สำคัญที่จิตดวงเดียว
วันที่ 23 ธันวาคม 2546 เวลา 17:00 น.
สถานที่ : บริเวณลานพระศรีมหาโพธิ์ พุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ

ทรงเสด็จเป็นองค์ประธานบำเพ็ญพระราชกุศล

แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ

ณ บริเวณลานพระศรีมหาโพธิ์ ถนนพุทธมณฑล สาย ๔ จ.นครปฐม

เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ เวลา ๑๗.๐๐ น.

“สำคัญที่จิตดวงเดียว”

       

        วันนี้เป็นวันมหามงคลอันยิ่งใหญ่แก่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายเรา โดยมีฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ เสด็จมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นประธานแก่เราทั้งหลายในวันนี้ ซึ่งควรจะเป็นคติตัวอย่างได้เป็นอย่างดี ที่ผู้ใหญ่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรในธรรมอันเลิศเลอ จากพระพุทธศาสนาของเรา ควรจะได้เป็นคติตัวอย่างนำไปปฏิบัติแก่ตนและครอบครัว สังคมต่าง ๆ ในนามเราเป็นชาวพุทธ จะมีสภาพดีขึ้นเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่รายบุคคลไปถึงส่วนรวม ถ้ามีธรรมประจำใจแล้วจะสวยงามไปหมด

        วันนี้ก็เป็นวันโอกาสวาสนาอำนวยที่สุด ที่เราทั้งหลายได้มาอบรมจิตใจ ซึ่งนานๆ จะได้มีสักครั้งหนึ่งๆ นอกจากนั้นก็มีตั้งแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่มีเว้นแต่ละวัน มืดกับแจ้งไม่มีความหมายอะไร ความคิด ความยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้มีตลอดได้ทั้งวันทั้งคืน เว้นแต่หลับเท่านั้น มิหนำซ้ำการหลับด้วยความกังวลวุ่นวายในเรื่องทั้งหลายก็ทำให้เกิดความละเมอเพ้อฝันไปต่างๆ นานา เพราะจิตไม่ได้รับการอบรม มีแต่ความส่ายแส่ตลอดเวลา

        เมื่อมีธรรมเข้าเป็นเครื่องอบรมจิตใจก็เท่ากับมีเบรกห้ามล้อ มีคันเร่งที่เหมาะสม ก้าวเดินตามอรรถตามธรรม แม้จะในหน้าที่การงานทั้งหลายก็ควรจะมีอรรถมีธรรมเข้าแทรกอยู่เสมอ ไม่ควรปล่อยให้สิ่งที่เป็นข้าศึก ในพุทธศาสนาท่านให้นามว่ากิเลส กิเลสคือความมัวหมองมืดตื้อภายในจิตใจ จึงมักจะเป็นไปตามอารมณ์ โดยปราศจากเหตุผลเสียมากต่อมาก เพราะสิ่งที่มืดที่มัวทั้งหลายอยู่ภายในใจนั้น ไม่ยังบุคคลใดให้เกิดความสว่างไสวพอจะได้เล็งเห็นเหตุเห็นผล แล้วปฏิบัติตนตามเหตุผลนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมพอจะให้เกิดความสงบร่มเย็น และหน้าที่การงานนั้นๆ ก็เป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงาม ถ้ามีธรรมเข้าแทรกแล้วเป็นอย่างนั้น

        อันใดที่ผิด อันใดที่ถูก ธรรมจะชี้บอกอยู่เสมอ ถ้าเรามีความรักใคร่ใฝ่ธรรม ทำอะไรธรรมจะมีอยู่ภายในจิตใจตลอดเวลา เฉพาะอย่างยิ่งการภาวนา ซึ่งเป็นรากเหง้าเค้ามูลของพระพุทธศาสนา ส่วนทาน-ศีลเหล่านั้นเป็นกิ่งก้านสาขาของพระพุทธศาสนา ได้แก่จิตตภาวนาเป็นรากแก้วสำคัญ ผู้มีจิตตภาวนาจะเป็นผู้เห็นโทษเห็นภัย เห็นความผิดถูกชั่วดี ประจำใจของตน เพียงแสดงออกเท่านั้นก็เริ่มทราบแล้วว่าคิดผิด คิดถูก ดี ชั่ว ประการใด ธรรมควรจะเป็นเบรกห้ามล้อจะห้ามขึ้นทันทีภายในใจ คือสะกิด หรือเตือนตัวเองอยู่ภายในใจ ให้รู้ว่าสิ่งที่ควรหรือไม่ควร

        เรื่องของธรรมจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าที่เลิศเลอได้ก็เพราะธรรม ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเลิศเลอทันที แต่ก่อนท่านไม่ได้เลิศเลอ เหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่พอบำเพ็ญก้าวเข้าถึงความตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเลิศเลอไปตามๆ กันหมด พระธรรมภายในพระจิตของท่านก็เลิศเลอ  ความรู้ ความเห็น ความเป็นต่างๆ ออกจากพระจิตที่บริสุทธิ์นี้เลิศเลอและแม่นยำตามๆ กันหมด นี้คือธรรม ไม่ผิดพลาด ไม่หลอกลวง สัตว์โลกทั้งหลายจึงควรยึดถือไว้เป็นหลักใจ สำหรับเราทั้งหลายเป็นชาวพุทธ

        อย่าได้ดิ้นรนไปตามกิเลส ซึ่งมันคล่องตัวอยู่แล้วในการที่จะจับไสสัตว์โลกให้ไปตามความต้องการของตน สัตว์โลกก็เป็นสัตว์โลกที่มืดบอด กิเลสครองหัวใจแล้วก็วิ่งตามมันไปได้อย่างง่ายดาย แต่ธรรมในเบื้องต้นย่อมขัดๆ ข้องๆ เพราะยังไม่มีกำลัง กิเลสมักจะแซงหน้าอยู่เสมอๆ คือความผิดพลาดตามอารมณ์ของกิเลสนั้นแหละ ทำให้ผิดพลาดไปเรื่อยๆ ธรรมยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นจึงต้องอบรมจิตนี้ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ มหาเหตุ มหาผล อยู่ที่ใจ เพราะกิเลสกับธรรมเกิดที่ใจ อยู่ที่ใจ แสดงออกจากใจทั้งกิเลสและธรรม ตามแต่ทางใดจะมีกำลังมากน้อยต่างกัน

        ในเบื้องต้นที่เราเริ่มฝึกหัดกิเลสมักจะแซงหน้าธรรมเสมอไป ธรรมเวลาออกทีไรถูกกิเลสตีต้อนเข้ามา กิเลสเหยียบย่ำธรรมไปโดยลำดับลำดา นี่ในเบื้องต้นของผู้ฝึกหัดจิตใจให้มีความเชื่อง ความเฉลียวฉลาด สงบร่มเย็น ย่อมฝ่าฝืนต่อข้าศึกคือกิเลส ซึ่งชอบจะต้านทานในการสร้างความดีของเราเสมอ เวลาจะทำความดิบความดีนี้จะมีกิเลสมาสร้างขวากสร้างหนาม สร้างฟืนสร้างไฟ ก่อกำแพงปิดกั้นทางเดินเพื่อความเป็นอรรถเป็นธรรม เพื่อคุณงามความดีของเราเสมอไป

        เพราะฉะนั้นเวลาจะสร้างคุณงามความดีจึงมักจะบ่นกันว่า การทำบุญให้ทานนี้ยาก แต่การวิ่งตามกิเลสไม่ได้พูดกันก็ตาม แต่ง่าย รื่นไปโดยลำดับ เพราะมันคล่องตัวมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วบนหัวใจสัตว์โลก ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีธรรมเข้าคัดค้านต้านทาน ดังเราทั้งหลายได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นศาสดาองค์เอก เอกทุกสิ่งทุกอย่าง การให้ทานก็ไม่มีใครเกินพระศาสดา รักษาศีล บำเพ็ญธรรมไม่มีใครเกินศาสดา อุตส่าห์ฝ่าฟันอุปสรรคคือกิเลสตัณหาต่างๆ มาจนกระทั่งได้ตรัสรู้ นี้เป็นตัวอย่างอันดีของพวกเรา

        เราจะสร้างความดีตามเสด็จพระพุทธเจ้าจำต้องได้ฝ่าอุปสรรค คือสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย คือกิเลสที่มันอยู่ในใจของเรานั้นแหละออกมาสกัดลัดต้อน ไม่ให้เราสร้างคุณงามความดี ยิ่งการภาวนาด้วยแล้ว ยิ่งเหมือนกับจะถูกจับไปประหารชีวิตทั้งเป็นนั้นเลย เป็นความฝืดเคือง ความไม่พอใจอย่างมากทีเดียวสำหรับผู้ยังไม่เคยภาวนา การให้ทาน รักษาศีล พอเป็นไปได้ทุกแห่งทุกหนทั่วประเทศไทย อันนี้เป็นการทำง่ายกว่ากัน โลกทั้งหลายทำได้ง่าย แม้เช่นนั้นความตระหนี่ถี่เหนียวมันก็แทรกเข้าไป บางรายถึงกับทำบุญให้ทานไม่ได้เลย เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวมีกำลังมากกว่า มีเท่าไรก็กว้านมาเข้าพุงกิเลสเสียทั้งหมดๆ เราจะแบ่งสันปันส่วนไปทำบุญให้ทานเพื่อคุณงามความดี เพื่อมรรคเพื่อผล กิเลสมันเห็นว่าจะเล็ดลอดออกจากอำนาจของมัน เพราะมันเคยครองโลกธาตุมานี้อย่างช่ำชองและเป็นเวลานาน มันจึงกั้นกางหวงห้ามการสร้างความดีของเรา

ทีนี้เราก็เป็นผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรม เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญเป็นตัวอย่างมาเป็นอย่างดีแล้ว เราก็อุตส่าห์พยายามฝืนมัน ไม่อยากให้ทานเราให้ทาน พระพุทธเจ้าพาให้ทาน พระพุทธเจ้าไม่ได้พาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นศาสดาองค์เอก เพราะการให้ทาน ไม่ใช่เพราะการตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัว ดังกิเลสเสี้ยมสอน ยึดไว้ในใจของเราทุกคนจนแกะไม่ออก นี่กิเลสเป็นอย่างนี้ เราต้องการความดี เราต้องฝ่าฝืน การให้ทาน สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยก็เป็นสมบัติของเรา มีความรักความสงวนด้วยกัน แต่เมื่อเชื่อธรรมแล้วเรานำสิ่งเหล่านี้ไปบำเพ็ญทานได้อย่างผาสุกเย็นใจ รื่นเริงบันเทิงภายในใจ ความดีเหล่านี้ก็สนับสนุนเรา ในภพนี้ ชาตินี้ และชาติหน้าต่อไปเป็นลำดับ

        ทั้งสองอย่างคือการให้ทาน การรักษาศีลเหล่านี้ทำยาก แต่ไม่ยากเหมือนการบำเพ็ญภาวนา ดังพระพุทธเจ้าของเรา การบำเพ็ญภาวนาเพื่อความเป็นศาสดานี้ ได้รับความทุกข์ความทรมานอยู่ถึงหกปี จึงได้ผ่านพ้นอุปสรรคคือกิเลสตัณหา วัฏสงสารภายในใจออกได้โดยสิ้นเชิง ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า สอนธรรมแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายด้วยความถูกต้องแม่นยำ นี่ละตัวอย่างของพวกเราทั้งหลาย คือศาสดาองค์เอกท่านลำบากลำบนเหมือนกัน ไม่ใช่คอยล้างมือเปิบๆ เอาเฉยๆ ตามความคาดคิดของเรา ต้องได้อุตส่าห์พยายาม

        การให้ทาน เรารัก เราสงวน เราก็ดึงออกให้ทาน แบ่งกินแบ่งทานสำหรับธาตุขันธ์ที่ครองตัวอยู่นี้ก็มีความจำเป็นอันหนึ่ง ที่เราจะต้องอาศัยกันไปกับวัตถุต่างๆ เช่น ที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัยเงินทองต่างๆ เพื่อธาตุเพื่อขันธ์ของเรา เราก็แบ่งเอาไว้ให้พอดิบพอดี แล้วก็แยกออก อันนี้เป็นส่วนธาตุขันธ์ สำหรับบำรุงเราให้มีความเป็นอยู่ เหมือนโลกทั่วๆ ไป ส่วนนี้เป็นวัตถุสำคัญที่เราจะนำไปให้ทาน เราแยกออกไปให้ทาน เพื่อสมบัติอันล้นค่าเข้าครองใจ

        ใจที่มีสมบัติอันล้นค่า คือบุญคือกุศลเข้าครองแล้ว ใจจะมีความยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน วันนี้ก็เบิกบาน ชาตินี้ก็เบิกบาน ชาติหน้าก็เบิกบาน ไปที่ไหนโล่งไปหมด สำหรับผู้มีบุญประจำจิตใจ เพราะใจนี้เป็นนักท่องเที่ยว เป็นผู้สมบุกสมบันมากที่สุด ไม่มีอะไรเกินใจ ใจนี้หนักมากที่สุด แต่โลกมองไม่ค่อยเห็น เห็นตั้งแต่อัตภาพร่างกายเจ็บไข้ปวดศีรษะเพียงเล็กน้อยก็บ่นอื้อๆ กันทั่วโลกดินแดน แต่จิตใจได้รับความบีบคั้นจากกิเลสโดยประเภทต่างๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งถึงหลับมาโดยตลอด ไม่ค่อยได้คำนึงถึงเหตุผลของมันบ้างเลย นี่จึงเป็นการเสียเปรียบกิเลสตลอดมา

        ทีนี้เราทำบุญให้ทานเราทำตามทางของศาสดา ถึงจะยากลำบากเราก็ให้ทาน รักษาศีลก็คือรักษาตัวของเรา รักษาใจของเรา กลัวจะไปตกทุกข์ได้ยากลำบากเพราะการทำความชั่วช้าลามกใส่ตน เนื่องจากทำลายศีล เรารักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์เต็มตัวของเราก็ชื่อว่าเราเป็นผู้มีบุญเต็มตัว จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่การภาวนา การภาวนานี้สำคัญมาก เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้เพราะการภาวนา ทรงเจริญอานาปานสติ ในคืนวันเดือนหกเพ็ญ ได้ตรัสรู้ขึ้นในคืนวันนั้นจากการภาวนา นี่ละเป็นของสำคัญ

        และพระสาวกทั้งหลาย เมื่อได้รับพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วด้วยจิตตภาวนา พากันเจริญตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นสาวกๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นรัตนะที่เลิศเลอทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพี่น้องที่เป็นชาวพุทธทั้งหลาย ขออย่าได้มองข้ามจิตใจ ซึ่งเป็นตัวลำบากลำบนเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลา เพราะความทุกข์ร้อน ไม่มีบุญมีกุศล มีธรรมเข้าครองใจ มีแต่กิเลสเข้ามาบีบบี้สีไฟทั้งวัน ทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ทั้งภพนี้และภพหน้า ภพไหนๆ ก็มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย จิตใจจึงเป็นความทุกข์ ความลำบากมากที่สุด ยิ่งกว่าส่วนร่างกาย

        ร่างกายไม่ได้มากนะ แต่โลกมามองเห็นตั้งแต่ร่างกาย จามฟิก ๆ นี้ก็เป็นทุกข์มากแล้ว วิ่งหาหมอ มิฉะนั้นก็ไปเชิญหมอเข้ามา เห็นเป็นความทุกข์ยากลำบาก แต่ความทุกข์เพราะกิเลส คือความโลภมาก ความโกรธ ความฉุนเฉียว ราคะตัณหา ความได้ไม่พอ กินไม่อิ่ม เหยียบย่ำทำลายจิตใจตลอดเวลาไม่ค่อยคิดกัน นี่ละเรื่องใจจึงได้รับความทุกข์ เพราะทำผิดพลาดจากธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านสอนไม่ให้โลภ และพยายามละความโลภเป็นลำดับลำดา แต่เราสั่งสมความโลภขึ้นมาแข่งพระพุทธเจ้า ความโกรธพระพุทธเจ้าก็สอนให้ละ ให้เบาบางลงไป เราก็เลยกลายเป็นตัวโกรธเสียทั้งคนตลอดเวลาไปก็มี

        ราคะตัณหาท่านก็สอนให้มีความมักน้อย อย่าดิ้นรนกระวนกระวายแบบกินไม่อิ่ม กินไม่พอ  มีเมียหนึ่ง สองเมีย ไม่แล้ว สามเมีย สี่เมียเข้าไป ผู้ชายก็ตัวเก่ง ต่างคนต่างดีดต่างดิ้นหาฟืนหาไฟมาเผาตัวเอง โดยการแข่งพระพุทธเจ้าอย่างนี้ แล้วพระพุทธเจ้าเป็นบรมสุข สำหรับเราทั้งหลายเป็นมหันตทุกข์ เพราะการข้ามเกินธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เหล่านี้เราเป็นชาวพุทธ พี่น้องทั้งหลายควรจะรักใคร่ใกล้ชิดกับธรรมเหล่านี้ให้ดี เราจะเป็นที่ปลอดภัย ภายในใจของเราก็ร่มเย็นเป็นสุข

        ตะกี้นี้ก็ได้พูดถึงเครื่องอาศัย ร่างกายของสัตว์โลกนั้นย่อมมีความเป็นอยู่กับอาหารการบริโภค ที่อยู่ที่อาศัย โลกนี้เป็นอย่างนี้ แม้ตั้งแต่สัตว์เขาก็หาอยู่หากิน หาที่หลับที่นอน มีรวงมีรัง มีที่อาศัย มนุษย์ก็จำเป็นอย่างนั้นจึงต้องได้เสาะแสวงหา ทีนี้ส่วนจิตใจ สัตว์เช่นสัตว์เดรัจฉานเขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติรักษากันประเภทใดบ้าง นี่เขาไม่รู้ ส่วนมนุษย์เรารู้ เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเรารู้จักดีจักชั่ว รู้จักบุญจักบาป จึงควรจะรู้จักผิด ถูก ชั่ว ดี ภายในจิตใจของตน ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งบุญและบาปทั้งหลาย

        ส่วนมากถ้าผู้ไม่ได้รับการอบรมจะมีแต่การสร้างบาปเสียมากต่อมาก วันนี้ก็สร้าง วันหน้าก็สร้าง จนกระทั่งถึงวันตายจะได้บาปมากขนาดไหน เอาอะไรมาบรรทุกก็ไม่หมด รถในโลกนี้ ก็ว่าเมืองไทยเรานี่ รถมากที่สุดไม่มีใครเกินเมืองไทยเรา เอารถหมดทั้งเมืองไทยมาบรรจุก็ไม่หมดบาปกรรม ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งเราสั่งสมมันมาตลอด แล้วเอาอะไรมาขนก็ไม่หมด เพราะเราสั่งสมขึ้นเรื่อยๆ ส่วนบุญส่วนกุศลที่ควรจะเป็นไปในจิตใจของเรากลับไม่ค่อยเหลียวแลกัน ใจจึงเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของตลอดเวลา

        ท่านจึงสอนให้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา นี่คือธรรมอันเลิศที่เราบำเพ็ญลงไปนี้ กลับเข้ามาหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นเป็นสุข ในโลกนี้เราก็เป็นสุข เราบำเพ็ญตลอดเวลา คุณงามความดีไม่ต้องหารถไฟมาบรรทุกกันแหละ จะเต็มอยู่ในหัวใจ และเบาหวิวๆ บุญเต็มหัวใจไม่เหมือนวัตถุเต็มบ้านเต็มเมือง ต้องหารถรากันมาบรรทุกมาเข็นกันไป ไม่เช่นนั้นไม่พอกับสิ่งเหล่านั้นที่มีมาก ต้องมียานพาหนะมากๆ มาขนไป

        ส่วนบุญส่วนกุศลเราจะสร้างมากมายขนาดไหน มีบุญมากเท่าไรจิตใจยิ่งเบา ยิ่งมีความผาสุกเย็นใจ ไม่มีอะไรเบายิ่งกว่าจิตกับธรรม ได้แก่ความดีงามทั้งหลายที่รวมเป็นอันเดียวกันเข้าหนุนจิตใจของเราให้มีความสุข ความเจริญ ชาตินี้เราก็เป็นสุขเย็นใจ แม้สมบัติเงินทองซึ่งเป็นโลกอนิจจังมีบ้าง ได้บ้าง เสียบ้าง ทั้งเขา ทั้งเรา อันนี้ก็ไม่ถือมาเป็นอารมณ์มากมาย แต่เรื่องจิตใจนี้มีความสุข ความเอิบอิ่มภายในตัวด้วยบุญด้วยกุศลที่สร้างมา

        นี้ละจิตใจเมื่อได้รับความเรียกร้องให้มาอุดหนุนบำรุงแล้วก็จะมีความสุข ความเจริญ สงบเย็นใจ เฉพาะอย่างยิ่งการภาวนา อันนี้รู้สึกว่ากิเลสจะหวงแหนมาก เพราะการภาวนานี้เป็นทางตรง ที่จะดีดดิ้นตัวเองออกจากวัฏทุกข์ที่กิเลสครอบครองอยู่ไปได้อย่างหายห่วง เพราะฉะนั้นกิเลสจึงต้องหึงหวงเอามากมาย เราจะเห็นได้ในเวลาเราจะภาวนา ถ้าผู้ที่เคยภาวนา ไอ้ผู้ที่ไม่เคยเลยนั้นก็สุดวิสัย ขอให้ศึกษาเสียตั้งแต่บัดนี้ เพื่อจะได้รู้เรื่องการรบกับกิเลส รบวิธีไหน อะไรที่กิเลสหวงแหนมาก การให้ทานกิเลสก็หวงแหนแต่ไม่มาก การรักษาศีลกิเลสก็หวงแหน ไม่อยากให้ทาน ไม่อยากให้รักษาศีล

        แต่การภาวนานี้เหมือนกันกับตัดคอกิเลส กิเลสเคียดแค้นมาก จึงต้องบังคับบัญชาไม่ให้ผู้แสวงบุญทั้งหลายภาวนาเพื่อจิตใจอันสงบ นี้จึงยากมากนะ เวลาจะภาวนานี้เหมือนกันกับจูงเข้าใส่ตะแลงแกง จะประหารชีวิตนั้นแหละ เพราะมันขัดมันข้อง มันยุ่งเหยิงวุ่นวาย ดีดดิ้นอยู่ภายในจิตใจ นี่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยภาวนา ทีนี้ต่อเมื่อเราได้เริ่มภาวนา ฝืนภาวนาไปตามทางของศาสดาแล้ว โดยเราตั้งบทบริกรรม ธรรมบทใดก็ได้ เราไหว้พระ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เรียบร้อยแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลาค่ำคืนที่จะหลับนั้นแหละ เวลาอื่นกิเลสเอาไปกินหมด มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย วิ่งตามกิเลส ที่จะวิ่งกลับมาหาอรรถหาธรรมไม่ค่อยจะสนใจคิดกัน

        แต่เวลากลางคืนไม่มีหน้าที่การงานใดจะทำ เวลาจะหลับนอนนั้นขอให้ไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่งภาวนา จะนั่งพับเพียบก็ได้ ขัดสมาธิก็ได้ ท่าใดก็ได้ ขอให้เป็นท่าที่เหมาะสมก็แล้วกัน แล้วตั้งบทธรรมขึ้นภายในใจของเรา เช่น พุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง มรณัสสติ บ้าง อานาปานสติบ้าง ตามแต่ธรรมเหล่านี้จะถูกจริตจิตใจของเรามากน้อยเพียงไร ให้เรานำธรรมบทนั้นเข้ามาบริกรรม คำว่าบริกรรม เช่นเราบริกรรมพุทโธ บริกรรมว่าพุทโธ ๆ บริกรรมคำใดให้พูดย้ำๆ คำเดียวอยู่ในนั้น เช่น ธัมโมก็เหมือนกัน สังโฆก็เหมือนกัน หรือมรณัสสติ ก็มรณัสสติๆ มีสติควบคุมอยู่กับคำบริกรรมของเราทุกบทที่นำมาบริกรรมตามจริตของตนชอบ

        เวลานั้นให้ปล่อยอารมณ์ทั้งหลายที่กิเลสมันเคยพาคิดพาปรุง ยุ่งเหยิงวุ่นวายมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงขณะภาวนา ปัดงานทั้งหลายเหล่านี้ออกให้หมด นี้ละการปัดงานของกิเลสนี้ก็ยากลำบาก เรานึกพุทโธกิเลสแทรกเข้ามาแล้ว ให้นึกเรื่องของกิเลสไปเสีย เรื่องโลกเรื่องสงสารซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียหมด นึกพุทโธเลยจะไม่ได้เรื่องได้ราว เพราะฉะนั้นจึงขอให้ตั้งสติลงกับคำบริกรรม เรานึกพุทโธๆ ให้สติติดแนบอยู่กับพุทโธ พุทโธติดแนบอยู่กับใจ ไม่ให้คิดอะไร เพราะเราคิดมาแล้วตั้งแต่ตื่นนอน ขณะนี้เราจะคิดเรื่องธรรม เราไม่คิดเรื่องโลกเรื่องสงสาร คือเรื่องกิเลสหาเมืองพอไม่ได้นั้น

        เราจะคิดเรื่องพุทโธ เรื่องคำบริกรรม เอาพุทโธๆ ให้จิตติดอยู่กับคำว่าพุทโธ มีสติจดจ่ออย่าให้เผลอไปไหน ห้ามจิตไม่ให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น ให้คิดแต่พุทโธๆ คำเดียว เป็นงานของจิต นี้เรียกว่าธรรมก้าวเดิน งานของธรรมคือพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ นี้เรียกว่างานของธรรม มีสติควบคุมบังคับไว้ให้จิตทำงาน อยู่กับงานของธรรมคือการภาวนาของเรา ตั้งสติไว้ให้ดี ตอนนี้ให้ระวังไว้ให้ดี มันจะปวดหนักปวดเบาไปนะเวลานั่งภาวนา อย่างอื่นอยู่เฉยๆ ไม่เป็นไร พอจะภาวนาพุทโธๆ นี่ท้องชักจะเสียเข้ามาแล้ว ศีรษะปวดขึ้นมา อะไรเจ็บนั้นปวดนี้ ขัดข้องขึ้นมาหมด แล้วท้องก็เสีย ปวดหนัก ปวดเบา กิเลสลากไปเสีย เลยไม่ได้เรื่อง พุทโธไม่มี นี่เป็นยังไงให้ท่านทั้งหลายพิจารณาอย่างนี้

        เราจึงต้องบังคับจิตให้อยู่กับคำบริกรรมด้วยสติ ขอให้ท่านทั้งหลายฟังให้ดี วันนี้หลวงตาจะเปิดธรรมให้ฟังตามกำลังความสามารถ และผู้รับฟังทั้งหลายให้พอเหมาะพอดีกัน การภาวนาเป็นธรรมอันยิ่งใหญ่เลิศเลอมากทีเดียว เวลาเราภาวนาไม่ลดละสติกับคำบริกรรมอยู่แล้ว บางรายจะปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จิตใจจะสงบ การสงบของจิตใจมีหลายนิสัย บางนิสัยค่อยสงบเข้ามาๆ ความคิดปรุงทางโลกนั้นเป็นอันว่าปัดไปแล้ว สงบเข้ามาๆ จิตใจสงบแน่วนี้อย่างหนึ่ง นี่ละเรียกว่าการทำงานของธรรม ทำผลให้จิตใจของเราสงบและจิตใจแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาภายในตัวเอง จากงานของธรรมที่เราทำภาวนาอยู่นี้ เรียกว่างานของธรรม

        จิตใจจะสงบแน่วลงไปนี้ประการหนึ่ง ประการที่สอง สงบนี้วูบลงไปเหมือนคนตกเหวตกบ่อก็มี ตามนิสัยของแต่ละรายๆ แต่จะสงบแบบไหนก็ตาม ผลคือจิตที่ได้รับนั้นได้แก่ความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ภายในใจของตัวเอง และเริ่มเห็นคุณค่าของตัวเอง คือใจ ว่ามีคุณค่า มีราคา สิ่งที่เราคิดเราปรุงทั่วโลกดินแดนนั้น โดยสำคัญว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี เป็นของมีคุณค่าไปหมดนั้นจะพังไปหมด จะมารวมอยู่ที่ความมีคุณค่าภายในจิตใจที่สงบร่มเย็นนี้แห่งเดียว นี่ละเริ่มต้นที่เราจะได้เห็นใจเป็นของแปลกประหลาด ใจเป็นของอัศจรรย์ ใจเป็นของเลิศเลอ ใจเป็นของที่มีคุณค่ามากยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในสามแดนโลกธาตุนี้ มารวมอยู่ที่ใจของผู้บำเพ็ญภาวนา

        จากนั้นแล้วเรื่องความฝังแน่นแห่งความเชื่อในความสงบของตนเอง และความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของตนเองนี้จะไม่มีวันถอน แม้จิตถอนขึ้นมาแล้วความเชื่อมั่นในธรรมทั้งหลายว่ามีหรือไม่มีก็ประจักษ์ในตัวเอง วันต่อไปเราก็ทำอีก แต่ขณะที่ทำอย่าไปคาดไปหมายผลที่เคยเกิดมาแล้วแต่ผ่านไปแล้ว ให้ลงจิตในปัจจุบันภาวนา เหมือนเราไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่เป็นสัญญาอารมณ์กับมัน ให้อยู่กับคำบริกรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างเดียว ผลจะค่อยปรากฏขึ้น แล้วปรากฏมากขึ้นๆ และรวดเร็วขึ้นตามความชำนาญของจิตที่ได้ฝึกหัดเรื่อยมาๆ

        จากนั้นจิตจะสงบแน่วเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ ตื่นเต้นในตัวเอง นี่ท่านทั้งหลายให้ฟังเสีย ผลแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าเอามาวัดกับผลแห่งงานของโลกต่างกันราวฟ้ากับดิน เราเสาะแสวงหาในงานต่างๆ ทั่วโลกดินแดนไม่ว่าท่านว่าเรา ผลได้มาก็อย่างที่รู้ๆ เห็นๆ กันนั่นน่ะ ไม่เห็นมีอะไรเด่นภายในจิตใจ เหมือนการภาวนาที่จิตใจมีความสงบแนบแน่นเข้าไป สร้างความอัศจรรย์ ความแปลกประหลาดขึ้นแก่ใจของตน ทีนี้เราก็จะเริ่มเห็นละโลกอันนี้มีอะไรสำคัญ ในโลกนี้ทั้งหมดเมื่อจิตได้เด่นตัวขึ้นมาแล้วจะมีความสำคัญอยู่ที่จิตดวงเดียวๆ

        ยิ่งเราจะได้เร่งความพากเพียรภาวนาของเราให้หนักขึ้น ความกดถ่วงทั้งหลาย เพราะอารมณ์ห่วงโลกห่วงสงสาร ห่วงวัตถุสิ่งของเงินทองมากน้อยนั้นจะค่อยจางเข้ามาๆ ไหลเข้ามารวมที่จิตดวงเดียว ซึ่งเป็นของมีคุณค่ามาก แล้วจิตจะมีความปฏิพัทธ์ยินดีตลอดไป นี่ละการสร้างความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในตัวของเรา ตัวของเรามีอะไร มันก็มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ผสมกันเข้า จิตดวงนี้เข้าไปสู่ปฏิสนธิวิญญาณ แล้วเป็นเจ้าของครองร่างกายนี้เข้ามา แล้วกิเลสก็ทับถมเข้ามา คิดแบบโลกไปหมดตั้งแต่เกิดมา เรื่องของกิเลสไปหมดๆ ไม่ว่าตาได้เห็น หูได้ยินได้ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับใจเรา มีแต่เรื่องกิเลสทำงานทั้งนั้นๆ 

        ผลที่ได้มาก็ได้บ้าง เสียบ้าง ดีบ้าง ส่วนชั่วมีมากกว่าดี แต่มันก็หลอกให้มีความหวังไปเรื่อยๆ เราก็ดีดดิ้นกับมัน นี่คืองานของโลก ของกิเลส ได้มาไม่มีอะไรเป็นสาระเลย ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างมุ่งมั่นวิ่งกับมันตลอดเวลา หาสาระที่จะได้มาอวดกัน เหมือนธรรมที่บำเพ็ญปรากฏกับตนนี้ไม่มี ผู้บำเพ็ญธรรมนี้พูดได้ อวดได้ ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไม่ไหว เพราะประจักษ์อยู่กับใจ ถ้าว่าความสว่างไสวก็ใจเป็นผู้รู้ ใจก็เป็นใจของเราเอง เรารู้เราเห็นประจักษ์อยู่ภายในใจ ประเสริฐเลิศเลอขนาดไหน ใจเป็นผู้บำเพ็ญ ใจเป็นผู้รับผลแห่งการบำเพ็ญของตน และรวมแล้วสุขในโลกนี้อะไรมีอยู่ที่ไหน ไม่ได้มีอยู่ตามดิน ฟ้า อากาศ ทุกแห่งทุกหน แต่มามีอยู่ที่ใจดวงเดียว

        ในขณะเดียวกันเรื่องความทุกข์ที่เราดีดดิ้นทั่วโลกดินแดน ผลของมันก็มารวมอยู่ที่ใจของเรา ได้รับความเป็นทุกข์ เพราะไม่สมหวังๆ ได้มาแล้วหายไปๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระ เหมือนจิตตภาวนาที่ได้ธรรมเป็นสาระประจำจิตใจนี้เลย นี่ละท่านจึงสอนให้ภาวนา ทีนี้เวลาจิตเราได้อบรมมากเข้านี้ บางรายจะปรากฏได้เร็ว ถึงไม่ปรากฏก็ตาม การภาวนานี้มีอานิสงส์มากยิ่งกว่าการสร้างคุณงามความดีอย่างอื่นเป็นไหนๆ จึงควรได้รับการอบรมเสมอพวกเรา เราชาวพุทธอย่าระเหเร่ร่อน เวลานี้ไม่น่าดูเลยนะ เลอะๆ เทอะๆ ไปหมดชาวพุทธของเราทั่วประเทศไทย มองดูแทบจะไม่ได้ เอาตาธรรมซีมองดู ถ้าเอาตากิเลสมองกิเลสก็ลากเข็นกันไปด้วยความหลอกลวงต้มตุ๋น ร้อยสันพันคมหาวันจบสิ้นไม่ได้

        ถ้าเอาธรรมจับเข้าไปก็มีที่ยุติ  คือใจดวงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดี-ชั่วใจเป็นผู้ผ่านมาทั้งหมด เวลามาถึงจุดที่จะยืนตัวได้ก็คือธรรมภายในใจ นี้ยืนตัวได้ เป็นหลักเป็นแหล่งได้ มีความแน่นหนามั่นคงในการภาวนาต่อไป ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิด ศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเสมอเหมือนแล้วละจากภาคปฏิบัติ เพียงเราเรียนตามตำรับตำรานั้นไม่ค่อยสนิทใจนะ เรียนไปสงสัยไป เรียนไปสงสัยไป ว่าบาป ว่าบุญ นรก สวรรค์ นี้ก็สงสัยตามไปด้วยตลอด เรียนจบพระไตรปิฎกความสงสัยก็ไปจบพระไตรปิฎกเหมือนกัน ไม่มีที่สิ้นสุด

        ที่สิ้นสุดยุติคือให้เอาปริยัติที่เราเรียนมานั้น มากางเป็นแบบฉบับแล้วก้าวเดิน เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือนจากแปลน ก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา นี่เรามาปฏิบัติเราก็น้อมนึกเอาปริยัติที่เราศึกษาเล่าเรียนมามากน้อย มากางขึ้นที่หัวใจ กาย วาจา ของเรา แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น เช่น ท่านสอนให้ทาน นี่ก็เป็นแผนที่ของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้แล้ว รักษาศีลก็คือแผนที่ เราดำเนินตามคือการให้ทาน การรักษาศีลตาม และเจริญเมตตาภาวนา นี่ก็เป็นแผนที่อันสำคัญ เรามากางดูใจของเราด้วยการภาวนา

        ตั้งแต่เบื้องต้นมาที่มันดีดมันดิ้น เหมือนน้ำเชี่ยวที่สุดนั้นแหละ ประหนึ่งว่าคลื่นในทะเล แล้วเรากั้นด้วยฝ่ามือ ดีไม่ดีฝ่ามือหักไปเลย เพราะคลื่นของกิเลสมันหนัก อันนี้เราตั้งลงไปอย่างนี้ เอาสติเข้าไปจับปั๊บกิเลสตีทีเดียวสติหายเลยๆ สติเป็นเหมือนกับฝ่ามือ คลื่นกิเลสนั้นเหมือนกับคลื่นมหาสมุทร มันรุนแรง มันตีสติของเราให้ล้มเหลว ความเพียรก็ไม่ได้ผล แต่อุตส่าห์พยายามสู้แล้วสู้เล่าไม่ถอย ต่อไปก็พอตั้งหลักได้ๆ จิตใจกลายเป็นจิตที่สงบร่มเย็นขึ้นมาจากการฝึกฝน

        จากความสงบนี้แล้ว ความสงบนี้จะแน่นหนามั่นคงเข้าไป เข้าไปเรื่อยๆ อยู่ตัวเองคนเดียวก็ภูมิใจ ดังพระท่านปฏิบัติอรรถธรรมอยู่ในป่าในเขา ท่านไม่หาใครมาเป็นเพื่อนเป็นฝูง ท่านอยู่คนเดียวของท่านในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา การภาวนาของท่านไม่ลดละ ถือสถานที่เหล่านั้นเป็นสถานที่อยู่ ที่กิน ที่หลับที่นอน ที่เป็นวิหารธรรม ความอยู่สะดวกสบายในจิตใจของท่านด้วยการภาวนา ทีนี้จิตใจของเราเมื่อหนาแน่นเข้ามา หนาแน่นเข้ามาด้วยความดิบความดี สมาธิก็มั่นคง จิตใจไม่หวั่นไม่ไหวกับสิ่งใดเรียกว่าได้หลักใจ เริ่มตั้งแต่ความสงบของใจ จิตใจได้หลักได้เกณฑ์แล้ว ทีนี้ทางท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวท่านจะพิจารณาทางด้านปัญญา แยกแยะเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภังด้วยสติด้วยปัญญา เบิกกว้างออกไปๆ

        นี่ละการภาวนาจะเบิกกว้างออกไปอย่างนี้ๆ แล้วสติปัญญายิ่งมีความเฉลียวฉลาดแหลมคม พิจารณาอะไรรู้เท่าตามเป็นจริงๆ จนจิตก้าวเข้าสู่ความเป็นเองของจิต ก้าวเข้าสู่ความเป็นเองคืออย่างไร ได้แก่สติปัญญาที่มีกำลังแล้วกลายเป็นอัตโนมัติของตนไป เรื่องความพากความเพียรไม่ต้องได้ขับได้ไส บังคับบัญชากันเลย เพราะจิตได้เหตุได้ผล ได้อรรถได้ธรรมจากการบำเพ็ญของตนแล้วมีแก่ใจที่จะบำเพ็ญ จากนั้นก็กลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือสติเป็นไปเอง ปัญญาเป็นไปเองในการแก้กิเลสทั้งหลาย แก้อยู่ภายในจิต ยืน เดิน นั่ง นอน สติปัญญาเป็นอัตโนมัติ เป็นความเพียรไปในตัว นี่เรียกว่าธรรมมีกำลังแล้วจากการภาวนา

        เมื่อมีกำลังมากเท่าไรยิ่งหมุนให้กิเลสขาดสะบั้นไปๆ ความโลภตัวเก่งๆ เป็นยักษ์เป็นผี ความโกรธ ราคะตัณหา ตัวเป็นยักษ์เป็นผีเลยกลายเป็นสัตว์เป็นตัวเล็กๆ ถูกดาบของอรรถของธรรม สติปัญญาฟาดฟันหั่นแหลกไปโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าความเพียรของธรรมที่มีกำลังใจแล้ว กลายเป็นธรรมอัตโนมัติ กลายเป็นสติปัญญาฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่มหาสติ-มหาปัญญาเชื่อมโยงถึงกัน กิเลสตัวเชี่ยวเหมือนคลื่นมหาสมุทรทะเลนั้น ขาดสะบั้นลงไปๆ ฝ่ามือที่ต้านทานกับมหาสมุทรกลายเป็นฝ่ามือมหาสติมหาปัญญาเข้าไปเรื่อยๆ กิเลสค่อยขาดสะบั้นลงไปๆ

        ความเห็นทุกข์ในโลกอันนี้ที่เคยผ่านมากี่กัปกี่กัลป์ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นการหาบหามกองทุกข์ไปด้วยโดยตลอด มันก็มาพร้อมกัน เห็นโทษด้วยกัน สติปัญญาอัตโนมัติเห็นคุณค่าของธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ก็เห็นไปขณะเดียวกันๆ ไม่มีคำว่าท้อว่าถอย นอกจากได้รั้งเอาไว้ ไม่เช่นนั้นจิตจะผาดโผนโจนทะยานเพื่อความพ้นทุกข์ อาจผิดอาจพลาดได้ จึงต้องมีการพักผ่อนในทางสมาธิ ย้อนจิตที่ก้าวเดินเพื่อฆ่ากิเลสตัณหาเป็นอัตโนมัตินั้นเข้าสู่ความสงบของใจ ให้จิตอยู่ในความสงบได้แก่สมาธิ ไม่ต้องพินิจพิจารณาทางด้านสติปัญญาใดๆ เวลานั้นสงบเอากำลังวังชาของปัญญาต่อไป ให้อยู่กับความสงบ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องสติปัญญาใดๆ เพื่อฆ่ากิเลส ไม่ต้องไปยุ่ง ให้อยู่กับจิตที่มีความสงบได้แก่สมาธินั้น

        เมื่อจิตได้พักตัวเต็มกำลังแล้วก็เหมือนเราได้รับประทานแล้ว พักผ่อนนอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็มีกำลังวังชา สมควรแก่หน้าที่การงานต่อไปอีก นี่จิตเมื่อเวลาถอนตัวออกจากสมาธิคือที่พักผ่อนของจิต แล้วก้าวเดินออกสู่ปัญญา ยิ่งมีความเฉลียวฉลาดแหลมคม และเฉียบแหลมไปเป็นลำดับ กิเลสนี้ขาดสะบั้นลงไปๆ ประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เพราะความหมายมั่นปั้นมือในการหลุดพ้นอยู่ทุกขณะจิตอยู่กับใจ เพราะฉะนั้นความเพียรจึงเป็นไปโดยอัตโนมัติๆ นี้เรียกว่าธรรมมีกำลังกล้าแล้ว เป็นอัตโนมัติในการแก้กิเลสตัณหาทุกประเภท ไม่มีอะไรเหลือได้เลย จนกระทั่งถึงกิเลสม้วนเสื่อลงไป มหาสติ-มหาปัญญาซึ่งเป็นเครื่องมือฆ่ากิเลสก็ระงับตัวลงไป เหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ กิเลสตัวใดไม่เข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายอีกได้เลย เพราะกิเลสม้วนเสื่อหมดไปแล้วจากการบำเพ็ญภาวนา

        ท่านผู้บำเพ็ญภาวนาถึงขั้นนี้แล้ว เรียกว่าท่านสิ้นทุกข์ แม้จะมีธาตุมีขันธ์อยู่ จิตใจของท่านสิ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง เพราะสิ้นจากกิเลสตัวเป็นเหตุให้สร้างทุกข์ขึ้นมา เมื่อกิเลสตัวเป็นสาเหตุให้สร้างทุกข์ขึ้นมาดับโดยสิ้นเชิงลงไปแล้วภายในใจ ใจนี้ครองธรรมธาตุ ครองวิมุตติธรรม สง่างามครอบโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใดที่จะสว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุเหมือนใจของท่านผู้สิ้นกิเลส ใจพระพุทธเจ้า ใจพระสาวกอรหันต์เป็นจิตใจที่สว่างกระจ่างแจ้ง กิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีติดในจิตใจเลย ใจจึงได้แสดงธรรมเต็มตัว ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว สว่างจ้าไปหมดเลย

        นี่คุณค่าแห่งการภาวนา คือการสร้างความดีให้แก่จิตใจ ตามธรรมของพระพุทธเจ้า จะได้รับผลเป็นที่พอใจโดยลำดับลำดาตลอดไป เพราะธรรมเป็นธรรม เรียกว่าตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน คือพุทธศาสนาของเรานี้แล นี่การปฏิบัติตนเมื่อเราตั้งหน้าตั้งตาทำ ไม่ว่างานทางโลกทางธรรม ย่อมได้ผลไปโดยลำดับเช่นเดียวกัน เขาสร้างโลกสร้างสงสารเขาก็มีผลเขาจึงทำกันได้ ถ้าสร้างลงไปไม่มีผลใครจะไปขยันสร้างมันให้เสียเวล่ำเวลา นี่สร้างอรรถสร้างธรรมก็มีผลเป็นลำดับลำดา จึงขอให้ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธได้นำธรรมะของพระพุทธเจ้าไปประดับตนเอง ประดับครอบครัวเหย้าเรือน ประดับหน้าที่การงานสังคมต่างๆ ทั่วแดนไทยเรา ซึ่งเป็นลูกชาวพุทธ ให้นำธรรมนี้ไปประดับตน

        อย่าให้มีแต่กิเลสเอามูตรเอาคูถไปพอกเต็มหัวใจ แล้วก็แสดงออกมาทางกาย วาจา ความประพฤติ หน้าที่การงาน เป็นความสกปรกไปหมด กิเลสทำโลกให้สกปรก ทำโลกให้วุ่นวาย ทำโลกให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ส่วนธรรมท่านไม่มี มีตั้งแต่ความสงบเจียมตัว ถึงไม่สิ้นกิเลสแต่เป็นผู้รักใคร่ใฝ่ธรรมแล้วย่อมไม่ค่อยผิดพลาดอะไรง่ายๆ นะ ยิ่งเป็นนักภาวนาด้วยแล้วการทำทุกสิ่งทุกอย่างภายในใจของเรา ที่บรรจุธรรมจากการภาวนาไว้อยู่ในตัวนี้แล้ว เราจะผิดพลาดประการใด จิตนี้จะเตือน จะกระซิบกระซาบ หรือเตือนบอก ว่าสิ่งนั้นไม่ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ เช่นผู้ที่มีจิตใจที่เป็นธรรม ดังที่ท่านว่าพระโสดา

        พระโสดานี้เป็นผู้มีศีลโดยหลักธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปรับกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย นี่คือท่านเชื่อบุญ เชื่อกรรม เชื่อมรรค ผล นิพพาน เข้าฝังใจแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ในการจะสร้างกรรม พูดง่ายๆ ถึงไม่บริสุทธิ์ภายในใจ แต่การสร้างกรรมชั่วนั้นท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่ทำเลย พระโสดาขึ้นไป โสตะแปลว่ากระแสแห่งพระนิพพาน แห่งอรรถแห่งธรรมเข้าถึงใจแล้ว คนที่เชื่อธรรมอย่างถึงใจแล้วนั้น ย่อมไม่ทำความชั่วช้าลามกดังที่เคยทำมา ตัวเองที่เคยทำมาแล้ว แต่เวลาจิตใจเข้าถึงอรรถถึงธรรมแล้วมีความขยะแขยงในการทำของตน แล้วต่อจากนั้นก็ไม่ยอมทำอีกเลย ดังพระโสดาท่าน นี่เรียกว่าผู้ถึงธรรม เชื่อบุญ เชื่อกรรม เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรก สวรรค์ นิพพาน ตลอดถึงเปรตผีประเภทต่างๆ ท่านเชื่อตามพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลย นี่เรียกว่าพระโสดา

        ทีนี้ผู้ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่มีสูงกว่านั้น ความเชื่อย่อมฝังลึกๆ แล้วความรู้ความเห็นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วแก่สัตว์โลกที่ตาบอดหูหนวก ไม่มีใครเชื่อ แต่ผู้ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมเปิดแสงสว่างขึ้นจากจิตตภาวนาของตน จากธรรมของตนที่รู้ที่เห็นเป็นความสว่างไสวขึ้นมา เรื่องบาปเรื่องบุญเชื่อแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เปรตผีประเภทต่างๆ เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ นรก สวรรค์ นิพพาน เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เต็มหัวใจท่าน คือเราก็รู้ พระพุทธเจ้ารู้ตามภูมิของศาสดาองค์เอก พระสาวกทั้งหลายก็รู้ตามภูมิของศาสดา เป็นสักขีพยานกันได้

        นี่แหละจึงเรียกว่าธรรมสดๆ ร้อนๆ เช่น บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ด้วยกันหมด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจืดจางว่างเปล่า ไม่เคยเน่าไม่เคยเฟะ ไม่เคยครึเคยล้าสมัย ดังกิเลสมันโจมตีตลอดมานะ เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ขอให้พากันปฏิบัติในอรรถในธรรม ตัวของเราเองเวลานี้เราก็คาดตามกำลังของเราที่มีกิเลสว่ามีคุณค่า คุณค่าแห่งมนุษย์เหนือสัตว์ แล้วคุณค่าแห่งมนุษย์ด้วยกันก็มีเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันๆ นี่เป็นคุณค่าอันหนึ่ง แต่คุณค่าในธรรมที่มีอยู่ในจิตใจนี้ยิ่งสูงส่ง ยิ่งกว่าคุณค่าทั้งหลายที่เราครองตัวอยู่นี่

        ขอให้ปฏิบัติ คุณค่าอันนี้จะไม่มีการกระทบกระเทือน ไม่มีการเย่อหยิ่งจองหอง เหมือนคุณค่าที่โลกสมมุติให้เสกสรรปั้นยอว่าเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ หรือเป็นเจ้าเป็นนายชั้นนั้นชั้นนี้สูงไปเรื่อยๆ อันนี้ย่อมทำคนให้ลืมตัวได้นะ ถูกเสกสรรขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งที่จอมปลอมมันก็แฝงเข้าไป ถ้าว่ายศก็เลยเป็นยศกาฝากแฝงเข้าไป อำนาจก็กลายเป็นอำนาจป่าเถื่อนไป ทำอะไรก็อาศัยอำนาจของตน และอำนาจนั้นกลายเป็นอำนาจป่าเถื่อนไป ทำสุ่มสี่สุ่มห้า ทำความเดือดร้อนแก่ส่วนรวม เพราะไม่มีธรรมในใจ สูงไปเท่าไรทิฐิมานะก็ยิ่งสูงจรดฟ้า ทำอะไรก็ถือว่าเรามีอำนาจๆ เอาอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ นี้ไปทำลายโลกหรือส่วนรวมทั้งหลาย ซึ่งมีทั้งผู้ดีผู้ไม่ดีให้ได้รับความกระทบกระเทือนเดือดร้อน นี่ละความไม่มีธรรมในใจ

        ถ้ามีตั้งแต่โลกล้วนๆ แล้วเรียนมาก็ไม่ค่อยเกิดประโยชน์ นอกจากจะมาเป็นเครื่องมือให้เกิดทิฐิมานะ ทำความชั่วช้าลามกไปได้ มือสกปรกไปได้ ถ้ามีธรรมในใจแล้วมือนี้จะสะอาด เคลื่อนไหวไปไหนตัวของตัวก็เป็นตัวของตัวเต็มตัว แสดงออกจากตัวที่มีธรรมแล้วย่อมเป็นคติตัวอย่างแก่ผู้เข้ามาเกี่ยวข้องได้ดี เช่น เป็นผู้ใหญ่อย่างนี้ เป็นผู้ใหญ่มีอรรถมีธรรม มีอำนาจมาก มีธรรมแฝงเข้าไปมากเหมือนกัน อย่างนี้ไปที่ไหนคนเคารพนับถือกราบไหว้บูชา เป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไปถ้ามีธรรมเข้าแฝง ถ้าไม่มีธรรมเข้าแฝงมันเป็นเรื่องแบบลูบหน้าปะจมูก เกรงอกเกรงใจกันอย่างงั้นๆ กิเลสมันสนุกทำงาน ครั้นเวลามาพบกันต่อหน้าก็ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา ถ้าจับออกไปลับหลังแล้วมันจะขโมยด่าถึงโคตรพ่อโคตรแม่ก็ได้

        นี่เรื่องคนไม่มีธรรม ทำตัวให้เสียหาย ถ้าคนมีธรรมแล้วไม่ว่าที่แจ้งที่ลับเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป เพราะฉะนั้นเราอยากให้ตัวของเราเจริญ ให้เมืองไทยเราเจริญ ขอให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความเคารพในอรรถในธรรม นำธรรมเข้าไปเป็นเครื่องปฏิบัติ กฎหมายบ้านเมืองนั้นต่ำกว่าธรรม ธรรมมีความละเอียดลออยิ่งกว่านั้น เราจะรู้สึกตัวของเราว่าทำผิดมากน้อยเพียงไร จิตใจของเราที่มีธรรมอยู่ภายในนั้นจะสะกิดและจะเตือนบอกเราเอง โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นผู้ใดมาเตือนบอก ธรรมของตัวเองที่อยู่ในใจนั้นจะเตือนบอก ทำอย่างนั้นไม่เหมาะ ทำอย่างนี้ไม่เหมาะ ทำเช่นนั้นเหมาะ ทำเช่นนี้เหมาะ ธรรมจะเตือนไปเรื่อยๆ นี่ถ้าผู้มีธรรมในใจ ทำอะไรไม่ค่อยผิดพลาด เป็นที่ชุ่มเย็นแก่ผู้น้อยที่มาอาศัย กลายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรต้นหนึ่งๆ สำหรับผู้ใหญ่ที่ปกครองบ้านเมืองไปได้โดยไม่ต้องสงสัย

        จึงขอให้ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองมีหน้าที่การงาน มีอำนาจวาสนาต่างกัน ขอให้มีธรรมเข้าไปแทรกๆ ผู้ใหญ่ผู้น้อยให้มีธรรมแทรกด้วยกันแล้วหน้าที่การงานก็จะสะอาด การดำเนินหน้าที่การงานใดๆ ก็จะไม่แสลงหูแสลงตาผู้อื่น คำว่าผู้อื่นผู้น้อยก็รู้ได้ ผู้ใหญ่ทำผิด อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่ทำผิด ผู้น้อยโง่เขลาเบาปัญญา ผู้น้อยก็มีหูมีตารู้ได้เหมือนกัน จึงต้องให้พากันระมัดระวัง ขอให้นำธรรมเข้าไปเป็นเครื่องฝึกกำกับใจเสมอ สมนามว่าเราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธถ้าได้นำธรรมออกไปปฏิบัติ เป็นฆราวาสแห่งชาวพุทธก็ตาม พระแห่งชาวพุทธ ลูกศิษย์ตถาคตก็ตาม จะงามหูงามตา

        ฆราวาสปฏิบัติตนตามหลักของฆราวาสงามหูงามตา หน้าที่การงานมีความสม่ำเสมอ สะอาดสะอ้าน ไปพบกันที่ไหนเห็นกันที่ไหนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน ทางพระเราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ งามหูงามตา งามหัวใจเราแล้ว งามการประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วคนอื่นเห็นก็งามตา ถ้าเลอะเทอะเหยียบย่ำทำลายพระพุทธเจ้า คือทำลายธรรมวินัยแล้วก็เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ไปที่ไหนสกปรกรกรุงรัง ตัวเองก็ไว้ใจตนเองไม่ได้ แล้วคนอื่นเขาจะไว้ใจได้ยังไง ไม่มีใครไว้ใจได้

        เพราะฉะนั้นจึงทำตัวเองให้เป็นที่แน่ใจ ไว้ใจตนเองได้แล้ว ไปที่ไหนหากเป็นที่ไว้ใจของคนอื่นได้เอง เพราะความดีอยู่กับเรา ความชั่วอยู่กับเรา ถ้าความชั่วอยู่กับเรา มักแสดงความชั่วให้แสลงหูแสลงตา กระทบกระเทือนผู้อื่นจนได้นั้นแหละ ถ้าเป็นผู้มีธรรมภายในใจแล้วไปที่ไหนชุ่มเย็นภายในตัว คนอื่นเห็นก็เคารพเลื่อมใสกราบไหว้บูชา พวกเราเป็นชาวพุทธ ไม่ว่าเป็นเจ้าเป็นนาย เป็นราษฎรประชาชนธรรมดา ขอให้มีธรรมตามขั้นตามภูมิของตนเถอะ แล้วบ้านเมืองของเราจะสงบร่มเย็น มีฝั่งมีฝา เพราะพุทธศาสนาไม่เคยสอนผู้ใดให้ผิดพลาด ให้ผู้ที่ปฏิบัติตามลงนรกอเวจี ไปเข้าคุกติดคุกติดตะรางอย่างนี้ไม่เคยมี

        พวกที่ติดคุกติดตะรางเต็มอยู่ในเรือนจำนั้นคือผู้ที่อวดดี อวดเก่งว่าเขาจะจับไม่ได้นั้นแหละ ตัวทำผิดแท้ๆ เขาจะไม่เห็นยังไง เราเจ้าของเห็นอยู่ ถึงเขาจับไม่ได้คราวนี้ คราวหน้าเขาก็จับจนได้นั้นแหละ ความชั่วนี้ นตฺถิ โลเก รโห นาม ความลับไม่มีในโลก ใครไม่เห็นเราก็เห็น ใครไม่รู้เราก็รู้ เขาไม่ทำเราก็ทำอยู่ ไม่ว่าที่มืดที่แจ้ง มันเปิดเผยอยู่กับเราผู้ทำดีทำชั่วนั้นแหละ ผู้ทำดีก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ในป่าในเขาใครไปเห็นท่าน ท่านเป็นศาสดาขึ้นมาได้ ที่แจ้งที่ลับมันอยู่กับคน ไม่ได้อยู่กับดิน ฟ้า อากาศ มืด แจ้งอะไร มันอยู่กับคน ให้พยายามรักษาตัวของเราทุกคน จะได้เป็นสิริมงคล

        พวกเราเป็นชาวพุทธอย่าให้เมืองนอกเขาดูถูกเหยียดหยามชาวพุทธเรา ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติด้วยความเป็นชาวพุทธ ให้พากันรักษา การให้ทานเป็นพื้นฐานแห่งชาติไทยเราเป็นที่ชมเชยสรรเสริญเรื่อยมา แต่การรักษาศีลนี้รู้สึกว่าน้อยลงมาก แต่การภาวนานี้รู้สึกแทบจะไม่มีนะ ขอให้ฟื้นหลักพุทธศาสนาขึ้นมาปฏิบัติ เป็นยังไงเมืองไทยของเรา เมื่อตั้งตัวปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาแล้วจะล่มจมฉิบหายไปไหน จะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของผู้ใดก็ขอให้มาบอกหลวงตาบัว หลวงตาบัวจะพาไปฟาดหน้าผากมันให้มันแตกไปหมดเลย ทำอะไร ๆ มันก็ยังไม่ยอมฟังเสียง พวกหูหนวกตาบอดว่างั้นเลย ตีแล้วถึงบอกนะ เพราะคนหยาบต้องเป็นอย่างนั้น

        ขอให้ทำดีเถอะคนเรา ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระว่าเณร ขอให้ตั้งตัวอยู่ในศีลในธรรม ในกรอบของพระของเณร ของฆราวาสญาติโยม ฆราวาสก็ศีลห้าเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ควรจะนำไปปฏิบัติให้เป็นสิริมงคลแก่ตนของตน และฝ่ายพระเราก็เรียกว่ามีศีลเต็มตัวแล้ว ถ้าไม่ทำลายศีลของตนให้เป็นพระขาดบาทขาดตาเต็งไปเสียเท่านั้น ก็จะเป็นพระโดยสมบูรณ์ ศีลธรรมก็จะเกิดขึ้นจากการระมัดระวัง หิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปไม่มีใครเกินพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะเสียอย่างเดียวก็เป็นเทวทัตในผ้าเหลืองเหมือนกัน

        การแสดงธรรมวันนี้ก็รู้สึกว่าซาบซึ้งในจิตใจของท่านทั้งหลาย ที่อุตส่าห์พยายามมา แล้วสละเวล่ำเวลา หน้าที่การงานมาฟังอรรถฟังธรรม หลวงตาจึงได้เทศนาว่าการให้ฟังตามกำลังทั้งผู้มาฟัง ทั้งผู้เทศน์ การเทศนาว่าการนี้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงไปตลอด ถ้ามีขนาดไหนที่ควรจะแสดงขั้นใด ๆ มีความพร้อมเสมอในหัวใจ หลวงตาได้ปฏิบัติมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งถึงว่าหายสงสัยพุทธศาสนาของเรา ไม่มีอะไรเป็นที่สงสัย คือตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน ตลอดไปนั้นเอง ถ้ามีผู้ปฏิบัติตามอยู่ แต่ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติตามอยู่ก็เป็นเศษเป็นเดน เป็นกระดาษเศษอยู่งั้นละ อยู่ที่ไหนก็ไม่มีคุณค่า เหมือนแร่ธาตุต่างๆ มีแร่ทองคำเป็นต้น จมอยู่ในดินใครเหยียบย่ำไปมาอยู่อย่างงั้นแหละ

        ถ้ามีผู้เฉลียวฉลาดไปขุดค้นขึ้นมา แร่ธาตุต่างๆ ย่อมเป็นผลเป็นประโยชน์เต็มกำลังของมัน นี่พุทธศาสนายิ่งเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอ เวลานี้จมอยู่ในหัวใจเราให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา เหยียบธรรมในใจของเรา ธรรมเลยหาที่แสดงตัวไม่ได้ คนจึงเลอะเทอะไปเต็มบ้านเต็มเมือง ความโลภก็มาก ความโกรธก็มาก ราคะตัณหาก็มาก ไม่มีขอบเขตเหตุผลใดเป็นเครื่องประกันตัวเลย เพราะไม่มีธรรมในใจ เลอะเทอะไปหมด ขอให้ยับยั้งตนเองทุกๆ คน

        ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเป็นผู้รักษาตน ต้องฝ่าฝืนความชั่วช้าลามก ที่เคยทำมาแล้วก็งดได้ ทำไมจะงดไม่ได้ เราทำเรายังทำได้ การงดทำไมจะงดไม่ได้ งดได้ทั้งนั้น ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าเสียอย่างเดียวเราทำได้ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอกเลิศเลอมาแล้ว เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเราจะเชื่ออะไร ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งเป็นคลังกิเลสนี้มันทำใครให้เลิศเลอที่ไหนไม่เคยมี มีแต่ธรรมเท่านั้นทำผู้ปฏิบัติให้มีความสุขความเจริญ ในชาตินี้เราก็สงบเย็นใจเพราะเราปฏิบัติตัวของเราอย่างสมบูรณ์ด้วยอรรถด้วยธรรม ไปชาติหน้าก็ราบรื่นดีงาม

สวรรค์ ชั้นพรหมโลก นิพพาน มีไว้เพื่อใคร ก็มีไว้เพื่อคนดี นรกอเวจีมีไว้สำหรับคนชั่วโดยหลักธรรมชาติของธรรมชาตินั้น ๆ เช่น นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีโดยหลักธรรมชาติ ไม่มีใครตกแต่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาพระองค์ใดก็มาเจอมาเห็นสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่แล้ว อันใดที่เป็นพิษเป็นภัยก็นำมาบอก สอนสัตว์โลกว่าอย่าทำสิ่งนี้เป็นทางแห่งความไม่ดี และเป็นทางแห่งนรกอเวจี ให้ทำของดิบของดีนี้เป็นทางแห่งความสุข ความเจริญ ทางสวรรค์ นิพพาน ท่านก็สอนทุกแง่ทุกมุม เพราะนำสิ่งที่ท่านทรงรู้ทรงเห็นแล้วมาสอน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนแบบเดียวกัน ท่านไม่ได้มาอุตริสอนเหมือนกิเลสนะ กิเลสนี่มันอุตริเก่งทีเดียว เห็นว่าไม่เห็น รู้ว่าไม่รู้ ถ้าขโมยถ้าเขาจับตัวไม่ได้ก็บอกว่าข้าไม่ได้ขโมย นี่กิเลสเป็นอย่างงั้น ส่วนธรรมนี่เปิดโล่งไปเลย ผิดบอกผิด ถูกบอกว่าถูก ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว จึงเรียกว่าธรรม โลกทั้งหลายตายใจกันได้ แต่กิเลสนี้สายตาของธรรมตายใจไม่ได้เลย เป็นข้าศึกต่อสัตว์โลก เป็นข้าศึกต่อธรรมเป็นอย่างยิ่งทีเดียว

        วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวล่ำเวลาและธาตุขันธ์ วันนี้มีทูลกระหม่อมฟ้าหญิงฯ ท่านอุตส่าห์เสด็จมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นประธานของเรา ท่านเป็นผู้ใหญ่ เราควรจะถือเป็นคติตัวอย่างสำหรับปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เดินตามรอยพระบาทท่านไป เราจะเป็นคนดิบคนดีตามกันไปเรื่อยๆ นั้นแหละ ถ้าเป็นคนชั่วก็แหวกแนว เอาละการแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก