากไป อยากไปนิพพานถ่ายเดียว ทีนี้เวลาปฏิบัติไปๆ ธรรมถึงขั้นใดภูมิใด ที่จะสามารถมองเห็น มันก็เห็นด้วยใจของตัวเอง สุดท้ายมันก็ไปจองเอาสวรรค์อย่างลึกๆ ลับๆ นะ โอ๊ นี่ ถ้าเราตายแล้วจะไปสวรรค์ จะไปสวรรค์ชั้นนั้นๆ จองเข้าไปเรื่อย เอ้า นี่มันจะไปพรหมโลกชั้นนั้น ชั้นนี้รู้อยู่ในใจ

นี่เห็นไหมท่านทั้งหลายการปฏิบัติ นี้มาโกหกท่านทั้งหลายหรือ ให้ฟังให้ดีนะ นี่เราสละเป็นสละตาย เอาผลแห่งการปฏิบัตินี้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งเป็นชาวพุทธด้วยกัน อย่ากอดคัมภีร์อยู่เฉยๆ มันเป็นหนอนแทะกระดาษ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ที่ไม่ได้ปฏิบัติ เรียนแล้วให้ปฏิบัติ นี่ก็เรียนแล้วออกปฏิบัติ เมื่อเวลามันแน่ใจเข้าไป สว่างไสวเข้าไป มันขโมยไปจองสวรรค์ จองสวรรค์ชั้นนั้นๆ จากนั้นขโมยเข้าไปจองพรหมโลกเรื่อยๆ แล้วละเอียดเข้าไปๆ พรหมโลกชั้นไหนๆ ไม่อยู่ๆ ที่นี่ไม่จองนะ จิตทะลุเรื่อย คว้าใส่นิพพานหวุดหวิดๆ โน่น

นี่เห็นไหม ความกล้าหาญของจิตใจที่จะหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว เพราะทุกข์นี้เคยได้รับความทรมานมาจากมัน กี่ภพกี่ชาติแล้ว คราวนี้ได้เห็นประจักษ์ว่า ทุกข์นี้เป็นทุกข์ประจำมากี่ภพกี่ชาติแล้ว เวลานี้เห็นตัวของมันประจักษ์ เกิดขึ้นจากใจ เป็นเครื่องหลอกของใจ คือกิเลสอยู่ในนั้น ตัวหลอกอยู่ในนั้น สร้างทุกข์อยู่ในนั้น เปิดกิเลสนี้ออกด้วยธรรมซึ่งเป็นของจริง เปิดออกเท่าไร ยิ่งเห็นของปลอมชัดเจน ธรรมเป็นของจริง ก็ยิ่งเปิดเผยขึ้นมาๆ แล้วชัดเจนขึ้นไปโดยการภาวนานี้ ละเอียดเข้าไปโดยลำดับลำดา นั่งอยู่เฉยๆ มันก็เห็น

ฟังซิท่านทั้งหลายพระพุทธเจ้าโกหกเหรอ สิ่งที่พระพุทธเจ้าว่า บาป ว่าบุญ ว่านรก สวรรค์ ผู้ภาวนาเวลาถึงขั้นมันจะเห็นแล้วปิดไม่อยู่นะ พวกเราตาบอดไปเที่ยวลบล้างอยู่หรือว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี มันจะจมนรกกันทั้งหมดนะ

จึงรีบกระตุกเอาไว้ อย่าพากันลงนรก อยากลงนรกให้ไปดูเรือนจำเสียก่อน เรือนจำนี้เป็นยังไง น่าอยู่ไหม ใครเข้ามาติดคุกติดตะราง เขาว่านักโทษกันทั้งนั้นๆ น่าอยู่ไหม เราอยากเป็นนักโทษไหม นี่ก็เหมือนกัน ไม่ว่านรกหลุมไหนๆ น่าอยู่ไหม หรือเราอยากเป็นสัตว์นรกเหรอถามตัวเอง นี่ละใครจะอยากไป ทีนี้จิตมันก็เห็นโทษในสิ่งเหล่านี้ เห็นคุณที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้เป็นลำดับลำดา ความพากเพียรแก่กล้าสามารถ ลืมวันลืมคืนไปเลย นอนไม่หลับเวลามันเร่ง คว้าใส่นิพพานนี้หวุดหวิดๆ ทีนี้ไม่จอง สวรรค์ก็ไม่จอง พรหมโลกไม่จอง จะเอานิพพานถ่ายเดียวเท่านั้น

ขอสรุปย่อๆ ในผลแห่งการปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นของแท้ของจริง จากศาสนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ให้พี่น้องทั้งหลายชาวพุทธด้วยกันฟัง เป็นยังไง การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นโมฆะหรือ มันเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีคุณค่าราคาแต่ส้วมแต่ถานกิเลสตัณหานั้นเหรอ ให้เอามาถามเทียบเจ้าของทันที ทีนี้เวลาพิจารณาเข้าไป พอคว้าพระนิพพานติดปั๊บนี่ กิเลสอวิชชาที่พาเกิดพาตาย ขาดสะบั้นลงไปนี้ สว่างจ้าฟ้าดินถล่มเลย ถล่มในหัวใจของเรากับกายมันไหวนั่นเอง ส่วนฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขา แต่ใจกับกายที่มีเกี่ยวข้องกับกิเลสที่ขาดสะบั้นลงไปจากใจนี้ สะเทือนไปหมดเลย เกิดความอัศจรรย์ เราไม่เคยเห็น เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่ของเราไม่เคยรู้เคยเห็นธรรมประเภทนี้ พ่อแม่ของเราเกิดก่อนเรา ท่านก็ไม่เคยเห็น แล้วทำไมจึงมารู้ธรรมเห็นธรรมประเภทอัศจรรย์อย่างนี้ได้ ก็เพราะการปฏิบัติ

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ยอมกราบพระพุทธเจ้าราบเลยๆ  คืนนั้นไม่นอน กราบแต่พระพุทธเจ้าทั้งคืน นั่งอยู่นิ่งๆ ธรรมดานี้ อัศจรรย์ เดี๋ยวกราบลง เดี๋ยวขึ้นมานั่นนิ่ง อัศจรรย์แล้วกราบลงๆ เพราะอะไร ถ้ามีคนอื่นคนใด เขามาดูเขาจะว่าพระองค์นี้เป็นบ้าแล้วนะ นั่งอยู่ๆ แล้วก็กราบลง แล้วนั่งอยู่ๆ กราบลง กราบอะไร กราบพระพุทธเจ้าที่ประทานธรรมอัศจรรย์ให้ เราปฏิบัติตามท่าน ได้รู้ได้เห็นอย่างนี้แล้วอย่างชัดเจน ไม่มีอะไรสงสัย พระพุทธเจ้าที่จะตามเข้าเฝ้าตลอดเวลา หมดปัญหาทันที ธรรมธาตุอันนี้เหมือนกันหมดแล้ว กราบพระพุทธเจ้าองค์ไหนนั่น พระธรรมธาตุที่เหมือนกันหมด

ท่านกล่าวไว้ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ผู้ถึงธรรมขั้นบริสุทธิ์แล้วเสมอกันหมด เมื่อเสมอกันหมดแล้ว จะไปหากราบกันที่ไหน เห็นว่าแปลกต่างกันที่ไหน ก็เหมือนแม่น้ำในมหาสมุทร เป็นยังไงแม่น้ำในมหาสมุทร มันไหลมาจากทิศใดแดนใด ทั้งบนฟ้า มาจากลำคลองต่างๆ รวมลงเป็นมหาสมุทรแล้ว เราไปแยกแม่น้ำนั้นให้เป็นมาจากสายนั้น สายนี้ จากบนฟ้าได้ไหม มันเป็นแม่น้ำมหาสมุทรด้วยกันหมดแล้ว หยดใดก็ตาม ฝนตกลงมาถึงมหาสมุทรเป็นมหาสมุทรทันที น้ำสายใดก็ตามไหลเข้ามาสู่มหาสมุทรเป็นมหาสมุทรทันที เราจะแยกมันออกเป็นแม่น้ำสายนั้นสายนี้ อย่างนี้ไม่ได้ นี่ฉันใดก็เหมือนกัน

ท่านผู้สร้างบารมีทั้งหลายโดยลำดับลำดามา ซึ่งเป็นเหมือนกับแม่น้ำไหลมาจากสายต่างๆ จะเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน แล้วก็มาจากที่ต่างๆ คือสัตว์โลกมีจำนวนมาก ต่างคนต่างสร้างคุณงามความดี ค่อยไหลมา ค่อยใกล้เข้ามาๆ พอถึงวิมุตติหลุดพ้นปึ๋งเท่านั้น เข้าถึงแล้วมหาวิมุตติมหานิพพาน รายใดมาพอถึงนั้น เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมดแล้ว ถามหานิพพานที่ไหน ถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร ก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานอย่างเดียวกันแล้ว เช่นเดียวกับน้ำมหาสมุทร มาจากสายต่างๆ มาสู่มหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน ถามมหาสมุทรที่ตรงไหน หยดไหนก็เป็นมหาสมุทร นี่รายใดก็ตาม หยดใดก็ตาม ที่ตรัสรู้ธรรมบรรลุธรรมขึ้นมาผางเท่านั้น เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานอย่างเดียวกันแล้ว ถามหาพระพุทธเจ้าทำไม นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติต้องรู้เห็นด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปถามใคร นี่ก็ไม่ถามใคร

จึงได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายว่า ให้เป็นข้อยืนยันได้เลย หลวงตาคอขาด ก็คอขาดเพื่อพี่น้องทั้งหลาย ยืนยันว่าเป็นความจริงสุดส่วน ที่ได้ปฏิบัติมานี้ เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน จนกระทั่งถึงหาที่สงสัยไม่ได้แล้ว  นี้คือผลแห่งการปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เรายังจะเห็นว่า ศาสนาเป็นของเหลวๆ ไหลๆ อยู่เหรอ แล้วเห็นเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งเป็นเหมือนเสี้ยนเหมือนหนาม เหมือนฟืนเหมือนไฟ ว่าเป็นทองคำธรรมชาติอยู่หรือ

ให้พิจารณาให้ไปถามตัวเองนะ อย่าไปถามคนอื่น ให้ถามตัวเอง เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบตัวของเรา เกลียดชั่ว เกลียดทุกข์ มีความรักสุขแล้วให้แก้ตัวเอง อันใดไม่ดีให้ปัดออก อันใดดีส่งเสริมให้ดีขึ้นมา

เวลานี้ศาสนาจะหมดแล้วนะกับชาวพุทธของเรา มีตั้งแต่ถือพุทธๆ ถามเต็มบ้านเต็มเมือง แม้เด็กอยู่ในท้องกี่คนก็ตาม ยังไม่คลอด พอเขาถามว่า นี่หนูถือศาสนาอะไร แม่ถือศาสนาอะไร แย่งแม่ออกมาพูด ทั้งๆ ที่ยังไม่คลอดออกมา ถือพุทธๆ แม่มันถืออะไร ก็ไม่รู้นะ มันมีแต่ปากเฉยๆ ไม่ได้สนใจประพฤติปฏิบัติ แล้วเกิดมาหาสาระไม่ได้นะ อยู่กันมากมายขนาดนี้ ใครเป็นคนที่จะตัดสินในใจ แน่ใจตนได้ว่าออกจากนี้แล้ว จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ไม่มีนะ

เพราะกิเลสพางมงาย มันจะพางมงายไปเรื่อยๆ ถูกต้มไปเรื่อยๆ และสร้างแต่บาปแต่กรรม หาบแต่กองทุกข์ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เอาธรรมเข้ามาตัดสินกัน ต้องเอาธรรมเข้ามาตัดสิน มาบำเพ็ญคุณงามความดี แล้วจะค่อยเพิกค่อยถอน ความมืดดำทั้งหลายให้กระจายหายไป ความสว่างแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลาย จะเจิดจ้าขึ้นมาภายในใจ ไม่ต้องถามหาบาป หาบุญ หานรก สวรรค์ เจ้าของเป็นผู้รู้ผู้เห็น เพราะสร้างขึ้นมาจากเจ้าของ บาปเจ้าของสร้างเอง บุญเจ้าของสร้างเอง นรกสวรรค์เกี่ยวโยงกันกับหัวใจดวงนี้ ไม่มีอะไรเป็นที่เกี่ยวโยง ทุกข์ทั้งมวลในโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรเป็นที่รับรอง น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ดิน ฟ้า อากาศกว้างขนาดไหน ไม่ใช่ภาชนะสำหรับรับรองทุกข์ของสัตว์โลก แล้วความดีทั้งหลายก็เหมือนกัน ความสุขที่ไหน ก็ไม่มี ไปหาตาม ดิน ฟ้า อากาศ ก็เป็นดิน ฟ้า อากาศไป มันอยู่กับใจของมนุษย์ผู้ทำดีนี้ละ

ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี มีใจเป็นภาชนะสำหรับที่จะรับรองเอาไว้ จากการปฏิบัติดีปฏิบัติชั่วของตน ให้คัดเลือกเสียตั้งแต่บัดนี้ ไม่อย่างนั้นจะขนเอาตั้งแต่บาปแต่กรรม เข้าสู่หัวใจ ไปที่ไหนเดือดร้อนวุ่นวาย ถ้าเกิด ว่าอยากจะไปเกิดเป็นเทวบุตรเทวดา มันไม่ฟาดไปเกิดเป็นหมูเป็นหมาขี้เรื้อน แล้วเกิดเป็นเปรตเป็นผี เราต้องการไหม เราไม่ต้องการ แต่ความประพฤติของเรา มันยิ่งร้ายกว่าเปรตกว่าผี ตายแล้วก็ยังพอบรรเทานะ เปรตผีมันยังมีกรรมให้อภัย เพียงเป็นเปรตเป็นผี มันไม่ลงนรกอเวจี ให้พากันพินิจพิจารณา

ศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีที่ไหนเป็นที่ต้องติ เรายืนยัน ที่มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ออกมาจากหัวใจล้วนๆ การสอนพี่น้องทั้งหลาย แล้วสอนมาเป็นเวลา ๕๔ ปีนี้แล้ว เราไม่เคยงมเงาเกาหมัดสอนโลก สอนถอดออกมาจากหัวใจ ที่รู้เห็นมากน้อยเพียงไร จากการประพฤติปฏิบัติของตนที่ได้มาๆ  สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน ก็ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า จ้าอยู่ในหัวใจนี่  

แล้วเป็นยังไงศาสนา เป็นโมฆะไหม ครึหรือล้าสมัยไหม มันทันสมัย ทันยุคทันสมัย ล้ำสมัยตั้งแต่กิเลสตัณหาเต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ ไปที่ไหนมองหาอรรถหาธรรมแทบไม่เห็น มีตั้งแต่เรื่องกิริยาของกิเลส รุมล้อมทั้งสัตว์ ทั้งบุคคล ทั้งหญิง ทั้งชายไปด้วยกัน สิ่งที่ได้มาก็มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย ขอให้มีความสงบบ้าง วันหนึ่งให้บำเพ็ญคุณงามความดี

การทำบุญให้ทาน อย่าได้มีความตระหนี่ถี่เหนียว การทำบุญให้ทาน เป็นการเบิกกว้างความเป็นอยู่และการก้าวเดินของตนไปโดยลำดับ ไม่ได้คับแคบตีบตันเหมือนคนตระหนี่ถี่เหนียว คนตระหนี่ถี่เหนียวนี้ สร้างขวากสร้างหนามขวางทางตัวเอง ปักเสียบตัวเอง กระทบกระเทือนต่อตัวเองนั้นแหละ ไปที่ไหนคับแคบตีบตัน เกิดภพใดชาติใด มีแต่เสี้ยนแต่หนาม มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวเอง เพราะความชั่วของตัวเองจากความตระหนี่ คนเราเมื่อตระหนี่แล้วต้องเห็นแก่ได้ คนตระหนี่แล้วเห็นแก่ได้ๆ แล้วจะเอาแง่ไหนๆ พอฉกๆ พอลักๆ พอปล้นๆ พลิกร้อยสันพันคม คือความตระหนี่ อย่าพากันสั่งสม

มนุษย์เราอยู่ร่วมกัน ให้เห็นอกเห็นใจกัน ให้มีจิตใจกว้างขวางต่อกัน ให้อภัยกันเสมอ มนุษย์นี้เป็นสัตว์ขี้ขลาดที่สุด สัตว์สู้ไม่ได้ สัตว์บางตัว เช่นแมว เช่นเสือ เขามักอยู่ตามลำพัง เขาก็อยู่ได้สบายๆ แต่มนุษย์นี้อยู่ไม่ได้นะ ต้องวิ่งหาคนนั้นเป็นเพื่อน วิ่งหาคนนี้เป็นเพื่อน เมื่อไม่ได้ก็คว้าเอาไอ้ตูบเข้ามา อยู่กับไอ้ตูบ เมื่อเป็นอย่างนั้นต้องเห็นโทษแห่งความขี้ขลาดของตน อยู่กับหมู่กับเพื่อนให้เห็นอกเห็นใจกัน เผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน จิตเขามี จิตเรามีความรู้สึกดีชั่วหมือนกัน เอามาเฉลี่ยกัน แล้วพออดพอทนกันได้ เก็บความรู้สึกกันไว้ได้คนเรา อย่าเอะอะก็แผดออกมาๆ นี้มันเป็นฟืนเป็นไฟแก่ตัวเองและเพื่อนฝูง

นี่ละหลักพุทธศาสนาท่านสอนว่าอย่างนี้ สอนให้เรามีความกว้างขวาง ไม่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว นี้เป็นทางเดินแห่งความจนตรอกจนมุม ทางเดินหรือความเป็นอยู่ด้วยความกว้างขวางนั้น ได้แก่ คนสร้างความดีงาม มีจิตใจอันกว้างขวางเบิกบาน ไปที่ไหนเบิกบาน ไปภพใดชาติใดก็ตาม คนมีการทำบุญให้ทานไม่อดอยากขาดแคลน หากมีสิ่งที่มาสนองจนได้ สิ่งที่มาสนองก็คือ ความดีของเรา ที่สร้างไว้แล้วแต่ก่อนนั้นแหละ มาสนองเรา

จงพากันอุตส่าห์พยายาม การให้ทานวันหนึ่งๆ อย่าให้ขาดวันขาดคืน เมื่อมีโอกาสหรือสมบัติพอมีได้ให้อุตส่าห์พยายามทำ การรักษาศีลรักษาธรรม ก็ให้รักษาตัวของเรา เพราะเรานี้เป็นผู้เหมาทั้งนรกอเวจีละมากที่สุด ยิ่งกว่าเหมาสวรรค์นิพพาน ให้แก้ไขตรงนี้ มันเที่ยวไปเหมาไว้หมดนะเวลานี้ เพราะสร้างแต่ความชั่วช้าลามก แล้วก็ไปเหมาตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เกิดที่ไหน ไปอยู่ที่ไหน ก็มีตั้งแต่บ่น ก็ไม่บ่นยังไงเจ้าของสร้างแต่สิ่งที่จะทำให้บ่น มันก็บ่น เพราะฉะนั้นจึงให้รู้เสียตั้งแต่บัดนี้

ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ เราเกิดมาถ้าไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้านี้ เรียกว่า เป็นโมฆะ ถึงจะเป็นมนุษย์ก็มนุษย์ไม่มีราคาอะไร ขอให้มีอรรถมีธรรมภายในใจ ยิ่งถือพุทธศาสนา กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องประดับใจตลอดเวลา ถึงเวลาจะหลับจะนอน ก็ให้ทำภาวนานี้เสียก่อน.นี้ละผู้ที่สร้างความแน่ใจให้ตนเอง ภพนี้ชาติหน้าไม่ต้องถาม เราเป็นผู้สร้างเอง แล้วที่อยู่ก็จะเป็นของเราเอง เหมือนเราปลูกบ้านสร้างเรือน ปลูกได้ขนาดไหน เราเป็นผู้ไปอยู่ นี่สร้างคุณงามความดีได้มากน้อย เราจะเป็นผู้เสวยความดีของเรา

จงอย่าได้พากันลดละความดีงามทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ตั้งแต่กิเลส มันเหยียบย่ำทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี้ก็คือเรื่องของกิเลส การอยู่การกินการหลับการนอนทุกอย่าง ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้เนื้อรู้ตัว นี้คือเรื่องของกิเลส ถ้าเรื่องของธรรมต้องรู้จักประมาณ การอยู่ก็สร้างที่อยู่ที่พักพอประมาณ การกินก็กินพอประมาณ อย่าทำฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การใช้สอยต่างๆ ก็ให้รู้จักประมาณ การคบค้าสมาคมกับเพื่อนกับฝูงก็ให้รู้จักคนดีคนชั่ว การอยู่การกินให้รู้จักพอดิบพอดี และคบเพื่อนคบฝูงก็ให้คัดให้เลือก อย่าคบสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วภัยมาถึงตัวเราเอง นี่คือธรรมท่านสอนไว้อย่างนี้ อย่าพากันทำสุ่มสี่สุ่มห้า

เราเป็นลูกชาวพุทธ ไว้ลวดลายแห่งชาวพุทธไว้บ้าง อย่างให้โลกภายนอกเขาดูถูกเหยียดหยาม ว่าชาติไทยนี้ถือศาสนาพุทธ เวลาปฏิบัติ ตามศาสนาพุทธไม่มี มีแต่ลิงแต่ค่างเต็มเนื้อเต็มตัว วอกแวกๆ คลอนแคลนๆ เห็นอะไรมาคว้ามับๆ ศาสนาพุทธทำไมเป็นอย่างนั้น ศาสนาพุทธต้องรู้ มีความสงวนเนื้อสงวนตัว สงวนเนื้อหนังของตัวๆ สงวนประเทศชาติบ้านเมืองของตัว สิ่งใดที่ควรซื้อก็ซื้อ มาจากเมืองนอกเมืองในทั้งเขาทั้งเรา ถ้ามีความจำเป็น ซึ่งควรจะซื้อ เพราะเราไม่มี เอ้า ซื้อได้ เขาก็ซื้อได้ เราก็ซื้อได้ แต่ที่เรามีอยู่นี่ซิ แล้วเป็นบ้าไปซื้อกับของเขานี่ซิ มันสำคัญนะ

อะไรมา ถ้าเป็นของนอกแล้ว ดีหมดๆ แม้ที่สุดแอปเปิลแอปแป้น โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่มีหรือในประเทศไทยของเรา เดินเข้าไปจันทบุรีเป็นยังไง จันทบุรีมีไหม แอปเปิล มันเป็นบ้าไปหาซื้ออะไรเมืองนอกเมืองนา มันกราบจนกระทั่งแอปเปิลเขาแล้วนะเวลานี้ เราเลยถือความเป็นน้อยของตัวเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เห็นของภายนอกดีกว่าของภายใน กราบไปทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นคนภายนอกดีกว่าคนภายใน เห็นเขาดีกว่าเรา กราบไปหมด ทีนี้ก็กราบผิดผัวผิดเมีย ถ้าเป็นผัวฝรั่งแล้วกราบเลย ฝรั่งมันดี เมืองไทยนี้มันเป็นเสี้ยนเป็นหนาม เมืองไทยเป็นมูตรเป็นคูถไปหมด

นี้ละเรายินดีตั้งแต่สิ่งภายนอก มันก็ขาดความสนใจที่จะทะนุบำรุงรักษาสมบัติภายในของตน ให้มีเนื้อมีหนังขึ้นมา ถ้าต่างคนต่างรักสงวนชาติของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีไปตามๆ กัน สมบัติสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยน้อยเมื่อไร มีขายเกลื่อนอยู่ เอาเป็นของเรา มีเราซื้อกันขายกัน อุดหนุนซึ่งกันและกันแล้ว ฝ่ายหนึ่งเมื่อมีผลประโยชน์แล้ว ก็มีแก่ใจที่จะผลิตออกมา ให้เป็นกำไรขึ้นไปเรื่อยๆ ดีไม่ดี ดีกว่าเมืองนอกเขาอีก อันนี้มาเมินๆ ไม่สนใจ เป็นบ้ากับสิ่งภายนอก เมืองไทยเราเมืองบ้าเห่อนะ ให้จำให้ดีพี่น้องทั้งหลาย

นี่เราเอาพุทธศาสนามาสอน แล้วจะว่าหลวงตาหาเรื่อง เรามันหาเรื่องใส่เราทั้งประเทศ มีแต่บ้าแบบนี้แบบหาเรื่องจมเมืองไทยเราอย่างนี้ยังไม่รู้ตัวอยู่เหรอ นี้ฉุดลากขึ้นมาจากหลุมจากบ่อ ให้มีความรู้จักประมาณ ความรักสงวนในเลือดเนื้อของตัว อย่างนี้เป็นความผิดแล้วเหรอ ไอ้เราที่ทำลายเลือดเนื้อของตัวเอง ให้จมลงไปๆ เป็นความถูกต้องดีแล้วหรือ ให้เอามาพิจารณา เราเป็นลูกชาวพุทธนะ

วันนี้มีโอกาสพอสมควร ที่ได้สอนพี่น้องทั้งหลายตามเวลาที่เป็นมหามงคลเช่นวันนี้ วันนี้เป็นวันมงคลของเรามากมาย หาได้อยากนะ ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงท่านได้เสด็จมาที่ไหนง่ายๆ เพราะภาระของท่านมีมากต่อมาก วันนี้ท่านทำไมอุตส่าห์ละมาหมดทุกอย่าง มาเยี่ยมพี่น้องชาวไทยเรา เราก็ควรจะได้เป็นคติตัวอย่าง ท่านอุตส่าห์เสด็จมาเยี่ยม เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร แล้วกราบไหว้ท่านด้วยความเห็นบุญเห็นคุณ และปฏิบัติตนตามท่าน ที่เป็นเยี่ยงอย่างเราอันดีแล้ว ให้มีศีลมีธรรม ให้พากันภาวนานะ ให้พากันจำเอาทุกคน

เป็นยังไงหลวงตาบัวนี้เทศน์ มันหมดแล้วนะคำเทศน์ก็ดี เพราะเรียนจบเพียง ป.๓ เท่านั้น แต่เวลาเทศน์มันเป็น ป. ไหนก็ไม่รู้ ลุกลามไปหมดๆ นั่นแหละ นี่ก็จะหมดกำลังวังชาแล้ว ให้พากันไปตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ เชื้อของพุทธศาสนา ขอให้มีในเมืองไทยของเราบ้างนะ อย่าให้มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสตัณหาเหมือนลิงเหมือนค่าง อะไรผ่านมาคว้ามับๆ นี้เสียหายนะชาติไทยของเรา ให้สงวนตัว รักเนื้อรักหนังของตัวเอง นี้เป็นความถูกต้องดีงาม

การแสดงธรรมวันนี้ คงจะพอได้คติตัวอย่างอันดีงาม เฉพาะอย่างยิ่งการอบรมจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น อย่าปล่อยอย่าวางตลอดเวลา ให้กิเลสตัณหาเอาไปถลุงทั้งวันทั้งคืน ไปที่ไหน มีแต่คนบ่นเรื่องกองทุกข์ เพราะกิเลสสร้างขึ้นมาโดยเจ้าของหลงตามมันไปตลอด อย่างนี้ไม่ดี ขอให้อุตส่าห์พยายามปฏิบัติ รั้งเอาไว้ สิ่งใดที่ไม่ดีอย่าทำ ต้องรั้งเอาไว้ เช่นท่านผู้มาปฏิบัติศีลธรรมด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม มุ่งหน้ามุ่งตาต่อมรรคผลนิพพานจริงๆ ท่านเป็นผู้มี หิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมตลอดเวลา ไปที่ไหนไปด้วยความสำรวมระวังตลอด ท่านก็ทรงอรรถทรงธรรม ทรงความร่มเย็นขึ้นในใจของท่าน เมื่อใจของท่านมีความสงบร่มเย็น ไปที่ไหนก็เป็นมงคล เช่น พระท่านบำเพ็ญธรรมของท่าน ได้คุณงามความดีประจักษ์ใจ มีความสง่างามภายในใจ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็สง่างาม ได้มากราบไหว้บูชาท่าน ก็เป็นขวัญตาขวัญใจ เป็นที่ระลึกไว้ได้นาน มีความชุ่มเย็นเป็นสุขต่อไป

นี่ละเรื่องศีลธรรม มีอยู่ที่ไหนทำโลกให้ร่มเย็น อยู่ที่เรา ก็ทำเราให้ร่มเย็น ดังตะกี้นี้พูดถึงเรื่องวงกรรมฐาน อย่างท่านมรณภาพไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุนี้ มีน้อยเมื่อไรเมืองไทยเรา นี่ก็เพราะมีผู้ปฏิบัติตามท่าน ผลก็ได้มาอย่างนี้ ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติตาม ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือตั้งแต่นรกอเวจีประจำชาวพุทธเรานั้นแหละ ทั้งชาวพุทธทั้งชาวพระ จะมีแต่นรกอเวจีเต็มบ้านเต็มเมือง หาความหมายแห่งชาวพุทธไม่มีเลย จึงสร้างความหมายแห่งชาวพุทธขึ้นด้วยการปฏิบัติตัวของเรา ให้มีศีลมีธรรม รู้เนื้อรู้ตัว ละชั่วทำดี จะเป็นผลเป็นประโยชนต่อส่วนรวม และต่อเรา

การแสดงธรรมวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

เออ เรื่องทอดผ้าป่าก็เลยลืมไปเสียไม่ได้พูด วันนี้ท่านทั้งหลายสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ เพื่อผ้าป่าช่วยชาติของเรา หลวงตาขออนุโมทนาขอบคุณกับท่านทั้งหลายเป็นอย่างมากนะ นี่ละมหากุศลอันยิ่งใหญ่จะหนุนชาติของเรา วันนี้มีอานิสงส์มากทุกๆ ท่าน เอาละพอ เหนื่อยแล้ว

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก