เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
มีธรรมเป็นเครื่องระลึกบ้าง
เมื่อวานนี้ได้ทองคำ ๓ บาท ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ ๗๖๔ ดอลล์ ทองคำทั้งหมดเวลานี้ได้ ๙,๑๗๑ กิโลครึ่ง ยังขาดอยู่อีก ๘๒๘ กิโลครึ่งจะครบจำนวน ๑๐ ตัน ดอลลาร์ได้แล้วทั้งหมด ๘,๘๘๑,๕๒๙ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๑๑๘,๔๗๑ ดอลล์ จะครบ ๑๐ ล้านดอลล์ กะว่าทองคำจะให้พร้อมตอนสิ้นเดือนมีนา คาบลูกคาบดอกกับเดือนเมษาต้นเดือน ให้เสร็จเรียบร้อยตอนนั้น ในจำนวนทองคำอย่างน้อยต้อง ๘๒๘ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ก็เหมือนกัน ว่าจุดไหนให้เป็นจุดนั้นเลยเทียว จากนั้นก็กะปริดกะปรอยมาเรื่อยๆ เราก็ไม่มีอะไรละเพราะเราปิดโครงการแล้ว เป็นแต่เพียงว่าเปิดบัญชีเอาไว้สำหรับปลีกย่อยที่มาอยู่ทั่วประเทศไทย มามากมาน้อยก็ต้องมีบัญชีเอาไว้รับกันๆ แต่การปฏิบัตินั้นตามเดิมต่อสมบัติทั้งหลายไม่มีเคลื่อนคลาด
ทองคำได้มาพอสมควรที่จะหลอมเราก็หลอม หลอมถ้ายังไม่ควรมอบเราก็เก็บไว้ก่อน กาลเวลาไม่สำคัญ สำคัญที่ได้มาพร้อมเมื่อไรก็เข้าเท่านั้นเอง อันนี้เป็นส่วนปลีกย่อยไปแล้วจาก ๑๐ ตัน จาก ๑๐ ล้านดอลล์ไปเรื่อยๆ ไม่นานละที่นี่ พิจารณาดูเหตุการณ์ทุกอย่าง ทีนี้ประกาศครอบไปหมดเลย เรียกว่าหยุดโดยประการทั้งปวง ถือเป็นปรกติไปเลย จะทำด้วยความรอบคอบทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ได้ทำชุ่ยๆ เช่นอย่างเปิดโครงการนี้ไว้เผื่ออะไรก็มีเหตุผลเรียบร้อยแล้ว ปิดเพราะอะไรก็มีเหตุผลแล้ว แล้วเปิดบัญชีไว้เพราะอะไรมีเหตุผล ทีนี้ปิดโดยประการทั้งปวงก็เหตุผลพร้อมแล้ว ปิดปุ๊บหมด แน่ะ เป็นขั้นๆ ตอนๆ อย่างนั้น ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพาพี่น้องทั้งหลายดำเนิน เรายังไม่เคยได้มาตำหนิในหัวใจเจ้าของที่เป็นกองพิจารณา หรือคลังแห่งความคิดทั้งโลกทั้งธรรม อยู่ในนี้หมด เราพิจารณาเรียบร้อยแล้วออกๆ ยังไม่เคยเห็นผิดพลาดตลอดมา เพราะเอาธรรมออกดำเนิน ไม่ได้เอาโลกมาแฝงเลย โลกมาผ่านไม่ได้ ตัดขาดสะบั้นเลย เพราะให้ธรรมเดิน ธรรมนี่เดินเพื่อความสงบสุขร่มเย็น แน่นหนามั่นคงแห่งชาติไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนพี่น้องชาวไทยเสมอ ถึงเรื่องการปฏิบัติตัวในนามของชาวไทยซึ่งเป็นชาวพุทธ ลูกชาวพุทธว่างั้นเถอะ ขอให้มีกฎมีเกณฑ์บ้างอะไรก็ดี อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าดังที่เคยเป็นมา นี้เป็นเรื่องของกิเลสเหยียบย่ำทำลายตัวเองและส่วนรวม ให้เสียไปจนกระทั่งจะจมหมดได้เพราะอำนาจของกิเลส
เหมือนกับไฟได้เชื้อ ไฟไม่เคยถอยเชื้อ ไสเข้ามาไสมาเถอะ กิเลสไม่เคยถอยเรื่องรายได้ของมัน ความโลภนั่นเพื่อรายได้ ไม่พอใจก็โกรธเคียดแค้น นี่เป็นตัวสำคัญ จึงขอให้พากันระมัดระวังรักษาตัวสมลูกชาวพุทธ เป็นขั้นๆ ตอนๆ ของผู้รักษาศาสนา พระเรานี่ตามหลักตำราธรรมวินัยคือองค์ศาสดาโดยแท้แล้ว เรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลยเรื่องพระวินัย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมก้าวเดินตามกำลังของตนโดยลำดับลำดา ไม่ใช่เพื่ออ่อนแอนะ ก้าวเดินเรื่อยๆ จากนั้นก็ประชาชนญาติโยม มีกฎมีเกณฑ์ยังไงที่จะปฏิบัติให้เป็นสาระแก่ตนและส่วนรวม ก็ต้องปฏิบัติทุกผู้ทุกคน มีกฎมีเกณฑ์มีเหตุมีผลมีขื่อมีแป แล้วก็ค่อยเป็นไปเรื่อยๆ แล้วจะค่อยชินต่อนิสัยของเรา ต่อไปลูกหลานก็จะมารับมรดกอันดีงามที่มีขอบมีเขตนี้ไปปฏิบัติ บ้านเมืองก็จะมีขอบเขตอันดีงาม
นี่ละศาสนา รักษาทุกแง่ทุกมุม ก็คือรักษาโลกทั้งหลาย โลกนี่มันพิลึกหนา โลกไม่มีประมาณ โลกเป็นฟืนเป็นไฟ ต้องเอาธรรมมาเป็นน้ำดับไฟให้สงบลงพออยู่ได้ ที่จะทำให้ดับหมดเสียจริงๆ มันไม่ได้ ก็ต้องให้ดับพออยู่ได้ทนได้ ท่านผู้ที่ดับไปหมด ภัยก็หมดโดยสิ้นเชิง อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิงตลอดไป เรียกว่า นิพพานเที่ยง คือพอตลอดเลย ท่านว่าเที่ยงตลอด พวกเราชาวพุทธก็ก้าวเดินไป ภัยจะค่อยระงับดับทุกข์ไปด้วยอรรถด้วยธรรม ตามกำลังความสามารถของตนมากน้อยเพียงไร ก็ควรนำมาระงับดับ อย่าพากันส่งเสริม เสียหายมากทีเดียว
ธรรมมีแต่ความส่งเสริมบำรุงอย่างเดียว ไม่มีคำว่าเสียหายบั่นทอน แต่กิเลสมันแทรกเข้าๆ กิเลสกำลังของมันมากยิ่งกว่าธรรม เพราะฉะนั้นโลกถึงมีแต่ความเดือดร้อน ไปที่ไหนร้อนๆ เราว่าแต่ความเดือดร้อนๆ เฉยๆ เราไม่ได้ดูสาเหตุแห่งความเดือดร้อนเป็นมาจากอะไร ถ้าธรรมจับก็เป็นมาจากกิเลส แน่ะ กิเลสลดไปมากน้อยความเดือดร้อนก็จะลดลงๆ กิเลสคือตัวความลืมเนื้อลืมตัวตลอดเวลา อะไรๆ มีไม่พอ ให้กิเลสลากไปๆ หาขื่อหาแปไม่ได้ ตกทะเลหลวงตูมเลย จึงเสียมาก
เราเคยเตือนเสมอ การนำพี่น้องชาวไทยคราวนี้ก็รู้สึกว่าไม่บกพร่องในการนำของเรา ทางด้านวัตถุก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ถึงจุดถึงหมาย มีขื่อมีแปเหมือนกัน เช่นคราวนี้จะเอาให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน นี้ก็คือขอบเขตเหตุผลขื่อแปของชาติไทยเรา นี่ก็นำเข้าจุดนี้ แน่ะ นี่เรียกว่าทางด้านวัตถุ ทางด้านธรรมะก็สอนแทรกกันไปโดยลำดับ ให้ระมัดระวัง ร่างกายของเรา ชีวิตของเรา เป็นสมบัติของเรา เราเป็นผู้ระมัดระวังรักษาและบำรุง ไม่ใช่ทำลาย ต่างคนต้องระมัดระวังรักษาไม่ทำลายตน ทุกสิ่งทุกอย่างอย่าเอาเข้ามาเป็นการทำลายตนด้วยการกระทำของตน นั่นท่านก็สอนว่าอย่างนั้น
การปฏิบัติให้มีธรรมเป็นเครื่องระลึกบ้าง สติธรรมเป็นสำคัญ สติธรรมจ่อลงไปตรงไหน ปัญญาธรรมจะค่อยกระจายออกไป เพราะสตินี้จ่อลง ความรู้นี่จะค่อยแยกออกไป ทีนี้ก็เป็นทางด้านปัญญา เพราะสติความรู้ตั้งแล้ว ทีนี้ความรู้จะกระจายไปไหนก็เป็นความรู้ของสติๆ มันไม่ผิดพลาดนะ ถ้าเป็นความรู้หลักธรรมชาตินี้มันก็เหมือนกับความรู้ไส้เดือน บุ้งกือ(กิ้งกือ) นั่นแหละ คืบคลานไปอย่างนั้นแต่หาจุดที่หมายไม่ได้ คือไส้เดือนบุ้งกือนั่นละ เห็นไหมล่ะมันคืบคลานไปตามทาง นั่นละความรู้ของสัตว์โลกที่มืดบอดเต็มที่ ไม่มีบาปบุญติดหัวใจเลย เป็นอย่างนั้นละ สภาพนั้นใครต้องการไหมล่ะ พวกไส้เดือนบุ้งกือเขาคืบคลานอยู่ตามทาง ใครต้องการไหมล่ะ พิจารณาซิ นั่นละเรื่องความไม่มีคุณค่าเลยในหัวใจของเรา ไม่มีการระมัดระวังรักษา ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนกลายเป็นไส้เดือนบุ้งกือไป ไม่มีค่าอะไรเลย เราต้องพากันระมัดระวัง
สะดวกสบายก็คือเมืองไทยเราตั้งแต่ปู่ย่าตายายมา เราพิจารณา ในพงศาวดารเราก็ดูนี่นะ เราดูเรารู้มาหมด เรื่องพงศาวดารของชาติไทย เดี๋ยวนี้จำชื่อเมืองอะไรๆ ที่แยกแยะกันมายังไงไม่ได้นะ เราดูมาหมดแล้ว ชาติไทยของเราเป็นมายังไง ออกมาจากที่ไหน เราดูพงศาวดารมาโดยลำดับลำดา ต้นตอจริงๆ เป็นกอเดียวกันหมด ไม่ว่าจะแยกไปภาคไหนๆ ออกมาจากต้นตอเดียวกัน แล้วก็มีหัวหน้าแยกไปๆ ต้นตอเป็นกอเดียวกัน เวลาแยกไปก็มีหัวหน้าปกครอง ทีนี้สุดท้ายหัวหน้าทะเลาะกัน ก็เกิดความกระทบกระเทือนถึงบริษัทบริวาร เลยยกกันเป็นพวกเป็นพรรคเป็นเหล่าเลย พวกนั้นเป็นนั้น พวกนี้เป็นนี้ ออกจากหัวหน้านะไม่ใช่ออกจากใคร ไม่ใช่ออกจากกอ ออกจากหัวหน้าพาทะเลาะเบาะแว้ง รบกัน คนนั้นแพ้ คนนี้ชนะ ดูถูกเหยียดหยามกันในอวัยวะของตัวเอง ดูถูกแขนซ้าย ยกยอแขนขวา ก็อวัยวะเดียวกัน แขนซ้ายแขนขวา กอเดียวกันของอวัยวะเดียวกันแล้วก็ทะเลาะกัน นี่เป็นคนนั้น นี้เป็นคนนี้ แยกไปละ จากหัวหน้านะ เราดูมาตลอด เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เคยสนใจกับเรื่องเหล่านี้
หัวหน้าเป็นหลักใหญ่ เราเอาจุดนั้น การดูแลชาติบ้านเมืองดูด้วยความเป็นธรรม บำรุงด้วยความเป็นธรรม เดี๋ยวนี้นานแล้วดูพงศาวดาร ไม่ได้ดูอีก แต่จำได้เล็กๆ น้อยๆ เช่นชื่อนั้นแตกแยกไปตรงไหนๆ ลืมไปหมดเดี๋ยวนี้ แต่พอจับได้ว่าแยกไปอย่างนั้นอย่างนี้ ขึ้นอยู่กับหัวหน้าเท่านั้นละ มีหัวหน้าๆ ทีนี้หัวหน้าทะเลาะกัน บริษัทบริวารก็ทะเลาะกัน แขนซ้ายแขนขวาตีกัน ทีนี้ก็แขนซ้ายแขนขวาดูถูกเหยียดหยามย่ำยีกันละที่นี่ ในอวัยวะเดียวกัน นี่ละเมืองไทยเราเป็นอย่างนั้นนะ ให้พากันจำเอา มันมีตั้งแต่เหยียบย่ำทำลายอวัยวะของตัวทั้งนั้น เพราะเป็นอวัยวะเดียวกัน กอเดียวกัน ออกไปแล้วกลับมาตีกัน แขนซ้ายแขนขวามาตีกัน ใครได้เปรียบที่ไหนจากความแพ้ความชนะ ในระหว่างแขนซ้ายกับแขนขวารบกันตีกันฟันกัน แขนซ้ายแขนหนึ่งกุดลงไป แขนขวายกธงแดงขึ้นมาสง่างามอย่างนั้นได้ไหม มีไหม เอ้าถ้าว่ามี ออกจากนี้ไปให้เขาตัดเสียแขนหนึ่ง แล้วชูแขนหนึ่งขึ้นมาอวดโลกได้ไหม นั่นละมันเป็นอย่างนั้น จึงให้มีความกลมกลืนพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ยึดกอยึดหลักนี้ไว้ให้ดี บ้านเมืองของเราจะมีขื่อมีแปแน่นหนามั่นคง
ไอ้เรื่องความดูถูกเหยียดหยามมันก็เกิดขึ้นจากที่ว่านี่ ตัดมันออกซี อันนี้เป็นสิ่งทำลายไม่ใช่สิ่งส่งเสริมบำรุงให้แน่นหนามั่นคง ตัดออกๆ อะไรที่จะเป็นความแน่นหนามั่นคงในสกลกายของเราหามาบำรุง หามารักษา นั่น ท่านจึงสอนไว้ ความสามัคคีเป็นสำคัญ และธรรมที่ครอบโลก สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายนี้ครอบหมดเลย ละเอียดลออ
สอนทางด้านธรรมะเราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ได้มีข้อต้องติในการสอนของเรา การสอนสอนไปในธรรมทุกขั้น เราไม่เคยสงสัยว่าเราสอนนี้ผิดไปๆ จากหลักความจริงที่มีอยู่ และที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เราสอนยังไงผิดหรือถูก แยกแตกแขนงออกไปผิดพลาดประการใดบ้าง เราไม่มีสงสัย กางออกไปจากหัวใจอันเดียวกันจากการปฏิบัติธรรม รู้ธรรม เห็นธรรมด้วยกัน แล้วจะผิดไปไหน นั่น เพราะฉะนั้นเราถึงยกมือขึ้นเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม จะถามอะไรก็ของอันเดียวกัน นั่น ท่านสอนเพื่อให้รู้ของอันเดียวกัน ไม่ได้สอนให้รู้แตกแยกจากกัน พอจะมาทะเลาะกันในคำสอนพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกันไม่เคยมี สอนลงในจุดเดียวกัน ใครรู้ขึ้นมาก็อ๋อ ๆ ทันทีเลยนั่นมันหายสงสัยตรงนั้นแหละ
สนฺทิฏฺฐิโก ฟังซิน่ะ จะรู้เองประจักษ์เจ้าของ หายสงสัยจากธรรมที่พระองค์ทรงทราบมาแล้วด้วยสนฺทิฏฺฐิโก ของพระองค์เอง เป็นปฐมฤกษ์ ปฐมมงคล แล้วก็มาสอน บรรดาสัตว์ทั้งหลายให้ประพฤติปฏิบัติ ผลดีผลชั่วจะรู้ขึ้นในตัวเอง ถ้าไม่สนใจปฏิบัติ ตายทิ้งเปล่า ๆ การสอนโลกเราก็สอนตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ทุกขั้น ๆ ของธรรม จนถึงแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว ทะลุพุ่งเลย สอนหมด เพราะเหตุไรจึงสอนหมด พูดให้มันจริงก็เคยพูดมาแล้ว มันเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้ว จะให้บกพร่องที่ตรงไหนว่าหยิบไม่ถูก ก็ของอยู่กับตัว ยื่นออกไปก็ออกไปจากมือของตัวเอง กำไว้ก็อยู่ในมือของตัวเอง ธรรมอยู่ในหัวใจยื่นออกไป ก็ใจยื่นออกไป เก็บไว้ด้วยเหตุผลกลไกที่เหมาะสม ก็ธรรมและหัวใจเป็นผู้เก็บเอง กระจายออกไปเพื่อประโยชน์แก่โลกก็เป็นหัวใจที่กระจายออกไปเอง คือแสดงธรรมชี้แจงบอกให้ทราบความถูกความผิดอะไร เรียกว่าธรรมกระจายออกไป ที่เก็บไว้ก็เหมือนน้ำในตุ่ม เย็นฉ่ำอยู่ในนั้นแหละ ต้องการเท่าไรก็เก็บเอาไป
นี่ก็ได้พยายามช่วยมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทางด้านวัตถุก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทางด้านธรรมะก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราไม่สงสัยในการสอนโลก สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามขั้นภูมิตลอด ทะลุเลยก็เอา เอ้าว่ามา ว่างั้นเลย ดังที่เราพูดตะกี้นี้ เมื่อเร็วๆ นี้ ยกตัวอย่างลูกชาวพุทธเราโดยหลักธรรมชาติ เขาปฏิบัติตามอรรถธรรมโดยหลักธรรมชาติเหมือนกัน ธรรมแท้เป็นหลักธรรมชาตินะ เสกสรรปั้นยอแง่นั้นแง่นี้ขึ้นมา มันเป็นกิ่งก้านสาขาของธรรม ธรรมแท้จะปรากฏที่ใจ กิเลสแท้ปรากฏที่ใจ แก้ไขตรงนั้นแล้วบริสุทธิ์ที่ใจ
ดังที่เขาปฏิบัติเขาเล่ามา เขาปฏิบัติแล้วเขาเล่ามาๆ ตามเหตุผลกลไกที่ถูกต้องดีงาม จนกระทั่งทะลุไปเลย เราก็ไม่มีที่ค้านเขา เขาก็ไม่เคยมาถามเรา ก็ต่างคนต่างไม่สงสัยกัน เราก็ไม่สงสัยเขา เขาก็ไม่สงสัยเขาพอจะมาถามเรา หรือจะมาทดลองภูมิของเรา เขาก็ไม่เห็นมี นั่นละหลักธรรมชาติ ใครรู้ที่ไหนจริงในตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันหมด นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก จำเป็นอะไรจะต้องหาใบประกาศนียบัตรมาติดที่นั่นติดที่นี่ ถ้าติดมันก็จะไม่มีอะไร ใบประกาศนียบัตรเอาวัดป่าบ้านตาดก่อนนะ สมมุติว่าติด ติดนี้เขียนวันยังค่ำมันจะครบไหมนะ ในครัวนี้มีกี่คน แล้วพระนี้มีกี่องค์ หมามีกี่ตัว ไก่มีกี่ตัว ไก่มีลูกกี่ตัว กระจ้อนกระแตมีลูกกี่ตัว ประมวลที่จะเขียนใบติดประกาศๆ
ทางหมอนเขาก็ยกไม้เอาไว้คอยตีหน้าผากคน เขียนในหมอนก็บอกว่าอย่ายุ่ง คือมันนอนมาจนหมอนแตก หมอนจนเกิดเรื่องเกิดราว พอเห็นมันเงือดเงื้อจะตีหน้าผาก หมอนแตกเพราะหัวพวกแกที่ขี้เกียจนั่นละ พวกนี้พวกขี้เกียจมาก ต้องได้ติดประกาศไว้เต็มแหละในวัดในวา พระองค์ไหนก็เหมือนกันมีตั้งแต่ประกาศอย่ายุ่งๆ คือมันหมอนแตกเพราะหัวของพวกเธอแหละ ความขี้เกียจขี้คร้าน พวกเตียงพวกตั่ง ที่หลับที่นอน มีแต่ขาดอีลุ่ยฉุยแฉก เพราะพวกนี้กินไม่ถอย นอนไม่ถอย หลับไม่ถอย ขี้เกียจไม่ถอย ความยุ่งกับเสื่อกับหมอนไม่ถอย มันต้องได้เขียนประกาศเอาไว้ ถ้าเขียนประกาศก็จะเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นยังไงเขียนทั้งวันเอาดูซิน่ะ ตั้งแต่เขียนลูกไก่ตัวเดียวมันก็ไม่พอ ไก่มันห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับมัน พวกเรานี่มันพวกกองยุ่ง จึงไม่เขียน นี่เราสอนด้วยปาก ให้พากันจำเอานะ
ให้ฝึกหัด อยากเป็นคนดีอย่าอยู่เฉยๆ ต้องมีการฝืน ความชั่วบีบลงๆ การฝืนเพื่อแก้ตัวเองให้เล็ดลอดออกจากความชั่วต้องฝืนกัน ไม่ฝืนไม่มีค่าเลยมนุษย์เรา พระพุทธเจ้าท่านสอนมาแล้ว ฝึกจนว่าสลบสามหน เห็นไหมล่ะ พระสงฆ์สาวกแต่ละองค์ๆ อุ๊ย น่าสลดสังเวชนะความเพียรของท่าน นั่นละคือฝืนทั้งนั้น ฟัดกับกิเลส กิเลสกองทัพใหญ่ ธรรมะก็กองทัพใหญ่ ซัดกันเลยๆ ถ้าปล่อยให้หมอบกับกิเลสแล้วกิเลสเหยียบแหลกๆ หาความสุขไม่ได้นะ ตื่นนอนขึ้นมาถึงค่ำได้ความสุขอะไรบ้างไหมวันนี้ไม่มี มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายเต็มหัวอก แสดงออกมากิริยามารยาทดิ้นดีดเหมือนคนจะตาย นี่ละกิเลสบีบบังคับหัวใจสัตว์โลกเป็นอย่างนั้น พากันจำเอานะ
ต้องได้ฝึก ไม่ฝึกไม่ได้นะ ทรมานกัน ต่อสู้กัน แก้ไขกัน ไม่แก้ไขปล่อยเลยตามเลยมันก็เตลิดเปิดเปิงลงทะเลหลวงไม่มีค่ามีราคา ซุงทั้งท่อนเขางัดขึ้นมาถากมาเรื่อยไสกบลบเหลี่ยมเป็นประโยชน์แก่ตึกรามบ้านช่อง และสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่คนเป็นซุงทั้งท่อนไม่มีประโยชน์อะไร เราอยากเป็นซุงทั้งท่อนไหม ถ้าไม่อยากเป็นซุงทั้งท่อนให้ฟิตตัวให้มีค่ามีราคา ไปที่ไหนซุงทั้งท่อนนี้เป็นประโยชน์ไปหมดนะ งัดขึ้นไปเลื่อยที่ไหนเขาทำเป็นประโยชน์ คนทั้งคนนี้ดีอยู่แล้วไปที่ไหนเป็นประโยชน์ไปหมด ถ้าไม่ดีอยู่ที่ไหนก็ไม่ดี จำเอานะ เอาละพูดเท่านั้นละ เหนื่อย
วันไหนก็พูดคนเก่า ปากเก่า หูเก่า มันไม่มีของใหม่มาพอจะตื่นเต้นในการเทศน์ มีแต่หูเก่าทั้งนั้นแหละ อะไรนี่ นี่ก็เขียนใบยุ่งมาแล้วเหรอ อย่ายุ่งเข้าใจไหมล่ะ เขียนไว้เต็มติดไว้หมดแถวนี้ ตั้งแต่เข้ามาหน้าวัดเขียนว่าอย่ายุ่งมาตลอดไปเลย พากันเข้าใจเหรอ เรื่องเขียนอย่ายุ่งตะกี้นี้น่ะ เอาติดประกาศตามเสื่อตามหมอนของตน ตรงไหนความขี้เกียจมาก ๆ เอาไปติดไว้ตรงนั้น อย่ายุ่งกับมันความขี้เกียจ มันเผาเรามากแล้วว่างั้น เข้าใจไหมล่ะ ทุกขัง
โยม พระหลวงตาเจ้าค่ะ วันนี้ผ้าป่าหน้าศาลา ๒,๐๗๐ บาท แล้วก็ ๒ ดอลลาร์เจ้าค่ะ
แล้วหน่อยที่ถอดเทปพระหลวงตา เขาฝากกราบถวายทอง ๑ บาท บูชาคำสอนพระหลวงตา
หลวงตา เออ ๆ เข้าใจแล้ว เขาถอดเทปอยู่ที่สวนแสงธรรม หน่อยคนนั้น เทศน์ที่ไหนมาเขาก็มาถอดๆ ทีนี้จะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา ตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com |