เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ เช้า
เด็ดเท่าไรกิเลสยิ่งพัง
ดอลลาร์หลังจากมอบคลังหลวงแล้วได้ ๓๖,๔๑๖ ดอลล์ ทองคำได้หลังจากมอบแล้ว ๒๑ กิโล ๘ บาท ๘๕ สตางค์ เราเริ่มต้นอีกแล้วนะ เริ่มต้นจะให้ถึงจุดที่หมาย คราวนี้จะให้ถึงจุดที่หมาย คือทองคำให้ได้ ๑๐ กิโล เวลานี้ทองคำเราได้เข้าสู่คลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ๙ ตันกับ ๑๒๕ กิโล หรือ ๙,๑๒๕ กิโล สำหรับดอลลาร์มอบแล้ว ๘,๘๐๐,๐๐๐ ดอลล์ นี่ก็ขาดอยู่ ๑,๒๐๐,๐๐๐ จะครบจำนวน ๑๐ ล้าน สำหรับทองคำยังขาดอยู่อีก ๘๗๕ กิโล จะครบจำนวน ๑๐ ตัน จวนแล้วเวลานี้ เห็นไหมผลแห่งความรักชาติ แห่งความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีแห่งพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศ แสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าทองคำเวลานี้ได้ถึง ๙,๑๒๕ กิโล สำหรับดอลลาร์ได้แล้ว ๘,๘๐๐,๐๐๐ ดอลล์ ที่มอบเรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นอื่น
นี่เราจะได้พยายามตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เอาให้ถึงจุดที่หมาย คราวนี้เป็นคราวแสดงกำลังแห่งความรักชาติ ความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ในจำนวนคนไทยทั้งประเทศ ๖๒ ล้านคน เราเห็นผลประจักษ์มาแล้ว ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นผลแห่งความที่เป็นนี้เป็นสักขีพยานในกาลต่อไป ที่เราจะอุตส่าห์บึกบึนด้วยกัน หลวงตาก็ได้อุตส่าห์เต็มกำลังความสามารถแล้วกับพี่น้องชาวไทยเรา คราวนี้เป็นคราวที่หนักมากสำหรับหลวงตา ได้เคยเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้วว่าหนักโดยลำพังตนเอง ที่ประกอบความพากเพียรเพื่อสังหารกิเลส ที่เป็นตัวมหาภัยอยู่ภายในจิตใจ
อันนี้ก็เรียกว่าหนักมากทีเดียว เป็นเรื่องลำพังตนเองจึงรู้สึกว่าหนักมากกว่ายิ่งกว่าเรื่องยกชาติไทยเราทั้งประเทศ อันนั้นเอาแบบใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีให้ตกเวทีไปเลย เอาถึงขนาดนั้นนะ หลวงตาเป็นนิสัยอย่างนี้ เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ว่าจริงจังมากทีเดียว ถ้าเหตุผลได้ลงจุดใดแล้วชีวิตไม่มีเสียดายเลย ยอมรับเหตุผลอันนั้นเป็นอรรถเป็นธรรม เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมเรา เราเอาชีวิตมอบเลยทีเดียว
การฆ่ากิเลสของเราก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว หลังจากได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่น เป็นที่พอใจสุดซึ้งในหัวใจเราแล้ว ลงจากการฟังธรรมท่านแล้วก็มาถามตัวเองทันที เพราะได้ฟังธรรมท่านอย่างถึงใจหายสงสัยเรื่องมรรค ผล นิพพาน มรรค ผล นิพพาน เราเรียนด้วยความจำไม่ได้หายสงสัยนะ ในพระไตรปิฎกไม่ว่าเล่มใดๆ พูดออกมาเรื่องมรรค ผล นิพพาน เป็นพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างแม่นยำๆ มีทั้งนั้น บาป บุญ นรก สวรรค์ เปรตผี พรหมโลก นิพพาน พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างถูกต้อง แต่เราอ่านตามพระไตรปิฎกที่ท่านแสดงไว้แล้วอย่างถูกต้องนั้น มันทำให้สงสัยไปตลอดนะ
นี่ละใจมันปลอม ธรรมะเป็นของจริงขนาดไหน มันก็เอาความปลอมเข้าแทรกๆ ตลอดไปเลย นี่ละหัวใจปลอม ทีนี้เมื่อหัวใจจริงแล้วจริงหมดเลย พระไตรปิฎกท่านแสดงไว้ด้วยความถูกต้องทุกประการ เราอ่านไปเรียนไปเท่าไร ไปถึงบาปถึงบุญ ถึงนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดเปรตผีประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ธรรมแสดงไว้อย่างละเอียดลออถูกต้องแม่นยำ ทีนี้เวลาเราอ่านไปๆ เรียนไป ดูไป ความสกปรกของใจเรานั้นละ คือกิเลสมันอยู่ภายในใจเรา เอ๊ มรรค ผล นิพพาน จะมีอยู่หรือไม่นา คือความมุ่งมั่นนี้ตั้งใจจะปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น เป็นความมุ่งมั่นอยู่ในจิตใจ แม้เรียนหนังสืออยู่จิตใจก็มีฝังลึกๆ อยู่อย่างนั้นละ
เพราะฉะนั้นการเรียนหนังสือของเราจึงไม่ได้เคยปล่อยภาวนา คือทำอยู่ลำพังองค์เดียว อยู่กับหมู่กับเพื่อน ไปที่ไหนไม่พูดถึงเรื่องภาวนา ไปอยู่กับพวกค่างก็เป็นค่าง อยู่กับพวกลิงเป็นลิงไปตามๆ เขา จะเป็นพระมีสมบัติผู้ดีแสดงอรรถธรรมให้เพื่อนให้เพื่อนฝูงฟังในการภาวนานี้ไม่เคยพูดเลย หากเป็นอยู่ลึกๆ ๆ ภายในจิตใจ ฝังแน่นทีเดียว เป็นแต่เพียงไม่บอกใครให้ทราบเลยในเพื่อนฝูงพวกปริยัติด้วยกัน พูดอะไรๆ ได้ทั้งนั้น แต่เรื่องภาวนาไม่พูดถึงเลย นี่มันฝังลึกๆ ความมุ่งมั่นที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง มีอรหัตบุคคลเป็นที่ยอมรับกัน
ครั้นเวลาอ่านไปๆ ท่านแสดงไว้ถูกต้อง แต่จิตมันมัวหมองอยู่ในนั้น เอ๊ บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน นี้จะมีอยู่จริงหรือไม่นา อยู่อย่างนั้นนะ นี่ละกิเลสมันเข้าไปลบล้าง จนได้ไปฟังอรรถฟังธรรมของหลวงปู่มั่นแล้ว คือเรามีจุดเดียวที่จะปลงจิตใจลงได้มีหลวงปู่มั่นเท่านั้น พอไปถึงท่าน ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ ไม่รอเลย ประหนึ่งว่าท่านเอาเรดาร์จับหัวใจเราไว้เรียบร้อยแล้ว พอไปถึงท่านกราบเรียนเรื่องราวมาโดยลำดับลำดา จนท่านเป็นที่เข้าใจเรียบร้อยแล้ว ว่าเรามุ่งต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมโดยถ่ายเดียวเท่านั้น พอท่านออกมา เหอ ท่านมา ท่านมาหาอะไร นั่นเห็นไหมล่ะ
กิเลสไม่ได้อยู่ในดิน ฟ้า อากาศ ฟ้า แดด ดิน ลม ที่ไหนไม่มี ไม่มีที่เกิดของกิเลส ไม่มีที่อยู่ของกิเลสและของธรรม คือธรรมก็ไม่มีอยู่ที่อื่นเช่นเดียวกับกิเลสนั่นแหละ แต่อยู่ที่หัวใจคน ท่านว่างั้นนะ กิเลสก็เกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ ธรรมก็เกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ ท่านว่างั้น ให้ท่านหายสงสัยเรื่องภายนอกทั้งหลาย ไม่มีความหมาย ไม่ใช่มหาเหตุคือใจ ใจนี่คือมหาเหตุ บรรจุไว้ทั้งธรรม บรรจุไว้ทั้งกิเลส เพราะฉะนั้นท่านมาเพื่อมุ่งอรรถมุ่งธรรม ขอให้ท่านเน้นหนักทางด้านธรรมด้วยจิตตภาวนา ว่างั้นเลย
จิตตภาวนานี่เท่านั้นจะเปิดโล่งมหาเหตุนี้ออก เห็นอย่างชัดเจนได้ด้วยจิตตภาวนา ท่านย้ำลงๆ กิเลสท่านก็จะเห็นในหัวใจของท่าน เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ ธรรมะท่านก็จะได้พบได้เห็นในหัวใจของท่านเอง ท่านบอกอย่างชัดเจน เอา เอาให้หนักนะ ภาวนาลงไปนี้เหมือนเปิดตู้มหาเหตุ ว่างั้นเถอะ จะได้เห็นทั้งสอง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างท่านจะได้หายสงสัยไปเป็นลำดับ ท่านสงสัยหาอะไร ธรรมพระพุทธเจ้า ผู้มาแสดงธรรมก็เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาองค์เอก ตรัสสอนไว้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความถูกต้องแม่นยำ จากพระทัยที่บริสุทธิ์ แล้วท่านสงสัยหาอะไร นั่นเห็นไหมล่ะ
เราสงสัยมรรค ผล นิพพาน ท่านก็จี้เรา ท่านมาสงสัยหาอะไร ท่านไม่ยอมรับคนดังพระพุทธเจ้าท่านจะยอมรับใคร ถ้าท่านยอมรับตามคำสอนนี้จะมีปัญหาอะไร ธรรมท่านสอนไว้แล้วถูกต้องแม่นยำทุกอย่าง มันเป็นปัญหาอยู่กับมหาเหตุคือหัวใจของเราเอง กิเลสนั้นน่ะมันกีดมันกันเอาไว้ ทีนี้เปิดกิเลสออกด้วยจิตตภาวนา เราไม่ลืมนะ เพราะไปถึงทีแรกนี่ฟังจดฟังจ่อทุกอนุกระเบียดไม่ให้หลุดไม้หลุดมือไปได้เลย ท่านเน้นหนักๆ ลงถึงเรื่องมรรค ผล นิพพาน กับกิเลสอยู่ที่หัวใจ อย่าไปหาที่ไหน ท่านว่า
น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ภูเขา ป่าดงพงไพรอะไรเป็นเรื่องของเขาต่างหาก ไม่ได้มาก่อสุขก่อทุกข์ให้เราเหมือนกิเลสกับธรรมที่มีอยู่ในหัวใจเรา การที่จะเปิดทั้งสองประเภท คือธรรมและกิเลสให้เห็นได้อย่างชัดเจน ต้องเปิดด้วยจิตตภาวนา ให้ท่านเน้นหนักทางด้านภาวนา นั่นท่านเอาถึงขนาดว่าเน้นหนักๆ ท่านจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาที่มีอยู่ในหัวใจของเราทั้งกิเลสและธรรมนั้นแหละ เราก็พอใจ จึงได้ตัดสินใจตั้งแต่บัดนั้นมา ทีนี้กิเลสมีอยู่ก็ตามนะหายสงสัยหมดเรื่อง มรรค ผล นิพพาน เพราะฉะนั้นจึงได้ทุ่มกันลงเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยความลงใจแล้ว ก็มีแต่จะเอากันเท่านั้น ลงใจแล้วไม่เป็นอื่น
จากนั้นก็ฟัดกับกิเลสเป็นเวลา ๙ ปีเต็มทีเดียว ที่หนักมากในชีวิตนะ หนักมากยิ่งกว่าเขาติดคุกติดตะราง อันนั้นเขาไม่ได้มีความทุกข์ความลำบากอะไร อยู่กันอย่างงั้นแหละวันหนึ่งกินวันละสองมื้อสามมื้อ จักตอกเหลาตอกได้วันละสี่ห้าเส้น พอฆ่าเวล่ำเวลาให้หมดไป ๆ แล้วถึงเวลาออกเรือนจำไปเท่านั้น เขาไม่ได้มีหวังอะไร เรานี้เอาจริงเอาจัง หนักแทบจะสลบไสล แต่ไม่เคยสลบเราก็บอกไม่สลบ เรื่องหนักมากหนัก นี้เป็นไปด้วยความพอใจเรา เราหนักมากยิ่งกว่าเขาติดคุกติดตะรางเป็นไหน ๆ เรื่องระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน
ท่านผู้ใดยังไม่เคยขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเพื่อสังหารกัน เอา ถ้าไม่ดีให้กิเลสสังหารธรรมในหัวใจเรา เราก็จมไปเลย ถ้าเราเก่งเราก็สังหารกิเลสให้กิเลสพังทลาย เราก็พุ่งเลยถึงนิพพาน นี่ละมันถึงได้เอากันอย่างหนักอย่างหนา เรื่องชีวิตจิตใจของเราคือความทุกข์ทั้งมวล เอารวมมาอีกความสุขทั้งมวล ได้จากการบวชนี้เท่านั้น การบวชนี้ได้ทั้งทุกข์ทรมานเป็นเรื่องเหตุที่เราบำเพ็ญ ทุกข์ลำบากขนาดไหนเรายอมรับๆ ด้วยเหตุผล ทีนี้เรายอมรับตลอด ความพากเพียรหนักไปตลอดๆ สุดท้ายกิเลสจะหนาแน่นขนาดไหน ธรรมะพังเข้าไปๆ จนกิเลสขาดสะบั้น ขาดลงโดยสิ้นเชิง ชีวิตรอดมาได้ ไม่ตาย นี่ละจึงว่าทุกข์แสนสาหัสการบวช
นี้เราพูดเฉพาะเรื่องของเราคนเดียว เพราะเรามีนิสัยวาสนาอาภัพจึงต้องลำบากลำบน ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนท่านผู้ที่สิ้นไปแล้วทั้งหลายบางประเภท เช่น ประเภทที่ตรัสรู้ได้เร็ว ขิปปาภิญญา สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ทั้งปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว ท่านประเภทนี้ไม่ได้รับความลำบากลำบนอะไร เรียกว่าท่านบาง แล้ว สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้า นี่สองประเภทแล้วนะ
คืออันหนึ่งสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญฺญา ทั้งปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว นี่ประเภทหนึ่ง
สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้า
ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็ว
ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทั้งปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า คือปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็วก็มี มีสี่ประเภท
สำหรับเรา เราพูดถึงเรื่องความลำบากของเรานี้ลำบากจริง ๆ ยอมรับ ในชีวิตนี้ชีวิตฆ่ากิเลสนี่แหละที่เราหนักมากที่สุด ผลแห่งการปฏิบัติที่ได้มาก็ดังที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี่ ได้มาจากภาคปฏิบัติ วันนี้เปิดให้ชัดเจน ภาคปฏิบัติของเรานี้รื้อฟื้นอรรถธรรมทั้งกิเลสทั้งธรรมออกจากหัวใจให้กระจ่างแจ้งขึ้นมา ได้นำมาอบรมแนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย จากตนได้อบรมตนเรียบร้อยเป็นที่แน่ใจแล้วทั้งเหตุทั้งผลไม่เป็นที่สงสัย แล้วก็นำทั้งเหตุทั้งผลมาแนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย
ขอให้พากันพินิจพิจารณา เรื่องตัวของเรา หัวใจนี้มีทั้งกิเลสทั้งธรรมด้วยกัน จะแก้กันได้ด้วยความพากเพียรของเราทุกคน อย่าไปนอนเฉยๆ แล้วคอยเอาตั้งแต่คะแนนๆ จากกิเลสหลุดลอยไปไม่มีทาง ต้องอุตส่าห์พยายามด้วยกันทุกคน ถึงจะเป็นไปได้ วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะความพากเพียร ไม่ใช่ล่วงทุกข์ไปได้เพราะจมอยู่กับเสื่อกับหมอนนะ ให้จำเอาให้ดี นี่ละผลที่ได้ปฏิบัติมา เราจึงพูดแบบไม่มีสะทกสะท้าน เพราะเต็มอยู่ในหัวใจทุกอย่างแล้ว กิเลสเต็มหัวใจก็รู้ เวลาธรรมะขึ้นแทนที่กันแล้วธรรมะเต็มหัวใจก็รู้ กิเลสไม่มีก็บอกไม่มี เวลากิเลสเต็มหัวใจก็บอกว่าเต็มหัวใจ บางลงไปๆ จนกระทั่งกิเลสไม่มีก็บอกไม่มี ธรรมเต็มหัวใจก็บอกเต็มหัวใจ จากการปฏิบัติของเรา ได้ธรรมขึ้นมาเต็มหัวใจ
ธรรมเต็มหัวใจนี้แล ทำให้เกิดความเมตตาสงสารอ่อนนิ่มไปหมดทั่วแดนโลกธาตุ ไม่ได้ถือสีถือสา ถือเป็นกรรมเป็นเวร ถือโกรธ ถือเคียดแค้น อาฆาตบาดหมางต่อผู้ใดเลย แม้เขาจะมาฆ่ามาฟันเราให้ตายต่อหน้าต่อตา กิเลสตัวที่จะต่อสู้เขา ความไม่พอใจในเขาก็ไม่มีในใจ ก็เรียกว่าตายไปเฉยๆ ที่จะให้มีความโกรธความแค้นกับผู้หนึ่งผู้ใดไม่มี เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้เลยว่า ความกลัวเราไม่มี ความกล้าเราก็ไม่มี ความแพ้ ความชนะ เราไม่มี ความได้เปรียบเสียเปรียบเราไม่มี มีแต่ความเมตตาล้นแผ่นดิน หรือล้นฟ้าล้นแผ่นดินที่มีต่อโลกทั้งหลายเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี ที่จะก่อกรรมก่อเวรต่อผู้ใดอย่างนี้มีไม่ได้เด็ดขาด ว่างั้นเถอะ เพราะกิเลสไม่มีแล้วจะเอาอะไรมาก่อกรรมก่อเวร
เรื่องก่อกรรมก่อเวรเป็นเรื่องของกิเลส เรื่องเอาแพ้เอาชนะเป็นเรื่องของกิเลส เรื่องกล้า เรื่องกลัว ก็เป็นเรื่องของกิเลส ผ่านเหล่านี้ไปหมดแล้วไม่มี สิ่งเหล่านี้ไม่มี นี่ก็ได้กล่าวแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีในหัวใจของเรา มาเป็นเวลา ๕๔ ปีนี้แล้ว ผลแห่งการปฏิบัติแทบเป็นแทบตายมาก็ได้เห็นประจักษ์ในหัวใจ แล้วก็นำมาสั่งสอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย จะพอเป็นที่ลงใจได้ไหมกับธรรมของพระพุทธเจ้า และธรรมที่เราปฏิบัติมา ซึ่งตนก็เห็นประจักษ์แล้วมาสอนท่านทั้งหลาย กลายเป็นธรรมหลอกลวงพี่น้องทั้งหลายให้ล่มจมไปอย่างนั้นเหรอ ให้ตั้งเป็นปัญหาถามตนเองบ้าง เราจะได้เห็นข้อเท็จจริงว่าศาสนาจริงแค่ไหน กิเลสตัวมันทำลายศาสนามันจอมปลอมแค่ไหน ทำลายเราอยู่ทุกวันๆ ทำไมจึงไม่เห็นโทษของมัน
ธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศจ้าๆ หรือประกาศป้างๆ มาเป็นเวลาสองพันห้าร้อยกว่าปีนี้แล้ว จะไม่มีคุณค่าอะไร สู้กิเลสไม่ได้เหรอ ให้ถามตัวเอง และเราก็เข้าใจเราอยู่แล้วว่าเรามีคุณค่า มนุษย์เรามีคุณค่าทุกคนๆ แล้วให้ดูตัวของเรา มีอะไรที่มันจะทำคุณค่าของเราให้ลดให้เสียไป ก็คือกิเลสที่มันทำลายธรรมนั้นแหละมันจะทำลายตัวของเรา นี่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ในการช่วยชาติคราวนี้เราช่วยเราเรียกว่าสุดขีดสุดแดน ถ้าหากว่ากิเลสไม่พังเราต้องตาย ที่จะให้ถอยไม่มีเลย เนื่องจากว่าเหตุผลกลไกลงจุดไหนแล้วเราจะไม่เป็นอื่น ให้ถอยอย่างนี้ หรือว่าทิ้งคำสัตย์คำจริง ปล่อยคำสัตย์คำจริงไปเสีย มีแต่ความจอมปลอมไป ท้อถอยอ่อนแอ ทั้งๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตาว่าจะเข้มแข็งด้วยคำสัตย์คำจริง แล้วพาคำสัตย์คำจริงเป็นคนล้มเหลวไปเสียอย่างนี้ไม่มีในหัวใจของเรา
เพราะฉะนั้นว่าอะไรลงไปจึงเด็ดขาดๆ ทุกอย่างๆ การเด็ดขาดนี้เราเคยได้ผลมาแล้วจากการปฏิบัติฟัดกับกิเลสทั้งหลาย เอาจริงเอาจัง เด็ดขาดนั่นละกิเลสพังได้ เด็ดขาดเท่าไรกิเลสยิ่งพังๆ เห็นผลนั้นมาเป็นประจำ จนกระทั่งถึงได้มาประกาศธรรม พี่น้องทั้งหลาย ได้มาจากความอุตส่าห์พยายามในธรรมทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่แล้วตามศาสดาที่สอนไว้ว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว มรรค ผล นิพพานเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ขอให้ก้าวเข้าไปเถอะจะพบได้ด้วยกันทั้งนั้น ธรรมไม่ลำเอียง พระพุทธเจ้าสอนโลกก็ไม่ลำเอียง
ธรรมมีอยู่โดยแท้ สอนโลกทั่วๆ ไปว่าธรรมมีอยู่ มรรค ผล นิพพาน มีอยู่ อย่าปล่อยให้กิเลสมันมาทำลาย ลบล้างมรรค ผล นิพพาน ลบล้างบุญบาปไปเสียจากใจเรา แล้วจะสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก หาคุณค่าไม่ได้ ตายแล้วจม ไม่เกิดประโยชน์นะ วันนี้ได้พูดถึงเรื่องการช่วยชาติบ้านเมือง เราเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย นี้เราเด็ดกว่าการช่วยชาติบ้านเมืองอีก เพราะเหตุไร เพราะช่วยคนทั้งแผ่นดินจะยกให้เด็ด ให้ขาด ให้เป็นอย่างที่เราคนเดียวยกเราคนเดียวนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่ลวดลายแห่งความเด็ดยังมีอยู่อย่างงั้น ไม่ปล่อยไม่วาง อย่างช่วยพี่น้องทั้งหลายนี้เราก็เอาชีวิตเข้าแลกเลย คราวนี้เป็นคราวเด็ดขาดของเราที่จะช่วยพี่น้องทั้งหลาย พร้อมกับพระพุทธศาสนาที่มีค่าอันเลิศเลอ ซึ่งชาติไทยเราซึ่งเป็นชาติแห่งชาวพุทธได้เทิดทูนกันอยู่นี้ แล้วกำลังจะจมลงไปทะเลหลวง จะไม่ให้มีชาติศาสนาเหลืออยู่เลยอย่างนี้
จึงเป็นเรื่องสะดุดใจมากทีเดียว เราจึงได้ออกถึงขนาดที่ว่าร้องโก้กทีเดียว ร้องโก้กนี่หมายถึงว่าความถึงใจเต็มที่แล้ว ยังไงก็ไม่มีถอย ถ้าว่าการรบอย่างนี้เขาจะมีเครื่องไม้เครื่องมือ เราไม่มีก็ตาม มีแต่หมัดเราก็จะฟัดมันเลยหมัดเรา เพราะใจมันไม่ถอย เขามีเครื่องมือ เราไม่มีเครื่องมือ เราก็เอาหมัดเราเป็นเครื่องมือฟัดมันเลย ฟัดมันเสร็จเรียบร้อยแล้วกวักมือคืนข้างหลัง เอาหมัดจากหมามาอีก ฟัดอีก จนมันจมลงไป นี่เรียกว่าความเด็ดเดี่ยวกับพี่น้องชาวไทยเราด้วยความเมตตาสงสาร ปู่ ย่า ตา ยาย พาถ่อพาพายมานานแสนนานขนาดไหน เป็นความสงบร่มเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีที่ต้องติ
แต่เวลาลูกหลานของปู่ ย่า ตา ยาย เราตั้ง ๖๒ ล้านคน สมควรที่จะแบกหามชาติบ้านเมืองตนไปได้ น่าจะมีสติปัญญาเดินตามปู่ ย่า ตา ยาย ทำไมจะต้องทำให้ชาติไทยของเราจม เป็นไปไม่ได้นะ เอาไม่ถอย นั่นละเรื่องราวนะ จะไม่ให้ชาติไทยจม จึงได้เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยเหตุด้วยผลของอรรถของธรรม เราไม่ได้ช่วยชาติแบบกิเลสตัณหาพาช่วย ทั้งฟันทั้งฆ่าไป แบบอย่างงั้นไม่เอา เอาธรรมความดีงามฆ่าความไม่ดี เอาธรรมคือความสมบูรณ์พูนผลฆ่าความจน แล้วก็ฉุดลากเมืองไทยขึ้นด้วยอรรถด้วยธรรม การหนุนชาติของตนเป็นลำดับลำดา นี้เป็นสิ่งที่เหมาะสม
เราจึงได้อุตส่าห์พยายามช่วยพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้ก็ก้าวเข้ามาแล้วการช่วยชาติของเรา ทองคำก็ได้ ๙,๑๒๕ กิโลแล้ว ยังขาดอยู่เพียง ๘๗๕ กิโล แล้วดอลลาร์ก็ได้ถึง ๘,๘๐๐,๐๐๐ แล้ว ยังขาดอยู่อีกเพียง ๑,๒๐๐,๐๐๐ ผลก็ปรากฏขึ้นมาอย่างนี้แล้ว ประเทศไหนที่เขาเจริญรุ่งเรืองที่ว่าเด่นที่สุดนั้นน่ะ เขาเคยเอาสมบัติเงินทองมาให้เรา มาช่วยเราบ้างไหม เช่นว่าทองคำ ประเทศนั้นเอามาให้เราหนึ่งกิโล ประเทศนั้นเอามาให้เราสองกิโล เคยมีไหม ประเทศนั้นมาให้เราหนึ่งดอลลาร์ สองดอลลาร์ไม่เคยเห็น เท่าไรที่นับจำนวนทั้งทองคำและดอลลาร์มานี้เป็นกำลังแห่งความรักชาติ ความเสียสละ ของพี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติอุตส่าห์ขวนขวายมา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นชาติแห่งเศรษฐี แต่เป็นเศรษฐีแห่งความรักชาติและความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกันต่างหาก จึงได้สามารถยกชาติไทยของเราขึ้นให้เป็นที่อบอุ่นอยู่เวลานี้
เพราะฉะนั้นในวาระต่อไปนี้ จึงขอให้พี่น้องชาวไทยพยายามเอาให้ถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งไม่นานนักและจะพอเป็นไปได้ และไม่มากนัก เราเอามาแล้วตั้งมากมาย นี้ยังเหลืออยู่เพียงเท่านี้ เราได้เชื่อพี่น้องทั้งหลายมาแต่ดั้งเดิม เริ่มต้นที่ได้นำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติบ้านเมือง ไม่ว่าไปสถานที่แห่งใดบรรดาพี่น้องทั้งหลายเดินตาม เห็นตาม ไม่มีความขัดข้องอะไรทั้งนั้น ด้วยความรักชาติ หมุนมาตามโดยลำดับลำดา การเทศนาว่าการไม่ว่าไปสถานที่ใดแน่นๆ ๆ ตลอด แล้วเงินทองไหลเข้ามาๆ จนเห็นปรากฏผลอย่างนี้แล้ว เราจึงได้เชื่อพี่น้องทั้งหลายตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ แล้วยังจะเชื่อพี่น้องทั้งหลายอีกจนวันถึงขีดถึงแดนตามกำหนดที่ได้ตั้งเอาไว้แล้ว จึงขอขอบคุณกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่ต่างคนต่างรักชาติ ต่างคนต่างเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน แล้วอุตส่าห์เดินตามธรรม คือหัวหน้าที่พาเดินโดยอรรถโดยธรรม ต่างท่านต่างเดินโดยอรรถโดยธรรม สมกับเราที่เป็นชาวพุทธ จึงขอบคุณและอนุโมทนากับพี่น้องทั้งหลายทั้งที่ผ่านมาแล้ว และกำลังก้าวเดินต่อไปนี้โดยทั่วกันเทอญ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com
|