ได้พันกิโลเหมาะมาก
วันที่ 10 มกราคม 2547 เวลา 9:00 น. ความยาว 33.27 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ได้พันกิโลเหมาะมาก

 

         เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑๒ บาท ๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๘ ดอลล์ เราจะเร่งทองคำจากนี้ไป เพราะจะปิดโครงการในวันที่ ๑๒ เมษา ข้างหน้านี่ พ.ศ. ๒๕๔๗ วันเดียวกันกับปิดโครงการ ก็มอบทองคำ ดอลลาร์ พร้อมเสร็จในวันนั้นเลย ทองคำอย่างน้อยต้องได้ตามที่กำหนดไว้ รวมทั้งหมดเป็น ๑๐ ตันในวันนั้น อย่างน้อยต้อง ๑๐ ตัน เวลานี้ขาดอยู่ ๘๓๑ กิโลจะครบ ๑๐ ตัน สำหรับดอลลาร์ขาดหนึ่งล้านกว่าเล็กน้อย ดอลลาร์ไม่ค่อยหนักใจอะไรนัก ส่วนทองคำนี้มันกดถ่วงใจหนักตลอดมานะ แต่ก็มีลูกศิษย์ปลดตลอดมาเหมือนกัน คือลูกศิษย์นี้ปลดเป็นพื้นมาเลย ปลดออกๆ คราวนี้กะว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย ยังขาดอยู่ ๘๓๑ กิโล ทองคำ จะครบ ๑๐ ตัน

ส่วนบัญชีสำหรับรับบริจาคไม่ได้ปิดนะ มีแต่โครงการที่เราเป็นผู้ตั้งขึ้นมาเองแล้วมันก็อยู่บนหัวเรา กดหัวเราเรื่อย ไสไปที่นั่น ไสไปที่นี่ นี่เราก็ปลดมันออก ให้โครงการอยู่เป็นโครงการ เราเป็นเรา ทีนี้การจะเทศนาว่าการที่ไหนๆ ก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยและธาตุขันธ์ของเราเอง ไม่ให้เป็นไปตามโครงการ วันที่ ๑๒ เมษา ไปแล้ว ส่วนบัญชีทั้งหลายนั้นเปิดไว้ตามเดิม เพราะบรรดาพี่น้องชาวไทยเรามีทุกแห่งทุกหน แล้วส่งมาเรื่อย หนุนมาเรื่อย เช่น เงินก็โอนมาบ้าง ส่วนทองคำ ดอลลาร์นี้มาอยู่เรื่อยๆ จึงต้องเปิดบัญชีเอาไว้ หากว่าได้เศษได้เหลือจากทองคำจำนวน ๑๐ ตัน ดอลลาร์จำนวน ๑๐ ล้านไปแล้ว เราก็ปฏิบัติตามเดิม คือได้เศษได้เหลือมาเท่าไร ทองคำที่ควรจะหลอมก็หลอมตามเดิม ถ้ายังไม่พอก็เก็บไว้ก่อน เมื่อพอแล้วก็เข้าคลังหลวงตามเดิมเช่นเดียวกับดอลลาร์ ทั้งสองอย่างนี้เข้าตลอด

เราเก็บรักษาไว้ด้วยความปลอดภัยตลอดมาและจะตลอดไป เมื่อเราเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในสิ่งนี้อยู่จะไม่เป็นอย่างอื่น คิดว่าทองคำเราคงจะมีเศษมีเลยบ้างอยู่แหละ ได้ ๑๐ ตันก็ ๑๐ ตัน มัดมือติดกันไว้ไม่ให้เคลื่อนมันก็ไม่ถูกใช่ไหม ถ้า ๑๐ ตันก็ ๑๐ ตันกับเท่านั้นเท่านี้แล้วเหมาะนะ เราคิดว่ายังจะได้อยู่อีก จาก ๑๐ ตันแล้วยังหวังไว้นะ เศษเท่านั้นเท่านี้ไป ดอลลาร์ก็เหมือนกัน เศษเท่านั้นเท่านี้ไป ส่วนเงินสดเราไม่หวังกับมันแหละ หวังอะไร ก็มันไหลออกตลอดเวลา รอบประเทศไทยเรานะเงินสดไม่ใช่ธรรมดา ความจำเป็นมีอยู่ทั่วประเทศไทย เรียกว่าทุกภาคเลย จะออกจากเงินจำนวนนี้ไปเฉลี่ยไปให้ทั่วถึง

เมื่อวานนี้ก็ไปโรงพยาบาลโนนสะอาด ไปดูกำแพง ตึกสองหลังๆ ละสองชั้นด้วยกัน ใหญ่ด้วย ไปดูเมื่อวาน วานซืนก่อนหน้านั้นก็ไปทางโน้นไปดู นี่ก็โรงพยาบาลเหมือนกัน ออกไปเรื่อยๆ  เราได้ช่วยบรรดาพี่น้องทั้งหลายมากน้อยเราพอใจ เราดีใจ สำหรับเราเองมันเหลือเฟือ ก็ดูซิพี่น้องทั้งหลายดูซิ กินให้ตายก็ตาย ในเช้าวันนี้ตายเช้าวันนี้แน่ พระมา กุสลา ไม่ทัน อาหารท่วมปากหลวงตาบัว ทุกอย่างท่วมตลอด นี่ที่มันล้นเหลือๆ อย่างนี้ ผู้อดอยากขาดแคลนมีเท่าไร แล้วจำนวนมากขนาดไหน มันต้องได้มองซิ เพราะฉะนั้นเราจึงมองตลอดเลยเทียว สำหรับตัวเราเองมันท่วมตลอด มีแต่ปัดออกเท่านั้นไม่งั้นท่วมปากตาย ได้ช่วยข้างนอก ช่วยทางโน้นทางนี้เรื่อย

อย่างเงินส่วนตัวเรานี้ไม่มีพูดถึงมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ไม่มี ไม่เคยสนใจกับเงินกับทองอะไรเลย ได้มาแล้วสั่งเลยๆ ตั้งแต่ต้นเลยนะ ไม่มี จตุปัจจัยไทยทานเข้ามานี้ แยกๆ สั่งเลย โรงร่ำโรงเรียนตั้งแต่ต้นนะ คนทุกข์คนจน แล้วก็โรงพยาบาล มาแต่ต้นด้วยกัน โรงเรียน โรงพยาบาล คนทุกข์คนจน มาพร้อมกันแต่ต้นที่เราเริ่มสร้างวัด มาเรื่อยๆ เป็นประจำมาตลอด เงินเราไม่เคยเก็บ ได้เท่าไรๆ เราไม่เคยสนใจกับเรา คอยฟังตั้งแต่ภายนอก ที่ผู้เข้ามาติดต่อขอความช่วยเหลือ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร เราจะพิจารณาตามนั้นเท่านั้น แล้วก็เรื่อยมาเป็น ๔๗-๔๘ ปีนะ สร้างวัดมานี้ได้ ๔๘ ปีนี้แล้ว ตั้งแต่ ๒๔๙๙ ถึง ๒๕๔๖ มันก็ ๔๘ แล้วกำลังเริ่ม ๔๙ ไม่ใช่เหรอ นี่ละตั้งวัดมาขนาดนั้น แล้วก็เฉลี่ยมาตลอด

ไม่ว่าส่วนใด สมบัติมีมากมีน้อยไม่เคยเก็บ ส่วนที่เป็นปัจจัยไทยทานต่างๆ ซึ่งควรจะเข้าทางวัด แยกไปทางวัด ควรจะเข้าทางประชาชน คนทุกข์คนจนส่วนรวม แยกไปๆ ตลอดมาอย่างนี้ เราทำอย่างนั้น เพราะอันนี้เราพูดจริงๆ ด้วยอำนาจแห่งความเมตตามันเป็นเอง เป็นหลักธรรมชาติครอบอยู่อย่างนั้นเลย กระจายออกทั่วโลก สิ่งใดที่พอจะสนองความต้องการคือความเมตตานี้ได้มากน้อย มันจึงตกค้างอยู่ไม่ได้กับเรา มีเท่าไรออกเลย เพราะมันดึงอยู่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีมันก็มาคว้าตรวจดูในกระเป๋า ยังมีเหลืออยู่บ้างไหม อย่างนั้นนะ ความเมตตาละมาค้นดูในกระเป๋าเรามันยังเหลืออยู่บ้างไหม

ถ้ายกภาพพจน์ขึ้นเป็นข้อเปรียบเทียบ เหมือนกับว่าความจำเป็นมันไหลเข้ามา แล้วมาค้นกระเป๋าเราอยู่เรื่อยๆ มันจะมีได้ยังไงเป็นอย่างนั้น ถูกค้นถูกตรวจอยู่ตลอดเวลา อำนาจความเมตตา เรามีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้ากับประชาชน เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเรา ขอให้มีธรรมแทรกเข้าในใจมากน้อย จะผิดแปลกต่างกันกับส้วมกับถานที่เคยโปะหัวเรามา ครอบหัวเรามาเป็นประจำตั้งกัปตั้งกัลป์ พอธรรมแทรกเข้าไปก็เป็นการชำระออก และเห็นความสะอาดสะอ้านมีคุณค่ามากกว่าส้วมกว่าถานเป็นลำดับลำดาไปนะ อย่างที่ว่าเหล่านี้เราไม่ได้โอ้ได้อวด เราพูดตามหลักความจริง เราก็บอกแล้วว่า เราจวนจะตายแล้ว ก็ว่าอย่างนี้เลยจะให้ว่ายังไงอีก ก็จะพูดได้ทำได้ประโยชน์มากน้อยแก่ผู้ที่มาเกี่ยวข้องมารับ เท่าที่เราชีวิตยังมีอยู่เท่านั้น ที่จะพูดอย่างนี้

ความรู้สึกของหัวใจดวงอื่นดวงใดกับหัวใจของเราจะผิดกันหรือไม่ ไม่ต้องคาดมันก็รู้เอง เข้าใจไหมล่ะ กิริยาที่แสดงออกจากความรู้สึกอันนี้มันก็ต้องต่างกันเป็นธรรมดา แสดงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ด้วยความบริสุทธิ์ใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะอ่อนจะโยน นิ่มนวลประการใด หรือดุเดือดเข้มข้นประการใด เป็นเรื่องของธรรมสาดลงมากน้อยๆ ต่างกันไปอย่างนั้น มันไม่มีพิษมีภัยออก แน่ได้เลยว่าไม่มี ว่างั้นเลย ถ้ายังมีอยู่เป็นพิษ พระพุทธเจ้าไม่ได้นำพิษมาสอนโลก นำแต่คุณทั้งนั้น คุณก็คือธรรมนั่นเองมาสอนโลก ทีนี้การสอนโลก เมื่อธรรมอย่างเดียวกันออกมาก็แบบเดียวกัน ตามขั้นตามภูมิอุปนิสัย ความสามารถของผู้ที่จะนำออก ได้มามากน้อยออกไปมากน้อย นี่ต่างกัน แต่เรื่องหัวใจเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร เต็มภูมิของจิตใจ ของนิสัยวาสนาแต่ละรายๆ เรื่องที่ว่าเมตตานี้เราไม่อยากพูดว่ามีน้อยอะไรๆ คือธรรมชาตินี่มันครอบไปหมด เป็นแต่เพียงว่าสิ่งที่จะสนองหรือกระตุ้นจิตใจมันมีมากน้อยต่างกันอยู่

ถ้าธรรมได้แทรกในหัวใจจะแสดงคุณค่าขึ้นมาทันทีนะ เท่าที่มันแสดงไม่ได้ก็คือ มูตรคูถสิ่งหาค่าหาราคาไม่ได้ มีแต่โทษทั้งนั้นมันครอบอยู่ที่หัวใจ หัวใจกระดิกออกมาไม่ได้ ความแปลกประหลาดของธรรมก็ไม่เห็น ก็เห็นแต่ความสกปรกโสมมเต็มโลกเต็มสงสาร ผลของมันที่แสดงออกมามีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย รบราฆ่าฟัน แย่งชิงกันประเภทต่างๆ  ล้วนแล้วแต่เรื่องของกิเลสออกทำงานทั้งนั้น แต่โลกไม่มอง ธรรมเห็นหมดนี่จะว่าไง

การแสดงออกหรือการตอบรับกับความเห็นเหล่านั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ควรไม่ควรก็รู้อยู่ในตัวเสร็จ ควรที่หูหนวกตาบอดก็บอดไปหนวกไปเสีย ควรจะดีมากน้อยออกไปก็กระจายตามความจำเป็นที่สัมผัสสัมพันธ์ ที่ควรจะออกรับกันในเวลานั้นเท่านั้นๆ หนักเบามากน้อย นี้เป็นกิริยาของธรรมแสดงออกจากใจดวงเดียวนั้น นี่สอนแล้วสอนเล่าเรื่องอรรถเรื่องธรรม ถูกปิดไว้ตลอดด้วยสิ่งไม่มีราค่ำราคาสกปรกโสมมเป็นพิษในนั้นด้วย ครอบจิตใจ ใจก็ได้รับความลำบากจากสิ่งเหล่านี้ด้วย ที่จะออกทำประโยชน์มันจะมีกำลังออกมาได้ยังไง เมื่อมีแต่สิ่งหาคุณค่าราคาไม่ได้ และเป็นพิษเป็นภัยเต็มตัวครอบหัวใจอยู่ หัวใจดวงใดก็ตามเถอะ หมดราคาไปด้วยกัน ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้ปกคลุมมากน้อย มีหนามีบางของกิเลสครอบหัวใจสัตว์โลก ใครมีบางกว่ากันธรรมก็แสดงออกได้ตามส่วนของธรรม ถ้ามันหนาเสียจริงๆ มันไม่ได้หวังคุณอะไรนะ คุณของคนอื่น แต่มาหวังคุณของตนด้วยอำนาจของกิเลสซึ่งเป็นภัยล้วนๆ นี้เท่านั้นเต็มหัวใจ การแสดงออกจึงเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้เกี่ยวข้อง นอกจากตัวเองไปแล้ว กระจายไปไหนเป็นภัยไปทั้งนั้น นี่เรื่องของกิเลสให้พากันทราบเสียนะ

เรื่องของธรรมมีมากน้อย จะแสดงความร่มเย็นผาสุกขึ้นในตัวเองก่อนอื่นแหละ จากนั้นกระแสก็ออก กระแสของธรรม ต่างกันนะเรื่องธรรมกับโลก  คำว่าโลก ท่านให้คำรวมๆ เป็นคำสวยงาม ก็โลกกิเลสนั่นแหละจะเป็นอะไรไป ตัวสกปรกนั่นแหละ ตัวทุกข์จึงอยู่ที่นั่น ธรรมแล้วเป็นความสะอาด ความสุขมากน้อยจะอยู่กับธรรมๆ กระจายออกไปเรื่อยๆ อย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเห็นอรรถเห็นธรรมเหมือนกับเห็นขี้หมูขี้หมา ดังที่ท่านแสดงไว้ในนิทานอีสป อันนี้มาจากคัมภีร์นะ ตั้งแต่เราเรียนหนังสืออยู่ ครูเอานิทานอีสปมาให้อ่าน เราก็อ่านตามประสาเด็ก ที่จำได้ก็มี จำไม่ได้ก็มี เวลาเรียนแล้วไปค้นดู โอ๋ย มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก นักปราชญ์ท่านเฉลียวฉลาด ท่านนำมาให้กุลบุตรได้พิจารณาเป็นคติเครื่องเตือนใจ

ท่านแสดงไว้ เช่นอย่างที่ว่า ไก่แจ้ที่เห็นพลอยนั่นแหละ มี ในธรรมะมี เขียนไว้เราก็ได้ตั้งแต่เป็นเด็ก ไก่แจ้ตัวหนึ่ง คุ้ยเขี่ยหาอาหาร ไปพบพลอยเม็ดหนึ่งงามดีมีค่ามาก จึงร้องเปรยๆ ขึ้นว่า นี่ ชี้ใส่พลอย ถ้าเจ้าของของเจ้ามาพบเจ้าเข้าเช่นนี้ เขาคงเก็บเจ้าไปฝังไว้ในหัวแหวนตามเดิม แต่นี้เจ้าไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา สู้ข้าวสุกข้าวสารเมล็ดเดียวก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็คุ้ยเขี่ยเลยไปในแปลงอื่นๆ แล้วก็มาสรุปความว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของที่ดีย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รู้จักใช้เท่านั้น นั่น มันก็จำได้ พอมันเห็นปั๊บมันก็เข้ากันถึง อ๋อ นี่ออกไปจากธรรมะข้อนี้ คัมภีร์นี้เอง เรื่องอรรถเรื่องธรรมสำหรับไก่แจ้แล้วไม่เป็นประโยชน์อะไร สู้มูตรสู้คูถส้วมเดียวก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็คุ้ยเขี่ยเลยไปหาหลุมมูตรหลุมคูถอื่นๆ ไปเรื่อยๆ เข้าใจ แปลออกไปอย่างนั้นซิ ท่านสอนไว้เป็นประโยชน์มากนะ เอามาอ่าน โอ๊ นี่มันเป็นคติ ที่ออกมาจากในชาดก เห็นได้ชัด

อย่างที่ว่าหงส์หามเต่า เต่าหาบหงส์นั่นละ นี่ก็มี แล้วเรายังไม่ลืม อาจารย์ชื่อว่าบุญหรือไง เป็นญาติกันกับท่านอาจารย์ฝั้น ชื่อไม่นึกว่าจะลืมก็ลืมนะ พรรษาก็ไล่เลี่ยกัน ท่านเป็นญาติกัน อยู่บ้านม่วงไข่ พรรณานิคม ท่านมาพักกรรมฐานอยู่ในป่าตะวันตกบ้าน แต่ก่อนเป็นดงหมดนี่ ตอนค่ำเราก็ไปฟังเทศน์ท่าน ผู้ใหญ่ท่านพาออกไป ท่านก็เล่านิทาน ก็สมควรกับพวกนี้จะพอเข้าใจได้แค่นี้ ท่านก็เอาธรรมประเภทนี้มาสอน เราก็ฟัง แต่มันจำได้นะเด็ก จำได้หากไม่เป็นอารมณ์อะไร นู่นเวลาไปดูในคัมภีร์ในพระไตรปิฎกจึงไปเจอ โอ๊ย อันนี้ออกมาจากนั้น ออกมาจากนี้เอง นั่นอย่างนั้นนะ

นิทานสอนพวกปากเปราะ พวกปากเปราะไปที่ไหนทำลายเพื่อนฝูง ท่านว่างั้น คนที่เขารู้จักการคบค้าสมาคม เขาไม่เป็นคนปากเปราะ เขาเก็บความรู้สึกเอาไว้ มาพินิจพิจารณาคัดเลือกเหตุผลต้นปลายดีชั่วของสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา เขาไม่ได้นำออกไปกระจาย ท่านแสดงไว้เราไม่ลืมนะ ปากเปราะนั้นคือว่าพูดพล่ามไปเลย อะไรๆ พูดพล่าม เขาเรียกคนปากเปราะปากบอน ท่านสอนอย่าให้เป็นคนปากเปราะปากบอน ไปที่ไหนเลอะเทอะไปหมด อันนี้มันมีนิทานมาจาก ท่านว่าอย่างนั้น นิทานมาจาก หงส์สองตัวผัวเมีย ไปหากินอยู่ตามบึงตามบ่อต่างๆ ไปก็ไปเจอเต่าตัวหนึ่งงุ่มง่ามต้วมเตี้ยม หากินอยู่แถวนั้นแหละ

หงส์สองตัวผัวเมียเลยถาม หาอยู่หากินมันพอปากพอท้องไหมล่ะ คือหงส์ไปเจอเข้า ถาม อู๊ย อดบ้างอิ่มบ้างแหละ ว่างั้น แล้วที่สมบูรณ์กว่านี้อยากไปไหม โอ๊ย อยากไป แต่ไม่มีปีกเหมือนท่านละซิ เรามีแต่ขาเดินต้วมเตี้ยมๆ นี่ถ้าหากว่าเธอระวังปากเธอได้ เราจะหามเธอนี้ไปลงในบึงในบ่อใหญ่ๆ ซึ่งอาหารหวานคาวสมบูรณ์บริบูรณ์เต็มที่ เธอจะรักษาปากได้ไหม ว่างั้น คือเวลาไป เราจะเอาไม้มาให้เธอคาบตรงกลางนี้ เราทั้งสอง ตัวหนึ่งคาบทางนี้ๆ แล้วจะบิน เป็นหงส์หามเต่าไป เธอจะรักษาปากได้ไหมเวลาไปนั้น ได้ยินเสียงอะไร เรื่องราวอะไร ห้ามไม่ให้พูด ถ้าพูดนี้ปากจะหลุดจากนี้แล้วตก ว่างั้นนะ จะรักษาปากได้ไหม

คนที่มักปากเป็นมันก็ปากเป็นทั้งสอง มันก็ตอบทันทีเลย เรียกว่าปากเปราะอีกเหมือนกัน จะรักษาปากได้ไหม รักษาได้  ว่างี้นะ มันก็เปราะไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน จากนั้นหงส์สองตัวผัวเมียก็ไปเอาไม้มาให้เต่าคาบ แล้วก็บินไปจะเอาไปใส่บึงใหญ่ๆ นั่นละ พอบินข้ามไปพระราชวังเมืองพาราณสี คนในพระราชวังเต็มอยู่นั้นเขาก็เห็นหงส์หามเต่า เขาบอก โอ๊ย หงส์หามเต่าๆ คนนั้นก็ทัก คนนี้ก็ท้วง ว่าหงส์หามเต่า ทางนี้ก็คันๆ ละซี เขามีแต่ยกยอหงส์หามเต่า เต่าหาบหงส์ไม่เห็นพูด เขาคิดว่าอย่างนั้น ก็เลยว่า มันหงส์หามเต่าหีพ่อหีแม่สูเหรอ สูไม่รู้จักว่าเต่าหาบหงส์หรือ ทีนี้ปากมันก็หลุด เลยหล่นตูมลงไปเมืองพาราณสี เต่าตัวนั้นแตกกระจัดกระจาย เลือดกระสานซ่านเซ็นไปถึงไหน พวกนั้นเป็นคนปากเปราะปากเป็นไปตามๆ กันหมด ว่างั้นนะ

ให้พากันระวังปากนะ ถ้าพูดอย่างชัดๆ ก็ว่า เดี๋ยวบ้านตาดนี้มันจะเป็นคนปากบอนปากเปราะไปหมดนั่นแหละ ความหมายก็ว่างั้น นี่มี นี่ความปากเปราะ เสีย ท่านเล่าให้ฟัง เราก็ โอ๋ เป็นอย่างนี้เอง ปากเปราะปากบอน พูดได้ทุกอย่างหาสาระไม่ได้ แต่การทำลายไปประจำ มีเยอะในหนังสือนักเรียน หนังสือเราเรียนแต่ก่อน เวลาไปเจอในพระไตรปิฎกถึงได้รู้ๆ อ๋อ ออกไปจากนี้ๆ รู้ ท่านนำมาสอนพวกเด็กที่ควรจะได้เป็นคติตัวอย่าง นับแต่ผู้ใหญ่ลงไป

กะว่าทองคำคราวนี้จะเร่งละ กะว่าจะให้ได้พร้อมในระยะสิ้นเดือนมีนา ว่างั้นนะ พอต้นเดือนเมษาก็พร้อมแล้ว เรียบร้อยแล้ว ถึงวันที่ ๑๒ ก็ออก มอบทองคำ ดอลลาร์ พร้อมกันกับวันปิดโครงการในวันนั้น เรากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว จะได้เร่งทองคำตอนนี้แหละ ให้ได้ตามจุดหมาย จะได้มากกว่านั้นเท่าไรเราก็ไม่ว่า พลอยอนุโมทนาสาธุการไปตามเท่านั้น แต่ถ้าขาดนี้ โอ๋ย ไม่ได้ เสียหน้าคนไทยทั้งประเทศทีเดียว ไม่ใช่เสียเล็กน้อยนะ ประกาศป้างๆ มานี้นานเท่าไรแล้ว ว่าทองคำให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ได้ ๑๐ ล้าน แล้วขาดสะบั้นลงไป ทองคำได้ ๕ กิโล ดอลลาร์ได้ ๕ ดอลล์ เป็นยังไง เมืองไทยเราเป็นยังไง ฟังเอาซิตรงนี้ตรงจุดสำคัญ จุดที่มันจะสังหารอยู่จุดนี้นะ เอาให้ดี ถ้าได้มากกว่านั้นยิ่งดี

ถ้าให้สมใจของเราจริงๆ เราพูดเฉยๆ นะ ไม่ใช่เป็นข้อบังคับพวกเราทั้งหลาย ว่าให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน นี้เป็นข้อบังคับของคนทั้งชาติเข้าสู่คลังหลวงเรา เพื่อความสมบูรณ์พูนผล ศักดิ์ศรีดีงามจะเด่นขึ้นตรงนี้ เรากำหนดไว้ตายตัว แต่ถ้าได้มากกว่านี้ขึ้นไปเราไม่ว่าๆ ให้มันสมใจเสียจริงๆ แล้ว คราวที่แล้วได้ตั้งพัน ๔๐๐ กว่ากิโล คราวนี้ถ้าได้พันกิโลนี้ แหม เหมาะมากนะ เราเหมาะมากทีเดียวถ้าได้พันกิโลคราวนี้ แต่ได้ไม่ได้ไม่ว่าแหละ คืออันไหนที่ปัก ปักจริงๆ อันไหนที่เป็นผลพลอยได้ก็ให้เป็นไปตาม เราไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ถ้าลงฟาดเสียทองคำน้ำหนัก ๑,๐๐๐ กิโลเลยไปแล้วพอใจ แล้วปิดกึ๊กเลย อย่างสง่างามทั่วประเทศไทยเรา อันนี้เป็นสิ่งที่จะทำความสง่างามแก่ชาติไทยของเรา คราวนี้คราวหนึ่งนะ

คราวปิดโครงการไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เพราะฉะนั้นเวลามีลูกศิษย์ลูกหามาปรึกษาหารือ อยากขอเรียนเชิญนายกฯ ท่านมาในงานนี้ด้วย มาปรึกษาเรา เราก็เห็นด้วยทันที เพราะนายกฯ ก็เป็นผู้นำของคนทั้งชาติ สมควรอย่างยิ่งที่จะเชิญท่านมา เราไม่ขัดข้องอะไร เอ้า เชิญได้ ว่างั้น การที่ท่านจะมาได้หรือไม่ได้ ให้เป็นตามอัธยาศัยของท่าน เราว่างั้น เขาปรึกษาแล้วเขาได้เขียนหนังสือมา เราก็ได้เซ็นส่งไปหานายกฯ เรียบร้อยแล้ว แล้วก็เปิดโอกาสให้ท่านสะดวกสบาย ท่านจะมาหรือไม่มาให้เป็นตามอัธยาศัยของท่าน เราว่างั้น เรื่องใหญ่ก็อยู่จุดนี้แหละ

ทองคำเราที่เข้าแล้วเวลานี้ ๙,๑๒๕ กิโล ดอลลาร์เข้าไปแล้ว ๘,๘๐๐,๐๐๐ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นทองคำ ๙,๑๖๘ กิโลครึ่ง ยังขาดอยู่ ๘๓๑ กิโล จะครบจำนวน ๑๐ ตัน ดอลลาร์ได้แล้ว ๘,๘๖๙,๕๕๖ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๑๓๐,๔๔๔ ดอลล์ จะครบ ๑๐ ล้านดอลล์ อันนี้ต้องตายตัวเลย ขาดไม่ได้ ส่วนที่จะเพิ่มได้เท่าไร เป็นส่วนเศษส่วนเหลือของพี่น้องชาวไทยเรา เราพอใจโดยลำดับลำดา ที่พอใจมากที่สุดคราวนี้ ถ้าได้ทองคำ ๑,๐๐๐ กิโล นี้แหม หลวงตาบัวอาจฝันทั้งเป็นก็ได้นะ ดีใจมากเข้าใจไหม ฝันทั้งเป็นไปเลย เพราะการปิดนี้เป็นเรื่องใหญ่โตอยู่มาก ให้มีเครื่องประดับเข้าไปอีกทีหนึ่ง ประดับความสมบูรณ์ของเราที่กำหนดไว้ เศษไปเท่าไรๆ นั่นเรียกว่าเป็นเครื่องประดับไปหมด ยิ่งจะภาคภูมิใจมากทีเดียว

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา ตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก