เทศน์อบรมฆราวาส ณ บ้านสันติธรรม หนองแขม กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (๑๖.๓๐ น.)
ธรรมพาก้าวเดิน
วันนี้เป็นวันอุดมมงคลมหามงคลของพี่น้องทั้งหลายที่มีจำนวนมาก มารวมกันในสถานที่นี่ด้วยเจตนาเป็นกุศล เพื่อผลบุญจะได้หลั่งไหลเข้าสู่ใจ หนุนจิตใจของเราให้ไปทางสูงเสมอ มีสวรรค์นิพพานขึ้นไปโดยลำดับ ธรรมนี้เป็นเครื่องประกันโลกมานานแสนนาน ใครประพฤติปฏิบัติตามอรรถธรรมแล้วผู้นั้นจะเป็นที่แน่ใจต่อตนเอง วันนี้ก็มีคุณหมอนี้เป็นบ้านคนใจบุญ เหมือนหนึ่งว่านี่เป็นวัดหนึ่งอยู่ในท่ามกลางของหมู่บ้านก็ได้ เพราะเจ้าของรักศีลรักธรรม มิหนำซ้ำยังเชื้อเชิญท่านผู้สนใจในอรรถในธรรมทั้งหลายมา ทั้งการบริจาคทานเพื่อชาติของตนด้วย เพื่ออรรถเพื่อธรรมนำเข้าสู่ใจเพื่อหนุนให้เป็นกำลังของใจได้มีความสุขความเย็นใจด้วย แล้วก็นิมนต์หลวงตามาแสดงธรรมในสถานที่นี่
ซึ่งการแสดงธรรมนี้รู้สึกจะมากจริงๆ ในระยะ ๖ ปีมานี้ การแสดงธรรมแสดงมากต่อมาก ซึ่งไม่เคยมีมาในชีวิตเลยก็มามีเมื่อมาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย เพื่ออุ้มชูชาติของเราให้กระเตื้องขึ้นมาพร้อมทั้งอรรถทั้งธรรม ได้เป็นความสง่าราศีต่อชาติของเราตลอดไป ไม่อยากจะให้มีอะไรเข้ามารบกวน หรือทำลายให้สิ่งที่มีค่าทั้งหลายสิ้นสูญไป ชาติไทยของเราก็เป็นชาติที่มีคุณค่ามากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นชาติที่เป็นลูกชาวพุทธคือนับถือพระพุทธศาสนามากต่อมาก จึงเป็นเมืองที่มีคุณค่ามีราคา ซึ่งเราทั้งหลายจะต้องรักสงวนไว้ทั้งสองประเภท คือชาติหนึ่ง พระพุทธศาสนาหนึ่ง จะได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรครอบครองบ้านเมืองของเราต่อไป
วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาด้วยความอุตส่าห์พยายาม สละเวล่ำเวลาทุกสิ่งทุกอย่างมานี้เพื่อฟังอรรถฟังธรรม ซึ่งสมนามกับว่าธรรมเป็นของเลิศเลอ ในโลกนี้ไม่มีอะไรเสมอเหมือนเลย โลกทั้งสาม กามโรค รูปโลก อรูปโลก มีเบี้ยบ้ายอยู่ใต้อรรถธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ที่ได้โปรดโปรยสัตว์โลกทั้งสามภพนี้ ให้ค่อยรู้จักบุญจักบาป รู้จักดีจักชั่ว จากอรรถจากธรรมซึ่งเคยเป็นเครื่องประกันโลก ที่มีความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรมได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตน ผลจะปรากฏเป็นที่สงบร่มเย็นขึ้นมาภายในใจ สมกับว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมประกันโลกให้มีความเจริญรุ่งเรืองโดยถ่ายเดียว ความเสื่อมเพราะการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไม่เคยมี มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ แม้ในชาตินี้ก็มีความอบอุ่นภายในจิตใจสำหรับผู้มีธรรม
ถ้าไม่มีธรรมเข้าเคลือบแฝงแล้วจิตใจของเราจะหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ เราจะไปยึดไปเกาะวัตถุต่างๆ เงินทองข้าวของบริษัทบริวารชื่อเสียงอะไรเหล่านั้น นั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยชั่วกาลเวลาที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น พอลมหายใจขาดลงไปเท่านั้น สิ่งที่กล่าวเหล่านี้จะหมดปัญหาหมดคุณค่าลงทันที ที่เหลืออยู่ก็คือบุญกับบาป ถ้าใครชอบทำบาปทำกรรม บาปนั้นก็จะเข้าบีบบังคับจิตใจ สวมภพสวมชาติของเปรตของผีของสัตว์นรกอเวจีเข้าเต็มหัวใจทันที แล้วบีบบี้สีไฟจิตใจให้ลงสู่ทางต่ำ อันเต็มไปด้วยทุกข์โดยลำดับลำดาโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถ้าผู้มีบุญมีกุศล บุญกุศลนั้นแลจะเป็นเครื่องสนับสนุนอุ้มชูผู้สร้างบุญสร้างกุศลนั้น ไปสู่สถานที่ดีมีสูงขึ้นโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงด้วยอรรถธรรมของพระพุทธเจ้านี้มาโดยลำดับ
พวกเราทั้งหลายจงพากันมีความสนใจต่อธรรม ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันรับรองจิตใจของเรา ที่จะเกิดในภพต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เราเกิดมากี่ภพกี่ชาติหาต้นไม่ได้ จะเกิดในภพหน้าชาติหน้าก็หาเบื้องปลายไม่ได้เช่นเดียวกัน เร่ร่อนๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีเครื่องอะไรเป็นเครื่องตัดสิน ไม่มีฝั่งไม่มีฝาเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะ สำหรับโลกทั้งหลายที่ไม่มีบุญมีกุศลเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นบุญกุศลจึงเป็นที่พึ่งทางใจได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย อาศัยทางโลกก็คือส่วนร่างกาย อาศัยภายในสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้มีความแน่วแน่ภายในจิตใจตลอดไปทั้งภพนี้และภพหน้า ก็คือบุญคือกุศลนี้เท่านั้น จึงขอให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายระลึกรู้ตัวด้วยกันทุกคน ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าที่ปลุกอยู่ตลอดมา ปลุกสัตว์ทั้งหลาย
เช่นเทศนาว่าการในที่ต่างๆ พระเจ้าพระสงฆ์ท่านเทศนาว่าการ นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาโดยลำดับจนกระทั่งบัดนี้ มีแต่การฉุดการลากบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้ขึ้นจากหล่มลึกไปโดยลำดับ ด้วยกำลังแห่งธรรมนี้เท่านั้นอย่างอื่นไม่มี มีแต่ธรรม ขอให้พากันยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไว้ ถ้าไม่มีธรรมแล้วจะไม่มีความหมาย ความเป็นอยู่ก็คิดถึงเรื่องสถานที่จะไปเกิดข้างหน้าเป็นอย่างไร เวลาตายนี้เป็นอย่างไร พอระลึกถึงความตายเดือดร้อนแล้ว ระลึกไม่ได้ ต้องระลึกอารมณ์อื่นเป็นเครื่องรื่นเริงบันเทิงใจมากลบมาทับมาถมไว้เสีย เพราะเจ้าของมีความร้อนภายในจิตใจ เวลาตายแล้วจะไปเกิดภพใดชาติใด ยิ่งคิดยิ่งเดือดร้อนเข้าไปอีก เพิ่มตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนใส่ตัวเองจากความไม่แน่นอนของใจ ซึ่งไม่ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องอบอุ่นภายในใจเลย เพราะฉะนั้นจงขอให้พากันสร้างความอบอุ่นภายในจิตใจ
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก ไม่มีที่จะผิดเพี้ยนไปไหนในบรรดาคำสอนที่สอนสัตว์โลกนั้น เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมไม่มีผิดมีพลาด ก็คือศาสดาองค์เอกที่สอนโลกนี้แหละ ให้ยึดอันนี้เอาไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ในขณะเดียวกันก็มีธรรมชาติอันหนึ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดและอยู่ในใจดวงเดียวกันกับธรรม คือกิเลสที่เป็นข้าศึกก่อตัวของเราและต่อธรรมนั้นเกิดอยู่ที่ใจ ธรรมะที่เป็นคุณต่อเราก็เกิดอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเหมือนน้ำชำระล้างสิ่งสกปรก คือ กิเลสทั้งหลาย นอกจากสกปรกแล้วยังเป็นฟืนเป็นไฟ เผาหัวใจสัตว์โลกให้รับความเดือดร้อนทรมานตลอดไปด้วย ธรรมจึงเป็นน้ำดับไฟ ไฟความโลภ ความโกรธ ราคะ ตัณหา ที่มันเต็มอยู่ที่ใจนี้จะค่อยระงับดับลงไป เราก็มีความสุขพอซุกหัวนอนได้
ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องชะเครื่องล้างและเป็นน้ำดับไฟแล้ว คนๆ หนึ่งจะหาความหมายไม่ได้ ถึงเขาจะมายกยอสรรเสริญว่าเป็นผู้ดิบผู้ดี เป็นคนมั่งคนมี มียศถาบรรดาศักดิ์ มีสมบัติเงินทองมาก มีศฤงคารบริวารมากมายก็ตาม เหล่านั้นก็เป็นลมปากของคนอื่นที่มาเสกสรรเพียงลมปากแล้วก็หายไป แต่ความชั่วที่เราทำไว้ภายในใจนั้นไม่ได้หายไปตาม เขาจะยกยอปอปั้นว่าดิบว่าดีสูงส่งขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นสักแต่ว่าลมปาก ลมอันนี้ไม่สามารถที่จะปัดจะเป่าความชั่วช้าลามกของสัตว์ที่ทำไว้แล้วไปได้เลย จึงต้องได้อาศัยอรรถธรรมเป็นเครื่องชำระล้างหรือน้ำดับไฟ ด้วยการได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติ
ถ้าได้ยินเฉยๆ ฟังเฉยๆ เรียนเฉยๆ จำเฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เช่นเราไปแบกคัมภีร์พระไตรปิฎกซึ่งเคยสอนโลกให้หลุดพ้นจากทุกข์มามากต่อมาก แต่ไปแบกเฉยๆ ด้วยความไม่สนใจ เรียนเฉยๆ จำมาเฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร พระไตรปิฎกก็หนักเปล่าๆ เราก็หนักด้วยบาปด้วยกรรมเต็มหัวใจไม่มีอะไรเกิดประโยชน์ได้เลย ถ้าเราไม่สนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรมและประพฤติปฏิบัติตาม เช่นชาวพุทธเรามีการทำบุญให้ทานทั่วประเทศ ไม่ว่าภาคใดไปที่ไหนเหมือนกันหมด พระบิณฑบาตนี้เต็มบาตรมา เต็มบาตรมา นี้ออกจากศรัทธาของผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า โดยการแสดงทานบารมีให้ฟัง สัตว์โลกทั้งหลายก็มีความพอใจทำบุญให้ทานตามกำลังความสามารถของตน
จากนั้นท่านก็สอนให้รักษาศีลรักษาธรรมซึ่งเป็นความดีงามประจำตน และอันดับที่สามเป็นธรรมที่เลิศเลอ สอนให้ภาวนาทำความสงบต่อจิตใจของเรา เพราะจิตใจมีความเดือดร้อนวุ่นวายคิดนั้นปรุงนี้ตลอดเวลาหาที่ยับยั้งไม่ได้ เราจึงต้องได้บังคับความยุ่งเหยิงวุ่นวายซึ่งเป็นตัวมหาเหตุเกิดขึ้นภายในใจของเรานี้ ให้สงบลงด้วยการภาวนา การภาวนาได้แก่ทำจิตใจให้สงบ บังคับจิตไม่ให้คิดนอกลู่นอกทางไปตามกิเลส ซึ่งพาเราคิดไปทั้งวันทั้งคืน ให้สงบความคิดประเภทนั้นๆ เสีย แล้วเอาความคิดที่เป็นอรรถเป็นธรรมนี้ระงับความคิดของกิเลสไม่ให้มีในขณะภาวนา
ให้เราตั้งทำความคิดขึ้นมา พุทโธ เป็นต้น คิด พุทโธ ธัมโม สังโฆ ธรรมบทใดก็ตามนี้เป็นธรรมทั้งนั้น ตามแต่จริตนิสัยของเราชอบแล้วนำมาบริกรรม เมื่อนำมาบริกรรมแล้วให้คิดว่า พุทโธๆ นี่เป็นงานของธรรม เราคิดพุทโธขึ้นมา กิเลสก็คิดแทนแฝงขึ้นมาไม่ได้ มีพุทโธอันเดียวเป็นใหญ่ เช่น เราเผลอกิเลสจะฉวยไปปั๊บทันที ไปคิดเรื่องของกิเลสก็ดับธรรมเราไปหมด เราจึงต้องมีสติบังคับภาวนา พุทโธๆ ภายในใจ ไม่ให้เผลอสติ ตั้งสติควบคุมใจของตนกับคำบริกรรมให้กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน เวลาเช่นนั้นความคิดความปรุงของกิเลสจะไม่เกิดได้เลย ถึงจะเกิดเราก็บังคับด้วยพุทโธ ด้วยสติไม่ให้เกิด ไม่ให้คิดขึ้นมา
ใจเมื่อมีแต่ธรรมทำงาน คือคำบริกรรมเป็นความคิดที่เป็นธรรมทำงาน แล้วสติธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาจิตใจที่กำลังบริกรรมภาวนานั้นอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ให้คิดไปในทางของกิเลส ให้คิดแต่คำว่า พุทโธ หรือธัมโม เป็นต้น อันเป็นเรื่องของธรรมโดยถ่ายเดียว โดยความมีสติควบคุมทุกคำบริกรรมให้มีสติด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเราบังคับอยู่เช่นนี้ธรรมก็ออกก้าวเดินได้ เช่น พุทโธๆ เป็นต้น เราพูดมากหลายคำนึกบริกรรมหลายคำเท่าไร พุทโธ ธรรมนี้ยิ่งก้าวเดินได้มากเข้าๆ ผู้ระลึก ธัมโม หรือสังโฆก็เหมือนกัน เราระลึกได้มากเท่าไร นั้นเรียกว่าธรรมภายในใจของเราพาใจก้าวเดินไปโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าสร้างธรรมขึ้นที่หัวใจเรา เมื่อคำบริกรรมติดแนบกันตลอดไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น ให้มีแต่ธรรมอย่างเดียวเกิดขึ้น ธรรมเกิดขึ้นคือ พุทโธๆ เกิดขึ้น เท่ากับ พุทโธ พาก้าวเดินทางด้านธรรมะ จิตใจของเราก็จะมีความสงบเย็นขึ้นมา
เพราะสิ่งที่ไม่ให้สงบก็คือกิเลส ความคิดความปรุงในแง่ต่างๆ มันผลักมันดันให้คิด คิดไม่อิ่มไม่พอทั้งวันทั้งคืน คือกิเลสพาหัวใจของเราคิด ทีนี้ระงับดับนั้นให้หมดในเวลานั้นให้มีแต่ พุทโธ ก้าวเดินๆ งานของพุทโธก้าวเดินได้นานได้มากเท่าไร ธรรมยิ่งแสดงขึ้นภายในจิตใจของเรา ธรรมพาคิดพาปรุงทำใจของเราให้สงบ ถ้ากิเลสพาคิดพาปรุงทำจิตใจของเราให้ฟุ้งซ่าน รำคาญ เดือดร้อนไปตลอดเวลา เมื่อปล่อยให้ธรรมทำงานโดยมีสติเป็นเครื่องกำกับรักษาแล้ว จิตใจจะมีความสงบลงๆ ภาวนาเราก้าวเดินไปมากเท่าไรๆ ด้วยความมีสติควบคุมการบริกรรมของเรานั้นแหละ เรียกว่าการก้าวเดินของธรรม ใจของเราจะเริ่มมีความสงบเย็นขึ้นมา เย็นขึ้นมา ต่อไปก็มีความสว่างไสว สงบ คำว่าสงบนี่ค่อยแน่วแน่มั่นคงขึ้นเป็นลำดับ เพราะ พุทโธคำบริกรรมนั้นพาก้าวเดิน
ก้าวเดินไปนานเท่าไรยิ่งสร้างความสงบและความสว่างไสว แปลกประหลาดขึ้นที่ใจโดยลำดับลำดา นี่ละธรรมพาก้าวเดิน ผิดกันกับกิเลสพาก้าวเดิน สร้างแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาเรา ส่วนธรรมพาก้าวเดินสร้างแต่ความสงบร่มเย็นเข้าสู่ใจของเรา ยิ่งก้าว พุทโธ ได้มาก ก้าวคำบริกรรมภาวนาได้มาก หรือคำบริกรรมบทใดก็ตามที่จริตเราชอบ เราสร้าง คือบริกรรมได้มากเท่าไรยิ่งก้าวเดินไปได้ไกล จิตใจมีความสงบแน่นหนามั่นคงมากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงแดนแห่งความอัศจรรย์ในจิตที่ไม่เคยคิด ไม่เคยฝึกฝนอบรมนั้นเลย แล้วแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นจากความสงบของใจ ให้เรารู้ประจักษ์ใจในเวลานั้น จนถึงกับเจ้าของมีความดีอกดีใจตื่นเต้นภายในใจตัวเอง นี่เรียกว่าธรรมพาก้าวเดิน นี่เห็นได้ในแง่ต่างๆที่เป็นสิริมงคล รู้ได้เห็นได้เมื่อธรรมพาก้าวเดิน ความสงบก็แน่วแน่ไปโดยลำดับ จนกระทั่งจิตแน่นหนามั่นคง ท่านให้ชื่อว่าจิตเป็นสมาธิ
คือจิตสงบกับจิตเป็นสมาธินั้นต่างกันในวงภาวนา เราภาวนาเบื้องต้นจิตเราจะเพียงสงบเข้าไป พอถอนออกจากนั้นแล้วมันก็ไม่สงบ ส่วนสมาธินั้นเมื่อจิตได้เข้าขั้นสมาธิมีความแน่นหนามีฐานเป็นของตัวแล้ว แม้เราจะไม่ได้ภาวนาในเวลานั้น ฐานของใจก็มีอย่างแน่นหนามั่นคงอยู่กับใจ นี่เรียกว่าใจเป็นสมาธิ จากใจเป็นสมาธิแล้ว นี่ละธรรมพาก้าวเดิน ขอให้ท่านทั้งหลายเฉพาะอย่างยิ่งนักบวชเราซึ่งสนใจต่อการภาวนา ซึ่งเท่ากับสนใจต่อมรรคผลนิพพาน ขอให้ฟังการก้าวเดินของธรรมให้ดี วันนี้จะชี้แจงการก้าวเดินของธรรมให้ผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติ จะประจักษ์กับใจของเราโดยลำดับ
เบื้องต้นเราก้าวเดินด้วยคำบริกรรม โดยมีสติเป็นเครื่องควบคุมไม่ให้จิตเผลอไปโดยลำดับ จิตจะเป็นไปด้วยความสงบ จากสงบหลายครั้งหลายหนก็จะสร้าง คือสงบแต่ละครั้งเป็นการสร้างฐานให้จิตใจมีความแน่นหนามั่นคงมากขึ้นๆ จนกระทั่งกลายเป็นจิตเป็นสมาธิมีความแน่นหนามั่นคง จากนั้นให้พิจารณา เมื่อจิตมีความสงบแน่นหนามั่นคงขึ้นไปแล้วเรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส เครื่องสัมผัสต่างๆ จิตจะอิ่มอารมณ์ไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ความอยากได้อยากมี อยากดีอยากเด่น อยากอะไรทั้งหมด จะระงับตัวลงมาอยู่ที่ความสงบของใจ ใจที่มีความสงบแล้วเรียกว่าใจอิ่มอารมณ์ที่เคยเป็นข้าศึกต่อตน พาใจพินิจพิจารณาในธาตุในขันธ์ของเรา เพื่อจะเบิกปัญญาให้มีความรู้อันกว้างขวางลึกซึ้งขึ้นกว่าสมาธิเป็นขั้นๆ ไป
เมื่อจิตพิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาจะเอาอะไรพิจารณา อุปัชฌาย์ท่านก็สอนแล้วว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง ลึกเข้าไปก็ เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะทำจิตใจให้สงบเย็นได้ เราพิจารณานี่แล้วก็เป็นการเบิกทาง เรียกว่าธรรมเป็นที่ทำงานหรือสิ่งเหล่านี้เป็นหินลับปัญญา เราถือสิ่งเหล่านี้เป็นการพิจารณา ในขณะที่พิจารณาทางด้านปัญญาถือสิ่งเหล่านี้เป็นหินลับปัญญา หน้าที่การงานอยู่กับกรรมฐาน ๕ นี้เป็นพื้นฐาน ต่อจากนั้นจะลุกลามเข้าภายในสกลกายทุกชิ้นทุกส่วน ที่เราเผลอตัวจนลืมตัวมาโดยลำดับ ในโลกนี้เป็นอย่างนั้นด้วยกัน เพราะกิเลสพาให้ลืมเนื้อลืมตัวเผลอไปหมด ไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของไร้สาระ เป็นของอนิจจังเต็มตัว ทุกขังเต็มตัว อนัตตาเต็มตัว ไม่เคยคิดเคยนึก แต่เวลาปัญญาหยั่งทราบเข้าไปตั้งแต่ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกนี้ เป็นหินลับปัญญา สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นไป
ความยึดมั่นถือมั่นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ตามที่ใจมันยึดสิ่งเหล่านี้ เมื่อปัญญาเบิกกว้างออกไปเห็นตรงไหนรู้โทษของมัน ปล่อยวางเข้ามาๆ การพิจารณานี้เป็นพื้นฐานของปัญญา พิจารณาจนกระทั่งจิตใจเรามีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แล้วให้ถอยเข้ามาสู่สมาธิคือความแน่นหนามั่นคง ให้สงบอยู่กับความเป็นสมาธินั้น ไม่ทำการทำงานด้วยการคิดอ่านไตร่ตรองต่างๆ ให้มีความสงบเย็น ซึ่งเท่ากับเราสร้างกำลังหรือบำรุงกำลัง หรือพักผ่อนเอากำลังจิตใจ แล้วค่อยก้าวออกไปสู่ปัญญา เพื่องานอันสูงกว่านี้เป็นลำดับไป เมื่อเข้าพักจิตมีความสงบพอเป็นกำลังวังชาแล้ว ถอยออกมานั้นพิจารณาทางด้านปัญญา โดยถือสิ่งที่กล่าวนี้เป็นรากฐานสำคัญเป็นพื้นฐานให้ใจพิจารณา แยกธาตุแยกขันธ์ออกไปเรื่อยๆ แล้วใจของเราจะรู้แจ้งเห็นชัดและรวดเร็วไปโดยลำดับ จิตใจก็ยิ่งมีความสว่างกระจ่างแจ้งปัญญาเบิกทางให้โดยลำดับลำดา เมื่อถึงกาลเวลาแล้วก็ย้อนเข้ามาพักสมาธิ พอได้กำลังแล้วถอยออกไปก็ก้าวเดินทางด้านปัญญา
นี่ละธรรมพาก้าวเดินตั้งแต่พุทโธ ธัมโม คำบริกรรมอยู่กับจิตใจที่ล้มลุกคลุกคลานไปก่อน จากนั้นพอเริ่มจะได้รากได้ฐานคือความสงบ ต่อไปก็เป็นสมาธิ จิตได้รากได้ฐานแห่งความสงบเต็มตัว แล้วก็ก้าวเดินทางด้านปัญญาต่อกันไปโดยลำดับ นี่เรียกว่าธรรมพาจิตก้าวเดิน ผิดกับกิเลสพาจิตก้าวเดินลงหลุมลงบ่อ ตกหลุมตกบ่อ เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เราตลอดไป แต่ธรรมพาก้าวเดินนั้น สร้างแต่ความเยือกความเย็น ความแปลกประหลาด อัศจรรย์ ความสว่างไสวขึ้นภายในใจของตนเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้เรื่อยไป พอพิจารณาถึงด้านปัญญาแล้วเอาให้ละเอียดลออ ถืออาการเหล่านี้กรรมฐานเหล่านี้เป็นพื้นฐาน เป็นหินลับปัญญา พิจารณาเหล่านี้ปัญญาจะมีความเฉลียวฉลาด รอบคอบไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงที่แล้ว รอบในร่างกายทั้งหลายเหล่านี้ แล้วจิตจะปล่อยวาง ไม่มีอะไรที่ยึดที่ถืออีกแล้ว สกลกายทั้งร่างนี้ปล่อยวางไว้ตามเป็นจริงของเขา
ยังเหลืออยู่ก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นนามธรรม แล้วก็พิจารณาสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ รูปก็ได้ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว จิตใจอิ่มตัวแล้วไม่ไปพิจารณา ปล่อยวาง พิจารณาแต่เรื่องเวทนาซึ่งเกี่ยวกับร่างกาย แต่เป็นส่วนละเอียดกว่าร่างกาย เรียกว่านามธรรม เวทนาก็พิจารณาประสานกันเข้ากับใจ สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วดับ เกิดขึ้นแล้วดับ ไม่ว่าสุขว่าทุกข์ ว่าดีว่าชั่ว สิ่งใดเกิดแล้วดับ สติพิจารณาทันกับเหตุการณ์เหล่านี้ พิจารณาส่วนไหนก็วิ่งเข้าไปหาใจซึ่งเป็นรวงรังแห่งภพแห่งชาติ ได้แก่อวิชชาอยู่ในนั้น
พิจารณายอกย้อนเข้ามาในนามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ จิตจะเป็นความเฉลียวฉลาด เรื่องความพากความเพียรของจิตนี่จะหมุนตัวเป็นธรรมจักรไปเลย จะไม่มีคำว่าพากว่าเพียร ไม่มีคำว่าถูไถ จะมีตั้งแต่ความดูดดื่มแห่งความพากเพียร เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว จิตใจจึงทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน หมุนติ้วเพื่อฆ่ากิเลสด้วยกำลังของสติปัญญาที่เกรียงไกรแล้วเป็นอัตโนมัติแห่งการฆ่ากิเลสเสมอไป นี่พูดย่อๆ ให้นักปฏิบัติทั้งหลายได้พินิจพิจารณา ให้เชื่อมโยงเข้าไปถึงมหาสติมหาปัญญาซึ่งอยู่ในที่เดียวกัน เมื่อถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานี่แล้ว กิเลสจะทนไม่ได้ขาดสะบั้นลงไป ตั้งแต่ก่อนก็ค่อยขาดสะบั้นลงไปเป็นลำดับลำดาแล้ว พอมาถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา นี้เรียกว่ากิเลสที่เป็นส่วนหยาบที่สุด จะสังหารกันด้วยมหาสติ มหาปัญญา
สถานที่สังหารกิเลสก็ย้อนเข้ามาสู่ใจของตัวเองนี่แหละ กิเลส คือ อวิชฺชาปจฺจยา กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจ เพราะฉะนั้นมีบางท่านมาพูดถึงเรื่องว่าจิตเป็นอนัตตา เราจึงยอมรับในจิตขั้นนี้ เพราะอวิชชาครอบหัวใจอยู่จะเป็นความเที่ยงตรงได้อย่างไร เรียกว่าเป็นอนัตตา เพื่อจะให้เห็นโทษแห่งสิ่งที่ปิดบังของใจหุ้มห่ออยู่นั้นให้กระจายออกไป จิตเมื่อได้พิจารณานามธรรมประสับประสานกัน เข้าออกอยู่ตลอดเวลา จะเป็นจิตที่หมุนตัวไปเองตลอดเวลา จนกระทั่งเข้าถึงต้นตอของมันคือ อวิชฺชาปจฺจยา ซึ่งหุ้มห่ออยู่ในจิตจนทำจิตให้เป็นอนัตตาไปได้ แล้วพิจารณาจุดนี้ เมื่อจิตเข้าถึงอันนี้เรื่องกิเลสกับใจจะขาดสะบั้นกันลงไป
เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว โลกของกิเลสตัณหากับโลกพระนิพพานจะเป็นคนละฝั่งละแดน เราให้ชื่อว่าโลกนิพพานเฉยๆ เพื่อเป็นคู่เคียงกันกับโลกแห่งวัฏจักร พอโลกวัฏจักรขาดสะบั้นลงไปแล้ว เราก็จะเห็นว่าโลกนิพพานคืออย่างนี้ ไม่เป็นโลก ให้ชื่อว่าโลกเฉยๆ ขาดสะบั้นจากกันลงไปแล้ว ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในสามแดนโลกธาตุนี้จะไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนเลย เพราะเป็นธรรมชาติที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว ความสุขความทุกข์ที่โลกได้รับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจของเราได้สัมผัสสัมพันธ์อะไร ว่าเป็นรสเป็นชาติ ว่าเป็นของดิบของดีมา เหล่านี้จะไม่มีความหมายในธรรม คือความบริสุทธิ์ของใจนั้นเลย เรียกว่าเป็นคนละฝั่งละฝาแล้ว
โลกแห่งความหมุนเวียนนี้กับโลกแห่งพระนิพพาน ถ้าว่าโลกแห่งความหมุนเวียนนี้เป็นกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โลกแห่งพระนิพพานนั้นเป็นกฎของธรรมธาตุเอง ไม่มีคำว่าแปรว่าปรวน ไม่มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปเกี่ยวข้อง คำว่าโลกนี้ตั้งขึ้นเฉยๆ หลักธรรมชาตินั้นท่านให้ชื่อที่เหมาะสมกันที่สุดก็คือความบริสุทธิ์ของใจ และธรรมธาตุนี้ที่พระอรหันต์ท่านครองอยู่ เวลาท่านมีชีวิตอยู่ท่านครองธรรมธาตุ ครองใจที่บริสุทธิ์ พอธาตุขันธ์ซึ่งเป็นเรื่องสมมุติขาดสะบั้นลงไปแล้ว ธรรมธาตุก็เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ไม่ต้องมีรับผิดชอบกับธาตุกับขันธ์ซึ่งเป็นส่วนสมมุตินี้เลย นั่นท่านเรียกว่านิพพาน
นิพพานคือความดับ บรรดาสมมุติทั้งมวลนี้ไม่มีอะไรไปแฝงในนิพพาน คือธรรมธาตุนั้นเลย ท่านจึงเรียกว่านิพพานคือความพอ นิพพานคือความดับสนิทแห่งสมมุติที่เคยก่อกวนทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดเหลือในจิตของท่านผู้ทรงธรรมธาตุนั้นเลย นี่ละพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านครองธรรมธาตุภายในพระทัย ครองธรรมธาตุภายในจิตใจของพระสาวก เป็นความพอทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่นอกสมมุติไปหมดโดยประการทั้งปวง พูดได้อยู่เพียงว่าเป็นธรรมธาตุ ท่านมีความเมตตาสงสารสัตว์โลกอย่างพวกเราๆ ท่านๆ จึงมาแนะนำสั่งสอนทางความดิบความดีที่ก้าวเดินมา ดังที่ได้แสดงนี่แล้วค่อยก้าวเดินมา ธรรมก้าวเดิน ก้าวเดินมาเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน เรียกว่าสุดหนทางที่ก้าวเดินแล้ว จิตใจถึงที่แล้วแห่งความเกษมเรียกว่าธรรมธาตุ
ท่านจึงได้นำวิธีการนี้เข้ามาสอนพวกเรา เช่นอย่างการให้ทาน ก็เรียกว่าธรรมพาก้าวเดิน การรักษาศีลก็เรียกว่าธรรมพาเราก้าวเดิน การภาวนานี่ก็เรียกว่าธรรมพาเราก้าวเดิน บทสุดท้ายคือการภาวนานี้เป็นบทสำคัญมาก เป็นแก่นเป็นรากแก้วของศาสนาอยู่ที่ภาวนา การให้ทานรักษาศีลนั้นเป็นกิ่งเป็นก้านของต้นไม้ต้นนั้น ไม้ต้นนั้นก็ได้แก่จิตตภาวนานี้แล ท่านจึงสอนไว้ เรามีความสามารถในทางไหนให้พากันทำ อย่าอยู่ว่างเปล่าจะเป็นเรื่องอยู่กับกิเลส จะมีแต่ฟืนแต่ไฟ หาวรรคหาตอนที่จะบรรเทาทุกข์ไม่ได้ ถ้าคนไม่มีทาน มีศีล มีภาวนาติดตัวแล้ว ไปที่ไหนก็หมดคุณค่าในเรื่องความสุขความเจริญ แต่ผู้มีทาน มีศีล มีภาวนาประจำใจแล้ว เป็นผู้มีคุณค่าอยู่ภายในจิตใจของผู้นั้น แม้จะเป็นคนทุกข์คนจนก็มีคุณค่าอยู่ภายในใจ ถึงขนาดเป็นเศรษฐีกุฎุมพี แต่เป็นผู้รักใคร่ใกล้ชิดกับศีลกับทานการภาวนา ก็เรียกว่าเป็นผู้ทรงคุณค่าแน่นหนามั่นคงขึ้นไปเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นเราจึงควรที่จะสร้างคุณค่าไว้กับตัวของเรา
อย่าไปแบบไม่มีที่พึ่งที่ยึดที่เกาะ ไปแบบโลเล ไปแบบสงสัย ให้ไปแบบความมั่นใจ เหมือนกับเราไปบ้านนั้นๆ เรารู้หมดเส้นทางเรียบร้อยแล้วเราก็ไปแบบหายห่วง จนถึงบ้านนั้นตามความมุ่งหมาย นี้จิตใจของเราเมื่อได้สร้างคุณงามความดีเข้าไปมากๆ ใจจะมีหลักยึดของใจ เป็นที่อบอุ่นเป็นที่แน่ใจต่อการก้าวเดินในภพนั้นภพนี้ เราจะไปเกิดในภพใดก็ตาม บุญกุศลมีกับใจแล้ว ใจจะไม่พาคนๆ นั้นไปเกิดในสถานที่ไม่พึงหวังเลย จะเกิดให้เหมาะสมกับบุญกุศลของตนที่สร้างเอาไว้ด้วยกันทั้งนั้น จึงขอให้บรรดาพี่น้องชาวพุทธเรามีความสนิทใกล้ชิดกับอรรถกับธรรม กับการทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนาตลอดไปจนกระทั่งสิ้นชีพวายชนม์ จะเป็นอันว่าเราสั่งสมคุณงามความดีเต็มเม็ดเต็มหน่วยในหัวใจของเรา
แม้มีชีวิตอยู่ท่านผู้ที่ได้บำเพ็ญทานมามาก รักษาศีลมามาก เจริญเมตตาภาวนามาประจำใจนี้ มีความสดชื่นภายในจิตใจ จะพูดว่าท้าทายต่อความตายก็ได้ แม้จะตายก็ตามแต่พญามัจจุราชจะได้แต่ร่างของเรานี้เท่านั้น แต่จิตใจที่เราครองความสุขเพราะอำนาจแห่งธรรมคุ้มครองรักษานี้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันเลย ท่านบอกว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว นั่น ขึ้นชื่อว่าธรรมแล้วจะไม่พาสัตว์โลกไปตกในที่ชั่วที่ไม่พึงปราถนา จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เรามีคุณค่าอยู่กับหัวใจ หัวใจดวงนี้ถ้าให้กิเลสเอาไปถลุงแล้วไม่มีคุณค่าอะไรเลย สักแต่ว่าเป็นมนุษย์ ถ้าใจมีศีลมีธรรม เป็นใจที่มีคุณค่า ตลอดถึงความตายก็กล้าหาญชาญชัยไม่สะทกสะท้าน เพราะบุญกุศลเป็นเครื่องประกันตัวอยู่แล้วภายในใจของเรา ให้พากันอบรมรักษาให้ดี
เวลานี้ท่านว่าศาสนาเสื่อม มันมาเสื่อมอยู่กับประเทศไทยที่เป็นชาวพุทธเรานะเวลานี้ ไม่ได้เสื่อมที่ไหน ที่เขาไม่มีจะเอาอะไรมาเสื่อม ที่มีนั่นแหละ เรามีศาสนาพุทธเป็นเครื่องปกครองเรา เรายึดเราถือท่านอยู่ในหัวใจของเรา เรียกว่าเราถือศาสนาพุทธ แต่อย่าให้ถือสักแต่ว่าคำพูดว่าถือศาสนาพุทธเท่านั้น ให้ถือด้วยจิตใจมีความรักความชอบ มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์จริงๆ แล้วปฏิบัติบำเพ็ญตามหน้าที่ของชาวพุทธ คือการให้ทาน อย่าตระหนี่ถี่เหนียว อย่าเห็นแก่ได้ เห็นแก่เอาอย่างเดียว สละให้ทานเพื่อมีคุณค่ามหาศาลเข้าสู่ใจของตนไม่ได้ เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวฉุดลากเอาไปถลุงเรานั่นแหละ หมดไม่มีเหลือๆ ให้แย่งกันมา สมบัติเงินทองมีมากมีน้อยให้เจียดไว้ตามเหตุตามผลที่ควร เราจะเก็บรักษาเอาไว้เพื่ออะไรบ้าง
คนเรามีความจำเป็นก็คือการเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน นี่เป็นความจำเป็นอันดับหนึ่ง ต่อจากนั้นมีกิจมีการอะไรที่ต้องใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เราก็แบ่งสันปันส่วน เช่น มีลูกมีเต้ากี่คน ก็ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นชีวิตจิตใจ เราก็แบ่งสันปันส่วนไว้สำหรับลูกเต้าศึกษาเล่าเรียน นอกจากเลี้ยงเขามาแล้วยังต้องให้เครื่องบำรุงเขาต่อไป เพราะไม่ต้องการลูกให้เป็นคนโง่ ให้เป็นคนฉลาด ทำมาหาเลี้ยงชีพก็คล่องตัว อะไรก็ทันโลกเขา เราก็ต้องเจียดเอาไว้สำหรับลูกของเรา ต่อไปอะไรที่จำเป็น เราก็เจียดเอาไว้ๆ อย่าเป็นแบบว่าได้มาเท่าไรก็ให้กิเลสเอาไปถลุงเสียหมดๆ เลยลืมเนื้อลืมตัวจากการมีสมบัติ ลืมตัวจนกระทั่งสร้างความชั่วได้คนเรา นึกว่าเจ้าของจะไม่ตายง่ายๆ
คิดไปอีกจนเชื่อมั่นลงในใจก็มี ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มีอย่างนี้ นี่ละเทวทัตในหัวใจสัตว์โลกมันเข้าทำลายปิดกั้นทางดีไว้หมด เปิดช่องทางชั่วให้ทำ สัตว์โลกจึงมักจะทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามกมากกว่าความดี ด้วยเหตุนี้ผู้ไปสถานที่ดีจึงมีน้อย ผู้ไปลงที่ชั่วนั้นมีมากมายก่ายกอง เช่น นรกหลุมไหนแน่น อัดแน่นๆ เหมือนอยู่เรือนจำนี่ละ ก้าวไปเรือนจำมีตั้งแต่นักโทษๆ เต็มเรือนจำ ประหนึ่งว่าเรือนจำนี้ไม่มีคนออกจากคุกออกจากตะรางเลย มีแต่มาติดเพิ่มเข้าๆ ความจริงคนพ้นโทษในเรือนจำก็ออกมาได้ แต่คนที่ทำความไม่ดีก็ต้องไปติดคุกติดตะราง อันนี้นรกก็เช่นเดียวกัน สัตว์ที่จมอยู่ในนรกนั้นก็คือคนทำความชั่ว พอจะสิ้นบุญสิ้นกรรมคนนั้นก็ถอนขึ้นมา ถอนตัวขึ้นมา ด้วยอำนาจแห่งกรรมที่หนุนออกมาๆ คนใหม่ก็สร้างกรรมเก่าเพิ่มเข้าไป แล้วก็ไปตกนรกอีกๆ
นรกนั้นจึงแน่นอยู่ด้วยสัตว์นรกทั้งหลายไม่เคยเบาบาง เพราะมีขึ้นมีลงมีเข้ามีออกอย่างเขาติดคุกติดตะรางนั้นแหละ แล้วนรกไม่ใช่หลุมเดียว หลายหลุม ท่านแสดงไว้ในมหาวิบากมีถึง ๒๕ หลุม ใน ๒๕ หลุมยังแตกยังแยกออกเป็นหลายหลุมๆ นี้คือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านสอนแบบเดียวกันหมดด้วยความโลกวิทู คือรู้แจ้งโลก สว่างไสวไม่มีอะไรปิดบังให้ลี้ลับพอจะสั่งสอนสัตว์โลกให้ผิดพลาดไปเลย สอนด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุ นรกก็ทรงรู้ทรงเห็นประจักษ์ ไม่ว่าจะหลุมไหนๆ ทรงรู้ทรงเห็นแล้วที่เป็นภัยต่อสัตว์ แล้วทีนี้สวรรค์ก็บอกตั้งแต่ต้น จาตุมฯ ขึ้นไปจนถึงสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลก ๑๖ ชั้น นี้คือสถานที่ดีที่เป็นมงคลแก่ผู้สร้างบุญสร้างกุศล
เวลาตายแล้ว ผู้ที่ชั่ว ความชั่วของตัวเองหนุนตัวลงไปบังคับลงไปในนรกหลุมนั้นๆ ตามกำลังแห่งกรรมมากน้อยของตนทันที ผู้ที่สร้างความดีตายแล้วก็เหมือนกัน หนุนขึ้นทางดีขึ้นตลอด ตามอำนาจแห่งกรรมดีของตนมีมากน้อย ควรแก่สวรรค์ชั้นไหนก็ไปเกิดสวรรค์ชั้นนั้นๆ ไม่ขัดไม่แย้งกัน เพราะไปเกิดตามบุญของตนเองมีมากมีน้อย ผู้มากกว่านั้นก็ขึ้นขั้นสูง แล้วก็พรหมโลก ๑๖ ชั้น ล้วนแล้วตั้งแต่สำหรับคนดีที่บำเพ็ญมา นิพพานหนึ่งชั้นนั้นกว้างขวางมากเลยทีเดียว จึงไม่กล้าที่จะพูดว่า นิพพานหนึ่งชั้นได้ นิพพานคือความว่างเปล่าไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะว่างยิ่งกว่าจิตใจที่สิ้นกิเลสแล้ว ว่างเปล่าไปหมด ว่านิพพานก็คือธรรมชาติที่ว่างเปล่านั้นแลครองตัวอยู่
บรรดาพระพุทธเจ้าหรือพระสาวกทั้งหลายที่ท่านตรัสรู้ธรรมถึงขั้นจิตใจ นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ คือนิพพานเป็นสูญอย่างยิ่ง สูญคือเรื่องสมมุติทั้งมวล ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย สูญหมดโดยสิ้นเชิง นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานจึงมีความสุขอันยอดเยี่ยมเพราะปราศจากโลกามิสของวัฏฏะทั้งหลายโดยสิ้นเชิง นี่ละท่านผู้สิ้นแล้วท่านเป็นอย่างนี้ และท่านสิ้นแล้วยังอุตส่าห์เมตตามาสอนสัตว์โลก ทางชั่วก็บอก ทางดีจะทำอย่างไร ก็คือสร้างคุณงามความดี จะไปทางดีโดยลำดับลำดา ถ้าสร้างความชั่วแล้วก็จะลงทางชั่วโดยลำดับลำดา แล้วให้ถามจิตของพวกเรามันคัดค้านมันอวดดิบอวดดีท้าทายพระพุทธเจ้าไหมเวลานี้
พระพุทธเจ้าที่มาตรัสสอนโลกนี้ เช่น บาปบุญ นรกสวรรค์ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นแจ่มแจ้งพระทัยหมด แล้วนำมาสอนโลกเป็นแบบเดียวกัน ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดจะขัดจะแย้งกันว่าธรรมนี้สอนโลกผิดไปไม่มี ตรงแน่วเป็นแบบเดียวกัน จึงเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารด้วยกัน นี่ละท่านสอนไว้นี้ แล้วจิตใจเราเป็นอย่างไร ให้มาถามตัวเองเพื่อความดีสิริมงคลจะได้เกิดขึ้นแก่ตัวของเราเอง ส่วนมากมันมักจะต่อสู้ลบล้างพระพุทธเจ้าผู้ทรงฉลาดเลิศโลกเลิศสงสารด้วยความโง่ของตน ว่าดีกว่าพระพุทธเจ้า เช่นท่านว่าบาปมี มันก็บอกว่าไม่มีในจิตใจเสีย แล้วก็หาญทำบาปเข้าไป ว่าบุญมีมันก็บอกว่าบุญไม่มี จะทำหาอะไร ก็ยิ่งส่งเสริมให้ทำความชั่วมากขึ้นๆ นรกไม่มี ก็ยิ่งไม่มีคำว่ากลัว
และย้ำสุดท้ายก็ว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญแล้วหมดคนเรา แม้มีชีวิตอยู่ มันสูญหมดแล้วข้างหน้าที่จะมาตอบแทนเราทั้งดีทั้งชั่วไม่มี พอตายแล้วก็สูญ ไม่มีอะไรที่จะได้รับเสวย ผู้นี้แลเป็นผู้ที่จะตั้งหน้าตั้งตาสร้างบาปสร้างกรรมแบบไม่มีลดละท้อถอย จนกระทั่งตายลงไปแล้วมันไปจมในนรก เป็นยังไงที่นี่ ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อความรู้ที่โง่เขลามืดมิดที่สุดของเราไปอวดพระพุทธเจ้า เวลาตายลงไปแล้วนรกมีไหม ไปจมอยู่ในนรกที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามี เราปฏิเสธว่านรกไม่มี ผู้ปฏิเสธด้วยความมืดบอดของตน ไปอวดพระพุทธเจ้าว่านรกไม่มีนั้นแลเป็นผู้ไปตกนรก แล้วผู้ที่ว่าสูญนั้น ถ้าว่าสูญแล้วมันไปตกนรกได้ยังไง ไปสวรรค์นิพพานได้อย่างไร
ประการหนึ่งย่นเข้ามาใกล้ๆ ถ้าว่าตายแล้วสูญ ทั้งสัตว์ทั้งบุคคลเต็มโลกธาตุนี้ตายแล้วสูญจริงๆ ดังที่กิเลสอุตริ อวดรู้อวดฉลาดของตนออกมานั้น เป็นยังไงในโลกเรานี้ เอาเพียงโลกนี้เท่านั้นมนุษย์มีไหม ถ้าตายแล้วสูญ มนุษย์มีมาหาอะไร มันเอาอะไรมาเกิดถึงได้มีมนุษย์ เอาอะไรมาเกิดถึงได้มาเป็นสัตว์ทุกประเภท มีอยู่ทั่วไปเต็มโลกสงสาร ถ้าว่าสูญสิ่งเหล่านี้ต้องสูญหมดไม่มีอะไรเหลือ เพราะใจพาไป ใจพาสูญ เมื่อใจพาสูญแล้วก็ไม่มีอะไรจะก่อกำเนิดเกิดขึ้นเป็นสัตว์เป็นบุคคลอีก แต่แล้วเกลื่อนอยู่นี้เป็นอย่างไรบ้างขอให้เราพิจารณาทุกๆ ท่านนะ
เวลานี้เรากำลังมืดบอดขอให้เชื่อฟังท่านผู้มีตาดี คนตาบอดต้องอาศัยคนตาดีเป็นผู้ชักผู้จูงแนวทางไปแล้วก็แคล้วคลาดปลอดภัย คนไหนตาบอดจะอวดเก่งอวดดีกว่าคนตาดีคนนั้นจมตลอด ก้าวเดินไปไหนไม่ได้สามก้าวแหละ ชนนั้นชนนี้ก็โทษของคนตาบอดที่อวดตนว่าดีกว่าคนตาดีนั้นแล เป็นผู้ได้รับผลคือโทษทั้งหลายมาโดนคนนั้น คนตาดีไม่โดน พระพุทธเจ้าไม่โดน พระสาวกไม่โดน สอนสัตว์โลกทั้งหลายให้หลีกให้เว้นในสิ่งที่จะเป็นภัยต่อตนเอง แล้วสอนในสิ่งที่จะเป็นคุณแก่ตนเองนี่เรียกว่าองค์ฉลาด จอมปราชญ์ทั้งหลายไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า
นี้เราก็ได้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาครองหัวใจเรา จึงขอให้พากันมีความอุตส่าห์พยายาม การให้ทาน อย่ามีความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ได้แก่เอา การเสียสละเป็นมงคลแก่เราและเป็นความสุขแก่ผู้ได้รับไปไม่ใช่เป็นของเสียหาย ทานไปมากไปน้อยด้วยความยินดี แล้วผู้รับไปมากน้อยเท่าไรมีความยิ้มแย้มแจ่มใส ตายก็ไม่ลืมบุญลืมคุณซึ่งกันและกัน เพราะความเสียสละของเรา ไม่มีอะไรเสียหาย นี่ละการรักษาศีล รักษาธรรม ก็ให้พากันรักษา รักษาเพื่อเรานะไม่ได้รักษาเพื่อพระพุทธเจ้า รักษาเพื่อเราซึ่งกำลังโง่เขลาเบาปัญญาอยู่เวลานี้ ให้อุตส่าห์พยายาม สิ่งใดไม่ดีให้พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้
การทำบุญให้ทานไม่มีความเสียหายอันใดเลย เพราะฉะนั้นจึงเป็นพื้นฐานแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ว่า ทานบารมีๆ การให้ทานเป็นพื้นฐานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีความกว้างขวางมากมาย คือไม่มีลดละเรื่องการให้ทาน เป็นเลิศทุกพระองค์บรรดาพระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้ว ทานเป็นพื้นฐานแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจึงนำมาสอนโลก การให้ทานนี้แม้จะยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า การบำเพ็ญให้ทานการกุศลย่อมเป็นที่เย็นใจของตนเองและผู้ได้รับทานจากเราเสมอไป เป็นความดีไปตลอดจากการให้ทาน ให้พากันพินิจพิจารณา เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ไปที่ไหนโลกนี้ไม่ใช่โลกสมบูรณ์พูนผลย่อมจะเจอ มนุษย์เราอยู่ร่วมกันย่อมมีความสุขความทุกข์ มีขาดเขินสมบูรณ์บ้างเป็นธรรมดา เมื่อเห็นความจำเป็นของท่านผู้หนึ่งผู้ใด แม้ที่สุดสัตว์ควรจะช่วยเหลือมันแบบใดก็ให้ช่วยเหลือ คนที่มีความทุกข์ความจนควรจะสงเคราะห์อนุเคราะห์กันแบบใด อย่าทำใจจืดใจจาง มิหนำซ้ำอย่าไปดูถูกเหยียดหยามเขาที่เป็นคนต่ำ เราจะกลายเป็นคนต่ำลงมาโดยไม่รู้ตัว ให้มีความเมตตาสงสาร สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มนุษย์เรานี้อยู่ด้วยกันได้เพราะการให้ทานการสงเคราะห์กันนะ ถ้าอย่างคนอยู่ด้วยกันนี้ด้วยใจจืดใจดำ หัวใจดำ ใจจืดใจดำเห็นแก่ตัว โลกนี้แตกอยู่กันไม่ได้ อยู่ได้เพราะอำนาจแห่งการเสียสละ
พ่อแม่กับลูกเลี้ยงดูกันมาไม่เสียสละจะเรียกอะไร สัตว์เลี้ยงของเราเต็มบ้านเต็มเรือนของเรามีกี่ตัว นี่ก็เพราะการได้กินจากเราอาศัยจากเรา เพื่อนฝูงอยู่ด้วยกันก็ต้องอาศัยกัน เพราะคนนั้นมีคนนี้ขาดต้องได้อาศัยซึ่งกันและกันทั่วโลกดินแดน ธรรมข้อนี้พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าอย่าปิดเรื่องทาน ให้เปิดทางให้กัน สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน แล้วโลกนี้ไม่ต้องถามหาชื่อหานามกันแหละ โคตรแซ่ถามหาอะไร ความดียื่นให้กันรับกันได้ทันทีๆ เหมือนเรายื่นสิ่งของให้ผู้ใดก็ตาม เขาจะรับด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสทันทีๆ นี่ละโลกอยู่ด้วยกันได้ด้วยความมีเมตตาสงเคราะห์สงหา มีแก่ใจ ไม่ใช่เป็นคนใจตีบตันอั้นตู้ มีแต่จะเอาท่าเดียว ถ้าเสียไม่ยอม คนๆ นี้อยู่กับใครไม่ได้ ต้องเป็นคนที่มีจิตใจอันกว้างขวาง อยู่ด้วยกันได้ผาสุกร่มเย็น
วันนี้ได้แสดงธรรมให้ท่านทั้งหลายได้ฟังตามโอกาสอำนวย การสอนธรรมะขั้นสูงก็สอนย่อๆ นะไม่ได้พิสดารกว้างขวางอะไร สอนย่อๆ ตั้งแต่ภาวนา ก้าวเดินๆ เรื่อย ธรรมก้าวเดิน ก้าวเดินไปตลอดถึงวิมุตติหลุดพ้น นี่คือธรรมก้าวเดิน ถ้ากิเลสพาก้าวเดินลงนรกอเวจี กลับขึ้นมาแล้วพาก้าวเดินอีก ตกนรกอเวจีกี่ครั้งกี่หนเจ้าของจำไม่ได้ กิเลสปิดไว้หมด แล้วพาสร้างกรรมอีกตกอีก ให้พากันระมัดระวัง ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธของเราถ้ามีประจำอยู่ประเทศไทยด้วยภาคปฏิบัติด้วยแล้วจะมีความสงบร่มเย็น ส่วนมากมีแต่กิริยาที่เห็นเป็นชัดๆ ก็คือการให้ทานนี้มีอยู่ทั่วไป การรักษาศีลมีน้อยมาก เรื่องการภาวนายิ่งไม่สนใจ แม้แต่พระบวชเข้ามายังไม่สนใจภาวนา
พระที่บวชมาพระองค์สอนเพื่อมรรคเพื่อผลกันทั้งนั้นแหละ สอนให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาลำเนาไพร เพื่อปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลายจะภาวนาไม่สะดวก จึงไล่เข้าไปสู่ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ เจริญเมตตาภาวนาได้สะดวกสบาย แล้วก็สอนว่าเธอทั้งหลายจงทำความอุตส่าห์อยู่สถานที่เช่นนั้น บำเพ็ญอยู่ในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นั่นท่านสอนพระ แล้วการบำเพ็ญจะเป็นความสะดวกสบาย เรื่องศีลก็มีแล้ว สมาธิจะเริ่มมีขึ้นจากการภาวนา ปัญญาจะเริ่มขึ้นจากภาวนา จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นเกิดขึ้นจากการภาวนาทั้งนั้น บวชมาแล้วก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจเพื่อมรรคเพื่อผล
เดี๋ยวนี้ศาสนาถูกกิเลสตัณหาความโลภโลเลความตาบอดนี้ มันเหยียบย่ำศาสนา เหยียบหัวพระพุทธเจ้า บวชเข้ามาแทนที่จะสละเรื่องโลกามิสของโลก เพราะธรรมเป็นสิ่งที่เลิศเลอไม่มีอะไรเสมอเหมือนแล้ว บวชเข้ามาแล้วเสาะแสวงหาธรรมด้วยการบำเพ็ญตัวเอง รักษาให้ดีศีลไม่บกพร่องในตัวเอง แล้วเจริญเมตตาภาวนา จะเป็นผู้ทรงมรรค ทรงผล สมที่พระพุทธเจ้าประทานธรรมะไว้เพื่อมรรคเพื่อผลโดยตรง นี่บวชเข้ามาแล้วเหลาะแหละโลเล เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่สนใจ กลายเป็นเรื่องหันหลังให้ธรรมแล้วหันหน้าให้กิเลส ความโลภก็มาก ความโกรธก็มาก ราคะตัณหาก็มาก พอกพูนกันหมด ตื่นยศตื่นลาภ เป็นบ้ากันทั้งหมดพวกพระของเรา
นอกจากนั้นก็ก่อกวนกัน ศาสนาที่เป็นธรรมชาติที่สงบร่มเย็นก็พรวดขึ้นมาจอมปลอมในหัวใจนี้แหละ ก่อกวนให้ศาสนาต้องขุ่นมัวไปด้วย ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้รับความกระทบกระเทือนเดือดร้อนไปเพราะพวกก่อกวนที่หาความดีติดตัวไม่ได้ หาแต่ฟืนแต่ไฟ แต่ส้วมแต่ถานมาโปะพระผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติดีก็เกิดความไม่สะดวกสบาย เวลานี้มากขึ้นโดยลำดับนะไม่ได้ตำหนิผู้หนึ่งผู้ใด ดูเอาเหตุการณ์ในสายหูสายตาเรานี้ได้ทุกคน อย่างนี้จะเรียกศาสนาเจริญได้อย่างไร ก็เรียกว่ากิเลสตัณหามันเจริญ เรื่องส้วมเรื่องถานของต่ำๆ ทรามๆ เอามาเทิดทูนในหัวใจของพระที่บวช นี่เรียกว่ามีแต่ส้วมแต่ถานมันเจริญได้อย่างไร ผู้เจริญต้องเป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมจนถึงวิมุตติหลุดพ้น ให้พากันพินิจพิจารณา อย่าปฏิบัติตัวให้เป็นส้วมเป็นถานที่น่าเกลียด โลกไม่ยอมรับเลยให้ปฏิบัติอรรถธรรมสมที่บวชมาแล้วเพื่อมรรคเพื่อผลเพื่อนิพพาน ไม่ได้ถึงนั้นก็ขอให้อยู่ในขั้นของมรรคของผลก็ยังดี
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวล่ำเวลาแก่ธาตุแก่ขันธ์ ท่านทั้งหลายได้ฟังอรรถฟังธรรมจากหลวงตาที่แสดงแล้ววันนี้ ซึ่งคิดแล้วว่าเป็นมงคลที่เราทั้งหลายได้มาพบกันวันนี้ มงคลอันดับแรกคือการให้ทาน พี่น้องทั้งหลายมาทำบุญให้ทานเพื่อชาติไทยของเรา แล้วต่างได้มาฟังอรรถฟังธรรมนำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติให้มีในกาย วาจา ใจ ของตนด้วยศีลด้วยธรรม แล้วเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไปๆ สมกับเรานับถือพุทธศาสนา กิริยาของศาสนาขอให้มีติดตัวชาวไทยเราบ้าง ส่วนมากมักจะมีตั้งแต่กิเลสตัณหาเต็มตัวของเราทุกคน เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าเหมาะสมกับธาตุกับขันธ์กับกาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายมีท่านเจ้าภาพเป็นต้นโดยทั่วกันเทอญ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |