เทศน์อบรมฆราวาส ณ บริเวณโบราณสถานสนามชัย อ.เมืองสุพรรณบุรี
เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (บ่าย)
นรกว่างเมื่อไร
ถ่ายกล้องอะไรนั่น ให้หยุด ให้หนีให้หมด อย่ามาเป็นเทวทัตทำลายศาสนา ทำลายธรรม คนจะฟังธรรมทั่วแผ่นดินเวลานี้ อันนี้ปั๊บเข้าไปทีเดียวเท่านั้น การเทศนาว่าการล้มเหลวไปหมดนะ ให้รู้ ไปที่ไหนเคยบอกทุกที วันนี้มีดุเอาบ้าง ถ้าว่าดุนะ เพราะเจอเสมอๆ เสียธรรม ให้สงบ เวลาเทศนาว่าการ อย่ามีอะไรแสดงขึ้นมา เรื่องสำคัญก็คือ การฟังอรรถฟังธรรมนั่นแหละ
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวจังหวัดสุพรรณบุรีของเรา โดยมีหลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก ประธานฝ่ายสงฆ์ และคุณกวีรัตน์ อรุณทัต รองผู้ว่าราชการจังหวัด คุณถาวร จำปาเงิน อบต.สนามชัย เป็นประธานเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราทั้งหลาย ที่บำเพ็ญมหากุศลในครั้งนี้ วันนี้เป็นโอกาสวาสนาอำนวยอย่างมากทีเดียว ที่เราทั้งหลายได้สละเวล่ำเวลาหน้าที่การงาน มาบำเพ็ญมหากุศล เพื่ออุทิศแด่พระมหากษัตริย์พร้อมทั้งทหารผู้กล้าหาญทั้งหลายที่เสียชีวิตไป ท่านเหล่านี้เป็นผู้สละชีพเพื่อชาติบ้านเมืองของเรา จึงควรได้รับการเทิดทูนหรือชมเชย พร้อมทั้งการอุทิศส่วนกุศลถึงท่านโดยทั่วกัน
เป็นเรื่องที่หาได้ยาก ผู้ที่มีความกล้าหาญชาญชัย เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอันยิ่งใหญ่ คือ ชาติไทยของเรา ถ้าไม่มีผู้กล้าหาญชาญชัย มีแต่ผู้อ่อนแอ ท้อแท้ เหลวไหลแล้วแบบอ่อนเปียกๆ ชาติไทยของเราจะจมไปนานแล้ว นี่ที่เป็นชาติไทยมาโดยลำดับลำดา ก็เพราะมีท่านผู้จิตใจที่กว้างขวางและกล้าหาญชาญชัย สละชีพเพื่อชาติของตน แม้ชีวิตจะตายไปก็ขอให้ชาติมีความแน่นหนามั่นคง ด้วยความเสียสละของตน ก็เป็นที่พอพระทัย และเป็นที่พอใจ จึงเรียกว่า ผู้กล้าหาญชาญชัย ควรได้รับความเทิดทูน จากบรรดาพี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติ และกรุณาถือเป็นตัวอย่างอันดีงามต่อไป
ชาติไทยเป็นสมบัติของเราทุกๆ ท่าน ขอให้มีความกล้าหาญชาญชัย รักษาชาติและทะนุบำรุงรักษาชาติของตน ด้วยความเข้มแข็งแน่นหนามั่นคงทุกด้านทุกทาง การรักษาชาติเป็นสิทธิ์เป็นหน้าที่ของพี่น้องทั้งหลาย จะเป็นผู้รักษาด้วยกัน นี่ท่านที่ได้ล่วงไปแล้ว ท่านเป็นตัวอย่างอันดีงามอย่างยิ่งสำหรับชาติไทยของเรา
วันนี้จึงของพร้อมใจกันทุกๆ ท่าน ที่เราได้สละกุศลผลทานมาครั้งนี้ ขอให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลถึงท่าน ผู้ที่เป็นวีรบุรุษทั่วหน้ากัน ถ้ามีคนประเภทที่อยู่แล้วชาติไทยของเรา จะมีความจีรังถาวรสืบต่อไป ขอให้ยึดไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ในจิตใจของเราด้วย แล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศลถึงท่านด้วยความสัตย์ความจริง ความเทิดทูนท่านด้วย จะเป็นกุศลแก่จิตใจของเราเป็นอย่างมากทีเดียว
เรื่องความล้มความตายมีอยู่ทุกแห่งทุกหน ทุกหย่อมหญ้านั้นแหละ แต่ตายที่มีสาระสำคัญก็มี ที่ตายธรรมดาก็มี ท่านที่ล่วงลับไป ซึ่งได้กล่าวพระนามถึงเมื่อสักครู่นี้ นั่นเป็นผู้ที่หาได้ยาก ที่จะนำชาติไทยของเราต่อไป ต้องเป็นผู้เช่นนี้ เป็นผู้อ่อนแอท้อแท้ไม่ได้ทีเดียว เราต้องยึดคติตัวอย่างของท่านไว้ให้ดี อย่ามีความอ่อนแอท้อแท้ ต้องมีความกล้าหาญชาญชัย เพื่อสมบัติคือคนทั้งชาติ ได้แน่นหนามั่นคงสืบต่อไป แล้วการเป็นการตายมีอยู่ทั่วไป ดังที่กล่าวสักครู่นี้แหละ ไม่มีที่ไหนที่จะไม่ตาย ผู้ตายไปก็ตายไป ผู้มีชีวิตอยู่ขอให้ตั้งเนื้อตั้งตัวปฏิบัติหน้าที่การงานให้เป็นไปโดยอรรถโดยธรรม จะเป็นความราบรื่นดีงามแก่ตนและส่วนรวม ตลอดประเทศชาติของเรา
ถ้าต่างคนต่างได้ น้อมศีล น้อมธรรม น้อมศาสนาของพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอก ประกาศสอนไว้ เฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชาวไทยเรา เป็นลูกชาวพุทธแทบทั้งนั้น จึงขอให้นำอรรถนำธรรมท่าน ไปปฏิบัติต่อตน ครอบครัว แล้วก็ส่วนรวม จนกระทั่งทั่วประเทศไทยของเรา น้อมนึก ถึงอรรถถึงธรรมของท่าน ท่านสอนว่าอย่างไร นี่เป็นสำคัญ เราอย่าปล่อยให้สิ่งที่เป็นภัยต่อพุทธศาสนา และต่อตัวของเรา คือกิเลสนั้นแลตัวเป็นภัยต่อธรรม และเป็นภัยแก่ตัวของเรา ซึ่งรวดเร็วมากที่สุด มันเกิดอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้เกิดอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นความเคลื่อนของใจ ออกไปด้วยการคิดปรุงในเรื่องต่างๆ จึงมักจะมีแต่เรื่องของกิเลสๆ ที่เป็นข้าศึกของตน แทบว่าโดยถ่ายเดียว เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา เมื่อมีธรรมแล้ว สิ่งเหล่านี้จะไม่ผาดโผนโจนทะยาน ถึงขนาดเอาฟืนเอาไฟมาเผาเราทั้งวันทั้งคืน เพราะความประพฤติของเรามากนัก
ธรรม คือ อะไร สติธรรม ขอให้มีสติระลึกรู้ในความผิดความถูก ที่แสดงออกจากใจ กาย วาจาของเรา
ปัญญาธรรม คือ ความรอบคอบในหน้าที่การงาน ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่ ส่วนไหนที่เป็นประโยชน์ ส่วนไหนที่เป็นความเสียหาย ให้คัดเลือกด้วยดี ตลอดถึงการประพฤติตัว เราทำอย่างไร เป็นความผิดถูกชั่วดีประการใดบ้าง ให้พินิจพิจารณาด้วยปัญญา สำหรับความคิดของเรา คิดดี หรือคิดชั่วต่อตน หรือต่อผู้อื่นก็ตาม เป็นเรื่องผิดทั้งนั้นถ้าเป็นคิดชั่ว ถ้าเป็นคิดดีแล้วก็ให้สั่งสมเอาไว้ ความคิดชั่วเป็นภัยทั้งแก่ตนและผู้อื่น ให้ปัดออกเสียด้วยดีๆ ตลอดไป นี่เรียกว่า ผู้มีธรรมในใจ
หลักใหญ่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า หลักกรรม กรรม คือ การกระทำดีชั่วของสัตว์โลก ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของผลแห่งกรรม เรามีอำนาจทำกรรมได้ ทำชั่วก็ทำได้ ทำดีก็ทำได้ แต่เมื่อทำลงไปแล้ว ผลของกรรมมีอำนาจบังคับเรา ให้เป็นผลชั่ว ตามที่ทำลงไปแล้ว และให้เป็นผลดี ตามที่ทำลงไปแล้วเช่นเดียวกัน
ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีใครมาตัดสินได้เลย อย่างที่โลกเขามีผู้พิพากษาศาลฎีกา ตัดสินคู่ความต่างๆ ซึ่งมนุษย์อยู่เป็นส่วนรวม ต้องมีผิด มีพลาด มีผู้ตัดสิน แต่เรื่องกรรมดีกรรมชั่วนี้ ต้องเป็นเรื่องของเราตัดสินเอง ตั้งแต่การกระทำเริ่มแรก ทำชั่ว ผิดหรือถูก เราเป็นผู้ตัดสินเอง เมื่อผิดแล้วตัดสินลงไปว่า อย่าทำ เมื่อถูกแล้วตัดสินลงไปว่า เอา ลงมือทำลงไป นี่เรียกว่า เราเป็นผู้ตัดสินเอง เป็นผู้พิพากษาเอง เมื่อเราพิพากษาด้วยสติปัญญาเรียบร้อยแล้ว เราก็ตัดสินลงไปด้วย การคิด การพูด การกระทำของเรา ไม่ค่อยผิดพลาดสำหรับผู้พิจารณาโดยอรรถโดยธรรม แล้วเป็นเครื่องตัดสินไปในตัว เป็นความราบรื่นดีงาม
จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำธรรมะไปปฏิบัติ หลักธรรมะนี้ คือ หลักกรรมเป็นพื้นฐานของสัตว์โลก ไม่มีสัตว์โลกรายใด ที่จะเหนืออำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วไปได้ ท่านจึงสอนให้ระวังการกระทำให้มากที่สุด นี้คือ ต้นเหตุแห่งฟืนแห่งไฟ คือบาป คือกรรม และต้นเหตุแห่งคุณงามความดี ซึ่งเป็นบุญเป็นกุศล
ให้พิจารณาดูจิตใจของเรา ซึ่งเป็นตัวเคลื่อนไหวไปทางดีทางชั่วอยู่ตลอดเวลา ได้แก่ ความคิดปรุงต่างๆ ความคิดนี้แหละ ท่านเรียกว่า ความปรุง ความคิดความปรุง คิดดี คิดชั่ว คิดขึ้นที่ใจ สติปัญญาคอยสอดส่องดูความคิดดีคิดชั่วของตน แล้ววินิจฉัยใคร่ครวญแยกแยะออก ในสิ่งที่ไม่ดี อย่าทำ ทำแต่สิ่งที่ดีงาม นี้เรียกว่า เราดำเนินถูกธรรม การดำเนินของเราก็เป็นกรรมที่ดีๆ
ท่านสอนว่า หลักใหญ่ที่ครอบสัตว์โลกอยู่ นี้คือว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดในสามแดนโลกธาตุนี้ จะเหนืออำนาจอานุภาพแห่งกรรม และผลของกรรมนี้ไปได้เลย ใครจะปฏิเสธ ลบล้างขนาดไหน ไม่มีทางที่จะลบล้างได้
พระพุทธเจ้าจึงยกขึ้นมาให้เป็นที่สะดุดใจของสัตว์ผู้นับถือพุทธศาสนา ว่าให้ระวังกรรมที่เป็นภัย เป็นภัยจากตัวเอง เป็นคุณจากตัวเองนี้แล อย่าไประวัง ดิน ฟ้า อากาศ ต้นไม้ ภูเขาอะไรมากยิ่งกว่าการระวังความผิด ที่จะเกิดขึ้นภายในตัวของเรา ให้ระวังตัวนี้ ถ้าทำตัวนี้ผิดแล้ว อะไรจะมาแยกแยะ มาตัดสินให้หลุดลอยไป จากบาปจากกรรมนั้นไม่ได้เลย
เราเป็นผู้ทำเอง และกรรมนั้นก็จะตัดสินลง ตามสิ่งที่เราทำไว้นั้น คือ บาป บาปนั้น คือ ความเศร้าหมองมืดตื้อ นำความทุกข์มาให้แก่ผู้ทำ บุญ คือ ความสุข ความสมหวังทั้งกายและทางใจ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ส่วนความชั่วก็มีความทุกข์ทั้งชาตินี้และชาติหน้าต่อไปตลอดการไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์
จึงขอให้พากันนำธรรมะนี้ไปวินิจฉัยใคร่ครวญ ปฏิบัติตามอรรถตามธรรม อย่าปล่อยให้แต่กิเลสมันลากมันถูไปทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เหมือนหนึ่งว่า ซุงทั้งท่อน ไม่มีจิตวิญญาณทั้งๆ ที่เรามีความรู้อยู่ เป็นตุ๊กตาที่มีความรู้นั้นละ ให้กิเลสลากถูไป อยากได้อะไรเป็นความคิดของกิเลส อยากรู้ อยากเห็น อยากกระทำ อยากทดลองสิ่งต่างๆ มีตั้งแต่ความอยาก ซึ่งเป็นตัวกิเลสนี้แหละ เมื่อความอยากนี้ปรากฏขึ้นแล้ว จึงไม่มีเวล่ำเวลาที่จะมาคิดว่า ความอยากอย่างนี้ผิดถูกชั่วดีประการใด แล้วก็ไหลไปตามมัน ส่วนมากจึงมีตั้งแต่เรื่องต่ำทราม มีตั้งแต่เรื่องความผิด ทำด้วยความอยากทำ ไม่มีธรรมในใจ ส่วนมากเป็นความผิด พูดไม่มีธรรมในใจ ส่วนมากเป็นความผิด คิดไม่สติปัญญาพินิจพิจารณา คิดทั้งวันทั้งคืน ผิดทั้งเพตลอดมา
จึงต้องเอาธรรมะเข้าเป็นเครื่องวินิจฉัยใคร่ครวญ เป็นเบรกห้ามล้อในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย แล้วเป็นคันเร่งในหน้าที่การงาน ที่ถูกต้องดีงาม เป็นผลเป็นประโยชน์ด้วยความเข้มแข็งหมั่นเพียร ส่วนเบรกนั้นห้ามในสิ่งที่ชั่ว ความชั่วนั้นเราทำแล้วจะไม่ไปอยู่ที่ไหน ท้องฟ้ามหาสมุทรกว้างแสนกว้าง ความทุกข์จะไม่ไปอยู่ในสถานที่เหล่านั้นเลย จะมาอยู่สถานที่ผู้สร้างผู้ทำขึ้นมา เช่น ตัวของเราเอง เราทำบาป กรรมที่เป็นบาปนั้นก็มาหาเรา ไม่ไปที่อื่น เราทำบุญๆ ก็มาหาเราไม่ไปที่อื่น ไม่มีสถานที่ใดที่เก็บบุญและบาปไว้นอกจากผู้ทำ ผู้ทำก็คือ ใจของเรานั้นแล เป็นผู้ริเริ่มขึ้นมา แล้วกระจายออกไปทางวาจาทางกาย ความประพฤติหน้าที่การงานผิดถูกชั่วดีประการต่างๆ ออกจากจิตใจของเรา
จึงขอให้พินิจพิจารณาด้วยดี ชาวพุทธอย่าปล่อยตัวจนเกินไป เสียคน เสียเรา เสียทั้งประเทศเราด้วย และไม่สมเชื่อสมนามว่า เราเป็นลูกชาวพุทธ ขอให้มีสติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญความผิดถูกชั่วดีที่มีประจำตน ซึ่งออกจากใจที่พร้อมเสมอ ที่จะคิดทาง ส่วนมากมักจะคิดทางชั่วมากกว่าทางดี นี่คิดเสมอ ปรุงเสมอ จากนั้นก็ฉุดลากทางวาจา ออกจากทางวาจา ทางกาย ทางความประพฤติเหลวแหลกแหวกแนว ไปจากจิตใจที่ต่ำทรามนี้แล ขอให้มีธรรมเข้าเป็นเบรกห้ามล้อในสิ่งเหล่านี้ จะสมเชื่อว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ
การที่จะเป็นคนดีไม่ใช่ถือว่า เราเป็นลูกชาวพุทธแล้วเป็นคนดีขึ้นมา ต้องพร้อมด้วยการประพฤติปฏิบัติตัว จึงจะเป็นคนดีขึ้นมา อย่างพระท่านบวช บวชแล้วต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของพระ ครองผ้าเหลือง โกนผม โกนคิ้ว เพศของพระเป็นชีวิตของพระ เป็นเครื่องหมายของพระ ให้โลกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น เราก็ต้องปฏิบัติตามแบบของพระ ทำแบบอื่นไม่ได้ ผิด
ทีนี้เราเป็นฆราวาส เป็นลูกชาวพุทธ เราก็ปฏิบัติตามความเป็นฆราวาสของเรา ให้มีศีลมีธรรม เจือปนกับจิตใจของเราไปทุกวี่ทุกวัน ก่อนจะหลับจะนอน ขอให้ไหว้พระเสียก่อน ไหว้ย่อๆ ตามกำลังของเราที่ได้มากได้น้อย พุทโธ ธัมโม สังโฆ อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน นี้คือธรรมอันเลิศ ซึ่งเราระลึกอยู่ในขณะไหว้พระ นี่เรียกว่า เราครองธรรมอันเลิศไว้แล้วในขณะนั้น จากไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้พากันทำความสงบใจ
ความสงบใจท่านเรียกว่า จิตตภาวนา พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกสำเร็จขึ้นมาด้วยการภาวนา พระสงฆ์สาวกที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานั้น ท่านสำเร็จขึ้นมาได้ด้วยการภาวนา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมล้นค่านี้ เกิดขึ้นได้จากการภาวนาของพระพุทธเจ้า แล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลก มีภาวนาเป็นพื้นฐานๆ ตลอดมา
แต่มาหลังๆ นี้รู้สึกการภาวนาจะล้าหลังๆ แทบจะไม่มีการภาวนาเลย จะมีเป็นเครื่องหมายของชาวพุทธเราแต่การให้ทาน การให้ทานนี้ มีอยู่ทั่วไปทุกภาคของเมืองไทย ไม่ได้มีการต้องติ นี่เป็นพื้นฐานของชาวพุทธ ที่มีความรักทานเป็นนิสัยสันดาน อันเป็นความถูกต้องดีงาม สมชื่อสมนามว่า เป็นลูกชาวพุทธโดยแท้
จากนั้นก็ให้พากันรักษาศีล เครื่องประดับอันที่สองนี้ สูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ รักษาศีลข้อที่เป็นภัยที่สุดในปัจจุบันทุกวี่ทุกวันที่ประสานกันอยู่นี้ ก็คือ
ปาณาฯ การฆ่า ให้ถือเอาจิตใจของเราเป็นสำคัญ แล้วจากจิตใจของเรา เอาเป็นตัวประกันให้เห็นประจักษ์ ตัวของเรารักชีวิตจิตใจที่สุด เต็มตัวของเรา เอา ลูกของเราลูกของเราก็รักชีวิต เราก็รักลูกของเรา ผัวของเรา เมียของเรา เป็นความรักเต็มตัวๆ อันนี้เรียกว่า เป็นสิ่งที่เรารักสงวนมาก ทีนี้เราคิดถึงสัตว์อื่น บุคคลอื่น เขาก็มีความรักเช่นนี้เหมือนกัน ย้อนเข้ามา เช่น เรากำลังรักตัวอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีเจตนา หากเป็นหลักธรรมชาติอย่างนั้น ลองมีผู้ใดผู้หนึ่งมาทำลาย มาฆ่าเรา หรือมาฆ่าลูกของเรา ที่เรารักมากๆ ฆ่าตัวของเรา ที่รักมากๆ เอา ฆ่าสามีภรรยาของเรา ที่รักมากๆ เป็นยังไง โลกแตกเลยทีเดียว
สมมุติว่าเรานั่งอยู่ในขณะนี้ มีผู้มาทำลายดังที่กล่าวนี้ เป็นยังไงโลกนี้ โลกแตก นั่นละพระพุทธเจ้าทรงประทานศีลข้อนี้ไว้ เพื่อให้จิตใจของโลก มีความร่มเย็น เห็นชีวิตของกันและกันมีคุณค่า ที่รักสงวนมากที่สุดคือ ชีวิตจิตใจ จึงต้องรักษาศีลข้อนี้ อย่าไปทำลายแตะต้องซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นการทำลายจิตใจกันอย่างมากทีเดียว นี่ละศีลข้อนี้เราเห็นได้ประจักษ์ ใครเดินอยู่ที่ไหนเป็นความรักตนๆ ตลอด แล้วสมบัติของตนติดอยู่กับตัวเรา ก็มีความรักเช่นเดียวกัน จึงไม่ต้องการให้อะไรมาแตะต้องเลย ของเขาก็เหมือนกัน มีน้ำหนักเท่ากัน ท่านจึงวางศีลข้อนี้ลงไป ให้เป็นความเสมอภาค ให้มีความเสมอภาคก็คือว่า อย่าแตะต้องทำลายซึ่งกันและกัน เพราะเป็นของรักของสงวนเต็มหัวใจเช่นเดียวกัน เมื่อต่างคนต่างรักสงวนอย่างนี้ตามศีลของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้แล้ว โลกก็สงบร่มเย็น นี่เป็นข้อที่หนึ่ง
ข้อที่สองก็เหมือนกัน ข้อที่สองคือ อทินนาฯ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเป็นสมบัติของเรา เรารักเราสงวน การที่จะมีผู้ใดผู้หนึ่งมาฉก มาลัก หรือมาจี้ มาบีบบังคับเราต่อหน้าต่อตานี้ เราจะเสียใจขนาดไหน เอาตัวของเราเป็นตัวประกันเลย อย่าไปเอาของผู้อื่นผู้ใด มาเป็นตัวประกัน มันจะไม่เด่นชัดเหมือนเอาเราเป็นตัวประกัน เรามีสมบัติมากน้อยถูกเขามาฉุด มาลาก มาแย่งชิงไปเป็นยังไง แม้แต่เงินบาทเดียวก็เสียใจ เงินบาทไม่ค่อยมีคุณค่ามีราคา แต่จิตใจนั้นแลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ตามฆ่ากันได้อย่างพินาศฉิบหาย เพราะความรักความสงวน ท่านจึงสอน อย่าทำใจกันให้กำเริบด้วยการฉก การลัก วัตถุก็เสียหายไป แต่จิตใจนี้เสียมากกว่าด้านวัตถุ นี่ละเป็นสำคัญ ท่านจึงให้รักษาสมบัติและจิตใจของกันและกัน อย่าให้จิตใจกำเริบ ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผากัน จะกลายเป็นโลกพินาศไปได้ ท่านรักสอนไว้อย่างนี้ เป็นยังไงศีลพระพุทธเจ้าสอน ทรงสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ ให้เหมาะสมกับจุดที่สัตว์รักสัตว์สงวนทุกอย่าง ให้อยู่เย็นเป็นสุข
ทีนี้การให้กันด้วยความพอใจ ดังพี่น้องทั้งหลาย นำเงิน ทองคำ ดอลลาร์มาถวาย เพื่อจะให้นำเข้าสู่คลังหลวงนี้ ให้เท่าไร ยิ่งมีความดีอกดีใจ เพราะให้ด้วยความเต็มใจ ให้ด้วยศรัทธา ให้เท่าไร ผู้รับไปก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ผู้ให้ก็มีความตื้นตันภายในจิตใจยิ้มแย้มแจ่มใสอบอุ่นเต็มหัวใจ นี่การให้กันด้วยเจตนา ไม่ว่ามากว่าน้อย เป็นความสุขใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผู้ให้ก็มีความสุขใจยิ้มแย้มแจ่มใส ผู้รับไปมากน้อย ก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส เช่น เรายื่นเงินหรือขนมให้เด็ก เด็กก็ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อเรา ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันด้วยนะ พอเห็นกัน นี่ละ วัตถุเครื่องเสียสละ เราให้ด้วยความพออกพอใจ ต่างฝ่ายต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้เหมือนผู้ที่ไปหาบีบบังคับเอา ให้จำเอา นี่คือสมบัติ ข้อนี้เป็นสำคัญมาก
นี่ศีลที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขต่อเรา ซึ่งเป็นสัตว์หมู่สัตว์พวก สัตว์อยู่คนเดียวไม่ได้ อยู่ที่ไหน ต้องมีหมู่มีพวก มีบ้าน มีเรือน มีคณะเต็มไปหมด มนุษย์เรานี้ขี้ขลาดกว่าสัตว์เขา สัตว์เขาอยู่ตัวเดียว เขาก็อยู่ได้ เช่น อย่างแมว อย่างเสือ อย่างสัตว์ในป่า เขาไม่ค่อยมีเพื่อนมีฝูง สัตว์บางชนิดก็มีเพื่อนมีฝูง มนุษย์เรานี้รวมเลย ทั้งประเทศทั้งโลกต้องเป็นสัตว์ขี้ขลาด อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องหาเพื่อนหาฝูงแล้วหาครอบครัว เหย้าเรือน ตั้งบ้าน ตั้งเรือน ตั้งอำเภอ จังหวัด มณฑล ตั้งขึ้นเป็นชาตินั้นชาตินี้ เป็นแห่งๆ แล้วมีเขตมีแดนรักษาไว้ นี่คือมนุษย์ขี้ขลาดเป็นอย่างนี้ ไม่ได้เหมือนใคร มนุษย์ขี้ขลาดกว่าสัตว์ทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงให้เห็นอกเห็นใจในความขี้ขลาดของตน มนุษย์เราขี้ขลาดด้วยกันทุกคน เมื่อเป็นอย่างนั้นต้องเห็นใจกันในความขี้ขลาดของกันและกัน อย่าไปทำให้เสียอกเสียใจ นี่ประการหนึ่ง
ที่พูดถึงเรื่องความขี้ขลาด มาจากไหนก็ไม่รู้แหละ หลวงตาหลงลืม เดี๋ยวนี้เทศน์หลงหน้าหลงหลัง จับหน้าใส่หลัง จับหลังใส่หน้า จึงขออภัยจากท่านผู้ฟังทั้งหลาย เทศน์เวลานี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว หลงหน้าหลงหลัง เทศน์มาถึงจุดนี้ ก็เลยไม่ทราบว่า เอาเรื่องอะไรมาเทศน์
นี่มาอยู่ในจุดนี้แล้วมาลงในศีลข้อ ๓ นี้ละ ผัวให้เห็นใจเมีย เมียให้เห็นใจผัว อันนี้สำคัญมาก ทองคำก้อนเท่าหัวก็ตาม ถ้าเป็นผู้หญิงก็ทองคำก้อนเท่าหัว สู้ผัวคนเดียวไม่ได้ ทีนี้ทองคำก้อนเท่าหัว สู้เมียคนเดียวไม่ได้ นี่ละเมื่อเห็นกัน รักกัน ตกแต่งลงใจกันแล้ว เป็นผัวเป็นเมีย เรียกว่าถูกต้องตามขนบประเพณีของมนุษย์เราที่มีธรรมในใจ แล้วให้รักให้สงวนกัน อย่าแบ่งจิตแบ่งใจเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นการสร้างฟืนสร้างไฟ หรือสร้างหอกสร้างหลาวทิ่มแทงหัวอกอีกฝ่ายหนึ่ง ถึงขนาดจะสลบๆ ไปทั้งๆ ที่ไม่ตาย สลบๆ เพราะความเจ็บปวดแสบร้อนมากที่สุด ได้แก่ คู่ครองของตน ตีตัวออกไปเป็นโจร เป็นผู้ร้าย นำหอกนำหลาวเข้ามาทิ่มแทงตนเอง คือผัวไปหาภรรยาใหม่ เมียไปหาสามีใหม่ หรือเป็นแบบไหนก็ตามเถอะ เป็นเรื่องแยกจากกัน แบบเป็นโจรเป็นมาร ในความเป็นผัวเป็นเมียกันอย่างนี้แล้ว เสียหายมาก ขอให้พากันรักษาศีลข้อที่ ๓ นี้ไว้
การที่ท่านกล่าวไว้ว่า กาเมสุ มิจฉาจาร คือท่านเห็นความสำคัญของธรรมข้อนี้ เฉพาะอย่างยิ่งสามีภรรยาต้องให้มีความกลมกลืน มีความรัก มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พึ่งเป็นพึ่งตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน นี่คือบ่อแห่งความสุขของสามีภรรยา ผู้มีธรรม กาเมสุ มิจฉาจาร ครองหัวใจ
หากจะบกพร่องขาดเขินในเรื่องสมบัติเงินทอง โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง แต่ศีลธรรมที่มีความจงรักภักดีต่อกัน ซื่อสัตย์สุจริตต่อกันนี้เป็นสมบัติอันล้นค่า อบอุ่นตลอดเวลาไม่มีบกบาง สมบัติเหล่านั้นได้มาเสียไป มันเป็นเหมือนเราๆ ท่านๆ ทั่วๆ ไป อย่างไรอย่าสร้างความเสียหายความเจ็บแสบใส่หัวอกกัน นี้ละสำคัญมาก
ขอให้ท่านทั้งหลายรักษาอันนี้ ให้ให้ดี อย่าห่างเหินสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่อยากเจอไฟเผาตัวเอง เผาผู้อื่น ผู้ที่ว่าตัวได้เปรียบไปหาขโมยเมียได้ ไปหาขโมยจากผัวได้อย่างนี้จะว่าเป็นคนดี นั้นเปรตทั้งเป็นนั่น อย่าพากันฝ่าฝืน
ไม่มีใครเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดา ในความเฉลียวฉลาดครอบโลกธาตุ สมควรที่เป็นศาสดาสอนโลกได้ ท่านจึงมาสอนโลก ท่านสอนตรงไหน จะไม่ผิดเลย นี่แหละเรื่องศีลเป็นอย่างนี้ ข้อที่ ๑. ข้อที่ ๒. ข้อที่ ๓. มีแต่เรื่องสำคัญๆ ทั้งนั้น แล้วเราเป็นลูกชาวพุทธ ไม่ถือศีลเหล่านี้เป็นของสำคัญ เราก็เท่ากับเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เป็นหมู เป็นหมา ไม่ทราบว่าผัวอยู่ไหน เมียอยู่ไหน ไปที่ไหนสวมได้สวมใส่เหมือนหมาเดือนเก้าเดือนสิบสอง นี่คนไม่มีศีลมีธรรม ลดตัวลงได้ขนาดนั้น จิตใจต่ำทราม มีขาดอยู่ที่ว่า ไม่มีหางเหมือนหมา ก็เสียตรงนี้อีก เห็นไหมเวลามันเสีย เสียไปหมด
ขอให้ท่านทั้งหลายรักษาศีลธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วท่านทั้งหลายจะเย็นใจ เย็น พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนโลกให้มีความล่มจมเสียหายแต่อย่างใด แม้นิดหนึ่งก็ไม่มี มีแต่เรื่องกิเลส มันคอยสอดคอยแทรก ก่อกวนและทำลายผู้มีศีลมีธรรม ให้จืดจางว่างเปล่าจากศีลจากธรรม แล้ววิ่งไปตามมัน แล้วไปกอบโกยเอาฟืนเอาไฟ เอาหอกเอาหลาว มาทิ่มแทงหัวอกกันเท่านั้น ให้พากันรักษาให้ดีทุกคน
พ่อแม่เป็นคนดิบคนดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ฝากเป็นฝากตาย ประหนึ่งว่าเป็นอวัยวะต่อกัน ลูกเต้าหลานเหลนเกิดขึ้นมามองดูพ่อดูแม่ยิ้มแย้มแจ่มใส วันไหนได้เห็นพ่อแม่มีหน้าบึ้งใส่กันแล้ว วันนั้นลูกไปเรียนหนังสือ ก็ไม่ได้ศัพท์ได้แสง แล้วยิ่งมีทะเลาะกันระหว่างพ่อกับแม่ด้วยแล้ว เด็กไม่เป็นหน้าเป็นหลังเลย เสียอกเสียใจ ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา นั่งเหม่อนั่งมอง ไม่พูดไม่จา ความจริงเอาเรื่องของพ่อของแม่ที่เป็นฟืนเป็นไฟเผากันมาเผาหัวอกตัวเอง จนกระทั่งเรียนหนังแส่หนังสือไม่ได้เรื่องได้ราว นี่ให้พากันจำ มันไม่ได้เสียแต่เรา ลูกเต้าหลานเหลนเสียไปหมด
ถ้าเราเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เป็นอวัยวะอันหนึ่งอันเดียวกัน สมกับเราเป็นลูกชาวพุทธแล้ว ก็เป็นแบบพิมพ์อันดีแก่ลูกเต้าหลานเหลนของเรา เกิดขึ้นมาเห็นพ่อเห็นแม่เป็นคนดี ลูกก็เป็นคนดีสืบทอดกันไป นี่ละเพียง ๓ ข้อนี้ ซึ่งเป็นความสำคัญมาก ในชาวพุทธเราทั่วๆ ไป
จึงควรนำไปปฏิบัติ เทิดทูนพระพุทธเจ้าด้วยธรรมข้อนี้ ท่านทั้งหลายจะได้สิ่งตอบแทนอันเลิศเลอ คือ ความสุข ความเจริญ ความอบอุ่นต่อกันระหว่างสามีภรรยา ไม่ระแคะระคายซึ่งกันและกัน ใครจะไปทำงานนอกบ้านในบ้าน หารายได้ที่ไหนๆ ตามประเภทของสัตว์โลก ที่ต้องหาอยู่หากิน ใกล้ไกลไปมาแล้ว ไม่มีอะไรกัน เพราะเด็ดขาดแล้วด้วยศีลของพระพุทธเจ้าตัดขาด.ไปที่ไหนไปเจอผู้ชายกี่คนเต็มโลกก็ตาม ชายเหล่านี้เต็มโลก ไม่ใช่ผัวของเรา เท่านั้นพอ หญิงเต็มโลกเหล่านี้ไม่ใช่เมียของเรา เมียของเราเป็นยังไงก็รู้แล้ว เท่านั้นตัดขาดสะบั้นไปเลย อันนี้เป็นสิ่งที่ตัดขาด นี่ละคือฟืนคือไฟ คือหอกคือหลาว จะมาเผาซึ่งกันและกัน ตัดขาดสะบั้นไปทั้งสองฝ่ายเลย มีสามีภรรยาเท่านั้นเป็นของเรา เมียของเรา ผัวของเรา ที่เราจะรับผิดชอบฝากเป็นฝากตายกันตลอดไป นอกนั้นไม่รับผิดชอบ นอกจากเป็นกาฝากๆ เข้ามากัดตับกัดปอดเรา ให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนเท่านั้น
จึงขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ เราเป็นลูกชาวพุทธ เวลานี้รู้สึกว่าห่างเหินต่อธรรมของพระพุทธเจ้ามากมาย การห่างเหินจากธรรม จะมีความเลวทรามต่ำช้าลงไปโดยลำดับนะ เราอย่าเข้าใจว่า การห่างเหินจากศีลจากธรรม จะได้รับความสุขความเจริญรุ่งเรืองไปโดยลำดับ ไม่มีทาง ต้องมีธรรมเข้าแทรกเสมอ หน้าที่การงานของเราอะไรให้มีธรรมแทรกเสมอ
ไปเรียนหนังแส่หนังสือ เป็นเจ้าเป็นนายมา ได้ความรู้มากน้อย อันนั้นเป็นความรู้ของวิวัฏจักร เป็นความรู้ของคนมีกิเลส เรียนออกมาจากแหล่งแห่งกิเลสทั้งหลาย เอามาใช้สำหรับผู้มีธรรม ความรู้ทั้งหลายนั้นเป็นประโยชน์ ถ้ามีธรรมนำมาใช้ ถ้าปล่อยให้ความรู้นั้น ซึ่งกิเลสผลิตให้แล้วมาพาทำประโยชน์ มันไม่ได้ทำประโยชน์นะ มันกลายเป็นโทษไปหมด เรียนมามากมาน้อยเผยอเย่อหยิ่งไปทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วลืมเนื้อลืมตัว
หน้าที่การงาน ทีแรกๆ ก็ว่าดิบว่าดี ครั้นต่อไปความรู้วิชามีมาก มันก็มีวิชาทางหนึ่งอีก ที่จะแหวกแนวไปทำความเสียหายแก่ส่วนรวม หรือวงงานของตน เลยกลายเป็นเสียไปทั้งประเทศ เจ้าหน้าที่ในแต่ละวงงานๆ หรือเจ้านายในแต่ละวงงานๆ ที่ไม่มีอรรถมีธรรมภายในใจ มักจะทำความเสียหายแก่พี่น้องชาวไทยเราทั่วๆ หน้ากัน เพราะไม่มีธรรมภายในใจ ถ้ามีธรรมภายในใจแล้ว จะไม่ทำ เรียนความรู้มามากน้อยนั้น เพื่อเป็นประโยชน์ในหน้าที่การงาน ที่นำความรู้นั้นมาประกอบ ผลิตอะไรขึ้นมาจากหลักวิชานั้นๆ ทำตัวให้เป็นคนดีเสมอๆ นี่เรียกว่า ธรรม ธรรมย่อมไม่ลืมตัว
เราเป็นนายเขา ก็เท่ากับเราเป็นพ่อเป็นแม่ของลูกในบ้านนั้นแหละ อะไรได้มาๆ ต้องมอบให้ลูกก่อน ลูกได้กินอิ่มแล้ว พ่อแม่ค่อยกิน เศษเดนเหลือเท่าไรพ่อแม่ค่อยกิน ลูกต้องกินก่อนๆ นี้เป็นขนบประเพณีของโลกที่มีความรักกัน มีความสม่ำเสมอของผู้ใหญ่ผู้น้อยที่อยู่ร่วมกัน เราเป็นพ่อเป็นแม่ได้อะไรมา ต้องถือลูกนั่นละเป็นข้าหลวงใหญ่ เป็นผู้ว่าราชการครอบครัวใหญ่ทีเดียว ได้มาอะไรคว้ามับๆ ยิ่งเป็นเด็กเท่าไร นั่นแหละผู้ว่าใหญ่อยู่นั้นนะ แล้วโตขึ้นมา ก็รองผู้ว่า โตขึ้นมาอีก ก็ปลัดจังหวัด แล้วโตขึ้นมาอีก ก็เป็นนายอำเภอ เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเรื่อยๆ ไป แล้วก็มาลงที่จุดว่า เป็นผู้ใหญ่บ้าน ทีนี้ถือสิทธิ์ ระหว่างพ่อแม่กับลูกมาถือสิทธิ์ตอนนี้แหละ
ไอ้เราเป็นนาย เราไม่ถือ ใหญ่เท่าไรยิ่งให้ความร่มเย็น เอา อดก็อดเถอะ เราเป็นเจ้าเป็นนายถึงขนาด อดอยู่อดกิน ไม่มีอะไรกิน แล้วประชาชนเขาเป็นคนเหมือนกัน เขาจะเอามาให้ ดีไม่ดีผู้ที่จะอดอยากขาดแคลนเพราะการยอมเสียสละนี้ กลายเป็นผู้มั่งมีศรีสุข ทั้งสมบัติเงินทองจะค่อยเป็นมาเองจากผู้น้อยทั้งหลาย คือ ประชาชนราษฎร แล้วเขาจะยิ่งเห็นอกเห็นใจ ดูดดื่มกับเรา ไปที่ไหนเขาเคารพบูชา มีความรักความเคารพบูชาตลอดไป
นี่แหละผู้มีธรรมภายในใจ เป็นผู้ใหญ่เท่าไร ยิ่งสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ผู้น้อย ถ้าไม่มีธรรมแล้ว กลับตาลปัตร ใหญ่เท่าไร มันใหญ่ไปทางไม่ถูก แฉลบๆ ออกนอกลู่นอกทางไปเสีย ธรรมจึงเป็นของจำเป็นนะ ผู้มีธรรมอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ในวงงานต่างๆ นี้สะอาดสะอ้าน ไว้ใจกันได้ๆ เอา ท่านตั้งให้เป็นอะไร เป็นค่าจ้างรางวัลเท่าไร เอ้า เอาตามนั้น หน้าที่การงานของเรา เราทำตามหน้าที่การงาน จะอดก็ให้อด ให้ได้เห็นเสียที เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยของเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ ข้าราชการต่างๆ ปฏิบัติต่อผู้น้อย จนกระทั่งถึงเจ้าของไม่มีอะไรจะกินนี้ เราก็ยังไม่เคยเห็น มีตั้งแต่ส่วนมากก็ผู้ใหญ่นั่นละ สะแตกเอาเสียจนท้องป่องท้องเป้งไปหมด แล้วลูกน้องทั้งหลายไม่มีตับมีปอด นี้เคยเป็นมาอย่างนี้ตลอด จนกระทั่งเมืองไทยเราจะล่มจม เพราะความชั่วช้าลามกเห็นแก่พุงของตัวเองนี้มันเด่นขึ้น จนกระทั่งเอาคนทั้งชาติให้จมได้ไม่มีเหลือ จึงต้องได้พากันฟื้นขึ้นมาดังที่เห็นๆ กันอยู่นี้แหละ
ให้พากันนำธรรมเข้าไป นั้นคือขาดธรรม มันมีแต่ความโลภๆ ได้เท่าไรไม่พอๆ นี้คือกิเลส ถ้าธรรมแล้วต้องมองดูเขาดูเรา เด็กเกิดมาก็มีปากมีท้อง ผู้ใหญ่เกิดมามีปากมีท้อง คนทั่วโลกมีปากมีท้อง แม้ที่สุดหมาในบ้านที่เราเลี้ยงไว้ มันก็มีปากมีท้อง มันต้องอาศัยกินจากเรา เมื่อคิดเห็นอย่างนี้แล้วเฉลี่ยเผื่อแผ่ เอา ควรอดๆ บ้างไม่เป็นไร เป็นผู้ใหญ่มันไม่มีอะไร แต่จิตใจเย็นนะ
คนอดประเภทธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ให้ได้อด แต่มันไม่อด ถ้าเป็นไปตามธรรมแล้ว ใครๆ เขาก็เห็นใจ เราทำชั่วเขาก็เห็น ทำดีทำไมเขาจะไม่เห็น นี้ละยิ่งพอกพูนขึ้นมา ผู้ที่ว่าจะจมด้วยการเสียสละเพื่อเพื่อนฝูงบริษัทบริวารนี้กลายเป็นผู้ชุ่มเย็น ทั้งสมบัติเงินทองก็หากมีมาเอง แล้วบุญกุศลหรือความชุ่มเย็นก็แผ่กระจายออกไป ที่ไหนเขาเคารพบูชา กราบไหว้ตลอดมา นี่พูดถึงเรื่องศีล ข้อที่๓. เจือกับธรรมไป กระจายไป
ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ขออย่าให้ห่างเหินจากธรรม โลกนี้ห่างเหินจากธรรมไปเท่าไร ถ้ามีแต่กิเลสนี้ นับวันเหือดแห้งนะ จะมีสมบัติเงินทองกองเท่าภูเขา ก็มีแต่ชื่อแต่นามกองเงินกองทอง แต่หัวใจแห้งผากด้วยความดีดความดิ้นจากอำนาจแห่งความโลภ ได้มาเท่าไรไม่พอ ทีนี้ก็ไปหารีดหาไถด้วยกลมายาต่างๆ จากผู้อื่นนั่นแหละ แล้วกอบโกยเอามา ครั้นเวลาตายแล้วกระดูกก็ไม่ได้เอาไปนะ สมบัติเงินทองก็เป็นเศษวัตถุต่างๆ อยู่อย่างนั้น ตายลงไปแล้วเศรษฐีคนนั้นก็เหมือนคนทั่วๆ ไป เป็นซากอสภอยู่งั้น เอาโลงผีไปใส่ ก็มีเท่านั้นเอง สมบัติเงินทองข้าวของเขาไม่เห็นมีความหมาย ขาดสะบั้นไปตั้งแต่ขณะลมหายใจขาด ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วพวกนี้จะมีตั้งแต่ความทุกข์ความร้อน สมบัติเงินทองนั้นเรียกว่ากลับตาลปัตร เป็นโลกใหม่ขึ้นมา สวมวิญญาณเปรตวิญญาณผีเข้ามาเศรษฐีคนนั้น เพราะสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก วิญญาณเปรต ผี วิญญาณของบาปของกรรม ที่ตนสร้างนั้นแลสวมเข้าทันที ควรจะได้เป็นเปรตก็เป็น เป็นผีประเภทใดก็เป็น ควรจะตกนรกหมกไหม้ตรงไหน อำนาจแห่งกรรมชั่วของตัวเองนั้นแหละ จะจับไสลงไป ดังที่ท่านแสดงไว้ในธรรมทั้งหลาย
นรกว่างเมื่อไรสัตว์โลก เพราะเหตุไร ก็เพราะความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ความโลภ สร้างแต่ความชั่วช้าลามก เวลาตายแล้วไปไหน ความชั่วช้าลามก มันก็เกิดกับผู้สร้างนั่นน่ะ ไปไหน ลงนรกๆ เรายังปฏิเสธว่า นรกไม่มี พวกนี้พวกเขียนใบสมัครนะ ผู้ใดว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นี้คือผู้ที่เขียนใบสมัคร จะลงนรกอย่างไม่ถอยหลังเลย ถ้าผู้ใดกลัวบาปเสาะแสวงหาบุญ กลัวนรก มีความยินดิบยินดีต่อสวรรค์พรหมโลก ผู้นี้เรียกว่า เขียนใบสมัคร จะเข้าสู่ความสุขความเจริญ ตามธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ผิด
ขอให้ท่านทั้งหลาย นำไปวินิจฉัยใคร่ครวญตัวเอง อย่าไปหาลบตั้งแต่นรกๆ มันเป็นการเขียนใบสมัครลงนรกโดยไม่รู้ตัวๆ กัน การว่าทำความชั่วไม่เป็นบาป นั้นแหละเป็นเรื่องราวที่จะเขียนใบสมัครลงนรกด้วยกันทั้งนั้น
ใครจะพูดให้ถูกต้องยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกไม่มี ในโลกอันนี้ มีศาสดาองค์เดียว อย่างปัจจุบันนี้ก็คือ พระสมณโคดม คือพระพุทธเจ้าของเรา ทรงสร้างพระบารมีมา ๔ อสงไขยแสนมหากัป จึงได้บรรลุธรรมเป็นศาสดา สอนโลกด้วยความสมบูรณ์พูนผล เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลกตลอดทั่วถึงไปหมด สามโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรที่จะปิดบังพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าได้ ทรงหยั่งทราบไปหมดทั้งดีทั้งชั่ว แม้ที่สุดสัตว์ตัวหนึ่งที่เป็นบาปเป็นกรรมไปตกนรกหมกไหม้นี้ พระองค์ทรงทราบหมดว่า สัตว์ตัวที่ตกนรกหมกไหม้นี้ ได้สร้างกรรมใดมาแต่ก่อน
เช่นเดียวกับนักโทษ เขาไปติดคุกติดตะราง เขามีสาเหตุมายังไง เขาจึงไปติดคุก ติดตะราง มีการฉก การลัก การปล้นในแง่ต่างๆ มีสาเหตุมาด้วยกันๆ นี่เจ้านายของนักโทษรู้กันๆ พระพุทธเจ้าทรงทราบกรรมของเปรต ของผี ของสัตว์ทั้งหลาย ที่เสวยกรรมอยู่ในที่ต่างๆ เป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์นรกหลุมต่างๆ นี้ทรงทราบได้หมดว่า เปรตตนนี้ ผีตนนี้ สัตว์นรกรายนี้มันทำกรรมอะไรมาถึงได้มาตกนรกนี้ พระองค์ทรงทราบหมด นั่นละเอียดลออไหม เรายังจะปฏิเสธอยู่หรือว่านรกไม่มีๆ ยังเก่งกว่าศาสดา เหยียบหัวพระพุทธเจ้าทั้งๆ ที่เราปฏิญาณตนว่า เราเป็นลูกชาวพุทธ มันไม่ใช่ลูกชาวพุทธ มันลูกชาวผี มันกำลังจะเป็นผีอยู่นั้นน่ะ จะตกนรก ถ้าไม่เชื่อคำของพระพุทธเจ้าแล้วก็เป็นผีไปเลยแหละ
ถ้าเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว วิญญาณของเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมจะสวมทันที พอขาดใจตายเท่านั้น วิญญาณแห่งเทวบุตรเทวดาพรหมโลกจะมาสวมใจของคนผู้มีบุญ แล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ ตามอำนาจแห่งกรรมดีของตน ที่มีมากน้อยเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงพรหมโลก ผู้ที่เชื่ออย่างถึงใจ ปฏิบัติตนให้ถึงพริกถึงขิง ฆ่ากิเลสตัวเป็นภัยแก่จิตใจของตนให้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ ผู้นั้นเป็นผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ พ้นแล้วจากความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่บรมสุขล้วนๆ กับใจที่บริสุทธิ์ พุทโธ นี่เท่านั้น ดังพระพุทธเจ้า พระสาวก
นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา ท่านไม่ได้สอนด้วยความเป็นคนจนนะ ท่านไม่ได้สอนให้เราเป็นคนโง่ ให้เราคิดให้ดีนะ ไอ้เรานี่มันอวดรู้อวดฉลาด ก็เลยอวดฉลาดยิ่งกว่าศาสดา ยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม ผู้นี้แหละผู้ที่มันจะสังหารตนเองทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย มีแต่ประมาท ใครจะฉลาดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เรายังยกตนขึ้นไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ว่าเรานี้ฉลาดๆ พระพุทธเจ้าว่ายังไง ไม่ยอมฟัง นี่คือว่าฉลาดกว่าพระพุทธเจ้า ท่านว่า บาปมี มันก็ไม่ฟัง บาปมี มันก็ไม่เชื่อ บุญมี ไม่เชื่อ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า คือเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปโดยลำดับ ตลอดนรกสวรรค์ถึงนิพพาน ธรรมทั้งหมดที่พระองค์ทรงสอนโลกด้วยความบริสุทธิ์มาตลอด และรื้อขนสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับลำดามากต่อมาก สิ่งเหล่านี้ไม่มีผล พวกนี่ไม่ยอม คือพวกนี้จะเอาตั้งแต่บาปแต่กรรม ที่ตนเข้าใจว่าไม่มีๆ นั่นแหละ ตายแล้วจมลงนรก มันเป็นยังไง
พระพุทธเจ้าตกนรกไหม ศาสดาของโลกเคยไปตกนรกไหม เป็นศาสดาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ตกนรกที่ไหน นิพพานๆ บรมสุข สาวกทั้งหลายผู้นำธรรม สืบทอดมาจากพระพุทธเจ้ามาสอนโลก ก็นิพพานๆ ทั้งนั้นๆ ใครไปตกนรก ไม่มี ไอ้พวกที่ดื้อด้านหาญธรรมที่เก่งๆ นี่ ในสมัยปัจจุบันนี้กิเลสมันหนา มันสร้างคนให้เก่งในทางความชั่วช้าลามก กลายเป็นคนหน้าด้านต่ออรรถต่อธรรมไป มีมาก นี่แหละพวกที่เขียนใบสมัครที่จะลงนรก
ให้เราดูเราทุกคนนะ หลวงตาไม่ได้พูดเล่นๆ เรายอมธรรมพระพุทธเจ้ามาแล้วจึงได้มาพูด เราปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านี้อย่างถึงใจ ทำตามธรรมที่ทรงสอนไว้แล้วด้วยความถูกต้อง เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมๆ ไม่มีเว้นเลย ไม่มีคำว่าผิด ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นี้ก็ได้ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ
ทางด้านจิตตภาวนานี้สำคัญมาก เรื่องศีลเราก็มีแล้ว ตั้งแต่วันบวชสมบูรณ์แบบตลอดมา สมาธิปัญญาอบรมเรื่อยเข้าไป ไม่หยุดไม่ถอย จิตมีความสงบแน่วแน่ นี่เห็นไหมล่ะ เชื่อแล้วนี่ เมื่อได้เห็นเข้าไป เชื่อเข้าไป สมาธิคือ ความสงบเย็นจากการภาวนาของเรา แล้วไม่เชื่อพระพุทธเจ้าอย่างไร ทรงสอนสมาธิโดยแท้ จะไม่เชื่อได้ยังไง จากสมาธิแล้วก้าวเดินไปถึงขั้นปัญญา ขั้นปัญญารู้สว่างไสวกระจ่างไปๆ เต็มภูมิของตัวเอง โลกธาตุนี้ว่างไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย นี่ใครสอน เราปฏิบัติตามนั้น รู้ตามนั้นแล้ว แล้วไม่ยอมพระพุทธเจ้า จะยอมใคร เพราะฉะนั้นจึงมาสอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ด้วยความ จะว่าองอาจๆ เหนือสมมุติไปหมด องอาจกล้าหาญชาญชัยทุกอย่าง เพราะมันเต็มอยู่ในหัวใจเราแล้ว จะไปสะทกสะท้านอะไร
ใครจะว่าโอ้ว่าอวด ว่าโกหกมดเท็จ ก็เป็นเรื่องปากหมา มันอยู่ในมูตรในคูถ มันขึ้นมาเห่า ว้อๆ คือปากกิเลสเข้าใจไหม เห่าว้อแล้วก็ลงไปกินส้วมกินถานตามเดิม ธรรมนั้นไม่ได้เป็นส้วมเป็นถาน ผู้แสดงธรรมผู้ปฏิบัติตามธรรม ไม่ได้เป็นหมา พอที่จะอยู่ในส้วมในถาน พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในส้วมในถาน สาวกทั้งหลายไม่ได้อยู่ในส้วมในถาน อยู่บรมสุข ธรรมสอนออกมาก็เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว นี่มันควรที่จะตายใจด้วยกันนะมนุษย์เรา เราเป็นลูกชาวพุทธ ให้พิจารณาเจ้าของให้ดี อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ วันหนึ่งๆ อยู่สืบวันสืบคืน ไม่ทราบจะตายที่ไหน ไปที่ไหน เวลามาถามหาหัวใจเจ้าของ ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ร้อนวูบๆ นี่เป็นยังไง คือมันมีตั้งแต่ความชั่ว หาหลักยึดไม่ได้มันก็ร้อนซีคนเรา เมื่อตั้งใจปฏิบัติให้ดี มันอบอุ่น นี่แสดงให้ท่านทั้งหลายฟัง
นี่ละที่นำพี่น้องทั้งหลายมาห้าหกปี นำด้วยความอิ่มพอทุกอย่างแล้วนะ ไม่ได้นำด้วยความหิวโหย ท่านทั้งหลายบริจาคมาแล้ว หยิบของคนนั้น หยิบของคนนี้ มาใส่พุงตัวเอง หลวงตาบัวชี้นิ้วเลย บาทหนึ่งไม่เคยมี บริสุทธิ์ถึงขนาดนั้น เพราะช่วยพี่น้องทั้งหลายด้วยความเมตตา แล้วหัวใจก็สุดส่วนแล้ว พอทุกอย่าง ไม่เอาอะไร สามแดนโลกธาตุนี้ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงมาเป็นเวลา ๕๔ ปีนี้แล้ว ท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่เชื่อ หรือจะเชื่อแต่กิเลส ถ้ากิเลสว่ายังไงเชื่อตาม ๆ ถ้าว่าอรรถว่าธรรมผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ผลแห่งความดีงามมานี้ มาพูด ฟังไม่ได้ๆ พวกถังกิเลส จะเป็นอย่างนั้นหรือเวลานี้ พิจารณาซิ นี่ปฏิบัติมาอย่างนั้น ถ้าหากไม่เชื่ออย่างนั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่มี หมดในหัวใจของเรา ก็มีแต่สัตว์ไม่มีหางเท่านั้นแหละเต็มอยู่นี่ จะว่ายังไง ไปที่ไหน มีแต่สัตว์ไม่มีหาง ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วนี้ เรียกว่า สัตว์หางด้วน ไม่มีหาง คือ สัตว์มนุษย์ ถ้าเป็นสัตว์แบบหมามันก็มีหาง ควายก็มีหาง วัวก็มีหาง สัตว์มนุษย์นี้ไม่มีหาง ตัวนี้ตัวเก่งมาก ตัวหยาบโลน เหยียบหัวพระพุทธเจ้ามา ด้วยความไม่เชื่อถือทุกอย่าง แล้วจะเชื่อถือตั้งแต่กิเลสตัณหาโดยถ่ายเดียว พาจมๆ
ท่านทั้งหลายฟังหรือยัง หลวงตานี้สอนพี่น้องทั้งหลายนี้ สอนด้วยความอิ่มพอทุกอย่าง ไม่ได้สอนด้วยความลูบๆ คลำๆ ธรรมที่นำมาสอนนี้ ถอดออกมาจากหัวใจที่ได้ปฏิบัติมา รอดล้มรอดตาย รู้เห็นเหตุผลกลไกอะไร จนกระทั่งรู้เต็มหัวใจหายสงสัย จะตัวเท่าหนูก็ตาม หนูเต็มตัว พระพุทธเจ้าเป็นช้างเป็นราชสีห์ทั้งพระองค์ก็ตาม ท่านเป็นช้าง เราเป็นหนู เราก็เต็มตัวของหนูเรา ไม่ได้ขาดบาท ขาดตาเต็ง เป็นหนูเต็มตัว
ธรรมเต็มหัวใจเรา เราสอนได้เต็มหัวใจ กราบพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจของหนู จึงได้มาสอนท่านทั้งหลาย ไม่มีความสะทกสะท้าน สอนตามที่มีอยู่ พระพุทธเจ้าว่ายังไง ยอมรับๆ มันรู้มันเห็นอยู่นี้ ไม่ยอมรับได้ยังไง แล้วเราจะฝืนได้ยังไง ถ้าไม่อยากตกนรกทั้งเป็น นี่เราได้ปฏิบัติมาเป็นอย่างนี้
เริ่มต้นตั้งแต่จิตว้าวุ่นขุ่นมัว ฟัดกันกับกิเลสนี้ โถ กิเลสมันเป็นมหาภัย เวลามันมีกำลังมาก ฟัดเรานี้หงายหมาๆ สู้มันไม่ได้ ครั้นเวลาเรามีกำลังขึ้นด้วยมุมานะที่จะซัดกับกิเลส เอาไปๆ กิเลสก็หงายหมาให้เราเห็นได้เหมือนกัน สู้เราไม่ได้ ฟัดเข้าๆ ต่อจากนั้นกิเลสมีแต่หงายเรื่อยๆ มีมากมีน้อย ฟาดลงแหลกๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ ไม่มีอะไรเหลือ โลกธาตุหวั่นไหวภายในหัวใจจ้าขึ้นมา เป็นยังไงธรรมพระพุทธเจ้า มีไหมมรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี หรือมีตั้งแต่กิเลส มันมาปักมาปันเอาหรือมาให้คะแนน มาตัดคะแนนอย่างนั้นหรือ นี่เราเอากิเลสเป็นศาสดาหรือ ถ้าเอาธรรมเป็นศาสดาต้องฟังเสียงธรรมพระพุทธเจ้าซี ธรรมเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ต้องฟังซิเราลูกชาวพุทธ จะฟังตั้งแต่เป็นลูกชาวผีหรือ กิเลสมันพาคนให้ล่มจมมากขนาดไหน เรายังไม่อิ่มพอหรือในการเชื่อกิเลส พระพุทธเจ้าท่านสอนโลกขนาดนั้น ยังไม่ยอมเชื่อแล้ว มันจะหมดนะ ให้พากันพินิจพิจารณา
วันนี้ก็ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มตามความเมตตา ไม่ได้มาโอ้มาอวด มันพอทุกอย่างแล้วในหัวใจ ไปที่ไหนก็ไปด้วยความเมตตาสงสารเท่านั้นเอง เรื่องอายุสังขารมันก็แก่ขนาดนี้แล้ว ก็ยังอุตส่าห์พยายาม ปีนี้ละ ปี ๔๗ นี้จะยุติแล้วการช่วยชาติของเรา ก็กะว่าทองคำจะให้ได้ตามความมุ่งหมาย คือเวลานี้ทองคำของเรา ตั้งแต่อุตส่าห์พยายามขวนขวาย พร้อมทั้งพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศที่สละมาด้วยความรักชาติ ความเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงกันมาโดยลำดับลำดา เวลานี้ผลแห่งความรักชาติความเสียสละของพี่น้องชาวไทยเรา ปรากฏว่าได้ทองคำจะมอบคราวนี้แล้ว จะถึง ๙ ตันแล้วนะ เวลานี้ทองคำจะมามอบวันที่ ๒๖ นี้ ดอลลาร์กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ได้ ๕ แสนดอลล์ ส่วนทองคำนั้นนับแต่ตันหนึ่งขึ้นไป ต่ำกว่านั้นไม่ได้เลย
นี่กำลังรวบรวมอยู่ ได้มาๆ มากน้อยเพียงไร เข้าโรงหลอมๆ จึงบอกไม่ได้ เวลานี้ยังบอกไม่ได้ จนกระทั่งประมาณ วันที่ ๒๔ เดือนนี้แหละ เอาออกมาจากโรงหลอม คิดตกแต่งเรียบร้อยแล้วนั้นแหละ ทีนี้จึงจะประกาศออกมาว่า ทองคำได้เท่านั้น แล้วก็มอบ นี้ ก็ผลแห่งการขวนขวายของพี่น้องทั้งหลาย ไม่ใช่ของอื่นใด เราไม่ใช่เป็นชาติแห่งเศรษฐี เรายังอุตส่าห์พยายาม แต่เราเป็นเศรษฐีแห่งความรักชาติ เศรษฐีแห่งความเสียสละ ด้วยน้ำใจของเรา ดอลลาร์มีขนาดนี้ แล้วทองคำได้ขนาดนั้น ได้มาจากไหน เมืองอื่นเมืองใดที่ว่าเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน เขาไม่เห็นเอาทองคำมาให้เรา แม้แต่กิโลเดียวไม่เห็นมี ไอ้เราที่เป็นทุคตะเข็ญใจแห่งชาติไทยนี้แล ยังขวนขวายหาทองคำมาได้ วันที่ ๒๖ นั้นท่านทั้งหลายจะทราบเอง
พอมอบทองคำเข้าไปปึ๋งเท่านั้น จะทราบว่าเวลานี้มอบทองคำเท่านั้น แล้วรวมทองคำที่ได้ไว้แล้วกับมอบใหม่นี้ จะเป็นทองคำเท่านั้น วันที่ ๒๖ ท่านทั้งหลายจะทราบเอง คิดว่าเขาจะถ่ายทอดสด ที่สวนแสงธรรม วันที่ ๒๖ นั้น พร้อมกับดอลลาร์จะไปด้วยกัน แต่ดอลลาร์นี่แน่ใจไว้แล้วทั้งๆ ที่ยังไม่พอเวลานี้ แต่เราเชื่อพี่น้องชาวไทยตามที่เราเคยเชื่อมาแล้วอย่างฝังใจว่าจะได้ ๕ แสน เวลานี้ได้ ๔ แสนกว่า ยังขาดอยู่ประมาณสักกี่หมื่นก็ไม่ทราบ กี่หมื่นก็กี่หมื่นเถอะ พี่น้องชาวไทยเราหามาได้ทองคำเป็นตันๆ แล้วดอลลาร์เป็นล้านๆ ทำไมเพียงเป็นหมื่นๆ เท่านี้ จะเป็นไปไม่ได้วะ บอกว่าได้ เขียนใบได้ไว้เลย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ เพราะเชื่อพี่น้องชาวไทยเรา ซึ่งเคยเดินตามผู้นำมาโดยลำดับลำดา เราไม่เคยได้ตำหนิติเตียนพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ประกาศว่า เอ้า จะช่วย ก็เพราะเห็นว่าบ้านเมืองเราจะล่มจะจม ให้เห็นต่อหน้าต่อตา
ปู่ ย่า ตา ยายเราพาถ่อพาพายมาตลอด ด้วยความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดีงามมา ราบรื่นโดยลำดับนะ ก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วก็มาเกิดขึ้นมาตอนนี้แหละ จนกระทั่งเมืองไทยเราจะจมได้จริงๆ จึงได้ออกประกาศว่า เอ้า จะช่วย เป็นผู้นำ ตั้งแต่วันเป็นผู้นำนั้นพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยเดินตามกันหมดด้วย เพราะหาที่ยึดที่เกาะหาผู้นำ เพื่อความเชิดชู เพื่อความอุ้มชาติไทยของเราอยู่แล้ว ทำไมจะไม่พอใจ แล้วเรานำพี่น้องทั้งหลาย เราก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนเราในแง่ใดเลย จนกระทั่งบัดนี้นะ นำด้วยความบริสุทธิ์พุทโธอย่างเต็มตัวๆ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อย แม้บาทหนึ่งไม่เคยแตะเลย เพราะเรานำด้วยความเมตตา เราพอในหัวใจทุกอย่างแล้ว จำเป็นอะไร จึงต้องไปหาหยิบเอาตรงนั้นตรงนี้ นี่ละจนกระทั่งป่านนี้
เราจึงแน่ใจ จากพี่น้องทั้งหลายที่ได้เคยบริจาค ได้พากันนำมาถึง ๖ ปี จะเริ่ม ๖ ปีนี้แล้วละ พอผ่านนี้แล้ว หลวงตาก็จะหยุดแหละ ก็กะว่าจะหยุดภายในกลางปี ๒๕๔๗ นี่ ให้ได้ทองคำ ๑๐ ตัน ในย่านกลางปี กะว่าในย่านกลางปีให้เสร็จ ดอลลาร์ก็จะไปพร้อมกัน จากนั้นก็ลาเวที จะเป็นจะตายก็ช่างหลวงตาบัวเถอะ ไม่ต้องไปนิมนต์พระ มากุสลาหลวงตาบัวนะ กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวพาพี่น้องชาวไทย นำชาติบ้านเมืองได้ถึง ๖ ปีนี้ หงายหมาไปแล้วนี้ ตายแล้วไปไหนนา จะว่าอย่างนั้นนะ อย่านิมนต์พระมากุสลานะ หลวงตาจะไปเอง สิ่งที่หลวงตารู้ ตาเห็นนี้ หลวงตาไม่สงสัยแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยชอบธรรม เราปฏิบัติโดยชอบธรรม เห็นแล้วด้วยความชอบธรรม จึงไม่มีอะไรที่จะสงสัย สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่วันกิเลสพังลงจากใจไม่มีอะไรเหลือ ไม่ประกาศตนก็ได้ ประกาศก็ได้ มันรู้อยู่ในหัวใจ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ นั่น
นี้แหละได้นำพี่น้องทั้งหลาย นำด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทางด้านจิตใจนี้มากนะ ด้านวัตถุไม่ค่อยจะเท่าไรนัก น้ำหนักจริงๆ อันดับต่อมานี้ ในเบื้องต้นเอาวัตถุเสียก่อน ทางด้านวัตถุหนัก การแนะนำสั่งสอนก็หนักทางด้านวัตถุ แล้วสอนไปๆ ดูไปๆ กิริยาอาการของพี่น้องชาวไทยเราเป็นยังไง ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นลูกชาวพุทธเป็นยังไง ดูไปสอนไปๆ ทีนี้พอวัตถุได้พอสมควรแล้ว คราวนี้ก็หมุนเข้ามาสู่จิตใจหนักขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งแต่ก่อนก็สอนทางด้านจิตใจอรรถธรรมไปตามๆ กันแต่ไม่หนักมากนัก หลังจากนั้นมาก็หนักทางด้านจิตใจมากขึ้นๆ เพราะเห็นว่าสมบัตินี้พอเป็นพอไปในชาติไทยของเรา
คลังหลวงก็เต็มตื้นขึ้นมา เป็นที่อบอุ่นแล้ว แต่จิตใจของพี่น้องชาวไทยรู้สึกว่าว้าเหว่ หาหลักหาอะไรเป็นที่ยึดที่เกาะไม่ได้ แม้จะมีเงินกองเท่าภูเขา หลวงตาไม่ได้อบอุ่นด้วยนะ ถ้าจิตใจไม่มีธรรม ถ้าจิตใจมีธรรมรักศีลรักธรรม ให้ทานการรักษาศีลการเจริญเมตตาภาวนาติดไปด้วยนั้น หลวงตาจะพอใจ ถ้ามีตั้งแต่สมบัติเอามาอวดเท่าไร หลวงตาไม่ได้สนใจ ยิ่งจะมา เอ้า เงินให้หลวงตา เงินก้อนนี้ข้าได้มาจากการฉกการลัก การปล้นสะดม หลวงตาฟาดทีเดียวตกเลยทะเลลงไปโน่น ไม่เอา ของสกปรกเอามาหาอะไร จะมาติดเราอีก สกปรกคนเดียวแล้ว สกปรกหมดเท่าภูเขานี่ เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สนใจ จึงได้อุตส่าห์พยายามสอนพี่น้องทั้งหลาย ทางด้านศีลด้านธรรม ขอให้พากันคิดนะ
จิตนี้ไม่ตายหนา ขอให้ฟังเสียง ยันได้เลยนะ หลวงตาพูดอย่างยันเลย จิตนี้ไม่ตาย ได้ตามจิตไปตั้งแต่เริ่มภาวนา ตามดูจิตดวงนี้เรื่อยไป เวลามันว้าวุ่นขุ่นมัวกระจายไปทั่วดินแดน มีแต่จิตดวงเดียว หาต้นหาปลายไม่ได้ เวลาตีตะล่อมเข้ามาด้วยจิตตภาวนา ตีเข้ามาๆ ตีเข้ามาๆ ก็เห็นต้นลำของมัน เหมือนกับเถาวัลย์ เถาวัลย์มันเลื้อยไปที่ไหน เราไปดูตั้งแต่ปลายเถาวัลย์ เราไม่ดูต้นรากของเถาวัลย์ มันออกมาจากไหน ทีนี้การภาวนาตามเข้ามาๆ หาต้นหาเหง้าของมัน ถอนพรวดขึ้นมาจากนี้ มันหมดเลย เถาวัลย์จะยาวขนาดไหน ตายหมด
นี้เรื่องจิตก็เหมือนกัน มันพาเกิดพาตายมากี่กัปกี่กัลป์ ก็มันมีเชื้อของมันที่จะให้เป็นเถาวัลย์เลื้อยไปทุกภพทุกชาติ ไม่มีที่ยับที่ยั้งไม่มีต้นมีปลาย พิจารณาตีตะล่อมเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงจิตๆ ตามเข้าไปๆ แล้วอะไรมันพัวพันจิตให้ได้หลง ให้จิตหลงตัวเอง จนไม่รู้สถานที่เกิดที่ตายของตัวเองตลอดมา อะไรพาให้เป็น พิจารณาเข้าไปก็ลงมาใน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ฟาดอันนั้นให้ขาดกระจายออกไปแล้ว ทีนี้เป็นยังไง พุทโธ ที่แท้จริง ธัมโม ที่แท้จริง สังโฆ ที่แท้จริง อยู่ในใจดวงเดียวที่ไม่ตายนี้แล นี่ละเป็นธรรมธาตุ ตายที่ไหน ธรรมธาตุที่เลิศเลอ คืออันนี้เอง
จึงให้พี่น้องทั้งหลายตื่นเนื้อตื่นตัวบ้างนะ เรื่องศีลเรื่องธรรมเวลานี้กิเลสมันออกหน้าออกตา มีราค่ำราคา แต่เราเลวลงทุกวันๆ กิเลสนี้ยกตัวเป็นผู้มีราค่ำราคา แล้วมาสวมใส่คนใดขึ้นมาก็หลงบ้าไปเลยว่าตัวมีราค่ำราคา แล้วเลวไปโดยลำดับลำดา ไม่มีธรรมแฝงเลยหาราคาไม่ได้นะ ขอให้ระลึกดีๆ ในข้อนี้ เวลาจะหลับจะนอนให้พากันภาวนาบ้างนะ ข้อภาวนานี้เบามากทีเดียว ชาติไทยเราแทบไม่มี เหินห่างมาก ครั้งพุทธกาลถือนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ครั้นต่อมานี้ค่อยห่างไปๆ จนภาวนาจะไม่มีนะเวลานี้ หลวงตาจึงได้นำมาสอนตามหลักธรรมที่มีอยู่แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเราเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ เห็นว่าโลกทั้งหลายห่างเหินมาก เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเราห่างเหินมาก
จึงได้นำธรรมจิตตภาวนา ซึ่งเจ้าของก็เห็นผลมาประจักษ์จากการภาวนานี้แล้วอย่างเต็มหัวใจ จึงได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายให้ได้ภาวนานะ พุทโธ ก็ได้ ธัมโม ก็ได้ สังโฆ ก็ได้ เวลาจะหลับจะนอน เวลานั้นเป็นเวลาว่าง ไม่ได้ไปทำอะไรแหละ ให้หลับกับคำบริกรรม เราคิดกับโลกกับสงสารตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเราจะมาภาวนา เรายังคิดได้ทั้งวัน ทำไมเราจะภาวนาชั่วระยะกี่นาที บังคับจิตให้อยู่กับคำบริกรรม คือ พุทโธ หรือ ธัมโม สังโฆ ตามแต่จริตนิสัยที่ชอบ ทำไมจะภาวนาไม่ได้ ให้มีสติบังคับอยู่นั้น แล้วจะปรากฏขึ้นมาความสว่างไสว จะปรากฏขึ้นกับใจดวงใดดวงหนึ่งแน่นอน ไม่สงสัย ขอให้ทำเถอะ
ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของใจตัวเอง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็น ไปอัศจรรย์กับนั้น ไปอัศจรรย์กับนี้ ไปยินดีกับสิ่งนั้นนี้ว่าดีกว่าตัวเอง ลืมตัวๆ เพราะสิ่งเลวๆ เหล่านั้นมาพอกพูนเข้าหมด เลยลืมตัวซิ จิตเลยไม่มีค่ามีราคา พอภาวนาตีสิ่งเหล่านั้นออก จิตเลยเด่นขึ้นมาๆ จิตมีคุณค่ากว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกว่างั้นเลย นี่ละเราจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของจิตในเวลาเราภาวนา ให้ทำซิ พระพุทธเจ้าทำหลุดพ้นไปได้ สาวกทั้งหลายทำจนกระทั่งหลุดพ้นได้ด้วยการภาวนา เราจะภาวนาเพียงนิดหน่อยๆ วันหนึ่งตามกำลังของเรา ทำไมเราจะทำไม่ได้ เราก็คนๆ หนึ่ง หวังความสุขความเจริญเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าท่าน แล้วทำไมจะทำไม่ได้ จะปล่อยให้กิเลสเอาไปถลุงทั้งหมดนั้นหรือ ไม่สมควรอย่างยิ่งนะพี่น้องทั้งหลาย
นี้ตั้งหน้าตั้งตาสอนพี่น้องทั้งหลาย หลวงตาบัวตายแล้วจะไม่มีใครสอนอย่างนี้นะ คนไหนจะสอนเขาก็เกรงอกเกรงใจกัน เห็นกิเลสห้อมล้อมเข้ามาก็ สง่างามมากนะกิเลส มีแต่สง่างามๆ อะไรจะพูดกันก็เกรงอกเกรงใจกัน ผิดก็ไม่ยอมเตือนกัน เกรงใจกิเลส กิเลสสง่ามากอำนาจมากนะ เลยกิเลสพาสร้างบาปสร้างกรรม มอมแมมๆ กันโดยไม่รู้ตัว เพราะความเกรงอกเกรงใจกัน เขากับเรามันเท่ากัน ไม่เห็นมีใครแปลกต่างกันเลย แล้วกิเลสเป็นไงมันก็ไม่รู้อีก ก็มีแต่พวกเกรงอกเกรงใจกัน ถ้าจะพูดอรรถพูดธรรมก็กลัวเขาหัวเราะเยาะเย้ย ไม่อยากพูด เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ ธรรมจะออกสนามไม่ได้นะ มีตั้งแต่กิเลสออกสนามทั้งวันทั้งคืน ไม่เลือกสถานที่ใด มีแต่กิเลสออกสนามทั้งนั้น ธรรมนี้ไม่ค่อยได้ออก
จะไปวัดไปวา ดีไม่ดีต่อไปนี้จะได้ด้อมๆ มองๆ ไปนะ เพราะกิเลสมันหนาแน่น มันมีอำนาจมาก พอเห็นไปวัดไปวา นี่เขาจะไปวัด เขาจะไปทำบุญให้ทาน เขาจะไปสวรรค์แล้วนะ ให้เขาไปสวรรค์ พวกเรานี้อยู่จมๆ กันอย่างนี้นะ นู่นเห็นไหมล่ะ นู่นน่ะ เขาจะไปสวรรค์ เขาหลั่งไหลไปวัดนั่นน่ะ พวกนี้จะไปสวรรค์ทั้งนั้น มันพูดเยาะเย้ยถากถาง นี่กิเลสมันเก่งนะ เดี๋ยวนี้ยังไปได้นะ จะไปที่ไหน ไปได้เปิดเผย ต่อไปนี้จะเป็นอย่างนั้น เพราะกิเลสหนาแน่นเข้าๆ เห็นกิเลสเป็นของเลิศเลอ เห็นธรรมเป็นเหมือนกับถ่านไฟดำๆ ปี๋ๆ อันหนึ่งนั่นละ เหมือนกับของเศษของเดน พากันสร้างตัวของเราขึ้นซิ สร้างที่หัวใจ เราจะเห็นความสง่างามเลิศเลอขึ้นที่หัวใจของเรา จากการภาวนาจนได้แหละ แล้วเราจะได้หัวเราะกับกิเลสสักทีหนึ่ง พากันเข้าใจนะ
วันนี้การเทศนาว่าการก็รู้สึกว่า ค่อยเหนื่อยไปๆ เหนื่อยไปๆ การเทศนาว่าการนี้เทศน์ให้ถึงใจกับพี่น้องทั้งหลายนะ เราเทศน์เพื่อผลประโยชน์แก่พี่น้องทั้งหลายโดยตรง อันสมบัติเงินทองนี้ เพื่อชาติของเราซึ่งเป็นส่วนรวม จิตใจเพื่อท่านทั้งหลาย บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายมาบริจาคนี้ ไหลเข้ามาสู่ใจของท่านทั้งหลายเอง ส่วนวัตถุเข้าสู่คลังหลวง บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายบริจาคไหลเข้าสู่ใจท่านทั้งหลาย ไม่เสียหายไปไหน ให้พากันจำเอานะ
เอาละ วันนี้การแสดงธรรม ก็เห็นว่าพอเหมาะพอดีกับธาตุกับขันธ์กับกาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com
|