เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ตาบอดอวดหมัด
ก่อนจังหัน
สอนพระจะสอนเฉพาะไม่ได้นะ ตามธรรมดาสอนพระสอนเฉพาะพระ โยมสอนเฉพาะโยม ในวัดนี้เราไม่เคยให้ก้าวก่ายกัน แต่เวลานี้ยุ่งไปหมด สอนพระก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนประชาชนก็เหมือนกัน ให้ต่างคนต่างสนใจปฏิบัติ ดูให้ดี ฟังให้ดี คิดให้ดีด้วยสติปัญญา ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสนาของคนโง่ เซ่อๆ ซ่าๆ ไปที่ไหนขายเนื้อขายตัวอยู่ทุกแห่งทุกหนดังที่เป็นอยู่เวลานี้นะ พระพุทธเจ้าคือศาสดาองค์เอก ให้พากันจดกันจำพินิจพิจารณา สติปัญญา เฉพาะอย่างยิ่งสติให้อยู่กับตัวการปฏิบัติ ทำงานอะไรถ้ามีสติกับตัวแล้วจะไม่ค่อยผิดพลาดนะ ถ้าสติเผลอไปมากน้อยเพียงไร แม้จะภาวนาก็ไม่เกิดประโยชน์ เรื่องสติสำคัญมากทีเดียว ตั้งแต่พื้นจนสุดยอดของธรรม สตินี้ปราศจากไปไม่ได้
พระลูกพระหลานมากันเรื่อยๆ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ให้เห็นธรรมที่เลิศเลอตามที่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้วแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย มีพระนี้เป็นสำคัญมาก ให้ยึดไปปฏิบัติ เคารพศาสดาองค์เอกด้วยการเคารพธรรม เคารพวินัย นั่นละศาสดาองค์เอกอยู่ตรงนั้นไม่อยู่ที่ไหน อย่าไปหลงบ้ากับโลกกับสงสาร พระพุทธเจ้าอยู่ที่โน่นๆ ที่นี่ นิพพานไปแล้วเมืองนั้นเมืองนี้ เราไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวแหละ สุดท้ายก็มีแต่กิเลสหาบไปหามไปเต็มบ้านเต็มเมือง กองทุกข์เผาไปด้วยกัน นี่ละเรื่องกิเลสหลอกสัตว์โลก
พระพุทธเจ้าจ่อลงในหัวใจนี่นะ หัวใจเป็นมหาเหตุ กิเลสเกิดขึ้นที่ใจ สร้างกองทุกข์ขึ้นที่ใจ ธรรมเกิดขึ้นที่ใจ สร้างความสุขขึ้นที่ใจ เอาธรรมฟัดกิเลสลงไป กิเลสนี้ตัวรุนแรงมากทีเดียวเวลานี้ ชาวพุทธเราแทบจะไม่มีติดเนื้อติดตัวนะกิริยาของชาวพุทธ เพราะกิเลสมันตีเอาๆ แล้วชาวพระก็อีกเหมือนกันอย่าว่าแต่ชาวพุทธ แยกออกมาเป็นชาวพระอีก แหลกเหลวไปตามๆ กันหมด พูดนี่พูดด้วยความสลดสังเวชนะ หูมีตามี แต่ก่อนก็ดูก็ฟัง แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น พูดตรงๆ อย่างนี้ ธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใดจะกระจ่างแจ้งขึ้นที่จิตที่ใจนี่นะ ศาสนาอยู่ที่ใจ เพราะกิเลสกับธรรมอยู่ที่ใจ แก้กันที่ใจ สง่างามขึ้นที่ใจ ให้จำให้ดีนะพระลูกพระหลาน
นี่พากันมาศึกษา ผมก็ให้การแนะนำสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ ที่จะให้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนที่เคยสอนพระมาแต่ก่อนโดยเฉพาะๆ สอนพระโดยเฉพาะนี่ ทำไม่ได้แล้วเวลานี้ ธาตุขันธ์ก็ไม่อำนวย เวล่ำเวลาไม่มี ยุ่งไปหมด ใครมาให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริงๆ ให้เป็นเจดีย์อบอุ่นในตัวเอง แล้วก็เป็นเจดีย์ของโลกได้แหละไม่ต้องสงสัย ถ้าตนเป็นไฟ ข้างนอกก็ถูกเผาไปด้วยกัน ถ้าตนเป็นน้ำเป็นท่า ไปที่ไหนชุ่มเย็นไปตามๆ กันนะ
สถานที่นี่เป็นสถานที่อบรมภาวนาโดยเฉพาะนะ ใครอยู่สถานที่ใดให้อยู่กับความเพียร อย่ามายุ่งภายนอกเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่าไปเที่ยวสอดรู้สอดเห็นในสิ่งที่จะเป็นภัยแก่ตัวเอง โดยเข้าใจว่าเป็นของดิบของดี มันมีนะพระในวัดนี้ มักสอดรู้สอดเห็นเรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องธรรมมันไม่ดู จำให้ดีตรงนี้ ประกอบความเพียรให้แน่นหนามั่นคง ให้เป็นชิ้นเป็นอันเป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ เราจะได้เห็นมรรคผลนิพพานสง่างามขึ้นมาที่ใจของผู้มีความเพียรนี้แหละ ที่อื่นอย่าไปหา หามรรคผลนิพพาน หาบาปหากรรม หาที่ไหนไม่เจอ ออกจากใจซึ่งเป็นมหาเหตุนี้ เป็นผู้บงการทั้งทางดีและทางชั่ว บงการออกจากที่นี่ ให้ดูตัวนี้ ตีให้แหลกออกไปสิ่งใดที่เป็นภัยซึ่งเกิดอยู่ในจิตใจเดียวกันกับธรรม เอาละที่นี่จะให้พร
หลังจังหัน
ที่ไปเมื่อวานทาง อ.เพ็ญ วันที่ ๓ ที่วัดธรรมวิสุทธิมงคล อ.เพ็ญ เราไล่เบี้ยเข้าไป เป็นพระที่ออกจากวัดนี้ไป ทองคำได้ ๑ กิโล ๒๒ บาท ๖๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๘๗ ดอลล์ เงินสดได้ ๙๐,๗๕๐ บาท ที่โรงเรียนเพ็ญวิทยาคม อ.เพ็ญ ทองคำได้ ๙ บาท ๑๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๗๐ ดอลล์ เงินสดได้ ๖๖๘,๕๙๐ บาท รวมทั้งสองแห่ง ทองคำได้ ๑ กิโล ๓๑ บาท ๗๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๙๕๗ ดอลล์ เงินสดได้ ๗๕๙,๓๔๐ บาท ไปที่นู่นเทศน์เฉพาะ อ.เพ็ญ แห่งเดียว ที่ไปพักกลางทางไม่เทศน์ เหนื่อย นั่งต้อนรับเขาบ้างพอเล็กน้อยแล้วก็หนีไปพัก ไปเทศน์ที่ อ.เพ็ญ นั้นแห่งเดียว ก็เทศน์นานอยู่ตั้งชั่วโมง ๑๗ นาที คนมาก นักเรียนก็มากเมื่อวาน เราก็แบ่งเทศน์แยกผลประโยชน์ให้ได้ทั่วถึงกัน ตั้งแต่เด็กนักเรียนขึ้นไปเรื่อยๆ หยิบโน้นหยิบนี้เสียละมาก ไม่ทั่วถึง
ทองคำวันที่ ๓ เมื่อวานนี้รวมแล้วทั้งทางโน้นทางนี้ท่า เป็นทองคำ ๑ กิโล ๔๐ บาท ๖๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๓๓๕ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๙,๑๒๕ กิโล ดอลลาร์มอบแล้ว ๘ ล้าน ๘ แสนดอลล์ ทองคำและดอลลาร์ที่ได้เพิ่มหลังมอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๖ นั้น ได้ ๔๓ กิโล ๘๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๘,๒๒๘ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ เป็น ๙,๑๖๘ กิโล ยังขาดอยู่อีก ๘๓๒ กิโลจะครบจำนวน ๑๐ ตัน จุดนี้สำคัญมาก ฟังให้ดีจุดนี้ นี่ละที่มัดคอพวกเราทั้งประเทศ ๘๓๒ กิโลนี่เป็นโซ่อันใหญ่หลวงมัดคอเรา จะครบ ๑๐ ตัน รวมดอลลาร์ทั้งหมด ๘,๘๖๘,๒๒๘ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีก ๑,๑๓๑,๗๗๒ ดอลล์ จะครบจำนวน ๑๐ ล้านดอลล์ อันนี้ไม่ค่อยหนักเท่าไร ส่วนทองคำนี้หนัก หนักมาตลอด มันหนักในหัวใจของพี่น้องทั้งหลาย ส่วนหนักมากที่สุดคือเราเป็นผู้หนักนะ หนักเพื่อพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย สิ่งเหล่านี้มารวมอยู่ในเราหมดที่จะคิดจะอ่านจะอะไรๆ จึงว่าหนักมากอยู่จุดนี้
นี่ก็จวนเข้าแล้วๆ คราวนี้จะมอบทองคำทั้งหมดนี้ทีเดียวเลยนะ จะไม่มอบเป็นพักเป็นวรรคเป็นตอนเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะทองคำยังเหลืออยู่เพียง ๘๓๒ กิโล เรามอบคราวที่แล้วนั้นตั้ง ๑,๔๐๐ กิโลยังมอบได้ อันนี้เพียง ๘๓๒ กิโล มอบได้ครั้งเดียว คราวก่อนนั้นก็ ๑,๔๐๐ กิโลมอบครั้งเดียวเลยนั่น นี่จะมอบทีเดียว กะว่าควรจะเสร็จตอนสิ้นเดือนมีนาก็จะให้เสร็จตามนี้ เพราะต้นเดือนก็เริ่มที่จะปิดโครงการ ปิดโครงการเรี่ยไรอะไร หารบกวนพี่น้องชาวไทย ก็เราเองเป็นผู้รบกวน ว่าปิดโครงการแล้วไม่รบกวน ท่านผู้ใดจะมีศรัทธามากน้อยก็ตามแต่อัธยาศัยเรื่อยๆ มา ไม่หาเคาะกระเป๋านั้นกระเป๋านี้ ดูซีกระเป๋าของใครๆ ไม่ฉีกไม่ขาดหรือ ตีตลอดมาได้ห้าหกปีนี้แล้ว ทีนี้พอประกาศแล้วก็หยุดทันที
สำหรับบัญชีนั้นเรายังไม่ปิดนะ โครงการนี้ปิดสำหรับเราที่ออก จะว่ารบกวนพี่น้องชาวไทยก็ได้ รบกวนมาได้ห้าหกปี ปิดโครงการนี้แล้วก็หยุด ทั้งอะไรๆ ที่ประกาศนู้นนี้หยุด แต่ผู้ที่จะบริจาคมามากน้อย เราเปิดบัญชีเอาไว้และปฏิบัติตามเดิม ไม่ว่าดอลลาร์ ไม่ว่าทองคำได้มาเท่าไร อันนี้เรียกว่าร้อยทั้งร้อยเข้าคลังหลวงโดยถ่ายเดียว ทองคำได้มาแล้วเราก็จะหลอมๆ หลอมไว้ๆ พอสมควรที่จะมอบก็มอบตามเดิม เรียกว่านอกโครงการไปละนั่น ในจำนวนที่เราต้องการต้องให้ได้ก่อนวันปิดนี้ให้เรียบร้อย วันปิดโครงการก็เอานี้ออกประกาศเลย ว่าสมบูรณ์แบบแล้วทั้งทองคำและดอลลาร์
จากนั้นใครจะบริจาคมากน้อย เพราะประเทศไทยมันกว้าง ตามแต่ใครจะมอบมาโอนมา เงินในบัญชีก็ยังไม่ปิดนะ ยังเปิดไว้อย่างนั้นแหละ ทองคำ ดอลลาร์ ผู้ที่บริจาคมา ก็เข้าคลังหลวงอันเดียวกันนั่นแหละ แต่ส่วนที่เราประกาศลั่นอยู่ คือให้ได้ตามกฎเกณฑ์อันนี้ นอกจากนั้นจะได้มากน้อยอะไรก็แล้วแต่ จากนี้เราก็ปิดแหละ ที่จะให้ไปเที่ยวรบกวนพี่น้องทั้งหลายเราไม่ไป พูดต้องมีคำสัตย์คำจริง ว่าอะไรเป็นนั้น เราไม่เหมือนใครนะ ลงว่าอะไรแล้วเป็นอันนั้นเลย อย่างเปิดโครงการนี้ก็ดะไปเลยไม่ได้ถอยนะ อะไรมาผ่านซัดเลยๆ ไม่มีคำว่าถอย คำว่ากล้าไม่มี คำว่ากลัวไม่มี นี่ธรรมเป็นอย่างนั้น
เราเอาธรรมมานำพี่น้องทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเรื่องชีวิตของเราจึงไม่มีความหมาย ใครจะมาขู่เข็ญเอาชีวิตจิตใจของเราไปอะไร เราบอกเราเรียนจบแล้ว จะให้เรากลัวกับอะไรกล้ากับอะไร เราเรียนจบแล้วเรื่องความเกิดความตายเราบอกอย่างนี้ เราจึงไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว เราจะเดินตามอรรถตามธรรมเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใครผ่านๆ ผิดซัดกันเลย ถ้าถูกยอมรับ เราหาความถูกต้องอยู่แล้ว เนื่องจากว่าธรรมเป็นความถูกต้อง เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว อะไรที่ถูกแล้วเราไม่ขัดไม่แย้ง อะไรที่ผิดนั้นเป็นการทำลายส่วนรวม เอาตรงนั้นแหละ ผิดตรงไหนขัดตรงไหนเอาตรงนั้นทันทีๆ นี่เรียกว่าออกสนามเพื่อชาติไทยของเรา เราเอาธรรมนำไป นำออกโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นถึงไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัวกับอะไร
ใครจะมาขู่มาเข็ญทุกแบบทุกฉบับกับเรานี่ รับหมดเลยแหละ รับทราบไว้หมด มาขู่มาเข็ญจองล้างจองผลาญอะไรก็เรื่องของเขาว่ามา เราตอบทีเดียว เราบอกเราไม่มีกล้าเราไม่มีกลัว เราไม่มีคำว่าแพ้ว่าชนะกับผู้ใด ไม่มีเอาเปรียบเสียเปรียบ ได้เปรียบเสียเปรียบไม่มี เรามีแต่ธรรมล้วนๆ ที่จะทำโลกให้สงบร่มเย็นทั่วหน้ากันแล้วเป็นที่พอใจของธรรม และของเราที่นำธรรมออกมาประกาศเพื่อประโยชน์แก่โลก เราต้องการเท่านั้นเราบอก เพราะฉะนั้นเวลาขึ้นเวทีจึงขึ้นเลยไม่มีถอย ไม่เคยสนใจกับสิ่งใด มุ่งแต่อรรถแต่ธรรมที่เป็นความถูกต้องดีงามให้เป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวไทย สมกับเราได้สละตัวออกไปเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองจริงๆ
คำว่าสละ สละหมดนะ ไม่มีคำว่าถอยกับอะไร ถึงกาลเวลาที่จะยุติก็ยุติแหละ อย่างปิดโครงการนี่เรียกว่ายุติ แต่การพิจารณาเหตุผลต้นปลาย ความผิดถูกชั่วดีทั้งชาติและศาสนา อันนี้เป็นเรื่องประจำอยู่ในหัวใจของเรา ควรคัดค้านคัดค้าน ควรเห็นตามเห็นตามไปตลอดละนี่ อันนี้นะ ไม่ใช่ว่าจะปิดปากหมด ไม่ปิด ความรับผิดชอบมีอยู่ทั่วประเทศไทย เราก็ปฏิบัติตามนั้นเลย เราอยากเห็นบ้านเมืองเรามีความสงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคง จึงได้อุตส่าห์พยายามดีดดิ้นเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากนั้นมาก็ขอสงวนขนบประเพณีชาติไทยของเราไว้ ให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองเช่นเดียวกับชาติอื่นๆ เขา อันนี้รู้สึกว่าโยกคลอนหรือโลเลเอามากทีเดียวเมืองไทยเรา ขนบธรรมเนียมแบบฉบับที่เป็นสมบัติของคนไทยเรา ซึ่งปู่ย่าตายายนำมาด้วยความเรียบร้อยดีงาม เวลานี้ล้มเหลวไปหมดๆ เพราะลูกหลานทำลายปู่ย่าตายาย ด้วยเห็นแก่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แซงกันไปแซงกันมา มีแต่แซงล่มแซงจมนะ ไม่ใช่แซงดีแซงเด่น แซงล่มแซงจม จึงได้วิตกวิจารณ์ตรงนี้
เมืองไทยเราไม่มีหลัก อันนี้ไม่มีหลัก ให้จำเอานะทุกคน นี่นำมาสอนทุกแง่ทุกมุม ที่มาวิตกกังวลอยู่กับพี่น้องชาวไทยเราก็คือส่วนนี้ละ อันนี้จะเป็นส่วนทำลายส่วนใหญ่ได้เหมือนกัน ดีไม่ดีเมืองไทยจมได้ ถ้าต่างคนต่างโลเลโลกเลก ฟุ่มเฟือยเหลือเฟือ ลืมเนื้อลืมตัวตลอด เห็นอะไรมาไม่ทราบว่าเนื้อหนังเขาหรือเนื้อหนังเรา ของเขาหรือของเรา คละเคล้าไปหมดใช้ไม่ได้นะ ขอให้พิจารณาดีๆ นี้เอาธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบฉบับอันเลิศเลอทุกอย่าง พระมีแบบฉบับอันหนึ่งปฏิบัติ ประชาชนก็สอนแบบฉบับไว้อย่างหนึ่ง ทุกอย่างๆ ให้สม่ำเสมอกันหมดตามแต่จะเอาไปปฏิบัติตามกำลังของตน ในเพศของตน ท่านสอนไว้อย่างเรียบร้อย
ที่เอามาสอนนี้ก็เอามาจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นหลักที่แน่นหนามั่นคงและเลิศเลอข้ามโลกข้างสงสารมานมนานแล้ว ควรที่พวกเราทั้งหลายจะยึดมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้สงวนนะ ชาติไทยของเราไม่ใช่เป็นชาติที่ด้อยต่อชาติใดนะ เสมอกันทุกอย่างๆ เราจึงสงวนความเสมอ ศักดิ์ศรีดีงามของชาติไทยเราไว้ ไม่ให้ใครมาดูถูกเหยียดหยาม สิ่งที่มันสุดวิสัยใครก็รู้ด้วยกัน นี่ไม่ใช่สุดวิสัย มันเป็นเรื่องลืมตัว จึงกระตุกๆ ให้รู้เรื่องรู้ราวบ้าง สมบัติเงินทองได้มาแล้วอย่าฟุ่มเฟือยจนเกินไป ลืมเนื้อลืมตัว เช่นสร้างบ้านสร้างเรือน เวลานี้กำลังกำเริบเป็นบ้ากันแล้วนะ สร้างตึกสร้างร้านอะไรฟาดจนหลายห้องหลายหับ แข่งกันๆ
คนไทยมีแต่ตัวจนๆ ด้วยกันนั่นแหละมันเอามาแข่งกัน แข่งหาอะไร ให้เศรษฐีผู้มั่งมีและมีศีลมีธรรมเขาหัวเราะเอา หัวเราะพวกเด็กเมืองไทย ทั้งประเทศกลายเป็นเด็กไปหมด เพราะไม่มีแบบมีฉบับ มาชิงดีชิงเด่นในพวกทุกข์ๆ จนๆ ด้วยกัน ถ้าอยากชิงดีชิงเด่นก็ไปฟาดกับประเทศไหนที่เขาเจริญ ไปชิงเขาอย่างนั้นซิถึงถูก อันนี้มาชิงดีชิงเด่นในพวกทุคตะเข็ญใจด้วยกัน คนนั้นทำอย่างนั้น คนนี้จะเอาอย่างนี้ ชิงดีชิงเด่นกัน มันดูไม่ได้นะ พวกทุคตะเข็ญใจ ตาบอดอวดหมัดกันให้ตาดีเขาหัวเราะ ตาบอดอวดหมัดกัน ใส่หมัดไหนก็ว่าตัวหมัดดี ฟาดถูกแต่ต้นเสาๆ เข้าใจไหมล่ะ นี่ละพวกตาบอดอวดหมัด ฟัดหมัดไหนก็หมัดแตก ต้นไม้ไม่แตกนะ เป็นอย่างนี้ละพวกเรา แข่งกันแบบนี้ คนตาบอดต่อคนตาบอด คนจนต่อคนจน แล้วก็แซงกัน ชิงดีชิงเด่นกันอย่างนี้ มันเหมือนพวกตาบอดต่อยมวยแข่งกัน ใครต่อยก็ฟาดใส่ต้นเสา มันไม่เห็นตัวคู่ต่อสู้เพราะตาบอดด้วยกัน มันก็ฟาดต้นเสา แล้วหมัดมันแตกเห็นไหมล่ะ
อันนี้พวกเรานี่พวกหมัดแตก พวกหน้าแตก มาแซงกันแบบนี้ไม่ควร อย่ามาแซงกันนะ ชิงก็ให้ชิงไปทางดิบทางดี อันนี้มันไม่ได้ดี มันจะชิงกันพาโลกให้ล่มจมได้ ปลูกบ้านปลูกเรือนกำลังเริ่มแล้วนะเวลานี้ พวกนี้เจ็บแล้วไม่เข็ด มันแปลกอยู่นะเมืองไทยเรา ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เจ็บแล้วต้องเข็ดซิคนเรา ต้องระมัดระวังตัว อันนี้กำลังเริ่มเป็นบ้าขึ้นอีกแล้วนะ ลืมเนื้อลืมตัว พอว่ามั่งมีขึ้นบ้างพอสมควร พอจะเบาใจได้ เอ้า พวกที่จะทำลายชาติของตนแบบชิงดีชิงเด่น ชิงเลว ชิงล่มชิงจมนี้ กำลังแซงหน้าแซงหลังกันขึ้นมานะเวลานี้ ให้เอาไปฟังคนไทยทั้งคน
ถ้าเป็นลูกชาวพุทธให้ฟังเสียงธรรมของพระพุทธเจ้านะ จะเอาแต่เสียงกิเลสนี้มันจะจมนะเมืองไทยเรา จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว แล้วจะไปจมเหมือนเก่าที่เคย ยิ่งจมกว่านี้อีก จมแบบลึกลับ ฟังให้ดี ทำอะไรให้มีกฎมีเกณฑ์บ้างซิ มีเขามีเรา บ้านเขาบ้านเรา เมืองเขาเมืองเรา เนื้อหนังเขาเนื้อหนังเรา ลูกเขาลูกเรา ผัวเขาผัวเรา เมียเขาเมียเรา หลานเขาหลานเรา มันต่างกันนะ เขากับเรามันต่างกัน นี่ประเทศเขากับประเทศเรา นั่นฟังซิน่ะมันเป็นยังไง ประเทศเราเราต้องรักต้องสงวนประเทศเราซิ อะไรที่จะเป็นของดิบของดีทำชาติให้มั่นคง ต่างคนต่างเสาะต่างแสวง อะไรที่จะทำส่วนใหญ่ให้เสีย ต่างคนต่างระมัดระวังรักษาต้านทานกัน อย่างนั้นถึงถูก นี้ทำเลื่อนๆ ลอยๆ หลักลอย พูดจริงๆ นะเมืองไทยเรา รู้สึกว่าหลักลอยเอามาก ไม่มีเนื้อมีหนังเป็นของตัว อะไรมาคว้ามับๆ อันนี้ที่น่าสลดสังเวชมาก
ดังที่เราเคยพูดดุลูกศิษย์ลูกหานั่น เอาถึงขนาดตัวดี ถึงขนาดนั้นนะ เราเคยพูด ช็อกโกแลตนี่ พูดด้วยความดีใจนะ ลืมตัว เหมือนว่าตาลีตาลานได้ช็อกโกแลตดีๆ มาถวายอาจารย์ของตัวเอง ด้วยความดีใจ นี่เอามาจากนั้นนะ เหอ ขึ้นทันทีซิ แล้วก็ปั๊วะเลยทันที เราฟาดเอา นายกเทศมนตรีนั่งอยู่นั้น จังหวัดอยุธยา มีผู้ใหญ่ๆ มันฟังเสียงผู้ใหญ่อะไร ความผิดนี่เป็นภัยด้วยกันทั้งนั้นทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ใส่เปรี้ยงๆ เลย พวกนั้นงงกันหมด เขาไม่เคยได้ยิน อย่างนี้แหละธรรมะเวลาออก ออกอย่างนี้ ผึงๆ ทันทีเลย พอจบลงแล้วไม่กี่วันมาอีก มานั่งปั๊บกราบๆ นี่ตัวดี หน้าซีดเลยเทียว ยังไม่แล้วนะ ซัดพักใหญ่แล้วสลบไสลไปแล้ว มันยังฟื้นตัวกลับมา มากราบอีก นี่ตัวดีเข้าอีก มันเป็นอย่างนั้น มันน่าว่าก็ว่าซิ
บ้านของเราเมืองของเรา ต่างคนต่างรักษาซิ นี่ก็ลูกศิษย์ของเรา ไปว่าใครไม่ใช่ลูกศิษย์ไปว่าเขาได้เหรอใช่ไหม นี่ก็ลูกศิษย์ของเราถึงฟาดเอาหนักๆ วันหลังซ้ำเข้าอีก มีตรงไหนที่มันยังจะฟื้นตัวอีก ตีลงอีก นี่ตัวดีเข้าอีก นั่นเห็นไหมล่ะ ให้พากันพิจารณานะที่พูดเหล่านี้ ให้พากันรักกันสงวนเนื้อหนังของตนๆ ทั่วประเทศไทยของเราด้วยความมีกฎมีระเบียบ มีขนบประเพณีอันดีงามประจำตนๆ ครอบครัวของตนจะน่าดูนะ ประเทศนอกเขาก็เกรงขามเหมือนกัน ไอ้โลเลๆ นี้มีแต่เขาจะเอาเครื่องล่อมาหว่านให้ตะครุบเป็นบ้ากันทั้งเมืองไทย ระวังให้ดีนะ อันนี้ละส่วนที่เราวิตก มองดูแล้วไม่มีขื่อมีแป ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ว่าขนบประเพณีมันไม่ใช่ขนบประเพณี มันจุ้นจ้านไปหมดเลย
ขนบประเพณีไปที่ไหนเขามีของเขานะ ไปดูซิเมืองไหนๆ เฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงเขาแต่งตัวกันยังไง ผู้ชายก็ยกให้แล้วว่า เช่นแต่งตัวนุ่งกางเกงนั้นเป็นหลักสากลที่เขาใช้กันทั่วโลก เกี่ยวกับเรื่องราชการงานเมืองหรือสมาคมต่างๆ ผู้ชายที่จะแต่งตัวเป็นแบบสากลอย่างนั้น เราก็ไม่มีที่ต้องติ เพราะไม่มีอะไรเสียหาย ผู้หญิงเขาก็มีกฎมีระเบียบของเขา ชาติเขาๆ ไปดูชาตินี้การแต่งเนื้อแต่งตัวเขาเป็นยังไงๆ เขามีอย่างนั้นๆ มาชาติไทยของเรามีทุกแบบนี่ซิ แล้วเอานี้หรือ เอาทุกแบบหรือไปแข่งเขา เดี๋ยวเขาจะตกทะเลหลวงกันหมด เขากลัว มันพิลึกกึกกือ เมืองไทยหากฎหาระเบียบไม่มี คว้าอะไรได้ทั้งนั้น คว้าแบบลิงก็ได้ แบบหมูแบบหมาก็ได้ แบบผู้แบบคนก็ได้ แบบสมบัติผู้ดีในการแต่งเนื้อแต่งตัวของผู้หญิงนี้ไม่ค่อยได้ นั่นมันเสียตรงนี้นะ ถ้าแบบเหล่านั้นได้หมดเลย พิลึกกึกกือ จำให้ดี
ไม่มีใครสอนท่านทั้งหลายนะ เราพูดจริงๆ หลวงตาตายไปแล้วไม่มีใครสอน ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน จะพูดอะไรก็เกรงอกเกรงใจกัน แต่การทำความชั่วทำแบบทำลายชาติของตนเองทำด้วยกันทุกคน ไม่มีใครที่จะเตือนกันได้ มันเสียตรงนี้นะ ส่วนธรรมไม่มีเข้าใครออกใคร ตรงไปตรงมา ตรงเป๋งเลย ไม่เอียงโน้นเอียงนี้ ผิดตรงไหนบอกอย่างนั้น อย่างที่ว่านี่ เมืองไทยเราด้อยอยู่ การขนบประเพณีนี้เสีย ทำให้เสียได้นะ ให้พากันจดกันจำเอาบ้าง
อันนี้มันก็ออกทั่วประเทศไทย ออกทั่วโลก มันก็น่าจะได้ยินกัน เอามาปรับปรุงตัวเอง ให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองที่พูดนี้นะ แล้วยืนยันว่าไม่ผิด การสอนนี้สอนไม่ผิด ดึงออกมาจากคัมภีร์มาสอน ขนบประเพณียังไง พระเป็นยังไงๆ ฆราวาสญาติโยมปฏิบัติกันยังไงๆ ถอดออกมาสอน เรื่องของฆราวาสกับเรื่องของพระไม่ได้มาคละเคล้ากัน เรื่องของฆราวาสสอนแบบฆราวาส เรื่องของพระสอนแบบของพระ เป็นคนละแบบๆ นะ ขอให้พากันพินิจพิจารณา ให้ปักใจลงลึกๆ ในหัวใจเจ้าของ ถ้าใจเลื่อนลอยๆ นี้จนกระทั่งวันตาย ลูกหลานจะมาเอาอันนี้เป็นเสี้ยนเป็นหนาม เป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวต่อไปนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ยิ่งผู้ปฏิบัติอย่างพระนี้ก็เหมือนกัน ก็มีวินัยเป็นเครื่องบังคับอันหนึ่งแล้ว เป็นส่วนกลาง แล้วผู้ที่มีความละเอียดยิ่งกว่านั้นเข้าไป มีอีกเยอะ นั่น พูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราก็ปักตั้งแต่นั้นเลย นี่เอาจริงนี่ ท่านว่าอะไรจับปุ๊บๆ เลย ท่านพูด ตอนนั้นพระเณรก็ยังไม่มากเท่าไร หนองผือท่านก็มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่มีเป็นปัญหาเอา อยู่ทีแรกท่านบอกว่า พระผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ท่านว่างั้นนะ ไม่เห็นอะไรเรื่องโลกเรื่องสงสารจะมาแสดงความเป็นใหญ่ต่อธรรมเลย นี่จุดนี้สำคัญมาก ทีนี้ท่านก็พูดขึ้นมาเรื่องการประพฤติตัว ตลอดถึงการขบการฉัน การขบการฉันของพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมเพื่อความพ้นทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรเป็นปัญหา ปัญหาใหญ่อยู่ที่ธรรม ท่านว่างั้นนะ จิตใจทุ่มเข้าไปหาธรรมนั้นหมด สิ่งเหล่านั้นจะอยู่จะกินอะไรๆ พออยู่พอกินพอเป็นพอไปแล้วได้ทั้งนั้น ท่านว่างั้นนะ ไม่เป็นอารมณ์ นี่เราไม่ลืม แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมนั้นแม่นยำๆ ท่านว่างี้นะ
อันนี้มันก็วิ่งถึงขนบประเพณี หลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เพราะท่านพูดท่านไม่ได้พูดป่าๆ เถื่อนๆ มีในหลักธรรม นี้เราก็เรียนมาแล้ว แน่ะ มันก็เข้ากันได้ปุ๊บๆ เลย จากนั้นท่านก็ย่นลงมาๆ มาถึงการฉัน ฉันช้อน ฉันช้อนมันขวางจิต ท่านว่างั้นนะ กับเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่มีอะไรยิ่งกว่าธรรมคือความพ้นทุกข์ เวลาฉันยังจะมาคอยเอารสเอาชาติ เอาความสะดวกสบายในการฉันนี้ ก็เอาความสะดวกสบายซึ่งเป็นเรื่องของโลก อันเป็นเรื่องสกปรกเข้าไปเหยียบธรรมที่เป็นของสะอาดสุดยอดละซิ มันเข้ากันไม่ได้ ท่านว่า การขบการฉันหาช้อนหาจานมาเคาะปิ๊กๆ แป๊กๆ เข้ากันไม่ได้กับผู้มุ่งต่อความพ้นทุกข์ มันสะดุดใจๆ ท่านเลยหยุดเลย ท่านว่างั้น
จับช้อนเข้าไปทีไรมีตลอด ต่อไปก็ต้องยอมรับ ท่านเลยปัดเลย ฟังซิน่ะ ท่านไม่ฉันช้อนเลย ไปอยู่กับท่านท่านก็ไม่ฉัน ท่านพึ่งมาฉันตอนแก่นี่นะ ก็ลูกศิษย์ลูกหาละ องค์ท่านเองให้เสาะให้แสวงหามาฉันไม่ละ ตัวสำคัญที่อยู่นั่นก็คือตัวเรานี่สำคัญตัวหนึ่ง ออดอ้อนอันนั้นอันนี้ เพราะท่านแก่คร่ำคร่าชราพอแล้วนี่ พอซดบ้าง มีน้ำบ้าง ก็พอเป็นเหยื่อล่อกันไป ได้กลืนได้เคี้ยวได้สะดวกสบายบ้าง อย่างนั้นนะ เราขอร้องท่าน ท่านก็นิ่งๆ นะ แล้วท่านทำตามบ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้วหยุดอีกแล้ว เราก็ออดอ้อนขอ นี่จวนท่านจะลาโลกแล้ว ท่านมีฉันบ้างก็เพราะเราเป็นต้นเหตุ ไม่ใช่อะไรละ ออดอ้อนขอ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างพ่อแม่ครูจารย์ทำประโยชน์เพื่อโลกเพื่อสงสาร เพื่อพระเพื่อเณรนี่ ทำเต็มกำลังแล้ว ไม่เคยมีครูบาอาจารย์องค์ใด ที่จะบึกบึนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยลูกศิษย์ลูกหาเหมือนพ่อแม่ครูจารย์ เราว่าจริงๆ เราพูดอย่างนี้ อะไรๆ เป็นห่วงทั้งนั้นๆ องค์ท่านท่านจะมีอะไร แต่ที่ท่านไม่ซดช้อน ก็คือให้เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้กำลังก้าวเดิน ล้มลุกคลุกคลานอยู่นั้นแหละ
ทุกอย่างท่านทำ บิณฑบาตไปถึงหมู่บ้านไม่ได้ ไปถึงแค่ตีนบ้านเขาแล้วกลับ แล้วย่นเข้ามาๆ จนกระทั่งเขตวัด ไปได้แค่ไหนเขาก็มารอใส่บาตรอยู่แล้ว ท่านก็รับบาตร ไปไม่ไหวท่านก็กลับ จนกระทั่งสุดท้ายไปไม่ได้ ขึ้นไปบิณฑบาตบนศาลา จากนั้นก็ไปไม่ได้เลย ท่านก็อยู่ นี่ท่านทำเพื่ออะไร ท่านทำเพื่อบรรดาพระเณรทั้งหลาย ผู้ที่ติดสอยห้อยตาม ผู้ที่มีเจตนาหวังดี หวังยึดเอาหลักเอาเกณฑ์จากท่านมีอยู่ ท่านทำเพื่อท่านเหล่านั้น ท่านจะเพื่อท่านหาอะไร นี่ละความห่วงใย ใครจะห่วงใยบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์มากยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น ตามที่เราได้ติดสอยห้อยตามท่าน สังเกตสังกาทุกแง่ทุกมุม ท่านทำเพื่อวงคณะ ท่านไม่ได้ทำเพื่อท่าน ตลอดช้อนอันนี้ก็เหมือนกัน นี่ละท่านทำ
ถ้าพูดถึงเรื่องความห่วงใยพระเจ้าพระสงฆ์นี้ ไม่มีใครห่วงใยยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น ทำเป็นคติตัวอย่างทุกอย่างเลย เราผ่านมานี้เราก็ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจารย์องค์ใด เราไม่ได้สนิทกับท่านยิ่งกว่าสนิทกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ดูตามนั้นแล้วไม่มีใครเหมือนเลย ท่านทำขนาดนั้น ท่านห่วงใยพระเณร ข้อวัตรปฏิบัติท่านทำเป็นแบบเป็นฉบับไว้ สำหรับท่านพอทุกอย่างแล้วท่านก็ยังห่วงใย นี่ละจึงทำให้เราคิด อย่างฉันช้อนอย่างนี้ ท่านหยุดเลย ไปอยู่กับท่านท่านก็ไม่เคยฉัน แล้วพระเณรองค์ไหนก็ไม่เคยมีในวัด
มาอยู่หนองผือท่านไม่ได้บอกแหละ เวลาไป มีปัญหาที่ท่านจะยกขึ้นมาตีหน้าผากพระ บางองค์ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวคือเคยมาอย่างนั้นแล้วก็ฉัน เช่นฉันช้อน ฉันอะไรมาแทรกให้เห็นอยู่นั้น ท่านก็ไม่ว่าอะไร เพราะพระก็ไม่ค่อยเข้าอกเข้าใจ ท่านเล็งเจตนาเหมือนกัน ที่เคยมาอย่างนั้นก็ทำไปตามภาษีภาษาเอง ไม่ใช่ตั้งใจมาดื้อด้านต่อท่าน เป็นตามความเคยชินมา ไปอยู่สำนักใดครูบาอาจารย์พาทำก็ทำมา ๆ มาถึงวัดหนองผือก็เคยมาอย่างนั้น ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังก็ทำ ทีนี้เวลาท่านเห็นท่านก็ดูเฉย ๆ บทเวลาท่านจะยกเป็นปัญหาขึ้นมาสอนพระองค์นี้นะ ส่วนมากมักจะเอาเรานั่นแหละเป็นต้นเหตุ
นี่ท่านมหาไปนั้นไปนี้ นานแล้วไม่เห็นมานะ ไปไหนน้า หรือไปหาซดซ้ายซดขวาอยู่ไหนน้า นั่นเห็นไหม ท่านก็รู้แล้วว่าเราไม่เคยแตะช้อน เข้าใจไหม นี่ไปหาซดซ้ายซดขวาอยู่ที่ไหนน้า หรือไปหลงปากหลงท้องหลงลิ้นอยู่ที่ไหนน้า ก็ท่านรู้เราเต็มเหนี่ยวแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านทำอย่างนั้นเพื่อสอนพระองค์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวบ้าง หรือองค์หน้าด้านก็ตีอย่างจังๆ เสียบ้าง มันมีหลายแง่อยู่นะ อันนี้แหละท่านเคยพูด แต่ครั้นอยู่ไป ๆ ก็ไม่มีละ ทีแรกมีมีอย่างว่า มีสับปนอยู่องค์หนึ่งบ้างสององค์บ้าง แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไร เราก็เห็นเราก็ไม่ว่าอะไร คอยฟังแต่ท่านจะหาอุบายอะไรสอน ท่านก็ออกแบบนั้นแหละ เพราะกับเรานี้รู้สึกท่านจะเมตตามากจริง ๆ ถามถึงก็มักจะถามถึงเรา เอะอะเอามาเป็นปัญหามาตี เอาของเรานั่นแหละมาตี หือนี่ ไปหลายวันยังไม่เห็นมาน้า ไปซดซ้ายซดขวาอยู่ไหนนา ไปหลงลิ้นหลงปากอยู่ไหนนา ว่างี้นะ ท่านก็รู้แล้วกับเรา เราไม่เคยแตะ
ท่านพูดถึงว่า นมนี้ไม่ค่อยดีสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่ก่อนเราก็ไม่ฉันอยู่แล้วนม ตั้งแต่เรียนหนังสือมันก็รู้ วันไหนฉันนมเข้าไปธาตุขันธ์มันจะมียิบๆ แย็บๆ รู้สึกแปลกๆ จากนั้นมาหยุดเลยไม่เอา ตั้งแต่เรียนหนังสือก็ไม่เอานะนม ใครถวายมาเราก็เอาไปถวายครูบาอาจารย์ไปเสีย จนกระทั่งเข้าไปหาท่านเราก็ปฏิบัติอย่างนั้นมา นี่ท่านก็ยังมีแย็บนะ นี่เห็นไหมล่ะ อาหารทั้งหลายไม่ละเอียดเหมือนนมนะ ท่านว่า นมนี้ซึมซาบได้ง่ายละเอียดได้ง่ายและเป็นฝ่ายลบ ท่านว่า เราก็ปฏิบัติมาแล้ว แล้วก็เตือนพระ นี่เป็นอย่างนั้นนะท่าน ท่านไม่ได้บอกตรง ๆ แหละท่านเตือน
เรื่องความเป็นห่วงเป็นใยพระเจ้าพระสงฆ์พระลูกพระหลาน ไม่มีใครเกินพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านทำอยู่เงียบๆ เป็นคติตัวอย่างอันดีงามออกมาให้กระจายทั่วไปหมด นั่น อยู่กับท่านไปดูท่านแล้ว องค์นี้ออกมาก็ได้วิธีการต่างๆ จากท่านออกมาๆ มันก็ค่อยกว้างขวางไป ใครจะทำเป็นคติตัวอย่างได้กว้างขวางอย่างลึกลับได้ยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่นวะ เราไปอยู่นั่นนานสักเท่าไรสังเกตสังกา ไม่เคยปล่อยใจนะ ท่านมีอากัปกิริยาแสดงยังไง จะจับ ๆๆ ตลอดเวลา เพราะเราตั้งใจไปศึกษาจริง ๆ ไม่ได้ไปเหลาะแหละนี่นะ พากันเข้าใจ
นี่ละกฎระเบียบของพระยังมีละเอียดต่างกันไปอย่างนี้ อันนี้ที่ฉันช้อนก็ไม่เห็นผิดพระวินัยอะไร แต่เรื่องธรรมละเอียด นั่น ละเอียดกว่านั้นอีก จึงได้นำมาแจงให้ทราบ ไม่ผิด แต่ความหยาบละเอียดของธรรมต่างกัน
เรื่องครูอาจารย์สมัยปัจจุบันเรายกนิ้วให้เลย พ่อแม่ครูจารย์มั่น หาที่ต้องติไม่ได้จริงๆ นะเรา ท่านแม่นยำขนาดนั้นแหละ ไม่ว่าธรรมข้อใดวินัยอะไร ยิ่งวินัยด้วยแล้วไม่มีเรี่ยราดไปได้เลย เก็บหอมรอมริบหมด สิกขาบทเล็กน้อยหรือใหญ่ขนาดไหน ท่านเก็บหอมรอมริบไว้หมด เทิดทูนไว้อย่างเต็มหัวใจ พ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลาท่านมรณภาพแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านกระจายออกทั่วประเทศไทย ก็ไปเป็นคติตัวอย่างแก่พวกกันเองด้วย แก่ประชาชนด้วย เพราะข้อปฏิบัติอันดีงามจากท่าน
บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาไปศึกษากับท่านได้ออกมาทำประโยชน์ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ จึงว่าเลิศพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่มีที่ต้องติเลย ไม่ว่าหลักธรรมหลักวินัย เราก็ไม่เคยเห็นที่ไหนว่างั้นเลย เราจึงได้เทิดทูนสุดหัวใจตลอดมาไม่เคยบกบางแม้เม็ดหินเม็ดทรายนะ ความเคารพความรักความเทิดทูนพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสมอต้นเสมอปลายสดๆ ร้อน ๆ ตลอดมา เราเคารพอย่างนั้น ไปที่ไหนถ้ามองเห็นรูปท่าน จิตมันนิ่มเลย มันน้อม เช่นสมมุติว่ารูปท่านอยู่ที่ไหน มองไปไม่ได้กราบไหว้ด้วยกิริยาก็ตาม แต่จิตนี้น้อมรับแล้วนะนั่น น้อมแล้ว ๆ เช่นอย่างอยู่ศาลา รูปของท่านอยู่นั่น เราไม่ได้เข้าศาลา เข้าไปใกล้ ๆ อยู่ข้างนอก พอมองเห็นแล้วมันเป็นของมันเองนะ น้อมลงเลย ลงด้วยความเคารพเทิดทูน ไม่เอาอะไรมาแข่งท่านแหละ ไม่มีเราก็บอกไม่มี มีอย่างท่านนี่นะ ทุกอย่างไม่มีที่ต้องติเลย
พูดถึงเรื่องความเฉลียวฉลาดอุบายวิธีต่าง ๆ ไม่ต้องพูดแหละ ท่านรอบคอบหมดทั้งภายนอกภายใน หาที่ต้องติไม่ได้ คิดดูซิเดินไปบิณฑบาตไปถึงประตูวัดกลับ เพราะเขารอใส่อยู่ทุกระยะ ไปไม่ไหวถึงแค่นี้กลับ สุดท้ายไปบนศาลาโรงฉันบิณฑบาตบนศาลา นั่น จนกระทั่งไปไม่ไหวแล้วอยู่กับที่ นั่นแหละที่นี่ก็เป็นอันว่าหยุดบิณฑบาตคือไปไม่ได้แล้ว นั่น จากนั้นท่านก็นิพพาน
นี่แหละท่านทำไมท่านลากท่านเข็นพวกกุลบุตรสุดท้ายพระเณรทั้งหลาย ให้ได้เป็นคติตัวอย่าง สำหรับท่านจะมีอะไร มีแต่ความเมตตาของท่านลากเข็นไปอย่างนั้น โห เราพิจารณาสลดสังเวชนะ ความเมตตาอยู่ลึกๆ ลับๆ หากกว้างขวางมากคือความเมตตาพระนี่แหละ ที่แสดงออกอย่างเปิดเผย ให้พระได้เป็นคติตัวอย่างทุกอย่างไว้ วันนี้พูดควรจะเป็นคติแก่เราทั้งหลายนะ เริ่มมาตั้งแต่ขนบธรรมเนียมของเราเข้าไปหาขนบธรรมเนียมของพระ มีหยาบมีละเอียดต่างกันอย่างไรก็ชี้แจงให้ทราบอย่างนั้น ควรจะเป็นคติเครื่องเตือนใจ วันนี้ไม่มีเทศนาที่ไหนนะวันนี้ ไม่มี
เมื่อวานไม่ทราบ จนกระทั่งเขาบอก ว่าวันนี้บ่าย ๓ โมงเทศน์นะ หือขึ้นเลยมันลืม จึงได้ไปเทศน์เมื่อวาน คนก็มากนะเมื่อวาน พวกนักเรียนมากทีเดียว ประชาชนก็มาก ผู้ว่าฯ ไปทั้งคุณนายทั้งผู้ว่า ไปฟังเทศน์ด้วยกัน เราก็เทศน์นาน ตั้งใจสงเคราะห์ เพราะเราไม่ได้ไปเทศน์ที่นั่นสักที จึงถือเป็นกรณีพิเศษ การเทศน์จึงซอกแซกซิกแซ็ก เทศน์เกี่ยวกับพวกเด็กพวกเล็กศึกษาเล่าเรียนมาเรื่อยๆ ไปหาผู้ใหญ่ทั่วๆ ไป แล้วก็เน้นทางด้านจิตตภาวนา เมื่อวานเน้นหนักบ้าง แต่ไม่ได้ชี้แจงถึงเรื่องวิธีการภาวนาทำยังไง ๆ เพราะมันมากต่อมากมันหลงลืมไปเสียบ้าง เลยไม่ได้ชี้แจงวิธีการภาวนา มีแต่บอกเรื่องภาวนาทำความสงบใจเท่านั้น ไม่ได้บอกวิธีการเมื่อวานขาดไปนะ
เพราะเทศน์หลายเรื่องหลายราว แยกไปทางโน้นเพื่อประโยชน์ทางโน้น เพื่อประโยชน์ทางนี้ แยกโน้นแยกนี้ ก็พอดีหมดกำลังและหมดเวลาไปด้วยกัน จึงรู้สึกว่าบกพร่องอยู่ในจุดนี้ วิธีภาวนาสอนยังไงๆ อันนี้ที่อื่นสอนนะแต่เมื่อวานลืมๆ ไป มีแต่บอกเรื่องภาวนา เรื่องสำคัญๆ ยังไงบอก แต่วิธีภาวนาให้ทำอย่างนั้นๆ อันนี้แทบว่าไม่ได้บอกนะ จะมีบ้างเล็กน้อย เพราะเทศน์หลายแง่หลายมุมเมื่อวาน ตั้งแต่เด็กนักเรียน นักเรียนก็มาก ก็ต้องสอนเด็กเสียก่อนแล้วขึ้นหาผู้ใหญ่ทั่วๆ ไป
โยม มีปัญหา ๒ ข้อครับ
ข้อที่ ๑ ในการนั่งสมาธิภาวนา ทุกขเวทนาทั้งหลายเกิดขึ้น ได้กำหนดรู้ตามความเป็นจริง จะต้องกำหนดรู้ไปถึงไหนจึงจะพอดีครับผม
หลวงตา นั่นซี มันลำบากนะ อย่างที่เราพูดนั่น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็ไม่ทำอย่างนั้น แต่เราก็ทำอย่างนี้ ทีนี้จะว่าใครผิดใครถูกมันก็ว่าไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ความเหมาะสมของแต่ละท่านๆ อยู่กับท่านเอง เข้าใจเหรอ นั่น พอเราจะไปผูกขาดอย่างนั้นพอดีอย่างนี้พอดี พูดได้ยากนะนี่ เข้าใจเหรอ ผู้ปฏิบัติต้องทราบจริตนิสัยของตัวเอง ก็อย่างที่เราพูดนี้แล้ว ก็พ่อแม่ครูอาจารย์เป็นผู้รั้งเสียเองขนาบเสียเองใช่ไหม แน่ะ เราก็ยังว่าพอดีของเราอีก นั่งภาวนาฟาดเสียจนก้นแตก ก้นแตกก็เลอะไปหมดนี้ยังไม่ถอย ก้นแตกก็ตาม ถ้ากิเลสยังไม่แตกมันไม่ถอย มันก็เอาอีก เข้าใจไหม นี่เรายังว่าพอดีกับเราอยู่ ส่วนท่านฟังเราท่านฟังไม่ได้ซิ
พอขึ้นไปทีแรกท่านก็ชมเชย อย่างที่เคยพูดให้ฟัง เอาทีนี้ได้หลักแล้วฟาดมันลงไปเลยท่านว่า อัตภาพเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนละ ท่านว่า วันแรกเลยนะ เอามันเลยที่นี่ได้หลักแล้วนะอย่าถอย เราก็จับปุ๊บละซิ ไอ้หมาตัวนี้มันคอยจะกัดจะเห่าอยู่แล้ว มันผาดโผน พอขึ้นไป ๆ ท่านก็ชมเชยแล้วค่อยลดลง ๆ ต่อไปท่านนิ่งฟัง เรายังจะขยับอีกยังไม่รู้ตัว สุดท้ายพอขึ้นไปกราบเรียบร้อย กิเลสมันไม่ได้อยู่ในกายนะ มันอยู่ในจิตนะ นั่นขึ้นแล้วนะ นี่เรียกว่าเราผาดโผนเกินไปแล้วนั่น สารถีเขาฝึกม้า ถ้าม้าตัวไหนมันคึกมันคะนองมากทีเดียวไม่ฟังเสียงเจ้าของ เขาต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน มีแต่ฝึกท่าเดียว จนกระทั่งม้านั้นมันค่อยลดพยศลงมา ๆ การฝึกเขาก็ค่อยลดลงมา ๆ ตาม ๆกัน จนกระทั่งม้ามันยอมรับทุกอย่างแล้วได้การได้งาน การฝึกทรมานแบบนั้นเขาก็หยุดไป ท่านพูดเพียงเท่านั้น หมาตัวนี้มันยังเสียดายอยู่ ก็เคยพูดให้ฟัง ท่านไม่หันศอกกลับมาทางนี้ ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง แต่เราไม่ได้บอกนะว่าก้นแตก หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหนวะ อยากให้ท่านถามอย่างนั้นมันเสียดายอยู่ว่างั้น
นี่แหละอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ เราก็ว่าเราพอดีของเราอยู่ แต่ท่านผู้ผ่านมาแล้วอะไรพอดีไม่พอดีท่านก็บอก การฝึกม้าเวลามันทรหดเอาอย่างหนัก แน่ะ เวลามันลดลงก็ต้องลดลง อันนี้จิตของเราเวลามันทรหดก็ซัดกันอย่างหนักก็ถูก แต่มีหลักเกณฑ์ที่พูดแล้ว ท่านพูดว่าได้หลักแล้วนี่ เท่านี้ก็จับได้แล้วนะ แต่เรามันไม่ถอยมีแต่ขยับเรื่อย ๆ ท่านก็ซัดเอาละซิ เอาม้ามาตีเอา เห็นไหม ท่านพูดแต่ว่า ก็จะทรมานมันไปอะไรนักหนา จิตเวลาผาดโผนก็ทราบแล้ว พูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว เวลามันได้หลักได้เกณฑ์ลงไปแล้ว การฝึกทรมานก็จะไปทรมานอะไรนักหนา ความหมายว่างั้น ก็ต้องลดไปตามส่วนเหมือนเขาฝึกม้า ความหมาย แต่ท่านไม่พูดเรื่อง ท่านยกม้ามา เราก็เข้าใจแล้วเราก็เรียนมาเหมือนกัน แน่ะ ตั้งแต่นั้นมาเราจึงไม่เคยนั่งตลอดรุ่งเลย ไม่เคยเลยนะ
นั่นแหละถ้าลงเป็นอย่างนั้นนะเรา ไม่เหมือนใครนะ ลำพังเจ้าของมันยังไม่ถอยนะ ก้นแตกมันยังไม่สำคัญ ถ้ากิเลสไม่แตกยังไงก็ไม่ถอยโน่นน่ะ มันยังจะเอาอีกนะ พอท่านขนาบทีเดียวหมอบเลย นี่แหละลงเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าลง ๆ จริง ๆ เราถ้าไม่ลงซัดกันอยู่นั่น กับพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ซัดกันพอ จนกระทั่งได้ถามถึงว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของท่านมากต่อมาก มีองค์ไหนที่หัวดื้ออย่างผม ไม่มีองค์ไหนมีองค์เดียว พระท่านว่า ไม่มีองค์ไหนมีองค์เดียว แต่ไม่ได้บอกว่าเราหัวดื้อไม่ดื้อแหละเราหากพูดของเราเอง ที่หัวดื้ออย่างเรานี้มีองค์ไหนบ้าง ไม่มีว่างั้นนะ เราทราบก็ไม่มีจริงๆ ก็มีแต่เราเท่านั้นแหละ คือที่ว่าดื้อนี้มันดื้อหาเหตุหาผล ถ้าไม่ลงกันตรงไหนมันก็ซัดกันอยู่นั่น พอลงแล้วหมอบนะ พอปึ๊บนี้ถูกแล้วยอมรับแล้ว อันไหนยังมีแง่แล้วเอาอีกอยู่งั้น ทีนี้คนดูภายนอกก็เหมือนอาจารย์กับลูกศิษย์เป็นแชมเปี้ยนฟัดกัน ความหมายก็ว่างั้น
แต่เรานี่จะเด็ดจะเดี่ยวขนาดไหนเราคอยเอาเหตุเอาผลเข้าใจไหม ถ้าลงตรงไหนหมอบทันที อะไรยังค้างเอาอีกอย่างนั้นนะ จนกระทั่งลงใจแล้วไปด้วยความหมอบราบเลย ไอ้เรื่องทิฐิมานะที่จะไปเป็นคู่แข่งท่าน เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีในใจเรานะ เข้าหาความเข้าใจจริง ๆ นี่ ก็เรามีอาจารย์องค์เดียวเท่านี้ ที่เราปลงใจเราลงได้ทุกอย่าง ท่านว่าอะไรก็หมอบเลยๆ อย่างว่ากิเลสมันไม่อยู่ในกายนะมันอยู่ในจิต ท่านก็ยกม้ามาตีเอาหลงทิศไป เลยไม่นั่งตลอดรุ่งอีกเลย
พูดถึงเรื่องการติดสมาธินี่ก็เอาเสียจน เวลาท่านลากออกไปแล้วมันออกก็ออกเตลิดเปิดเปิงจนไม่ได้หลับได้นอน กลางคืนก็ไม่หลับกลางวันยังไม่หลับฟัดกัน ขึ้นไปหาท่าน พ่อแม่ครูจารย์ให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง ท่านก็ว่า ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน บางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง มันหมุนติ้วอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหมท่านใส่ปั๊บ สังขารนี่คือว่า สังขารนี้เป็นมรรคแก้กิเลส ถ้ามันเลยเถิดไปไม่มีประมาณ สังขารสมุทัยมันแทรกเข้าไป นั่นแหละมันหลงสังขาร สังขารอันนี้มันแทรกเข้าใจไหม เวลามันผ่านไปแล้วมันถึงรู้ทีหลัง อ๋อ แน่ะ เห็นไหมล่ะยอมเลย ตอนนั้นมันก็ยังไม่ลงเท่าไรแหละ แต่ความลงได้เชื่อท่าน แต่กำลังใจของเราที่มันจะหมุนนี้มันก็ไม่ถอยนี่ซิ จนมันจะตายแล้วก็มาหมอบเข้าสู่สมาธิ จิตลงสมาธิมีกำลังพุ่งออกอีกซัดอีก จนกระทั่งผ่านไปแล้วมายอมท่านหมดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ผู้ที่เหนือมีอยู่อย่างนั้นซิ เพราะฉะนั้นจึงต้องเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ซิ ก็มีเท่านั้นแหละ
ถาม การจะเป็นผู้ที่มีความรอบคอบตลอด ๒๔ ชั่วโมง จะให้ปฏิบัติอย่างไร
หลวงตา ปฏิบัติแบบผู้ท่านรอบคอบมาแล้วเลย ๒๔ ชั่วโมงไปเข้าใจไหม เอ้า มันต้องอย่างนั้นซิ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่มีคำว่าเผลอไปไหนมาไหนอย่างโลก ไม่มี แน่ะ นั่นแหละถึงว่า เลย ๒๔ ชั่วโมงไป มันก็เอามาพูดกันได้ละซิใช่ไหม เอาว่าไป เราไม่ได้ถึง ๒๔ ชั่วโมง ได้แค่ไหนเอาให้ได้นะ เข้าใจเหรอ ผู้ที่ ๒๔ ชั่วโมงก็มี เลยก็มี มันมีหลายขั้นของธรรม หมดแล้วนะ จบแล้ว เราอยากจบแต่นานแล้วเราเหนื่อย
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com |