เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนราชานุสรณ์ อ.เมือง จ.ลพบุรี
เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
นำธรรมมาเป็นประทีปส่องทาง
วันนี้เป็นวันมหามงคลของพี่น้องชาวจังหวัดลพบุรี และจังหวัดต่างๆ มาทุกทิศทุกทาง กรุงเทพมหานครมามาก มาในงานนี้ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน โดยมี คุณธนเศรษฐ์ อัศวานุวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ในงานของพี่น้องทั้งหลายในคราวนี้
ท่านทั้งหลายได้มารวมกันเป็นจำนวนมากนี้ ด้วยอำนาจแห่งความรักชาติ รักศาสนา พร้อมด้วยการเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน จึงเป็นที่อนุโมทนาเป็นอย่างมาก ในความสามัคคีของพี่น้องทั้งหลาย เท่าที่หลวงตาได้ไปตามสถานที่ต่างๆ ตามโครงการช่วยชาติของเรา ไม่ปรากฏว่าสถานที่ใด มีความบกพร่อง สำหรับประชาชนที่จะมาแสดงความรักชาติ รักศาสนา และเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงกันอย่างนี้ มีทุกภาคไปเลย เต็มไปด้วยความสามัคคี เช่นเดียวกันกับวันนี้
เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่น่าภาคภูมิใจ กับความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องทั้งหลาย ก็เข้ากันได้กับว่าทุกสิ่งทุกอย่าง แม้อัตภาพร่างกายของเรา ต้องอาศัยความสามัคคีในธาตุขันธ์ส่วนผสมต่างๆ ปรองดองกัน ทำให้มีกำลังวังชา ชีวิตชีวาหนาแน่น ประกอบหน้าที่การงานได้โดยสมบูรณ์พูนผลตลอดมา นี่คือความพร้อมเพรียงของธาตุของขันธ์ของเรา สมบูรณ์แล้วก็ประกอบหน้าที่การงานได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าขาดความสามัคคีมีอวัยวะไม่สมประกอบ เช่นเจ็บไข้ ปวดศีรษะ เสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง พิการไปเสียเช่นนี้ เรียกว่า ขาดความสามัคคี การเคลื่อนไหวไปมาย่อมไม่สะดวก แม้จะประกอบหน้าที่การงานก็บกๆ พร่องๆ ไม่สมบูรณ์พูนผล เหมือนร่างกายที่มีความสามัคคีเต็มเม็ดเต็มหน่วย
อันนี้ก็เหมือนกัน ชาติไทยของเราที่จะมีความหนาแน่นมั่นคงขึ้นมา นี้ก็เพราะความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ ได้ร่วมมือร่วมใจกัน จากความรักชาติรักศาสนา แล้วเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน เต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมา โดยมีหลวงตาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย เกี่ยวกับทางศาสนา เป็นผู้นำ เพราะศาสนาเป็นที่ตายใจของโลกทั่วๆ ไป
คำว่า ศาสนา แปลว่า คำสอน พุทธศาสนา หมายถึงคำสอนของท่านผู้รู้ ผู้ฉลาดแหลมคม เป็นจอมปราชญ์ของโลกทั้ง ๓ ควรที่โลกทั้งหลาย จะยึดเอาธรรมของจอมปราชญ์ ที่ได้ตรัสรู้โดยชอบธรรมแล้ว ไปประพฤติปฏิบัติน้อมกายวาจาใจของตน เข้าสู่อรรถธรรมตลอดไป
ในนามของเราเป็นชาวพุทธ คำว่า พุทธ ก็คือ ท่านผู้รู้ ธรรม ก็คือ ธรรมชาติที่เลิศเลอ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็ตรัสรู้ธรรมที่เลิศเลอ พระสงฆ์สาวกได้ยินได้ฟังอรรถธรรมที่เลิศเลอจากพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏเป็น สรณํ คจฺฉามิ ที่เลิศเลอของพวกเราทั้งหลาย
ศาสนา คือ หลักใจของชาวพุทธเรา เมื่อนำศาสนามาดำเนิน โดยความเป็นธรรมตามหลักธรรมแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงามทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะศาสนาไม่เคยทำสิ่งใดให้บกพร่อง หรือให้เสียหายไปแม้แต่น้อย มีแต่ทำสิ่งนั้น พยุงสิ่งนั้น ส่งเสริมสิ่งนั้น ประสับประสานสิ่งที่ไม่ดี ให้เข้ากันเป็นความสนิทสนมกลมกลืนกันไปได้หมด นี้คือคำสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อเรานำมาปฏิบัติ ก็ปฏิบัติโดยอรรถโดยธรรม ก็ราบรื่นดีงามมาจนกระทั่งบัดนี้
ดังที่หลวงตาได้นำพี่น้องทั้งหลาย ออกช่วยชาตินี้เป็นเวลาร่วม ๖ ปีนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าราบรื่นดีงามทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะไปสถานที่แห่งใด ตำบล อำเภอ จังหวัด ทั่วประเทศไทย ได้รับการต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงถึงความรักชาติ รักศาสนาออกมาพร้อมกันเลย เต็มไปด้วยการบริจาค มากน้อยเต็มใจที่จะบริจาคเรื่อยมา ผลที่ได้รับมาก็หนุนเข้าไปเป็นลำดับลำดา
จนกระทั่งบัดนี้ทองคำเรา ได้มอบเข้าสู่คลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ได้ ๙ ตัน หรือว่า ๙,๒๕๐ กิโล ยังขาดอยู่อีกเพียง ๘๗๕ กิโลเท่านั้น จะครบจำนวน ๑๐ ตัน และดอลลาร์ได้แล้วเวลานี้ ๘,๘๐๐,๐๐๐ ดอลล์ ยังขาดอยู่อีกเพียง ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลล์เท่านั้น ก็จะครบจำนวนที่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ตายตัวเอาไว้แล้วว่า ทองคำให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ให้ได้ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ ดอลล์
ในการช่วยชาติคราวนี้ ซึ่งเป็นงานอันยิ่งใหญ่ จะเป็นประวัติของชาติไทยเราอย่างงดงาม จากความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ ต่างคนต่างอุ้มต่างชูทั้งชาติทั้งศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรือง และอบอุ่นไปถึงประชาชนผู้รักอรรถรักธรรม ในนามของความเป็นชาวพุทธ มีความพร้อมเพรียงกันมาอย่างนี้ ผลที่ได้รับก็ดังที่ท่านทั้งหลายเห็นแล้ว
เมื่อวานซืนนี้ วันที่ ๒๖ ก็ได้นำทองคำเข้าสู่คลังหลวง ๑,๔๐๐ กิโลกรัม และดอลลาร์ ๕๐๐,๐๐๐ ดอลล์ มอบคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๒๖ คือวานซืนนี้เอง นี่เป็นผลของน้ำใจแห่งพี่น้องทั้งหลาย ที่มีความรักชาติ รักศาสนา รักความสามัคคี กลมกลืนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ย่อมมีพลังมาก อย่าว่าแต่เพียงทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน แม้มากกว่านั้น ก็ไม่พ้นความพร้อมเพรียง ความสามัคคี ความรักชาติเราไปได้ เห็นผลประจักษ์
วันนี้มาเห็นพี่น้องทั้งหลาย มีจำนวนมากมาย มาจากทิศต่างๆ จังหวัดต่างๆ รวมกันด้วยน้ำใจเป็นนักเสียสละ จากความรักชาติ รักศาสนาด้วยกัน เราทั้งหลายจึงเป็นประหนึ่งว่า อวัยวะเดียวกัน ท่านผู้ใด จะมาจากจังหวัดอำเภอใด ทั้งใกล้ทั้งไกล ก็คือ ใจเป็นธรรม ความมีใจเป็นธรรม ย่อมมีความสนิทสนมกันได้อย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องถามชื่อ ถามเสียง ตำบล ที่อยู่ โคตรแซ่ของแต่ละคนๆ เลย ความดีนี้แล เป็นเครื่องประสานให้เห็นอกเห็นใจ ให้มีความรักชอบ ให้มีความเชื่อถือกันตลอดมา
นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อมีอยู่ในใจของท่านผู้ใด ย่อมทำผู้นั้น ให้เป็นที่ตายใจไว้ใจตัวเอง เมื่อประสับประสานกันกับผู้อื่นผู้ใด ต่างคนต่างมีอรรถมีธรรมประจำใจกันแล้ว ย่อมมีความกลมกลืนสามัคคี รักกันเหมือนหนึ่งว่าอวัยวะเดียวกัน นี่แหละเรื่องของอรรถของธรรม เป็นเครื่องประสับประสาน เป็นเครื่องทะนุบำรุง ไม่มีการส่อไปถึงทางเสียหาย เช่น ความแตกสามัคคีอย่างนี้ นั้นคือมหาภัยของความสามัคคีธรรมทั้งหลาย ท่านจึงปัดออก ไม่ให้เข้ามากีดกัน หรือไม่ให้เข้ามาใกล้ชิด
เราเป็นชาวพุทธ ต้องรักษาความสามัคคี ด้วยความหนาแน่นมั่นคง จากธรรมที่ยึดไว้ภายในใจ และกราบไหว้ทุกวันทุกคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นขวัญตาขวัญใจ เป็นชีวิตจิตใจของเรา อยู่กับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมดวงเลิศเลอนี้ตลอดไป เราจะมีความเจริญรุ่งเรือง
โลกใดที่มีธรรม สถานที่ใดที่มีธรรมในใจ ไม่ว่าส่วนใหญ่ส่วนย่อย ย่อมจะมีความสงบสุขเย็นใจ ประชาชนทั้งหลายมีความตายใจกันได้ เชื่อถือกันได้ สนิทสนมกันได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้อยู่ไกล อยู่ภาคนั้น ภาคนี้ จังหวัดนั้น จังหวัดนี้ นั้นเป็นเพียงตั้งชื่อตั้งนามขึ้นตามเขตแดนของคนเราที่อยู่ร่วมกันเท่านั้น เช่นอย่างบ้านนี้ ก็บ้านนั้นๆ บ้านนั้นๆ รวมแล้วเป็นหมู่บ้าน รวมเข้าแล้ว เป็นตำบล เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด รวมกันไว้อย่างนั้นแล
หลักใหญ่คือ ต่างคนต่างมีอรรถมีธรรม ให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ดูถูกเหยียดหยามกัน มีการสงเคราะห์สงหาช่วยเหลือในบุคคลหรือรายที่จำเป็น ไม่ว่าสถานที่ใด ความเสียสละนี้ เป็นสิ่งประสานจิตใจของโลก ให้มีความสนิทติดใจต่อกัน ระลึกถึงบุญถึงคุณกัน แม้วันตายก็ไม่มีลืม เพราะอำนาจแห่งการเสียสละนี้แล
พระพุทธเจ้าท่านทรงประกาศสอนธรรมในเบื้องต้น ท่านสอนว่า ทานบารมี ทานการเสียสละ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้จำเป็น นับตั้งแต่สัตว์มาหามนุษย์ที่ทุกข์จนเข็ญใจ หรือผู้จำเป็นเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุ หรืออุปสรรคอันใด แล้วช่วยเหลือกันเต็มกำลังความสามารถของเราเรื่อยมา นี้เป็นการเสียสละ เป็นทานประเภทหนึ่ง
การให้ทานต่อพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกลงมา ก็เป็นผลแห่งทาน เป็นมหากุศลๆ แต่ละประเภทโดยลำดับลงมา จนกระทั่งถึงให้ทานพระเจ้าพระสงฆ์ ผู้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรม เป็นผู้มี หิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ที่จะมาทำลายศีลธรรมของตน ที่รักษาอยู่ ย่อมมีผลโดยลำดับลำดามาอย่างนี้
นี่ละการให้ทาน มีผลเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน รวมแล้ว เรียกว่า บุญร่วมกัน ของเล็กของน้อยเมื่อผสมกันเข้า ก็เป็นของมาก บุญกุศลได้จากการเสียสละในแง่ต่างๆ ในบุคคลและสัตว์ประเภทต่างๆ รวมแล้วก็เป็นมหากุศลขึ้นมาได้ เหมือนฝนตกทีละหยดละหยาด ไม่จำจะเป็นต้องตกทีละเม็ดหนึ่งเท่าลูกมะพร้าวอะไรเลย ตกทีละหยดละหยาด เมื่อตกไม่หยุดไม่ถอย ย่อมทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มได้ด้วยน้ำฉันใด การสร้างกุศลผลบุญ ตามทางของศาสดาที่บุกเบิกให้สัตว์ทั้งหลาย มีนัยน์ตาเห็นอรรถเห็นธรรม ไปทางแสงสว่างกระจ่างแจ้งเพื่อความสุขความเจริญ ก็สั่งสมตัวเองไปด้วยอำนาจแห่งกำลังทรัพย์สมบัติของเราเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อทำลงไปไม่หยุดไม่ถอย ทานแต่ละเล็กละน้อยรวมกันแล้ว ก็เป็นมหากุศลขึ้นมาในใจของเรา นี่หลักใหญ่อยู่ตรงนี้
การให้ทานจึงเป็นธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นประเภทที่สำคัญมาก พระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ได้ ก่อนจะได้ตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญทาน เป็นพื้นฐานแห่งความเป็นโพธิสัตว์เรื่อยมา จนกระทั่งสมบูรณ์แบบได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ท่านจึงทรงยกทานเป็นอันดับหนึ่ง ในคาถาท่านแสดงไว้ว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าท่านทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่ มีมหากรุณาธิคุณ และทำประโยชน์ให้สัตว์โลกจนหาประมาณไม่ได้ นี่ก็คือการเสียสละของพระองค์ เพื่อสัตว์โลกทั้งหลาย จะได้มีความสุขเจริญตามฐานะของตน
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมาแล้วไม่มีใจดำน้ำขุ่น มีแต่เปิดจ้าออกด้วยการกุศล มีทานเป็นสำคัญ เพราะพระพุทธเจ้าท่านรับสั่งไว้ว่า การให้ทาน นี้คือเป็นแบบพิมพ์ เป็นพ่อเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อพระองค์เสด็จไปในสถานที่ใด มีคนเคารพนับถือมาก บูชาด้วยปัจจัยไทยทานต่างๆ ล้นหลามไปตามสายทางและที่ประทับอยู่ จนคนทั้งหลายมีความสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าเสด็จไปสถานที่ใด จึงมีตั้งแต่เครื่องสักการบูชา แม้เทวบุตรเทวดาก็ไม่พ้นที่จะมาบริจาคทานต่อพระพุทธเจ้า ท่านทำไมถึงต่างจากมนุษย์เอานักหนา ก็มีรายหนึ่งขึ้นมาตอบรับกันว่า ก็เพราะท่านเป็นพระพุทธเจ้านั้นแล สมบัติทั้งหลาย ไทยทานต่างๆ มีมาทุกทิศทุกทาง จึงไหลเข้ามาสู่ความเป็นพระพุทธเจ้า
ความจริง พระพุทธเจ้าตรัสออกมา ทรงห้ามทันทีเลยว่า ไทยทานทั้งหลายที่มีผู้มาบริจาคนี้ อย่าเข้าใจว่าเราเป็นใหญ่ ทานทั้งหลายนี้มาเพราะความเป็นพระพุทธเจ้า ทานเหล่านี้ไม่ได้มาจากความเป็นพระพุทธเจ้า ทานเหล่านี้มาจากบารมีของเรา ที่เคยสร้างมาตั้งแต่ทำความปรารถนาเป็นศาสดาของโลก ทานไม่อัดไม่อั้น ทานทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ชีวิตจิตใจเราก็ทานได้ อย่าว่าแต่สมบัติเงินทองข้าวของเหล่านี้เลย เราสละได้เป็นพื้นฐานแห่งจิตใจของเราตลอดมา แม้ที่สุดเวลาเราตรัสรู้นี้ ก็ทานบารมีนั้นแล เป็นเครื่องหนุนเป็นเครื่องส่งเราขึ้นมาโดยลำดับลำดา จนได้มาเป็นพระพุทธเจ้าเวลานี้
การเป็นพระพุทธเจ้าของเรา เป็นเพราะอำนาจแห่งทาน ทานจึงเป็นแม่บท ทานจึงเป็นพ่อเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า อย่าได้เข้าใจว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าจากอะไร จากทานเป็นพื้นฐาน นี่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งคัดค้านว่า เขามาให้ทานต่อพระพุทธเจ้า เพราะท่านเป็นศาสดา ความจริงนั้นทานเหล่านี้เป็นกรรมอันดีงามของท่าน ที่ทรงบำเพ็ญมา ตั้งแต่ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จนสมบูรณ์แบบได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เพราะอำนาจแห่งทาน หนุนส่งขึ้นไปจนถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานเรียบร้อยแล้ว ไม่ทรงปรารถนาอะไรอีกแล้ว อิ่มพอทุกอย่าง แม้เช่นนั้นอำนาจแห่งทาน ที่เป็นวิบากแห่งกรรมดีของท่านที่สร้างมา เสด็จไปที่ไหน จึงมีคนเคารพบูชาทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกลื่อนไปหมดด้วยไทยทาน แม้พระองค์จะไม่ทรงยินดียินร้ายก็ตาม แต่ผลแห่งกรรมดีนั้น ไม่ลำเอียงตามสนองพระพุทธเจ้าตลอดไป ท่านจึงได้ยกว่า การให้ทานเป็นของสำคัญมากทีเดียว
มนุษย์อยู่ร่วมกัน ก็ต้องมีการให้ทาน มีการเสียสละ ถ้าอยู่ด้วยกันด้วยความคับแคบตีบตัน ไม่เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เห็นแก่ตัวคนเดียวอย่างนี้ โลกนี้จะอยู่ อย่างน้อยไม่สงบ มากกว่านั้นจับกันไม่ติด แตกร้าวสามัคคีกันไป เพราะอำนาจแห่งความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ไม่เห็นคุณค่าของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ท่านจึงสอนให้รู้จักการเสียสละทำบุญให้ทานสงเคราะห์สงหาผู้จำเป็น ซึ่งควรจะได้รับการสงเคราะห์เรื่อยไป ไม่ว่าใครอยู่ที่ไหน ความเสียสละความเมตตาเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันนี้ ขอให้มีติดนิสัยสันดานเรา ซึ่งเป็นชาวพุทธทั่วหน้ากัน เราจะมีความสนิทสนมกันด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะอรรถเพราะธรรมเ ป็นเครื่องสมานยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด จะสมานให้เหนียวแน่นแก่นความสนิทสนมกัน เหมือนอำนาจแห่งการให้ทานการเสียสละ
ส่วนความตระหนี่นั้นไม่เป็นท่า ไม่เป็นของดีเลย เข้าตรงไหนแตกตรงนั้นๆ คือความตระหนี่นี้เป็นความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่เอา พอได้แง่ไหน เอาแง่นั้น มีหลายเล่ห์หลายเหลี่ยมหลายสันพันคม ที่จะกอบโกยเอาเงินของผู้อื่นมาเป็นสมบัติของตน เพราะฉะนั้นคนประเภทนี้ ไปที่ไหน จึงไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม เป็นภัยต่อผู้นั้นๆ ใครก็กลัวภัย จึงไม่กล้าคบค้าสมาคม แม้แต่โคตรแซ่เดียวกันอยู่ด้วยกัน ถ้าต่างคนต่างเห็นแก่ได้แก่เอา โคตรแซ่นั้นก็อยู่ด้วยกันไม่สนิท มีแต่ชื่อ ว่าโคตรว่าแซ่ ว่าญาติเฉยๆ แต่ความตระหนี่ถี่เหนียวทำลายให้แตกกระจัดกระจาย อย่างน้อยอยู่ด้วยกันไม่สนิท
ถ้าเป็นผู้มีความเสียสละแล้ว กว้างขวางเบิกบาน ไม่มีอะไรยิ่งกว่าการให้ทาน เราเป็นลูกชาวพุทธ ขอให้ระลึกถึงธรรมข้อนี้ไว้ประจำใจเสมอ มีความพร้อมเสมอที่จะสงเคราะห์สงหาผู้ยากจนเข็ญใจ ตามฐานะของเราที่จะช่วยเหลือได้ ดังพี่น้องทั้งหลายช่วยประเทศชาติบ้านเมืองนี้ ก็ด้วยการเสียสละ ไม่ใช่ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว ความกีดความขวาง เป็นความเสียสละด้วยความรักชาติ รักศาสนา และเป็นนิสัยของเรา ซึ่งเป็นนักให้ทานมาแล้ว เพราะเราเป็นชาวพุทธ จึงสามารถหนุนสมบัติทั้งหลายให้ขึ้นได้มากมายอย่างนี้ กรุณาทราบตามนี้
เรื่องธรรมท่านบุกเบิก ในที่มืดให้เป็นที่แจ้งขึ้นมา บุกเบิกคนที่ตระหนี่ถี่เหนียว คือ คนมืดบอดเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่เพื่อนแก่ฝูงทั้งๆ ที่มีนัยน์ตาแหลมคมเช่นเดียวกับโลกทั่วๆ ไป แต่มองโลกไม่เห็น เห็นแต่พุงของตัวๆ ไปที่ไหนจึงชอบได้รับความกระทบกระเทือนเสมอ จากคนประเภทนี้
พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนตาดีมีจิตใจอันกว้างขวาง ไม่เห็นแก่ตัว มองดูจิตใจของกันและกัน แม้แต่สัตว์เขาก็รักสุขเกลียดทุกข์ มนุษย์เรายิ่งเป็นสัตว์ที่ฉลาดด้วยแล้ว ย่อมจะมองลึกยิ่งกว่านั้น มองเห็นใจเขาใจเรา ฐานะของเขา ฐานะของเรา บุญกรรมของเขาของเรา ที่มีเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ย่อมมีความเคารพกัน ตามอำนาจแห่งบุญวาสนาของแต่ละคนละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน เพราะบางคนก็มีวาสนาสูงส่ง แม้จะอยู่ร่วมมนุษย์ แต่ภายในจิตใจนั้น เป็นผู้มีวาสนาสูงส่ง สง่างามอยู่ภายในใจ บางรายก็ลดลงมาๆ บางรายก็เป็นผู้อาภัพวาสนา ไปที่ไหน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม เรียกว่า เป็นคนอาภัพภายในตัวอย่างเห็นได้ชัด จากผู้อื่นที่เขามองแล้วกระทบกระเทือนสะดุดใจด้วยความชั่วของตัวเอง
คนเราไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงเบิกทางให้พวกเราทั้งหลาย สร้างความดีจะได้มีความรู้อันกว้างขวางออกไป เท่าที่ความรู้เราอยู่เป็นอยู่เวลานี้ มองเห็นตั้งแต่ตัวของเรา มักจะไม่มองเห็นคนอื่น จึงมักจะเอารัดเอาเปรียบกันเสมอ พอได้แง่ใดมุมใดก็เอา นี่ตาเรามันสายตาสั้น แต่สายตาธรรมแล้วไม่เอารัดเอาเปรียบ นอกจากการช่วยเหลือกัน นี่ธรรมท่านสอนให้มีสายตาอันยืดยาว
นอกจากนั้นก็สอนในเรื่อง การทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา เพื่อทางก้าวเดินในภพชาติต่างๆ ของเราสืบต่อไป ถ้าให้กิเลสความชั่วช้าลามกพาก้าวเดินแล้ว มันจะพาก้าวเดินไป ตกหลุม ตกบ่อ ตกเหว ตกนรกอเวจี เป็นเปรต เป็นผี ไม่มีที่สิ้นสุด นี้คือไปด้วยความตาบอด ตาบอดทางใจ ไม่ยอมเชื่ออรรถธรรม ที่เป็นแสงสว่างส่องทางให้ไป เพื่อความปลอดภัย ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมส่งเสริม หรือส่องแสงสว่างให้สัตว์โลกได้ดำเนิน เพื่อความถูกต้องดีงาม ไม่ผิดพลาดในการก้าวเดิน เช่นอยู่ในโลกนี้ เราก็ต่างคนต่างบอดทางใจเหมือนกัน อยู่นี้ก็รู้ว่าตัวเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์นี้เกิดมาจากภพใดชาติใด เราก็ไม่รู้
พระพุทธเจ้าจึงสอนธรรมลง เพื่อเป็นแสงสว่างส่องทางให้ แสงสว่างเพื่อส่องทางไปในภพที่ถูกที่ดี มีความสุขความเจริญ ก็คือการบำเพ็ญความดี เกลียดชังความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ซึ่งจะมาเป็นภัยต่อเรา และบำเพ็ญความดี ด้วยศีลด้วยธรรม การให้ทานไม่ลดละ วันหนึ่งทำให้เป็นนิสัยของเราประจำวันได้ยิ่งเป็นการดี มีพระมาบิณฑบาต เราได้ใส่บาตรพระองค์เดียวก็ยังดี เราเสียสละเพื่อผู้หนึ่งผู้ใด และกิจการอันจำเป็นใด เพื่อประโยชน์แก่กิจการหรือผู้นั้นๆ นี่ก็เป็นบุญเป็นกุศลแต่ละอย่างๆ การให้ทานพระเจ้าพระสงฆ์ท่านผู้มีศีลมีธรรมนี้ ท่านเรียกว่า ปุญญักเขต เป็นเนื้อนาบุญของโลกได้เป็นชั้นๆ ให้ทานแก่พระพุทธเจ้าเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน จากนั้นก็ลดลงมา ให้ทานแก่บรรดาสาวกอรหัตอรหันต์ บุญกุศลก็ลดลงเล็กน้อย และให้ทานแก่ท่านผู้มีศีลมีธรรม มี หิริโอตตัปปะ รักษาศีลรักษาธรรมด้วยดี ไม่ยอมให้ศีลขาดทำลายแต่อย่างใด นั้นก็มีอานิสงส์มากเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งการให้ทานทั่วๆ ไป เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น
นี้ก็เป็นธรรมที่เบิกทางทั้งหลาย ให้เราได้สร้างความดี มีแสงสว่างในภพต่อไป เช่น ภพนี้เราก็ไม่รู้ ทีนี้ภพจะเกิดต่อไป หลังจากเราตายแล้วก็จะมีภพอื่นต่อไป เช่นเดียวกับภพที่เราเคยเกิดเคยตายมาแล้วแต่เราจำไม่ได้ เพราะอำนาจของกิเลสมันปิดบังไว้หมดในความจริง คือสายทางที่เราเคยผ่านมา จึงไม่มีใครรู้ ในปัจจุบันนี้เราก็ยังไม่รู้อีกว่า ตายจากนี้แล้ว เราจะไปเกิดเป็นอะไร จะไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวบุตรเทวดา หรือจะไปเกิดเป็นเปรตเป็นผี เป็นสัตว์เดรัจฉาน จนกระทั่งจมลงในนรก เราก็ไม่ทราบได้ เพราะฉะนั้นจงเชื่อธรรมเครื่องส่องทาง คือ ให้ทำคุณงามความดี จะเป็นที่แน่ใจแก่เรา แม้จะยังไม่สว่างกว้างขวางในภพชาติต่อไปที่เราจะได้เกิดก็ตาม การกุศลนี้เป็นเครื่องบ่งบอกเรา ให้มีความอบอุ่นภายในจิตใจโดยลำดับ
การให้ทาน การรักษาศีล ยิ่งการภาวนาด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเครื่องส่องแสงสว่างให้แก่จิตใจของเรา อย่างชัดเจนประจักษ์ใจ เพราะฉะนั้นการภาวนา ชาวพุทธเราจึงไม่ค่อยสนใจทำกัน หรือไม่สนใจจะทำ เห็นว่าเป็นของสุดวิสัยไปเสีย แล้วก็ทำแต่อย่างอื่น ซึ่งมีผลไม่เท่าการภาวนาเลย การภาวนานี้เป็นเครื่องส่องทางได้อย่างประจักษ์ใจทีเดียว ทาน ศีล อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลที่เกิดขึ้นจากการให้ทานและรักษาศีลนี้ จะรวมลงในทำนบใหญ่ คือ จิตตภาวนาของผู้บำเพ็ญภาวนา กุศลมากน้อยจะไหลรวมลงที่นี่ เวลาจะตัดสินกันในวาระสุดท้าย ก็คือการภาวนา รวมมหากุศลทั้งหลายที่เราได้สร้างมามากน้อย มาสู่จุดเดียว คือ การภาวนา
อันนี้สามารถที่จะรู้ในภพชาติของเรา ดีไม่ดี รู้ย้อนหลังก็ได้ว่า เคยเกิดเป็นภพใดชาติใด เช่น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ว่า เราเคยเกิดเป็นสัตว์ประเภทใด บุคคลใด ตลอดมานี้ มีกี่ภพกี่ชาติ แล้วต่อไปนี้ อนาคตังสญาณ สามารถที่จะหยั่งทราบภายในจิตใจของเรา เรื่องอนาคตความเกิดตายของเรา จะไปเกิดในสถานที่ใด จะมาประจักษ์ที่จิตตภาวนา ซึ่งเป็นเครื่องส่องทาง เมื่อภาวนาจิตใจให้มีความสงบ การภาวนานั้น ท่านสอนไว้เป็นบทเป็นบาทตายตัว เพื่อส่องทางให้จิตใจเรา รู้แจ้งแทงทะลุในทางเดินของจิตของธรรม
ท่านสอนไว้ว่า การภาวนา แปลว่า การอบรมจิตใจ ให้มีความสงบเย็นใจ รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญ รู้บาปโดยธรรม มีภาวนาท่านมีบทยืนตัวเพื่อตั้งหลักฐานที่ถูกต้องดีงามไว้ว่า ท่านผู้ใดมีความชอบในธรรมบทใด เช่น พุทโธ ก็ได้ ธัมโม ก็ได้ สังโฆ ก็ได้ หรือบทธรรมอื่นใดก็ตาม ตามจริตนิสัยที่ชอบแล้วนำมาบริกรรม เช่น บริกรรม พุทโธๆ ตอนนั้นห้ามความคิดความปรุงทั้งหมด อันเป็นเรื่องของกิเลสก่อไฟเผาเราให้หาความสุขไม่ได้ ย่นจิตเข้ามาสู่บทภาวนา บริกรรมภาวนาเช่น พุทโธๆ ให้คำภาวนานี้ซึ่งเป็นธรรม ทำงานแทนกิเลส ไม่ยอมให้กิเลส คิดปรุงเรื่องของมันขึ้นมา มีแต่บทบริกรรม พุทโธหรือ ธัมโม ตามแต่จริตชอบ ด้วยความมีสติเป็นเครื่องกำกับรักษาใจ
เมื่อใจมีสิ่งรักษา คือ สติ กับคำบริกรรม คุ้มครองอยู่แล้ว ใจจะปราศจากความคิดยุ่งเหยิงวุ่นวาย จะทำให้เรามืดแปดทิศแปดด้าน แล้วกระจายออกไป จะมีตั้งแต่ความรู้จำเพาะจิต ที่มีอยู่กับพุทโธๆ จิตของเราจะมีความสงบ ในขณะที่จิตสงบนั้น เราจะเห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวายคิดมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประมวลมาแล้ว กองทุกข์ใหญ่เกิดอยู่กับความคิดมากวุ่นมาก เวลานั้นความคิดเหล่านี้จะสงบ ด้วยธรรม คือ คำบริกรรมบังคับไว้ไม่ให้คิด ปล่อยให้ธรรมทำงาน พุทโธ ก็เป็นธรรม ธัมโม สังโฆ เป็นธรรมทำงาน คำบริกรรมเป็นธรรม สติเป็นธรรม
จิตใจได้รับความคุ้มครองแล้ว ไม่มีกิเลสเข้ามารบกวน ย่อมมีความสงบ เมื่อจิตสงบแล้ว ย่อมมีความเย็นแปลกประหลาดอัศจรรย์ ตั้งแต่วันเราเกิดมา เราไม่เคยเห็นความสงบ ความแปลกประหลาด พึ่งจะได้มาพบมาเห็นในเวลาภาวนานี้เท่านั้น และความสุขอื่นใดในโลกนี้ที่เราผ่านมา ไม่เคยมีความสุขใดจะเสมอเหมือน ความสงบสุขของใจ ซึ่งเกิดขึ้นจากการภาวนา เราจะได้เห็นความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ของใจเราตั้งแต่วันเกิดมา ในวันที่เราภาวนา จิตได้ปรากฏเป็นความสงบสุขขึ้นมา นั้นแลจะเป็นเครื่องฝังใจเราให้มีความดูดดื่มในการกุศลทั้งหลาย มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ แล้วเจริญเข้าไปๆ เรื่อยๆ ตามโอกาส
วันหนึ่งๆ ขอให้แบ่งให้ได้พี่น้องชาวพุทธ ซึ่งห่างเหินจากการภาวนามามากต่อมาก ไม่ค่อยมีใครสนใจกับภาวนา ซึ่งเป็นรากแก้วแห่งพระพุทธศาสนานี้เลย ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือ พระสงฆ์ทั้งหลายตรัสรู้ด้วยการภาวนาก็ตาม แต่เราไม่ค่อยสนใจกับการภาวนา ทำบุญทำทานเป็นอย่างอื่นอันเป็นส่วนกิ่งก้านสาขาดอกใบไปเสีย ต้นลำไม่ได้มาบำรุง แล้วกิ่งก้านสาขาดอกใบก็อับเฉาไปด้วย และไม่ค่อยมีแก่นสารยิ่งกว่าจิตตภาวนารองรับเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงให้ภาวนา
เมื่อจิตปรากฏเป็นความสงบเย็นขึ้นมา เราจะเห็นความอัศจรรย์ของใจ ไม่มีอะไรจะอัศจรรย์ยิ่งกว่าใจที่มีความสงบ ไม่มีสิ่งเลวร้ายทั้งหลายเข้ามารบกวนแล้วใจจะสงบ ความสงบของใจแม้จะมีช้ามีเร็วต่างกัน แต่สิ่งที่รับรองกันอยู่แล้วนั้นคือว่า จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เห็นหรือไม่เห็นก็ตาม สงบหรือไม่สงบก็ตาม การภาวนานี้มีอานิสงส์มาก ครอบกุศลทั้งหลายโดยประการทั้งปวงได้ เราให้อุตส่าห์พยายามภาวนา
การภาวนาบางรายก็รู้ได้เร็ว สงบได้เร็ว บางรายก็ช้า ถึงจะช้าหรือเร็วอานิสงส์แห่งการภาวนามีมากเช่นเดียวกัน นี่ละหลักใหญ่อยู่ที่ตรงนี้ เราภาวนา เหมือนกับเขาขุดน้ำบ่อ ตาน้ำมีอยู่ตื้นบ้างลึกบ้าง ลึกลงไปเป็นลำดับลำดา แต่เมื่อขุดไม่ถอย น้ำก็ปรากฏขึ้นมาๆ เช่นเดียวกันหมด การภาวนาเพื่อใจสงบนี้ เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด พระศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา จะเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ แล้วจะเชื่อพระพุทธเจ้าอย่างแนบแน่นเข้าไป จากการภาวนาของตนที่เห็นความสงบเย็นใจ เห็นความแปลกประหลาด จากหลักธรรมที่ท่านทรงสั่งสอนไว้แล้ว และท่านดำเนินมาแล้วถึงขั้นศาสดา ท่านก็เอาธรรมเหล่านี้แลมาสอนพวกเรา
จึงขอให้พากันระงับดับจิตใจของเราบ้าง จะสมชื่อสมนามว่าเป็นชาวพุทธ ให้เราได้แก่นพระศาสนาไว้ครองหัวใจของเรา คำว่าใจสงบนี้ไม่มีสิ้นสุดนะ เบื้องต้นเป็นความสงบอย่างนี้ เมื่อเราทำไม่หยุดไม่ถอย เพราะความเชื่อมั่นจากความสงบ และความอัศจรรย์ของใจนั้นมาโดยลำดับแล้ว ผู้นั้นจะมีความสนใจใคร่ต่อการภาวนาไปเรื่อยๆ ยิ่งจะรู้จะเห็นสิ่งแปลกๆ ต่างๆ ขึ้นภายในใจ เพราะธรรมเปิดใจออกแล้ว แต่ก่อนมีแต่กิเลสปกคลุมหุ้มห่อจิตใจ จนกลายเป็นใจบอดไปหมด เราตาดี แต่ใจมันบอด จึงมีความผิดพลาดไปเรื่อยๆ ถ้าใจสว่างไสว เพราะธรรมมาส่องใจด้วยจิตตภาวนาแล้ว คนเราจะระลึกรู้ เรื่องบาป เรื่องบุญ ได้ประจักษ์ใจ แล้วมีความ หิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม แล้วขวนขวายตั้งแต่สิ่งดีงาม
ยิ่งภาวนาให้สงบเท่าไร มีความแน่นหนามั่นคง เป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นในตัวของเรา ประหนึ่งในโลกนี้มีความอัศจรรย์เฉพาะใจของเราดวงเดียว มันเป็นขึ้นได้เองกับผู้ปฏิบัติเห็นอรรถเห็นธรรม ตาสว่างขึ้นมาแล้ว นี่ความสว่างในปัจจุบัน คือรู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเอง การประพฤติตัว ก็จะเป็นไปเพื่อความสวยงามราบรื่นไปโดยลำดับ ประกอบหน้าที่การงาน งานใดที่จะเป็นข้าศึกต่อธรรม คืองานที่เป็นบาปเป็นกรรม ทุจริตผิดธรรมนี้ มันจะรู้ภายในตัวของจิตเอง แล้วจะดำเนินแต่สิ่งที่ราบรื่นต่ออรรถต่อธรรม แล้วก็ยิ่งเน้นหนักลงด้วยการภาวนา
ภาวนามากเท่าไร จิตยิ่งเป็นของอัศจรรย์ๆ สิ่งภายนอกทั้งหลาย ที่เราเคยดูดดื่ม ที่เราเคยเพลิดเพลินรื่นเริง ประหนึ่งว่าวันตายไม่มี มีตั้งแต่ความดีดความดิ้น หวังจะร่ำจะรวยสวยงามไปโดยลำดับ เหล่านั้นจะค่อยจ่างเข้ามาๆ เพราะรสชาติแห่งธรรมที่เกิดขึ้นจากการภาวนานี้ มีคุณค่าสูงส่งมากกว่านั้นเป็นไหนๆ และค่อยปล่อยวางเข้ามาๆ จิตก็ยิ่งแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ ก็ยิ่งรู้เท่าทันเรื่องโลกกลมายาของกิเลส ที่เคยหลอกลวงต้มตุ๋นเรามานานแสนนาน และเรานอนใจกับมันมามากต่อมากแล้ว พอได้ธรรมภายในจิตใจ กลายเป็นใจสว่างไสว มองเห็นบาปเห็นบุญ เห็นดีเห็นชั่ว ย่อมมีทางละเว้นคัดเลือกกันได้ ภายในใจของคนเรา นี่ละการบำเพ็ญภาวนาเป็นอย่างนี้
จากนี้แล้วก็จะมีสว่างไสวเรื่อยไป จนเกิดเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ และก็ปล่อยวางโลกามิสภายนอกออกมาเป็นลำดับๆ เพราะคุณค่าไม่เหมือนธรรมที่เกิดอยู่กับใจของเรา ธรรมที่เกิดกับใจ อยู่ที่ใจ รักษาใจนี้ เป็นธรรมที่ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ว่าจะได้จะเสีย ได้มามากน้อยเสี่ยงกัน โลกเป็นอย่างนั้น ได้มาวันนี้ วันหน้าเสียไป วันนี้ได้กำไร วันหลังขาดทุนจนป่นปี้ก็มี เพราะกิเลสพาดีดพาดิ้น ผิดไปพลาดไป ตกหลุมตกบ่อไปเรื่อยๆ นี้คือ กิเลสหลอกไป
เมื่อธรรมได้เข้าครองใจแล้ว ธรรมไม่หลอก อยู่ที่ไหนมีความสงบเย็นใจๆ ตลอดไป นี่แหละทีนี้ก็เริ่มเห็น บาปบุญก็เห็นชัด สวรรค์ นิพพาน ก็เริ่มฉายแสงออกไปรู้กัน นรกอเวจีที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แต่กิเลสพาปิดบังลบล้างว่า ไม่มีๆ นั้น จะยอมรับว่ามีทุกสิ่งทุกอย่าง ตามที่พระองค์ทรงสอนไว้แล้ว ด้วยความแจ่มแจ้งในพระทัย จิตใจของเรา เมื่อได้แจ่มแจ้งออกไปแล้ว ก็รู้ก็เห็นยอมรับธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนทุกอย่าง ทั้งเป็นฝ่ายชั่วและเป็นฝ่ายดี แล้วทีนี้ก็พยายามปัดฝ่ายชั่วออก ฝ่ายดีก็เด่นดวงขึ้นมาๆ ภายในจิตใจ ไอ้เรื่องภพเรื่องชาติ เราจะเกิดที่ใด ข้อใดนี้ประจักษ์อยู่ที่ใจของเราเอง เมื่อกิเลสตัวมืดบอด กระจายออกไปด้วยอำนาจแห่งธรรม ฉายแสงสว่างออกไปแล้ว การเป็นการตายไม่ได้สนใจ เป็นความอบอุ่น และเป็นที่แน่ใจอยู่ภายในใจของเรา ตายนี้แล้วต้องไปสถานที่ดี ดีไม่ดีรู้จนกระทั่งภพชาติสถานที่อยู่ในเวลาตายไปแล้ว จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ บอกชัดเจนในจิตใจ
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก เป็นผู้จะรู้เองเห็นเอง ในที่อยู่กรรมอันดีของตัวเอง ที่สร้างมามากน้อย โดยไม่ต้องไปถามใคร ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ยายคนนี้ตายแล้วไปไหนนา แล้วก็ กุสลา ธมฺมา อีตาสะแตกเหล้าเก่งๆ นี้ตายแล้วไปไหนนา ก็ไม่ต้องไปถามแหละ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แน่ใจอยู่กับเรา พอชีวิตขาดลงไปก็ดีดผึง อำนาจแห่งบุญหนุนหลังให้ไปเลย เรามีวาสนาบารมีอยู่ขนาดใด ควรจะไปสวรรค์ชั้นใด พรหมโลกชั้นใด บุญกุศลจะหนุนไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย เราก็รู้ไว้แล้วๆ นี้ละตาสว่างด้วยอำนาจแห่งการสร้างความดี
ธรรมเป็นเครื่องส่องทาง ไม่เหมือนกิเลสส่องทาง เอาแต่ความมืดบอดมาส่อง ตาเราดี ก็ปิดหูปิดตาเราให้บอดไปเสีย แล้วก็บอดทางใจ จึงไม่ทราบว่า ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนกัน งุ่นงามต้วมเตี้ยม ไม่มีใครจะรู้ความตายของตนว่า ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน เพราะหัวใจมันบอด
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายเจริญคุณงามความดีเข้าไปเป็นลำดับ และมีจิตตภาวนาเป็นเครื่องส่องทาง พระพุทธเจ้ารู้ได้ ทำไมเราทั้งหลายจะรู้ไม่ได้ การสอนธรรมของพระพุทธเจ้า สอนเพื่อรู้เพื่อเห็นในสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย ไม่ใช่สอนในสิ่งที่ไม่มี ลูบคลำไปดำๆ ด่างๆ ไปอย่างงั้น พระพุทธเจ้าของเรา เป็นโลกวิทู รู้แจ้งโลกได้อย่างชัดเจน โลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง โลกใด คือ กิเลสไม่มีในพระทัย สว่างโร่ไปหมด โลกนอกสัตว์โลกมียังไงตั้งแต่นรกอเวจีขึ้นมา ถึงเปรต ถึงผี ถึงสวรรค์ พรหมโลก นิพพานทรงรู้แจ้งหมด นี่เรียกว่า โลกวิทู ของพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนสัตว์โลก จึงไม่ผิด ท่านมีพระเมตตาสุดส่วน ดังที่กล่าวแล้วตะกี้นี้ สั่งสอนพวกเรา ขอให้พากันปฏิบัติ
เพราะความเป็นอยู่ของเรา กับความตายไปของเรานี้ เครื่องตัดสิน คือ บาปกับบุญ ถ้าเราทำแต่ความชั่วช้าลามก จะปฏิเสธลบล้างว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรก สวรรค์ไม่มี สักเท่าไรก็ตาม ตายแล้ว มันไม่ได้เกิดอยู่กับความสำคัญ เกิดอยู่กับกรรมชั่วของเราที่ทำลงไปแล้วตูมลงทันที พอไปเจอแล้ว สายเกินไปเสียแล้ว สัตว์ที่ไปตกนรก ใครอยากไปตก ไม่มีใครอยากไปตก แต่ก็เพราะความอวดดีของตัวเอง ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ฉลาดยิ่งกว่าตัวที่กำลังโง่ๆ นี้ ไปอวดต่อพระพุทธเจ้า บาป บุญ นรก สวรรค์ไม่มี นี่แหละความอวดดี มันอวดเลว
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ด้วยความถูกต้อง เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารมานมนาน ไม่เคยโกหกหลอกลวงใคร ไม่เหมือนกิเลส ไม่ว่าปู่ ย่า ตา ยาย หลาน เหลนของกิเลส เป็นตัวโกหกหลอกลวงทั้งนั้น สัตว์โลกก็โง่เขลาเบาปัญญา กิเลสเสกเป่าพุดเดียวเท่านั้น ยอมรับมันเลย แล้วเชื่อถือตามมัน ตายไปแล้วก็ไปจมตามกิเลสที่หลอก แต่กิเลสมันไม่ไปตกนรก มันตกเฉพาะเราผู้โง่เขลาวิ่งตามกิเลสต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงขอให้นำธรรมมาเป็นประทีปส่องทาง ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา นี้คือธรรมเครื่องส่องทางด้วย เป็นเสบียงที่ติดจิตติดใจของเรา จะได้ไปเสวยผลในภพชาติข้างหน้าด้วย เมื่อวาสนาบารมีของเรา มีมากยิ่งกว่านั้นจนถึงเต็มภูมิแล้ว จะไปนิพพานเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าไป ท่านสอนไว้นี้โดยถูกต้องแม่นยำ
จึงขอให้พี่น้องชาวพุทธเรา หันหน้าเข้าสู่ธรรมหนักยิ่งกว่าที่เป็นอยู่แบบลอยๆ อย่างทุกวันนี้ มีแต่ชื่อว่าชาวพุทธๆ เมื่อมีคนถามว่า ถือศาสนาอะไร ถือศาสนาพุทธ แต่กิริยาของพุทธ ไม่เคยติดใจติดกายวาจาความประพฤติบ้างเลย มีแต่เรื่องกิเลสห้อมล้อม มองหาคนๆ หนึ่งแทบไม่เห็น มีแต่กิเลสห้อมล้อมไปหมด แสงอรรถแสงธรรมแทบไม่มี เพราะจิตใจไม่ได้มีการอบรม ถ้าจิตใจได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีโดยจิตตภาวนาแล้ว จะทราบเรื่องผิดเรื่องถูกของตัวเอง ยิ่งกว่าจะไปทราบเรื่องอื่นของผู้ใด จะทราบเรื่องผิดถูกชั่วดีของตัวเอง แล้วปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ก็จะนับวันมีความสว่างไสวขึ้นที่ใจของผู้ได้รับการอบรม
การอบรมธรรมนี้ เป็นความเลิศเลอมาก ศาสนาอะไรเป็นแก่น ก็คือ การภาวนาเป็นแก่นของพระศาสนา เป็นรากแก้วของพระศาสนา แล้วเวลานี้ถูกลบล้างไปหมดโดยความไม่สนใจของชาวพุทธเรานี่แล พูดถึงการภาวนาดีไม่ดีหัวเราะเยาะเย้ยกัน นี่กิเลสมันอวดดี มันหัวเราะเยาะเย้ยผู้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญธรรม ว่าพวกครึพวกล้าสมัย พวกที่หัวเราะเยาะเย้ยนี้ว่าเป็นผู้ทันสมัย ล้ำยุคล้ำสมัย ตายแล้วจมลงไปในนรกที่ทันสมัยของคนชั่วนั้นแหละ
เราอย่าไปสนใจกับใครนะ ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้า อย่าฟังเสียงคนมีกิเลส มันอมมูตรอมคูถมาพูดมาเป่าหลอกลวงท่านั้นท่านี้ สิ่งที่หอมหวนชวนให้ชมชวนให้ปฏิบัติ มันจะไม่นำมา มันจะเอาตั้งแต่สิ่งที่นรกจกเปรตเหม็นคลุ้งไปทั่ว นั่นแหละออกมาจากใจ ก็เป็นใจที่สกปรกรกรุงรังเป็นส้วมเป็นถาน กระจายออกมาทางวาจา ก็หลอกลวงหรือเยาะเย้ยสำหรับผู้สร้างความดีทั้งหลายนั้น ให้เราเข้าใจเอาไว้ตั้งแต่บัดนี้นะ
การสร้างความดี ความชั่วมันเป็นข้าศึก มันคอยติดแนบไปทำลายการทำดีของเรา จะไปทำบุญให้ทาน ก็มีความตระหนี่ถี่เหนียว หึงหวงเอาไว้เสีย นี่ก็คือกิเลส ให้เรารู้เสีย ความตระหนี่ไม่ให้เราแยกไปทำบุญให้ทาน นี้ก็คือความตระหนี่ จะก้าวเข้าไปวัดไปวาแข้งขาของเราเคยก้าวไปได้หลายโลก แต่จะก้าวเข้าวัด มันก้าวไม่ออก เพราะกิเลสตีขามันไว้ๆ คำพูดคำจาพูดทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งค่ำ พูดได้ไม่มีสิ้นมีสุด น้ำลายเอาลมมาจากไหน มันยังพูดได้ แต่ว่าจะพูด อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ นี้ไม่มีกำลังจะพูด เห็นไหมกิเลส มันตัดมันทอนเข้ามา ยิ่งจะนึกภาวนา เรานึกเราคิดเรื่องราวต่างๆ ทั่วโลกดินแดนไปตามกิเลส มันยังขยันคิดได้ ไม่มีเวลาที่ว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่พอจะมาคิดมานึก คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือนั่งภาวนานั้น เหมือนหนึ่งว่าจะเอาไปฆ่าในตะแลงแกง เห็นไหมกิเลส มันดัดสันดานเรา
เอาฆ่าให้ฆ่า ว่างั้นเลย ถ้าเป็นนักต่อสู้ความชั่วเพื่อความดีแล้ว ต้องมีสิ่งกีดขวาง ซึ่งมีตั้งแต่กิเลสทั้งนั้น เราต้องการอรรถธรรม ต้องต่อสู้กับมันโดยลำดับ มันไม่ให้ เราให้ การรักษาศีล การภาวนา มันไม่ให้ทำ เราทำ เพราะกิเลสเหล่านี้ ไม่มีพาใครไปสวรรค์นิพพาน มันจะพาแต่จมลงนรกโดยถ่ายเดียวเท่านั้น พอพ้นจากทุกข์แล้วอย่างนี้ มันเสียอกเสียใจ อย่างพญามาร ท่านแสดงไว้ว่า พระโคธิกะ ท่านตายในความฉุกเฉิน เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้น ครั้นตายไปแล้วก็พวกอธิบดีผู้เป็นใหญ่ในภพชาตินี้ พญามารมาคุยเขี่ยขุดค้นหาจิตวิญญาณของพระโคธิกะ ว่าตายแล้วไปไหนวิญญาณดวงนี้ เพราะดวงไหนตาย มันรู้ทั้งนั้นๆ เพราะอยู่ใต้อำนาจของพญามารนี้ แต่พอพระโคธิกะตายลงไป คุ้ยเขี่ยหาที่ไหนก็ไม่เจอๆ แล้วก็เปล่งเปล่งฤทธิ์เปล่งอำนาจ ทำให้โลกนี้มืดไปหมดจนไม่มองเห็นอะไร
พระพุทธเจ้าก็ทรงขนาบลงมาว่า พญามาร เธอจะคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาอะไร หาจิตพระโคธิกะนั้น เธอสิ้นกิเลสแล้ว เธอไปนิพพานแล้ว เธอจะค้นหาจนกระทั่งวันตาย ถ้าเป็นภาษาของเราพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ว่า ให้เธอไปหาโคตรหาแซ่ของเธอมาคุ้ยเขี่ยหาจิตวิญญาณของโคธิกะ ก็ไม่วันเจอ เพราะโคธิกะไปนิพพานแล้ว นี่แหละเรื่องของพญามาร มันมาสิงอยู่ในใจ บริษัทบริวารของพญามาร เข้ามาแทรกสิงอยู่ในใจของเรา เราจะสร้างความดีงามอะไรๆ มันจึงมาคัดค้านต้านทานไว้ทุกแง่ทุกมุมนั้นแหละ อยู่เฉยๆ มันปล่อยให้เราทำความดีนี้ไม่มีทาง มีแต่คัดค้านต้านทานไว้ตลอด ทีนี้เราสู้มันอยู่ตลอด เอามันไม่ให้ทาน เราไป เราให้ เอา มันไม่ให้ไปวัดไปวา ไปหาบำเพ็ญในสถานที่ดี อบรมจิตใจให้สงบ มันไม่ให้ไป ขาเรามีเราไป เราไม่ไปยืมขากิเลส เราเอาขาเราไป เราไปได้สบาย บำเพ็ญ มันก็ต้องผิดหวังๆ
เราสู้มันเรื่อยๆ ขึ้นชื่อว่าจะสร้างความดีอะไร กิเลสห้ามเราไม่ฟัง เราทำไปเรื่อยๆ ก็เรียกว่า เราชนะกิเลสไปเรื่อยๆ ครั้นต่อไป ความคัดค้านต้านทานในการทำความดีของเรานี้ จะเบาบางลงไป เบาบางลงไป จนกระทั่งไม่มีอะไรจะมาคัดค้าน อย่างนักภาวนาท่าน เวลาภาวนาทีแรกจิตใจล้มลุกคลุกคลาน จะเข้าทางจงกรมเหมือนจะเอาไปประหาร ความขี้เกียจขี้คร้านยกมาทั้งกองทัพเลย ความขี้เกียจขี้คร้านของกิเลสที่เสกสรรปั้นยอ มาเป่าพุดนี่ เข้าทางจงกรม เดินจงกรมก็ไม่ได้ อ่อนเปียกไปหมด แข้งขานี้รู้สึกว่ามันขยันขันแข็งถ้าไปตามกิเลส พอจะเข้าทางจงกรมนี้อ่อนเปียกๆ แข้งอ่อนขาอ่อนไปหมด นึกพุทโธ ก็นึกไม่ได้อ่อนเปียก สติสตังไม่ทราบไปทางไหน นี่เวลากิเลสมันหนาตั้งสติไม่ได้ เอา สู้ไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายการทำความเพียรของเรา เดินจงกรมก็เเข็งแรงขึ้นมา นั่งสมาธิก็ได้นาน สติก็ดิบก็ดี นี่คือชนะกิเลสไปโดยลำดับ
เอาขอสรุปความเลยว่า เมื่อเราได้บำเพ็ญด้วยการต่อสู้กับกิเลส เพื่อความดีของเราไม่หยุดไม่ถอยแล้ว ความชั่วทั้งหลายกิเลสทั้งหลายนั้นจะอ่อนตัวลงๆ ถึงขนาดที่ ธรรมมีกำลัง การสร้างคุณงามความดี เรามีกำลัง การทำความพากเพียรทางด้านจิตใจของเรา มีกำลังแล้ว มีแต่ความขยันหมั่นเพียร ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอนี้ไม่มี กิเลสตอนนี้หายหน้าไปหมด มีแต่ธรรมออกหน้าออกตา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาจะเอากี่ชั่วโมง ไม่ขัดข้องทั้งนั้น เพราะจิตดูดดื่มในอรรถในธรรม ดูดดื่มในความที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ไปเสีย ต่อไปก็เป็นจิตอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรเป็นอัตโนมัติ แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ไปโดยลำดับลำดา
ความเพียรของธรรมเมื่อเวลาได้มีกำลังแล้ว แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ เช่นเดียวกับกิเลสมันทำลายสัตว์โลก ทรมานสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมันนั้นแล พอธรรมมีกำลังมากขึ้นแล้ว ก็ทำลายกิเลสโดยอัตโนมัติของตนๆ จนกระทั่งกิเลสสิ้นซากไม่มีอะไรเหลือแล้ว สง่าจ้าขึ้นมาภายในจิตใจ แล้วที่ไหนล่ะ จะมีความประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่าแดนแห่งธรรมที่หลุดพ้นจากทุกข์แล้วคือ ธรรมธาตุ ธรรมธาตุนั้นพ้นจากโลกนี้ไปแล้ว วิเศษเลิศเลอยิ่งกว่าสามแดนโลกธาตุนี้ อันนี้เป็นสิ่งที่ต่ำเตี้ยไปหมด ธรรมนั้นเลิศเลอไม่มีอะไรจะแข่งขันได้แล้ว เพราะพ้นจากสมมุติแล้ว
นี้คือผลแห่งการปฏิบัติดี แห่งการฟังอรรถฟังธรรม ปฏิบัติอรรถธรรม จะเป็นเครื่องส่องแสงสว่างให้จิตใจของเรา มีความสว่างไสว รู้จักการประพฤติตัวว่า แง่ไหนผิด แง่ไหนถูก กระตุกตัวเรื่อย กระซิบกระซาบตัวในทางที่ผิดเรื่อย ไม่ให้ทำ ต่อไปก็ก้าวเดินไปจนถึงขั้นนี้แหละ นี่แหละธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลกให้มีหูมีตา หูแจ้งตาสว่างด้วยอรรถด้วยธรรม เมื่อเราบำเพ็ญตามท่านไปมากๆ ตาของเราก็สว่างไสว ขึ้นมาๆ จนกระทั่งจ้าไปหมดครอบโลกธาตุนี้สุดขีดแล้ว แห่งธรรมสอนโลก ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายาม
วันนี้ท่านทั้งหลายก็ได้อุตส่าห์พยายามมาฟังอรรถฟังธรรมในวันนี้ ฟังเสียงอย่างอื่นสิ่งใดในโลกนี้ มันเกลื่อนไปหมด ฟังจนกระทั่งวันตายก็ไม่จบไม่สิ้น เพราะที่ไหนก็มีแต่เรื่องโลกเรื่องสงสาร ส่วนจะฟังเสียงอรรถเสียงธรรมให้เป็นสิริมงคล เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัตินี้มีน้อยมาก มันไม่ค่อยได้ฟัง วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลายได้ยินได้ฟัง หลวงตาที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ ก็สอนด้วยความเต็มอกเต็มใจ ด้วยความเมตตาสงสารทุกแง่ทุกมุม ไม่ได้มีอะไรเป็นเครื่องหวังตอบแทน สิ่งตอบแทนก็คือ อยากให้ท่านทั้งหลายเป็นคนดี มีหูมีตาตามอรรถตามธรรม จะได้รู้เห็นสิ่งที่ชั่วช้าลามก เป็นภัยต่อจิตใจเรา ให้พยายามปัดออกๆ สร้างแต่ความดีงาม จิตใจนี้จะเลิศเลอไปได้ด้วยกันนั้นแหละ
เพราะจิตนี้ไม่มีคำว่าตาย คำว่าสูญก็ไม่มีในใจดวงนี้ ใจดวงนี้ไม่มีสูญ ไม่มีตาย ขอให้มีบุญกุศลหนุนจิตใจ เมื่อหนุนเต็มที่แล้วถึงพระนิพพาน ก็ไปเป็นธรรมธาตุ ไม่มีคำว่าสูญว่าตาย นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่เลิศเลอ จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติ ให้ทั้งทานก็ได้ ศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ เวลาจะหลับจะนอน หากว่าไม่มีโอกาสอื่นใด ก็เวลาจะหลับจะนอน ให้พักจิตด้วยการภาวนา นึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ด้วยความมีสติ ระงับจิตให้หลับไปกับการภาวนา ดีกว่าหลับไปด้วยความละเมอเพ้อฝันไปตามกิเลสเป็นไหนๆ
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่า จะพอสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์แก่เวล่ำเวลา ท่านทั้งหลายที่มาบำเพ็ญกองการกุศลทั้งหลายทั่วประเทศไทย หลวงตาจึงขอขอบคุณและอนุโมทนาความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศเขตแดน เฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามมา โดยมีท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัด มาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ได้สร้างมหากุศลผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อชาติ ต่อศาสนาของเรา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|