จิตขั้นอัตโนมัติ
วันที่ 25 ธันวาคม 2546 เวลา 18:30 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระวัดบวรนิเวศวิหาร ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

ค่ำวันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

จิตขั้นอัตโนมัติ

 

        มากี่องค์วันนี้ (พระ ๙ องค์ สามเณร ๑ องค์ครับผม) เหรอ วัดบวรฯนี่ผมดูเหมือนไม่ได้เข้าจะถึง ๒๐ ปีแล้วมัง แต่ปี ๒๕๒๖ พอดี ๒๐ ปี ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็เลยไม่ได้เข้าวัดบวรฯ แต่ก่อนมาพักวัดบวรฯ เพราะเราเป็นพระหลายวัด ถ้ามีธุระจำเป็นใกล้กับวัดใดก็เข้าวัดนั้น เข้าวัดนั้นไปอย่างงั้น ที่เข้ามากก็คือวัดบวรฯ วัดนรนาถฯ วัดบรมนิวาส

         (ศิษย์วัดบวรฯ ถวายทองคำ ๘ บาท ๑ สลึง ดอลลาร์ ๕๔๐ ดอลลาร์ เงินไทย ๓๕,๕๒๐ บาท) พอดีละ วันพรุ่งนี้เป็นวันที่จะมอบทองและดอลลาร์พร้อมกัน ทองคำจะมอบวันพรุ่งนี้ ๑,๔๐๐ กิโล และดอลลาร์ ๕๐๐,๐๐๐ ดอลล์ ที่จะมอบวันพรุ่งนี้ ประมาณ ๑๑ โมงเช้าจะมอบ ผมเร่งที่สุดเพราะร่างกายมันอ่อนลงไปทุกวัน ๆ แล้วเวลานี้ จึงได้เร่ง คราวนี้ก็เร่งทองคำ ก็ได้ตามความมุ่งหมาย ได้มากที่สุดคือคราวนี้ ตั้ง ๑,๔๐๐ กิโล ดอลลาร์ก็ถึง ๕๐๐,๐๐๐ ดอลล์ เข้าพร้อมกัน ทุกครั้งก็ว่ามากแต่สู้ครั้งนี้ไม่ได้ คราวที่แล้วนี้ ๑,๐๒๕ กิโล ดอลลาร์ ๔๓๐,๐๐๐ คราวนี้เป็น ๕๐๐,๐๐๐ ไปเลย ทองคำ ๑,๐๒๕ (กิโล) คราวนี้เป็น ๑,๔๐๐ กิโล สูงกว่ากัน

         เราบอกชัดเจนไว้ด้วยนะ คราวนี้จะให้ต่ำกว่าคราวที่แล้วมาไม่ได้ คราวที่แล้วมาก็ได้มากพอสมควร ถึง ๑,๐๒๕ กิโล ดอลลาร์ก็ ๔๓๐,๐๐๐ แต่คราวนี้เป็นคราวที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับเรื่องกฐินของคนทั้งประเทศ ผลที่ได้มาจะให้เหมือนอย่างงั้นไม่ได้ ต้องให้มาก ขีดเส้นตายไว้เลย อย่างน้อยที่สุดทองคำให้ได้ ๑,๐๓๕ กิโล แต่ก่อน ๑,๐๒๕ คราวนี้อย่างน้อยที่สุดให้ได้ ๑,๐๓๕ เกินกันไป ๑๐ กิโล นี้เป็นอย่างน้อยนะ เราว่างั้น เราก็ยังไม่ได้จุใจนะ คราวนี้ต้องเอาให้เต็มเหนี่ยว ให้จุใจเถอะ บอกงั้น

         ทีนี้ผลก็ปรากฏมาว่าได้ทองคำ ๑,๔๐๐ กิโล และดอลลาร์ก็ฟาดเข้าไป ๕๐๐,๐๐๐ พอใจ เราบอก สมเหตุสมผลที่เราช่วยชาติอย่างเด็ดเดี่ยวทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่เคยอ่อนแอ ทุกด้านทุกทาง ไม่ว่าการแนะนำสั่งสอนก็เหมือนกัน เด็ดเหมือนกัน อุบายวิธีการที่จะหาเงินหาทองเข้าสู่คลังหลวง ซึ่งเป็นหัวใจของชาติเราก็เด็ดไปอีกทางหนึ่ง แล้วก็สมมักสมหมายเป็นลำดับ อันนี้มันก็จะถึง ๑๐ ตันแล้ว เวลานี้ขาดอยู่เพียง ๘๗๕ กิโล ไม่ถึงตัน

         มอบคราวหน้านี้อาจจะเป็นเที่ยวเดียว มอบทีเดียวเลยก็ได้ หากว่ามันพอที่จะเป็นไปได้เราก็อยากจะมอบในวันเราเปิดโครงการ วันที่ ๑๒ เมษา ๒๕๔๑ คราวนี้จะปิดโครงการก็ควรจะปิดในระยะเดียวกัน คือวันที่ ๑๒ เมษา ๒๕๔๖ เป็นเวลา ๖ ปี ที่เราได้อุตส่าห์ตะเกียกตะกายช่วยพี่น้องชาวไทยเรามาโดยลำดับลำดา คราวนี้ก็จวนแล้วนี่ จวนจะถึงขั้นยุติ ควรจะให้อยู่ในจุดนั้นเหมาะสมมาก ๑๒ เมษาให้เสร็จในจุดนั้นละจะพอดี เราว่างั้น แต่ก็พิจารณาไปไม่ได้ถือสำคัญอะไรมากนัก หากว่ามันได้แค่นั้นก็จะดี เราว่างั้นต่างหาก ไม่ใช่แบบเด็ดนะ ถ้าเด็ดนี่อะไรเคลื่อนไม่ได้เลย

         หลวงตาองค์นี้ไม่เหมือนใครนะ ถ้าลงตรงไหน ถ้าลงจุดไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย ด้วยเหตุด้วยผลพร้อมแล้วลงจุดนี้เลย เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้ ที่เราทำมานี้กับบรรดาพี่น้องทั้งประเทศนี้ เราไม่เคยได้ตำหนิติเตียนบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยเลย ว่าอ่อนแอ ท้อแท้ เหลวไหล หรือแสดงความขัดข้อง กีดขวาง ในการดำเนินเพื่อชาติของตนอย่างนี้ไม่เคยมี มีตั้งแต่ก้าวเดินตามด้วยความพออกพอใจ ตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการมา วันที่ ๑๒ จากนั้นก็ก้าวเดินเรื่อย ๆ ๆ เราก็ก้าวเดินของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะได้ลงใจแล้วถึงขนาดประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าเราจะเป็นหัวหน้า เราก็ต้องดำเนินตามทางของหัวหน้า เคลื่อนคลาดอย่างอื่นไปไม่ได้เหมือนกัน เราก็ดี

         นี่คิดดูซิ อย่างเวลานี้เราอ่อนแล้ว กำลังอ่อนมากแล้ว เพราะเทศนาว่าการไม่หยุดไม่ถอย มันอ่อนลงทุกวัน สังขารร่างกายก็อ่อนลง การเทศนาว่าการแต่ละครั้งนี้เหนื่อยมากนะ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยมีอารมณ์กับมัน เทศน์จะเผ็ดจะร้อน จะเหนื่อยขนาดไหนในขณะเทศน์มันก็ยังไม่เห็นมีอะไรในธาตุในขันธ์ แต่เวลานี้มันมีแล้ว พอเทศน์ไป ๆ หนักเข้า ๆ ธาตุขันธ์เตือน เราต้องได้เหยียบเบรกห้ามล้อ แล้วก็หยุดเทศน์ นี่เป็นอย่างงั้น สำหรับการออกเที่ยวเทศนาว่าการตามโครงการนั้นเราจะหยุดเมื่อสิ้นเดือนธันวานี้แล้ว การเทศน์ให้เป็นไปตามอัธยาศัยและธาตุขันธ์ของเราเอง เราจะไม่ให้โครงการอยู่เหนือเรา เพราะแต่ก่อนโครงการเราตั้งเอง เรียกว่าโครงการก็เหนือเรา เราจึงอุตส่าห์พยายามดีดดิ้นไปตามโครงการ

         ระยะนี้ธาตุขันธ์อ่อนเปียกแล้วจึงกำหนดสิ้นปีนี้ สำหรับเราเองจะไม่ไปตามโครงการ จะไปตามธาตุขันธ์และอัธยาศัยของเราเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะนิมนต์ในโครงการ นอกโครงการ เราจะเอาธาตุขันธ์และอัธยาศัยเป็นกฎเกณฑ์ที่จะไปเทศน์ในที่ต่าง ๆ จะไม่เอาโครงการเป็นข้อบังคับเหมือนแต่ก่อน ส่วนบัญชีสมบัติทั้งหลายเหล่านี้เรายังเปิดไว้ตามเดิม มีพักตั้งแต่เราเท่านั้น สมบัติทั้งหลายที่เปิดบัญชีไว้ก็เปิดไว้ตามเดิม จนกว่าจะถึงจุดยุติแล้วเราจะประกาศเอง ว่าสิ้นสุดยุติแล้ว ไม่กวนพี่น้องทั้งหลายอีกต่อไปแล้ว เราจะประกาศให้ได้ยินทั่วประเทศไทย เพราะเวลาออกเป็นหัวหน้าก็ประกาศทั่วประเทศไทย และพี่น้องชาวไทยเราก็ดำเนินตามมาโดยลำดับลำดา

         เราจึงได้เห็นว่าชาติไทยของเราเป็นชาติที่รักชาติ ฟังเสียงหัวหน้า กล้าเสียสละ เพราะเมืองไทยเราไม่ใช่เมืองเศรษฐี แต่เหตุใดถึงได้ทองคำขนาดนี้ล่ะ เดี๋ยวนี้มันก็จะถึง ๑๐ ตันแล้ว เมืองเศรษฐีเขาไม่เห็นเอาทองคำมาให้เราสัก ๑ กิโลเลย มีแต่เมืองทุคตะเข็ญใจในเมืองไทยละ ขนเงินขนทอง ดอลลาร์มา เข้าสู่คลังหลวง เวลานี้กำลังเริ่มอบอุ่นแล้ว ได้ ๑๐ ตันแล้วก็ยุติ นี่ประกาศไว้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ถอยถ้ายังไม่ถึงจุดนี้ก่อน

         พอ ๑๐ ตันแล้วทีนี้ก็ยุติได้แล้ว เข้าในคำสัตย์คำจริงที่ได้ตั้งไว้ทุกอย่าง และดอลลาร์ก็ ๑๐ ล้าน เวลานี้ก็ ๘ ล้านกว่าแล้วดอลลาร์ก็ดี ดอลลาร์นี่ไม่ค่อยหนักเท่าไร ผมไม่ค่อยได้เป็นกังวลอะไรมากยิ่งกว่าทองคำ สำหรับทองคำนี้หนักมาตลอดๆ เลยทีเดียว ถ้ามอบคราวนี้แล้ว มันตั้ง ๙ ตันกว่าแล้ว ยังขาดอยู่อีกเพียง ๘๗๕ กิโล อาจจะมอบครั้งเดียวก็ได้ ให้พิจารณาเสียก่อน แล้วเราก็เบาใจกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเรา ที่เป็นผู้รักชาติ และรักความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ตั้งแต่วันเริ่มต้นนำพี่น้องทั้งหลาย เรายังไม่เคยเห็นพี่น้องชาวไทยเราที่แสดงอาการขัดขวาง หรือว่าอ่อนแอท้อแท้ พาก้าวเดินก็ก้าวเรื่อย ๆ พาเด็ด เด็ด เป็นอย่างนี้ละ

         นี่ละผลแห่งการก้าวเดินได้มาถึงขนาดทองคำจะ ๙ ตันกว่าในวันพรุ่งนี้ ดอลลาร์ก็จะ ๘,๘๐๐,๐๐๐ เพราะวันพรุ่งนี้จะเข้า ๕๐๐,๐๐๐ ที่มีอยู่แล้ว ๘,๓๐๐,๐๐๐ เข้าคราวนี้อีก ๕๐๐,๐๐๐ ก็เป็น ๘,๘๐๐,๐๐๐  นี่เรียกว่าสมบูรณ์ขึ้นโดยลำดับลำดา สำหรับเงินสดนี้ผมได้แยกซื้อทองคำเพียงสองพันกว่าล้าน ซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงของเรา ไม่ได้มากนะ เพราะทางภายนอก กิ่ง ก้าน สาขา ดอก ใบ ของคลังหลวง คือคนทั้งประเทศมีความจำเป็นทุกแห่งทุกหน เราได้เจียดเงินอันนี้ออกไปทั่วประเทศไทย ไม่ว่าภาคใดเราช่วยทั้งนั้น ตามความจำเป็นที่ขอมาๆ เราก็ให้โดยลำดับลำดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้เงินสดเข้าซื้อทองคำมาก ได้เพียงสองพันล้านกว่าเท่านั้น ก็ได้ทองคำมาอย่างที่เห็น

         เรียกว่าเขียนประวัติศาสตร์ได้เลยคราวนี้ เราเด็ดทุกอย่าง เรื่องความบริสุทธิ์ก็เด็ดขาด ไม่แตะต้องแม้แต่บาทเดียวเลย โลกเขามันเป็นได้ยังไงอย่างนั้นนะ แต่ธรรมเป็นให้เห็นชัดๆ อะไรขัดในใจเรานิดหนึ่งเราจะสะดุดใจและแก้ไขทันที หรือถอยทันที ว่าจะทำอย่างนี้มันผิดอย่างนี้ถอยทันที ไม่ฝืน นี่เรียกว่าธรรม อะไรที่ถูกธรรมแล้วก้าวออกไป ถูกธรรมมากน้อยเพียงไรจะก้าวเดินตามความถูกต้องแล้วพุ่งๆ เลย ถ้าถูกธรรมแล้ว ถ้าไม่ถูกธรรม ขัดขวางอยู่ภายในจิตใจ ไม่สะดวกเราไม่เล่น ถอย ถ้าเป็นธรรมแล้วผมเส้นเดียวก็ไม่ข้าม ลอดทันที เป็นอย่างงั้น

         เราได้ช่วยโลกมาเต็มกำลังความสามารถ เขาจะออกเป็นประวัติศาสตร์แน่นอน ประวัติศาสตร์ก็เราเป็นหัวหน้า หัวหน้าเป็นพระเช่นไร คือพระที่บริสุทธิ์สุดส่วน ได้ช่วยพี่น้องทั้งหลายมานี่ เพราะเราช่วยโลกนี่ช่วยด้วยความพอแล้วทุกอย่าง เราไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจเรา ปล่อยหมดทั้งสามโลกธาตุ พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามธรรมที่ปฏิบัติมามากน้อย อิ่มเต็มที่แล้วในหัวใจเรา เราไม่มีอะไรที่จะต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้อีกต่อไปเลย หมด มีแต่สงเคราะห์โลกที่อยู่ในความจำเป็นซึ่งจะต้องสงเคราะห์กัน เราก็สงเคราะห์กันไปอย่างงั้น

         สมบัติเงินทองนี้แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับเงินนะ ไม่ยุ่งเลย เหมือนว่าเด็ดขาดอยู่ตลอด แต่เมื่อเวลามีความจำเป็นเข้ามา ซึ่งเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการเงินเพื่อกันความรั่วไหลแตกซึม สุดท้ายเราก็เป็นเจ้าของเงินฝากในบัญชีเสียเอง เป็นแต่เพียงว่าไม่จับไม่ต้อง สั่งจ่ายๆ เราเป็นคนสั่งจ่าย เขียนเช็คเราเป็นคนเขียนเองๆ เพราะฉะนั้นเงินจึงปลอดภัยทุกบาททุกสตางค์ที่เราดูแล เราไม่ให้ใครทำแทนเราเลย เราทำแต่ผู้เดียว เพื่อกันความรั่วไหลแตกซึม เราจึงพูดได้เต็มปากว่าเราบริสุทธิ์เต็มที่ที่ช่วยพี่น้องชาวไทยเรา ไม่ว่าทองคำ ดอลลาร์ เงินบาท จ่ายมากน้อยเพียงไร มีเหตุผลเพียงพอเรียบร้อยแล้ว จ่ายๆ ๆ อย่างงั้น จะไปงุบๆ งิบๆ อย่างนี้เราไม่มี จึงเรียกว่าช่วยโลกโดยธรรม ด้วยความเมตตาล้วน ๆ

         ผลก็ได้มาอย่างนี้ ผลก็เกิดมาจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มีความรักชาติ และเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน เดินตามหัวหน้า เพราะเราแน่มาแล้วว่าเรื่องความเป็นหัวหน้าเราจะไม่มีอะไรผิด ฝืนความถูกต้องของธรรมไปเป็นความผิดเราจะไม่มีในหัวใจแล้วจะไม่มีในกิริยาอาการ เพราะเราแน่ในหัวใจเราทุกอย่าง ผิดตรงไหนเราจะไม่ฝืนเลย ถ้าตรงไหนจะผิดถอยทันทีๆ เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา ก็จะเริ่มเบาใจละที่นี่ พอมอบครั้งนี้แล้วก็จะเบาใจ เราก็จะพยายามเก็บหอมรอมริบไปอีกให้เต็ม ๑๐ ตัน แล้วดอลลาร์ ๑๐ ล้านแล้วก็เป็นอันว่ายุติ ประกาศก้องออกให้ทราบทั่วประเทศไทยเลย

         อุตส่าห์พยายามขนาดนั้นนะเวลานี้ หนักมากนะผม ตั้งแต่ได้ ๕-๖ ปีมานี้ เป็นระยะที่หนักมากที่สุดเลย การเทศนาว่าการนี่ทั่วประเทศไทย มิหนำซ้ำเดี๋ยวนี้เขายังออกทางอินเตอร์เน็ต เมืองนอกเขาฟังกันทั่วโลกเลยเดี๋ยวนี้เทศน์ของเรา ตอนเช้าเราเทศน์ในวัดก็ดี ในที่ไหนก็ดีเขาก็ออกทางอินเตอร์เน็ต ให้ได้เห็นได้ยินในขณะเดียวกันกับพวกเราฟังกัน อย่างนั้น กว้างขวางมากการเทศน์ตั้ง ๖ ปี เทศน์ไม่มีหยุดมีหย่อนเลย จึงว่าเหนื่อยมากๆ (หลวงตากล่าวถึงกำหนดการรับผ้าป่า) หนักมากคราวนี้

         บรรดาพระลูกพระหลานก็ให้พากันตั้งใจปฏิบัติให้ดี ให้เป็นที่อบอุ่นในตัวเอง ถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืนธรรมวินัยคือองค์ศาสดา แล้วเราจะมีความสงบร่มเย็น ยังไม่ได้มากเพียงศีลเท่านั้นก็อบอุ่นแล้ว จากนั้นก็ดำเนินทางจิตตภาวนาให้สมกับหน้าที่ของพระบวชมาเพื่อบำเพ็ญธรรมภาวนา แล้วจะได้เห็นสิ่งต่างๆ ขึ้นจากการภาวนาหาประมาณไม่ได้นะ ผมพูดนี้เอาตัวผมยันเลยเชียว ปริยัติผมก็เรียนมาดังท่านทั้งหลายทราบแล้ว แล้วทางปฏิบัติผมก็ได้ปฏิบัติเต็มสัดเต็มส่วน เต็มกำลังความสามารถ เพราะมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะรื้อถอนกิเลสออกจากใจโดยสิ้นเชิงในชาตินี้ การปฏิบัติตัวเองจึงผาดโผนโจนทะยานมากทีเดียว ความพากความเพียรเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย

         นี่ละเหตุเป็นยังไง ผลก็ตามมาอย่างนั้น มีความขยันหมั่นเพียร เด็ดเดี่ยว หรือผาดโผนขนาดไหนในการบำเพ็ญเหตุ ผลก็ตามมาๆ อย่างนั้น ผมจึงเชื่อเรื่องการบำเพ็ญ ขึ้นอยู่กับเหตุ ถ้าเหตุบำเพ็ญขนาดไหนผลจะค่อยแสดงออกมาๆ ตามนั้น นี่เราบำเพ็ญ จึงว่ามันไม่ใช่คุย คือเราเอาความจริงที่เราบำเพ็ญมาแล้วมาพูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง พูดนี้ไม่อยากมีใครเชื่อนะ ถึงขนาดนั้น แต่เราก็ทำเองแล้ว ใครเชื่อไม่เชื่อก็เราทำเอง เราเชื่อเราเองพอ นั่น เราไม่ได้เอาใครมาเป็นสักขีพยานเพื่อจะตัดคะแนนหรือเพิ่มคะแนนให้เรา เราไม่มี เราจะตัดเราเองคะแนน เพิ่มคะแนนของเราเองให้ประจักษ์กับใจของเรา

         เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญเพียรเพื่อละกิเลส การศึกษาเล่าเรียนท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน ไม่มีหนักมีเบาอะไร ธรรมดา ผมไม่ถือเป็นข้อสะดุดใจ แต่เวลาออกปฏิบัตินี่สำคัญมากนะ เพราะเรามีความมุ่งมั่นอยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว แม้แต่เรียนหนังสืออยู่ผมก็ไม่เคยละการภาวนา แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง อยู่ภายในจิตๆ ตลอดตั้งแต่เรียนหนังสือ พอจบจากการเรียนตามคำอธิษฐานแล้วก็ก้าวเดินทางด้านกรรมฐาน เข้าป่าเข้าเขา ได้หลวงปู่มั่นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นหลักชัยให้แล้วก็ฟังอย่างถึงใจ

         ทีนี้เวลาออกปฏิบัติด้วยความเชื่ออรรถเชื่อธรรมของท่านอย่างถึงใจ แล้วการปฏิบัติของเราก็แบบเดียวกัน ไม่มีคำว่าอ่อนข้อย่อหย่อน หนักมากการประกอบความพากเพียร สำหรับผมนิสัยวาสนาอาภัพ ทำอะไรนี้ทำธรรมดา ๆ มันไม่ค่อยได้ผล เราเคยทำทดลองดูทุกอย่าง เป็นธรรมดาๆ ทำตามเวล่ำเวลาอะไรไม่ค่อยได้ผล เพราะกิเลสมันไม่มีเวลา มันเป็น อกาลิโก มีอยู่ตลอดในหัวใจของสัตว์โลก เราจะไปหาเวล่ำเวลาประกอบความพากเพียรเพื่อแก้กิเลสนี้ไม่ทันกัน กิเลสเป็น อกาลิโก ธรรมก็เป็น อกาลิโก ฟัดกันเลย

         นั่นละถึงได้เห็นเหตุเห็นผลโดยลำดับลำดา เพราะความเพียรนี้จัดได้เลยว่าความเพียรกล้าไปตลอดสาย ประหนึ่งว่าติดคุกติดตะรางนี้ยังเบากว่าที่เราฟัดกับกิเลสได้รับความทุกข์ความทรมานในป่าในเขา อันนี้มีความทุกข์มากที่สุด แต่ทุกข์ด้วยความสมัครใจเรา ไม่ได้ทุกข์เพราะถูกคุมขัง หรืออำนาจเขามาบีบบังคับเหมือนคนติดคุกติดตะราง ถ้าหากว่าติดคุกติดตะราง ฆ่ากิเลสไปได้เช่นเดียวกันกับการบำเพ็ญเพียรของเรานี้แล้ว เราจะสมัครเป็นนักโทษทันที เพราะนักโทษไม่ได้หนักหนาอะไร กินข้าววันละสองมื้อหรือสามมื้อก็สบาย ทำการทำงานก็ไม่เห็นหนักหนาอะไร

         เหลาตอกจักตอกวันละสี่เส้นห้าเส้น เพื่อฆ่าเวล่ำเวลาให้สิ้นสุดลงไปตามกำหนดที่เขาบังคับว่าติดเท่านั้นปี เท่านี้เดือน จากนั้นเขาก็ออกจากคุกจากตะราง อย่างนั้นได้นะ  มันก็ผิดกันตั้งแต่ไม่มีใครยอมรับ ไม่มีคนนับถือ เหมือนว่าคนไร้ค่าไร้ราคา ไม่มีศักดิ์ศรีอันดีงามอะไรเลยในนักโทษ ก็มีเท่านั้น ถ้าหากว่าเราเข้าไปติดคุกติดตะราง กิเลสขาดลอยไปๆ เหมือนกันกับเราประกอบความพากเพียรด้วยความทุกข์ทรมานของเรานี้แล้ว เราจะไปสมัครเป็นนักโทษทันที มันไม่ได้หนักเป็นนักโทษ แต่เราทรมานเรานี้มันหนักมากกว่านั้น แต่มันเป็นได้ด้วยความสมัครใจพอใจ

         ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไป ขาดสะบั้นลงไป นั่งภาวนาท่านทั้งหลายฟังซิ ผมโกหกไหม ผมนั่งตลอดรุ่งๆ นี้ เก้าคืน สิบคืน เว้นคืนหนึ่ง สองคืน นั่งตลอดรุ่งทีหนึ่ง เว้นสองคืน สามคืน นั่งตลอดรุ่ง ๆ ทีแรกก้นเรานี้เหมือนเอาไฟเผา ออกร้อนทั้งวัน มันไม่แตก พอคืนที่สองซ้ำเข้าไปนี้มันก็พอง ก้นพอง ต่อจากนั้นไปแตก จากแตกแล้วเลอะ นั่นก้นแตกเลอะ นั่งภาวนาไม่มีหยุดเลย ตั้งคำสัตย์คำจริงเอาตายเท่านั้นเข้าว่าเลย เอาคำสัตย์คำจริงบีบบังคับ เราจะนั่งตั้งแต่บัดนี้ถึงตลอดรุ่งเป็นวันใหม่อย่างน้อยเราถึงจะออก ถ้าไม่ถึงเวลาแล้วเราจะไม่ยอมออก ตายก็ตายไปเลย จะได้เห็นเรื่องกับกิเลส ฟัดกิเลสตอนจนตรอกจนมุม ใครจะเก่ง ใครไม่เก่งจะให้รู้กันตอนนั้น

เรามีข้อยกเว้นตั้งแต่ครูบาอาจารย์ หรือพระเณรในวัดเกิดอุบัติเหตุในเวลานั้น เราจะออกจากที่นี้ไปช่วยเหตุการณ์อันนั้นเท่านั้น นอกจากนั้นไม่มีคำว่ายกเว้น จะปวดหนักเอาออกเลย จะปวดเบาออกเลย อะไรจะเป็นอะไรเป็นว่าไม่มีเป็นอุปสรรคต่อคำสัตย์คำจริงที่เราตั้งใจไว้ว่านั่งตลอดรุ่งนี้ได้เลย พุ่ง ๆ ความเพียร ความทุกข์ เอ้า ใครลองดูซิน่ะ ให้รู้ล่ะนั่งตลอดรุ่งนี้เป็นยังไง ตั้งแต่เริ่มมืดจนกระทั่งเป็นวันใหม่ขึ้นมา ๑๒ ชั่วโมง บางวันถึง ๑๓ ชั่วโมง ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย ไม่มีปวดหนักปวดเบา ไม่มีข้อแม้

มันจะหาทางออก เวลามันจะตาย เดี๋ยวปวดหนัก เดี๋ยวปวดเบา มันจะหาทางออก เราบังคับไว้หมดเลย มีตายเท่านั้นกับสว่าง สว่างเป็นวันใหม่แล้วเราจะลุก ถ้าไม่เป็นวันใหม่เราจะไม่ลุก นี่ละคำสัตย์คำจริงที่ได้มัดตัวเอง จึงได้เกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในเวลาจนตรอกจนมุม เวลาเรานั่งภาวนานี้ถ้าเป็นภาพพจน์แล้วก็เหมือนกับว่าเราที่นั่งอยู่นี่เป็นเหมือนหัวตอ ความทุกข์ทรมานทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเวลาเรานั่งนั้นน่ะ มันเหมือนกับเป็นเปลวไฟรอบตัวเรา เราเป็นซุง หรือว่าเป็นตอไม้ให้ไฟ คือความทุกข์ความทรมานทั้งหลายเผาอยู่ขนาดนั้น ไม่ยอมลุก เอา ๆ จะเป็นจะตายก็ให้มันเป็นมันตาย  ซัดกันเลย พิจารณาไม่ถอยนะ

เวลาความทุกข์มากเท่าไรนี้สติปัญญาจะหยุดอยู่ไม่ได้ ทนเอาเฉยๆ ไม่ได้ ต้องทนด้วยสติปัญญาฟัดกันกับความทุกข์ความทรมาน แยกธาตุแยกขันธ์ แยกหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อะไรเป็นทุกข์ อะไรเกิดขึ้นจากอะไรนี้ไล่กันไปไล่กันมา ว่าหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นทุกข์ เวลาตายแล้วหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก  มีอยู่เอาไปเผาไฟเขาว่าไง เขาไม่เห็นว่าอะไร นี้มันเป็นกับอะไรมันถึงได้เดือดร้อน ว่าร้อน ว่าทุกข์ว่ายาก มันเป็นกับอะไร ไล่เข้าหาจิต จิตเป็นตัวสำคัญมั่นหมาย

กายก็เป็นกาย ทุกข์ก็เป็นทุกข์ แล้วจิตก็เป็นจิต มันไปหมายอะไร ไปหาโทษเรื่องอะไร ตัวของมันเป็นโทษเต็มตัวมันไม่ดู นี่ว่าให้จิต หาดูตามหลักความจริง แยกไปแยกมา เวลาทุกข์มากเท่าไรนี้จิตจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะ จะต้องหมุนเป็นกงจักรไปเลย หมุนเป็นสติ หมุนเป็นปัญญา ฟัดกัน พอมันรอบของมันพิจารณาธาตุขันธ์ต่างๆ รู้ตามความเป็นจริงแล้วจิตมันก็พรึบเลย รวม นั่นเห็นไหมล่ะ บางครั้งรวม หรือดับหมดเลย เหลือแต่ความแปลกประหลาดหรือความอัศจรรย์สุดที่จะคิดอยู่ภายใน ร่างกายหายหมดเลย ไม่มีคำว่าทิศใต้ ทิศเหนือ ทิศไหนไม่มี เหลือแต่ความรู้อันเดียว ไม่มีอะไรมาเป็นสอง ว่างั้นเถอะ

นี่อัศจรรย์ไหม ธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เด่นๆ อันเดียว ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง นั้นละเป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ในเวลานั่งตลอดรุ่งนั้น แม้จิตจะยังไม่หลุดพ้นก็ตาม ความอัศจรรย์ขนาดไหนที่ปรากฏขึ้นกับจิตในเวลาเรานั่งภาวนาตลอดรุ่ง เห็นชัดเจนๆ เวลาลงอย่างงั้นแล้วทุกข์นี่หายหมดเลย ที่ไล่เบี้ยกันอยู่ด้วยสติปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ แยกทุกข์ แยกอะไรอยู่นั้น พอมันรอบตัวของมันแล้วจิตก็ลงปึ๋งเลย ร่างกายหายเงียบเลยไม่มี ทุกข์ทั้งหลายดับหมด เหลือแต่ความปรากฏ พูดได้แต่ว่าปรากฏ คือปรากฏเป็นความอัศจรรย์อันเดียวเท่านั้น จะมีสองเข้าไปแทรกไม่ได้ จึงบอกว่ามีแต่ความปรากฏ อะไรๆ ไม่มีเวลานั้น

นู่นจนกระทั่งมันได้เวลาของมันแล้วมันก็ยุบยิบๆ ถอยขึ้นมา พอถอยขึ้นมา ร่างกายตอนจิตถอนขึ้นมาใหม่ๆ มันไม่เป็นทุกข์นะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จิตจะลงนั้นมันเป็นทุกข์ ทุกข์แทบเป็นแทบตาย แต่คำสัตย์คำจริงนี้บีบบังคับไว้ เอาตายเป็นเกณฑ์เลย คำสัตย์บีบลงกระทั่งถึงตาย ทีนี้พอจิตถอนขึ้นมาร่างกายไม่ทุกข์นะ เงียบเลย พอนั่งเข้าไปพิจารณาเข้าไป สักเดี๋ยวร่างกายเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก เป็นทุกข์ขึ้นมาอีก พิจารณาอีกอย่างนั้นละ แต่เราจะไปเอาสัญญาอารมณ์ของความรู้ของเราที่พิจารณามาแล้วนั้น มาเป็นอารมณ์แก้กิเลส แก้ทุกข์ในเดี๋ยวนั้นไม่ได้นะ ต้องคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาใหม่ มันจะเป็นของเก่าก็ตาม ขอให้เกิดขึ้นปัจจุบันๆ เป็นธรรมทั้งนั้น ๆ พิจารณาลงอีก

บางคืนลงได้สามหนก็มี บางคืนลงได้แค่สองหนก็มี ลงได้นานได้ช้ามีต่างกันบ้าง แต่ลงถึงขั้นอัศจรรย์เหมือนกันหมด ถ้าลงถึงนั้นแล้วเงียบไปเลย มันมีอยู่อีกอันหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติได้พบได้เห็นจากการปฏิบัติของตน คือลงแบบดับไปหมดเลย นี่อันหนึ่งนะ อันหนึ่งนี้ลงไปถึงแดนอัศจรรย์นั้น แต่มันไม่ดับวูบนะ ลงๆ ๆ พอรู้แล้วมันหดตัวเข้ามาสู่แดนอัศจรรย์นั้น ร่างกายทุกส่วนยังมี ยังรู้สึกอยู่ ทุกข์จะมีอยู่ในร่างกายก็ตามแต่ทุกข์ในร่างกายกับจิตดวงนั้นไม่ประสานกัน ไม่ซึมซาบกัน นี่ประการหนึ่ง ถึงทุกข์จะเป็นขนาดไหนก็ไม่ทำจิตใจให้กำเริบเลย นี่ประการหนึ่ง

มันเป็นได้สองภาคสำหรับผมเองนะ ซึ่งไม่เคยเรียนจากผู้ใด เรียนโดยลำพังตนเอง เห็นขึ้นมาสองประเภท ก็พูดได้อย่างเต็มปากเพราะมันเกิดกับเรา เวลาลงผึงทีเดียวนั้นก็มี เวลารู้รอบหมดแล้วจิตหดเข้ามาลงที่อัศจรรย์ ร่างกายยังมีความรู้สึกอยู่ก็มี จะมีทุกข์มีอะไรบ้างนิดๆ หน่อยๆ มันไม่เป็นพิษเป็นภัยละถ้าลงจิตใจได้ลงถึงขั้นนั้นแล้วนะ นี่ก็มี แล้วการลงนี้มีช้ามีเร็วต่างกัน ถ้าวันไหนเราพิจารณารอบคอบ สติปัญญาของเราคล่องตัวๆ พิจารณาเรื่องทุกขเวทนาทั้งหลายนี้ลงได้อย่างรวดเร็วๆ จิตลง ๆ พอถอนขึ้นมาพิจารณาก็ลง วันเช่นนั้นร่างกายจะไม่บอบช้ำ พอลุกจากที่แล้วเดินไปเลย

แต่วันไหนที่บอบช้ำฟัดกันจนกระทั่งถึงเป็นถึงตาย เวลาจะออกจากที่นี้มันตายหมดแล้ว บั้นเอวลงไปนี้ตายหมดเลย ร่างกายดีแต่ส่วนนี้ขึ้นไป เวลาเราลุกนี่ล้มตูม ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น คืนแรกผมเป็นอย่างงั้น มันตายหมด ต้องปล่อยไว้นั้นก่อน จนกระทั่งแข้งขาของเราคู้เข้ามาดู เหยียดดู กระดิกนิ้ว ถ้ามันยังเฉยอยู่อย่าลุก ลุกก็ล้ม ต่อไปมันก็รู้วิธีปฏิบัติต่อกันเองระหว่างทุกขเวทนา ร่างกายของเราที่ขนาดตายไปแล้ว แล้วมันเป็นยังไงก็รู้เอง ต่อมาพอมันรู้เรื่องมันกระดิกพลิกแพลง คู้เข้าเหยียดออกได้แสดงว่าไปได้แล้วที่นี่ ไป

วันเช่นนั้นเป็นวันพิจารณาลำบากมาก ถ้าวันไหนพิจารณาได้เป็นความสะดวกลงผึงๆ พอถึงเวลาเท่ากันก็ตามนะ วันนั้นจะไม่บอบช้ำเลย ลุกจากที่ไปเลย ทำหน้าที่การงาน เดินจงกรมอะไรไปได้สะดวกสบาย ไม่บอบช้ำมากมายเหมือนวันไหนที่พิจารณากันยากๆ นี่ผมก็เคยทำมา จนกระทั่งก้นคืนแรกมันออกร้อน เป็นไฟเผาก้นเลย นั่งอยู่กลางวี่กลางวันออกร้อนจะเป็นจะตาย แล้วเว้นไปสักสองคืนหรือสามคืนนั่งอีก เอาอีกไปตลอดรุ่งๆ ทีนี้ทีแรกมันออกร้อนก้น ต่อมามันก็พอง คืนต่อไปมันก็พอง จากพองมันก็แตก

คืนต่อไปเรื่อย ๆ จากแตกมันก็เลอะ ก้นเลอะหมดเลย เอ้าเลอะก็เลอะ ถ้ากิเลสยังไม่แตกยังไม่ถอย นั่นเห็นไหมจิต ฟัดกันอย่างงั้น จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์มาหักห้าม หรือมากระตุกอย่างแรง เพราะเวลาขึ้นไปหาท่านนี่ โห มันอาจหาญมากนะ ความรู้เป็นภายในจิตใจ แต่ก่อนที่ไปหาท่านนี่เหมือนผ้าพับไว้ๆ กิริยาของลูกศิษย์ปฏิบัติต่อครูอาจารย์ ไม่ว่าท่านว่าเรามีความอ่อนนิ่มตลอด จิตเราเวลาได้นั่งตลอดรุ่งขึ้นมานี้มันเกิดความกล้าหาญชาญชัย ซึ่งเราไม่เคยเป็นมันเป็นขึ้นในเรา

พอขึ้นไปหาท่านกิริยาอาการก็ดี แต่คำพูดนั่นซิมันเหมือนแชมเปี้ยนสู้กัน มันมีอะไรฟาดขึ้นเต็มเหนี่ยว ๆ เพราะพลังของจิต พลังของธรรมที่มีอยู่ในใจ พูดอย่างอาจหาญชาญชัย พิจารณายังไง ๆ เล่าถวายท่าน พอท่านฟังแล้วในคืนแรก ท่านฟังนิ่ง คือท่านจะพิจารณาตามที่เราเล่าถวายท่าน ผิดถูกประการใดท่านจะได้เตือนเรา พอเล่าท่านจบแล้วก็หมอบฟังท่าน ท่านขึ้นทีแรกท่านยอ “เอ้อมันต้องอย่างนี้แหละ” ท่านว่างั้นเลย “เอาละที่นี่ได้หลักแล้ว เอาเลย อัตภาพร่างกายอันเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึงห้าหน มันตายหนเดียวเท่านั้น ทีนี้ได้หลักแล้ว เอาเลย” โอ๋ย เราก็เป็นหมาตัวหนึ่งเหมือนกันนะ ลงมาเห่าลมเห่าแล้งก็เห่า ใบไม้ร่วงก็เห่า มันกล้าหาญเช่นไรทั้งจะเห่า ทั้งจะกัด ฟัดอีก ๆ

เล่าความอัศจรรย์ให้ท่านฟัง ทุกคืนไม่มีพลาด ลงถึงความอัศจรรย์ จนกระทั่งตอนท้ายนี้ท่านไม่ค่อยพูดยกยออะไรนัก ท่านฟังนิ่งๆ ไป เราก็ยังไม่รู้ตัว ความรู้ของเรามันก็เด่นอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นบกพร่องที่ตรงไหน พอถึงวาระที่ท่านจะกระตุกหรือเหยียบเบรกให้เรา พอขึ้นไปหาท่าน กราบท่านเท่านั้น “กิเลสมันไม่ได้อยู่ในกายนะ มันอยู่ในใจนะ มันอยู่กับใจต่างหาก มันไม่ได้อยู่ในธาตุในขันธ์ มันไม่อยู่ในกายนะ” ท่านว่างั้น ถ้าธรรมดาเราแล้วจะหักโหมอะไรนักหนา ความหมายว่างั้น เมื่อจิตก็พอเป็นพอเป็นพอไปแล้วจะมาหักโหมอะไรนักหนา

แต่ท่านรู้นิสัยเราเป็นนิสัยผาดโผนเอาจริงเอาจัง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลยว่า กิเลสมันไม่อยู่กับกายนะ มันอยู่กับใจ ท่านก็ยกม้าที่มีในตำรานั้นแหละมาสอน มาบอกเรา “สารถีฝึกม้า ถ้าม้าตัวไหนมันผาดโผนมาก มันคึกมันคะนองมาก ผาดโผนมาก สารถีเขาจะต้องฝึกอย่างแรงทีเดียว ฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้มันกิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนักแน่นทีเดียว จนกว่าว่าม้านี่ค่อยลดพยศลงไป การฝึกอย่างนั้นเขาก็ค่อยลดลงตามส่วน จนกระทั่งว่าม้านี้ใช้ได้แล้ว ไม่มีพยศอดสูอะไร พอที่จะต้องฝึกอย่างนั้นแล้วเขาก็ใช้งานใช้การเป็นธรรมดาเท่านั้นแหละ

ท่านไม่ได้ย้อนมาหาเรา เรายังเสียดาย เพราะนิสัยเรามันหยาบ ท่านว่างั้นเราเข้าใจหมดแล้ว พอพูดอย่างงั้น เพราะมันมีแล้ว ในตำราก็มี เราก็เห็นมาแล้ว พูดเท่านั้นแหละเราก็เข้าใจ แต่เราที่ยังเสียดายอยู่อันหนึ่งว่า สารถีเขาฝึกม้าเขารู้จักประมาณ เขาฝึกเป็นอย่างนั้น แต่ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงมันถึงผาดโผนเอานักหนา แต่ก้นแตกไม่เคยเล่าถวายท่านนะ ก้นแตกไม่เคยเล่า เล่าตั้งแต่ความผาดโผนเวลาฝึกทรมานตัวเองให้ท่านฟัง เรายังเสียดายท่านไม่ย้อนกลับมาว่า ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงมันถึงไม่รู้จักประมาณ ความหมายก็ว่าอย่างงั้น

ทีนี้พอท่านว่าให้วันนั้นแล้วเราหยุดเลยนะนั่งตลอดรุ่งๆ ถ้าหากว่าท่านไม่มากระตุกนั้นมันยังจะเอาอีก ไม่ใช่เล่น ๆ นะ ก็เลยหยุดตั้งแต่บัดนั้น ไม่นั่งตลอดรุ่งอีกเลย นั่งเป็นเวลา ๙ คืน ๑๐ คืน เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง ตลอดรุ่งๆ นี่ละจับจิตได้ความอัศจรรย์ ได้ความแปลกประหลาดจากภาคปฏิบัติ เวลาที่เราฝึกทรมานอย่างเต็มเหนี่ยวเพราะกิเลสมันดื้อเราก็ใส่กันอย่างหนักอย่างที่ว่านี่แหละ จากนั้นมาจิตของเรามันก็แน่นหนามั่นคง แล้วเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกเลย จิตสงบแน่ว นั่นเห็นไหมผลแห่งการปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จิตใจมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ ๆ

จากนั้นก็ก้าวเข้าไปอีกถึงขั้นปัญญาที่ควรจะออกไม่ออก ติดสมาธิ มีความสงบเย็นใจทั้งวันทั้งคืน จิตใจอิ่มอารมณ์ ไม่อยากเห็นอยากได้ยิน รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างๆ แต่ก่อนมันทะเยอทะยานดีดดิ้น อยากคิด อยากปรุง อยากรู้ อยากเห็น เพราะกิเลสผลักดันออกไป มันเกิดความหิวโหย ทีนี้เวลาสมาธิมีขึ้นมาแล้ว ใจมีสมาธิเป็นอารมณ์ เรียกว่าเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ ใจเลยไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันสงบ มันก็เลยติดอยู่ความสงบ จนกลายเป็นติดสมาธิ

ท่านก็มากระตุกอีกตอนนี้ สมาธินี่ท่านฟาดเอาเสียจนหมูขึ้นเขียง ทีแรกท่านก็ถามเป็นยังไง ท่านมหาจิตใจสงบดีอยู่เหรอ สงบดีเราบอกตรงๆ อย่างนี้ กับท่านเราไม่ปิดบัง สงบดี ท่านถามเมื่อไร สงบดีอยู่ ท่านก็ถามไปเรื่อยๆ  เรายังไม่รู้นะท่านจะเขกเรา เราติดตรงไหนเราไม่รู้ตัว พอถึงขั้นที่จะเอาแล้วก็ เป็นยังไงท่านมหาจิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ เห็นไหมนั่น สมาธินี่มันเหมือนหมูขึ้นเขียง นั่นเอาแล้วนะ มันได้ความแยบคายที่ไหน มันก็มีแต่เป็นความสงบเย็นใจอยู่เพียงเท่านั้น ท่านว่างั้น ท่านก็ฟาดเราเรื่องสมาธินี้อีก ตีจากสมาธิให้ออกทางด้านปัญญา

มันสมควรแก่ปัญญาแล้ว เพราะจิตที่เป็นสมาธิขนาดนี้เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ ไม่ส่ายแส่หาอารมณ์ เราให้ใช้ปัญญาพิจารณาทางไหนมันก็ทำตามแล้วทีนี้ มันไม่หิวโหยอารมณ์พอจะแฉลบไปตามอารมณ์ซึ่งเป็นสัญญาต่อไปเสีย เป็นกิเลสทับตัวเอง แต่นี้มันสมควรแล้ว ท่านก็ลากออก ออกจากท่านมาแล้วทีนี้ออกทางด้านปัญญา นี่ฟังไว้นะพระลูกพระหลาน ภาคปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก เป็นพื้นเป็นฐาน เป็นมรรค ผล นิพพาน อยู่ตลอดเวลาสำหรับผู้ปฏิบัติ ไม่มีคำว่าครึ ว่าล้าสมัย มีแต่เรื่องกิเลสกล่อมใจของคนให้ไปลบล้างมรรค ผล นิพพาน ส่วนกิเลสที่อยู่ในหัวใจมันไม่ยอมให้ลบล้างมัน มันยิ่งพอกพูนขึ้นมา มากขึ้นมาโดยลำดับนะ

ทีนี้พอออกทางด้านปัญญามันก็รวดเร็ว เพราะจิตอิ่มอารมณ์แล้ว พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ อสุภะอสุภัง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ป่าช้าผีดิบ ป่าช้าผีสด แยกออกมาทีนี้มันก็ยิ่งรวดเร็วปัญญา เพราะจิตอิ่มอารมณ์แล้ว เอาละที่นี่ฟาดให้จิตหมุนติ้วๆ ในทางปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั่วแดนโลกธาตุประมวลเข้ามาหาตัวผู้หลงที่มันไปหลงเพลิน พิจารณาแล้วมันก็คลายของมันออกไปเรื่อยๆ จิตก็ออกทางด้านปัญญา ทีนี้เวลาออกทางด้านปัญญามันผิดกันกับสมาธิเป็นไหนๆ สมาธิสบายสงบเย็นดีอยู่เพียงขั้นนี้จะให้แยบคายยิ่งกว่านั้นไม่มี สมาธิเต็มภูมิ เต็มที่เลยสมาธิ จะให้เหนือนั้นไปอีกไม่ได้ สมาธิ เหมือนว่าน้ำเต็มโอ่ง สมาธิก็เต็มโอ่งของสมาธิ เราจะทำอะไรให้เป็นสมาธิยิ่งกว่านั้นอีกไม่มี เราเต็มภูมิ

พอท่านลากออกทางด้านปัญญามันถึงหมุนติ้ว เวลาพิจารณาทางด้านปัญญานี้ โอ้โห น่าอัศจรรย์นะ น่าแปลกประหลาด มีแต่เอ๊ะๆ ทำไมเป็นอย่างงี้ จิตมีแต่แปลกประหลาด มีแต่แยบคาย แล้วพิจารณาอะไรกระจัดกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ๆ หมุนติ้วเลยทางด้านปัญญา ต่อจากนั้นไปก็มีความชำนิชำนาญเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตัวไปเอง สติปัญญากลมกลืนเป็นอันเดียวกัน หมุนตัวตลอดเวลา แก้กิเลสไม่มีอิริยาบถ เว้นแต่หลับเท่านั้น ทีนี้หมุนตัวเป็นเกลียวไปอีกนะ ไม่หยุดไม่ถอย แล้วกลับมาบางคืนไม่ได้หลับเลย ความเพียรมันหมุนตัวของมันไปเองโดยอัตโนมัติ

มันดูดมันดื่มในการพิจารณา ฆ่ากิเลสได้เป็นลำดับๆ ยิ่งเพลินที่นี่ การหลับนอนบางคืนนอนไม่หลับ เพราะจิตมันไม่ยอมนอน เรานอนลงไปนี้จิตมันหมุนกันอยู่กับกิเลส ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของมัน กลางวันก็ยังไม่หลับอีกมันหมุนติ้ว อ้าว มันจะตายแล้วนะนี่ มันเป็นยังไง ว่าออกก็ออกเหนือเหตุเหนือผล จึงไปเล่าถวายท่าน “ว่าพ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้ออกแล้วนะ” ว่างี้ “มันออกยังไงว่ามาซิ” “ก็มันหมุนตัวอยู่ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน สุดท้ายนอนไม่หลับก็มีบางคืน” “นั่นละมันหลงสังขาร” เห็นไหมล่ะท่านว่ามันหลงสังขาร

คือสังขารที่เป็นมรรคเรามาพิจารณาเป็นด้านปัญญา เมื่อเลยเถิดออกไปแล้วสังขารจะแทรกด้วยสมุทัย นี่เราก็ไม่ลืม ทีนี้เวลามันจะเป็นจะตายจริงๆ ย้อนจิตเข้ามาสู่สมาธิ สมาธิก็แน่วเลย ทีนี้บังคับนะสมาธิ ทำไมถึงบังคับ เหมือนว่าไม่เคยมีสมาธิมาก่อนเลยเพราะมันเพลินทางด้านปัญญามาก ซึ่งมีผลมากกว่าสมาธิเป็นไหนๆ เวลาย้อนเข้ามาสู่สมาธินี้มันจะเพลินฟัดกับกิเลสตลอดไป ด้วยอัตโนมัติของสติปัญญานั่นแหละ จึงต้องได้หักห้ามกันอย่างหนัก สุดท้ายก็บริกรรมพุทโธเลย ให้สติกับจิตนี้อยู่อันเดียวกัน ไม่ให้ออกไปทางด้านปัญญา จนกระทั่งนึกพุทโธ เอาพุทโธมาเป็นคำบริกรรม ทั้งๆ ที่จิตมันจ้าๆ ด้วยปัญญาแล้วนะ มันไม่ได้สนใจกับสมาธิ มันหาว่าสมาธินี้นอนอยู่เหมือนหมูขึ้นเขียงไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ปัญญาต่างหากเกิดประโยชน์ ปัญญาต่างหากมีความรู้ที่ละเอียดลออ มันถึงนู้นแล้วก็มาตำหนิสมาธิ

เพราะฉะนั้นมันจึงไม่อยากเข้าสมาธิ มันไม่ได้เพลินเหมือนปัญญา แต่ครั้นแล้วมันจะตายจริงๆ ก็ถอยเข้ามาสู่สมาธิ บังคับไว้เลย พอบังคับไว้แล้วพุทโธๆ ถี่ยิบเลยนะ นั่นละเหมือนเรียน ก.ไก่ ก.กาใหม่นะ พอบังคับเข้ามาจิตก็สงบเข้าๆ แน่วลงสมาธิ ก็มันมีอยู่เป็นพื้นฐานมาแล้วได้ ๕ ปีแล้วว่าไง แต่เวลามันเพลินกับปัญญามันไม่สนใจกับสมาธิต่างหาก จึงเหมือนกับว่าสมาธิไม่มี ทีนี้พอย้อนเข้ามาหาสมาธิต้องถูกบังคับเพราะกำลังของสติปัญญามีมากกว่า เกินกว่าที่จะมาพักในสมาธิ แต่เวลามันจะตายจริงๆ ก็ต้องพัก เหมือนเราพักงานของเรา ทำอะไรก็ตาม เห็นว่ามีรายได้ๆ โดยไม่คำนึงถึงกำลังวังชาของเจ้าของมันก็ไปไม่รอดคนเรา

ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาสมาธิ จิตแน่วลงไปเลย สงบแน่ว เป็นสมาธิเหมือนเราเคยพิจารณา ทีนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ ความทุกข์ความลำบากลำบนที่เกี่ยวกับการพิจารณาทางด้านปัญญา สงบตัวลงไปในองค์สมาธินี้ สงบแน่วเลย ปล่อยให้มันอยู่นั้น บังคับไม่ให้ออก ถ้าเรารามือนิดหน่อยมันจะผึงออกทางด้านปัญญา เพราะอันนั้นมีกำลังมากกว่า จึงต้องบังคับในสมาธิให้อยู่ในนั้น จนกระทั่งจิตใจมีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่า รู้ชัดเจนในเจ้าของว่ามีกำลังเต็มที่แล้วทีนี้จิต พอถอยออกนั้นมันก็ใส่กับกิเลสเลยที่นี่ปัญญา ตูมๆ เลย ไม่มีถอย

ทีนี้มันก็เห็นชัดเจน ที่เราพิจารณานี้เหมือนมีดที่เราไม่ได้ลับหิน มันก็ไม่คมเต็มที่ของมัน แต่เวลามาพักสมาธิแล้ว ออกไปคราวนี้เหมือนว่ามีดได้ลับหิน เจ้าของก็ได้พักผ่อนนอนหลับ มีกำลังวังชาแล้ว กิเลสตัวนั้น มีดอันนั้น เราคนเก่าแหละฟาดนี้ขาดสะบั้น ๆ นั่นเป็นอย่างงั้นนะพิจารณา นี่จิตเมื่อเข้าถึงขั้นอัตโนมัติแล้วเป็นอย่างงั้น ในภาคปฏิบัติผมเป็นในหัวใจของผมเอง พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่เป็นกับเราเราก็ไม่รู้ ทีนี้เวลามันหนักเข้า ๆ มันจะตายจริง ๆ หักกลับมาพักสมาธิเสียก่อน

พอมันได้กำลังแล้วออกๆ ทีนี้สติปัญญานี้เวลาเชื่อมกันเข้าไป ก้าวเข้าถึงมหาสติ-มหาปัญญาละเอียดลออ ซึมซาบไปหมด กับกิเลสทั้งหลายโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ขาดสะบั้นๆ ไปเลย นี่เห็นไหมสติปัญญาฆ่ากิเลส เมื่อมีกำลังจากการอบรมแล้ว จะเห็นชัดเจนกับผู้ปฏิบัตินั้นแล เอ้า กิเลสตัวไหนจะละเอียดขนาดไหน ไม่มีที่จะพ้นจากสติปัญญา และมหาสติ-มหาปัญญาไปได้เลย เป็นอันว่าขาดสะบั้น ๆ ทีนี้สุดท้ายความที่จะหลุดพ้นจากทุกข์เหมือนนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ความทุกข์ทั้งหลายที่พิจารณามาแล้วนี้ทุกข์แสนสาหัส

         ทีนี้คุณค่าแห่งการที่จะเปลื้องตนออกจากทุกข์นี้ก็มีคุณค่ามาก เพราะฉะนั้นความเพียรจึงไม่หยุดไม่ถอย ลืมหลับลืมนอนเพื่ออยากพ้นจากทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง นั่น แล้วก็ทำๆ สุดท้ายก็ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจเสีย ไม่มีอะไรเลย จิตว่างเปล่าไปหมด ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรเข้ามาแฝงจิตแม้นิดหนึ่ง เพราะสิ่งที่แฝงจิตก็คือสมมุติ ก็คือกิเลส เมื่อกิเลสพังลงไปจากใจแล้วหมดสภาพโดยประการทั้งปวง จากนั้นมาก็ไม่มีเรื่องอะไร นั่นละที่นี่จิตว่าง ดังที่ท่านสอนไว้แก่พระโมฆราช ว่า

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ      โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ            เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ            มจฺจุราชา ปสฺสติ.

ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ที่สำคัญว่าเราว่าเขาเป็นต้น เสียได้ จะข้ามพ้นพญามัจจุราชไปได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ นั่น มันเข้าในนั้นเลย พอท่านสอนให้พิจารณาว่าง จิตของเราเมื่อมันเป็นอย่างงั้นมันก็ว่างแบบเดียวกัน ไม่มีอะไรจะว่ามาเป็นตน เป็นตัว เป็นเรา เป็นเขาอีกเลย มีตั้งแต่ธรรมชาติที่เสร็จสิ้นมาแล้วโดยสมบูรณ์ ๆ คือเป็นธรรมธาตุภายในใจ ขาดสะบั้นไปจากสมมุติทั้งหลายโดยประการทั้งปวง นั่นแหละจึงเรียกขาดทุกข์

ทุกข์ไม่มี ในจิตผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่มีทุกข์ภายในใจ มีตั้งแต่ทุกข์ประจำธาตุขันธ์ เจ็บ ไข้ ปวดศีรษะอย่างนี้ ปวดหัวตัวร้อน มันก็มีเหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไป เพราะขันธ์ของเราเป็นสมมุติด้วยกัน แต่ส่วนจิตที่เป็นวิมุตติหลุดพ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรเข้าไปแตะต้องได้เลย ท่านจึงไม่มีทุกข์ตั้งแต่วันท่านบรรลุธรรม ความพ้นทุกข์ไปแล้ว พระอรหันต์จึงไม่มีทุกข์ภายในใจตลอดวันนิพพาน นี่การปฏิบัติอรรถธรรมพูดให้พระลูกพระหลานได้ฟัง ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

พื้นเพของธรรมก็คือตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน ขอให้ปฏิบัติ ไม่ครึไม่ล้าสมัย เหล่านี้เป็นกิเลสมาหลอกผู้ปฏิบัติธรรมเป็นครึคนล้าสมัย ที่วิ่งตามกิเลสนั้นมันล้ำสมัยนะ มันทันยุคทันสมัย ล้ำสมัย เพราะฉะนั้นจึงมีแต่ตายกองกันมนุษย์เรา ผู้ที่ปฏิบัติอรรถธรรมนี้กิเลสมันจะว่าว่าครึว่าล้าสมัยก็ตาม อันนี้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก แต่กิเลสพาสัตว์โลกให้ตายกองกันอยู่ไม่มีหยุดมีถอย ใครเชื่อกิเลสจะตายกองกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าใครเชื่อธรรมแล้วจะผ่านพ้นไปได้ อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารจะไม่มาจากกิเลส จะมาจากธรรม เราปฏิบัติบำรุงศีลธรรมมากน้อยเพียงไร ธรรมนี้แหละจะเป็นเครื่องพยุงเราให้หลุดพ้น กิเลสไม่มีทาง มีแต่ฉุดลากสัตว์โลกลงให้จมดิ่ง ๆ เท่านั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ

เวลานี้พระเณรเรากำลังเหลวแหลกแหวกแนวทั่วสังฆมณฑล ไม่ตำหนิท่านตำหนิเรา โลเลโลกเลกไปหมด เพราะเรียนก็เรียนด้วยกัน ปฏิบัติมาด้วยกัน มันก็รู้ซิ ใครผิดใครถูกประการใด เวลานี้กำลังเหลวแหลกแหวกแนว พระเราเลยกลายเป็นผู้ทำลายศาสนา ก่อกวนศาสนา ก่อกวนประชาชนเข้าไป ในวงของพระหัวโล้นๆ นี่แหละ มันน่าทุเรศขนาดไหน ทั้งๆ ที่เรียนหลักธรรมหลักวินัยมาด้วยกัน ทำไมตามันบอดหรือมันถึงไม่ได้ดูหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้

ท่านผู้ปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นมีเรื่องมีราวอะไร ท่านอยู่ด้วยความสงบเย็นใจ พูดคำใดออกมาเป็นอรรถเป็นธรรม สอนโลกเป็นประโยชน์ แต่เรานี้มีแต่ความดีดความดิ้น อยากร่ำอยากรวย โลภมาก อยากมีชื่อมีเสียง กิตติศัพท์ กิตติคุณ เป็นบ้าแล้วได้วิเศษวิโสอะไร ตั้งแต่ตัวเองก็เป็นไฟเผาไหม้อยู่ในหัวใจ ประหนึ่งว่าเป็นหมาขี้เรื้อน เกาอยู่ทั้งวันทั้งคืน กวนนั้นเกานี้ ๆ เลยศาสนาเป็นเครื่องกวนกัน ทำลายกันเสียเองจากพระจากเณรของเราที่เหลวแหลกแหวกแนวนี้ละ

ขอให้พระลูกพระหลานได้ตั้งจิตตั้งใจปฏิบัติ เวลานี้ศาสนาก็เป็นข้าศึกอันหนึ่ง พวกเดียวกันก่อกวนกัน ตั้งข้อนั้นขึ้นมา ตั้งข้อนี้ขึ้นมา ข้อไหนไม่เห็นมีในธรรมวินัย มีแต่กาฝากของศาสนาที่จะไปเหยียบย่ำทำลายศาสนาทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสอนไว้เรียบร้อยแล้วสมบูรณ์แบบ ผู้ใดปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าผู้นั้นจะสงบร่มเย็นมากที่สุด นอกจากนั้นแล้วก็มีแต่ก่อกวนอย่างที่เห็นนี้แหละ เอาละวันนี้เทศน์พอสมควรเสีย พากันเข้าใจไปปฏิบัตินะ นี่เราเปิดอกให้ฟังเสียวันนี้ ให้ฟังอย่างเต็มที่ มรรค ผล นิพพานมีหรือไม่มี (ได้ประโยชน์มากครับผม) พอใจ ๆ เทศน์อบรมต้อนรับพระลูกพระหลาน ให้พร ๆ

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก