ความเจริญของธรรม
วันที่ 18 ธันวาคม 2546 เวลา 13:30 น.
สถานที่ : ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์ อบรมฆราวาส ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กทม.

เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ความเจริญของธรรม

        

         วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ในจุดศูนย์กลางของวันนี้ ที่เราบำเพ็ญมหากุศล คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.นริศ ชัยสูตร อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่พวกเราทั้งหลาย ในสถานที่นี้ก็ปรากฏว่าหลวงตาได้เคยมาแสดงธรรมหลายครั้งแล้ว ถ้ารวมทั้งวิทยาลัยรังสิตด้วยก็น่าจะเป็นครั้งที่ ๔ นี้แล้ว เกี่ยวกับเรื่องมหาวิทยาลัยเรา วันนี้ก็ได้มาแสดงธรรมที่นี่ สถานที่อื่นๆ ก็มามากต่อมากตั้งแต่อุตส่าห์พยายาม เป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองของเรามา ก็จะเป็นเวลาร่วม ๖ ปีนี้แล้ว รู้สึกว่าร่างกายทุกสัดทุกส่วนอ่อนลงๆ การเทศนาว่าการก็ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน ล้มลุกคลุกคลาน หลงหน้าหลงหลัง วกวน การเทศนาไปในวันนี้ท่านทั้งหลายก็จะทราบเอง ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงขออภัยไว้ล่วงหน้า หากว่าขัดข้องตรงไหน ตกหล่นตรงไหน ก็ขออภัยไว้ด้วย เพราะคนเฒ่าคนแก่เทศนาว่าการไม่เหมือนยังหนุ่มน้อย

         วันนี้หลวงตารู้สึกมีความซาบซึ้งกับท่านทั้งหลายเป็นอย่างมาก มีอธิการบดี เป็นต้น ได้อุตส่าห์มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาด้วย เป็นผู้รักทั้งชาติทั้งศาสนาด้วย ได้เชื้อเชิญบรรดาญาติมิตรทั้งหลาย มารวมเป็นกองการมหากุศล เพื่อช่วยชาติของเรา เพราะชาตินี้เป็นชาติไทย เราไม่เคยเป็นน้อยแก่ผู้ใด ไม่เคยเป็นบ๋อยผู้ใด ความศักดิ์ศรีดีงามแห่งชาติไทย จึงต้องให้เสมอเหมือนชาติอื่นๆ เขา

แม้เราไม่เป็นชาติแห่งเศรษฐี เหมือนที่เขาร่ำลือกันว่า ชาตินั้นเจริญ ชาตินี้เจริญก็ตาม เราก็ขอให้เจริญทางด้านจิตใจ หนักแน่นทางด้านธรรมะ ให้เป็นเศรษฐีธรรม เจริญรุ่งเรืองในธรรมทั้งหลาย นี้จะเป็นการสูงส่งมากยิ่งกว่าโลกทั้งหลายที่ถือกันว่า เจริญๆ เพราะโลกเจริญนั้นมีความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปตลอดเวลา ยิ่งเจริญมากเท่าไร ความเดือดร้อนวุ่นวายของโลกก็ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ ตามความเจริญของโลก จากความรู้สึกของโลก ทำให้เป็นที่แน่ใจไม่ได้ แต่ความเจริญของธรรมจากผู้บำเพ็ญธรรมนั้น ตัวเองก็เป็นที่แน่ใจตั้งแต่วันเริ่มแรกบำเพ็ญศีลธรรม มีการเจริญเมตตาภาวนา เป็นต้น จะรู้สึกประจักษ์ภายในจิตใจ สามารถที่จะประกาศผลแห่งความประจักษ์ภายในใจของตน ให้ท่านผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายได้ทราบ และได้รับผลประโยชน์โดยทั่วถึงกันไปโดยลำดับ นี่เรียกว่าเจริญ ความเจริญที่จอมปราชญ์ทั้งหลายชมเชยมาตลอดกาลนี้ มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ที่ได้ตรัสรู้ธรรมมาสอนโลกนี้ จำนวนนับไม่ได้เลย ล้วนแล้วตั้งแต่ท่านผู้เจริญด้วยจิต ด้วยศีล ด้วยธรรม

         ความเจริญด้วยศีลด้วยธรรมนี้เป็นความชุ่มเย็น กระจายออกไปเป็นกิริยามารยาท ความประพฤติหน้าที่การงาน เป็นความสวยงามสงบร่มเย็นตามๆ กันไปหมด ไม่ได้ระแคะระคายเหมือนความเจริญของโลก ซึ่งคอยแต่จะเอาไฟเผากัน ความเจริญของธรรมนี้มีแต่น้ำชุ่มเย็นชะล้างกัน ใครผิดพลาดประการใด คอยสำเหนียกศึกษาจากผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกันแล้วได้คติจากกันเป็นลำดับลำดา ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส นี่เรียกว่า ความเจริญที่แน่นอน ความเจริญที่ตายใจ มาเจริญที่ธรรมภายในหัวใจของผู้ปฏิบัติธรรม เฉพาะอย่างยิ่งคือชาวพุทธของเรา ควรที่จะน้อมธรรมเข้าสู่จิตใจของตน ให้ระลึกรู้อยู่เสมอ ในความผิดถูกชั่วดีของตน จากธรรมที่บงการออกมาจากจิตใจของเรา ธรรมจะไม่เกิดที่ไหน เจริญที่ใด จะเกิดที่ใจ เจริญที่ใจ รู้เนื้อรู้ตัวได้ที่ใจ

ความผิดถูกชั่วดี แต่ก่อนเราไม่เคยระลึกรู้ สำเหนียกศึกษากับมันอะไรเลยก็ตาม แต่พอศึกษาปฏิบัติอรรถธรรมเข้าไป เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนานี้ เรียกว่าไปรื้อรวงรังของมหาเหตุทั้งหลาย ที่มีอยู่ภายในใจของเรา ได้แก่ กิเลสก็เป็นตัวมหาเหตุ ที่สร้างเหตุสร้างการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นภายในจิตใจ หาความสงบไม่ได้ นี่คือ กิเลสตัวมหาภัย ยุแหย่ก่อกวนอยู่ภายในจิตใจนั้นแหละ ให้ตัวเองไหวไปโน้น ไหวมานี้ เพราะเชื่อความคิดความปรุงของกิเลส ที่มันปรุงออกมา โลกจึงหาความสงบไม่ได้จากจิตใจที่เป็นมหาเหตุแต่ละดวงๆ ต่างคนต่างมีมหาเหตุ หาความสงบไม่ได้แสดงตัว โลกก็ย่อมมีความวุ่นวาย แม้จะเจริญ ก็เจริญด้วยฟืนด้วยไฟไปเท่านั้น ไม่เจริญด้วยความชุ่มเย็นเป็นสุขตายใจได้เหมือนธรรม นี่กิเลสเกิดขึ้นจากใจ

ท่านซึ่งเป็นชาวพุทธทั้งหลาย กรุณาให้ทราบเสีย อย่าไปลูบไปคลำตั้งแต่ตำรา โดยไม่มองดูจิตใจของตน ผู้แสดงความผิดถูกชั่วดีอยู่ตลอดเวลา นี้คือมหาเหตุแสดงอยู่ที่นี่ คัมภีร์ใบลานท่านแสดง บอกเหตุบอกผลผิดถูกดีชั่ว ออกไปจากจิตใจที่เป็นตัวมหาเหตุนี้ ให้แก้ไขดัดแปลงที่ตรงนี้ คัมภีร์ท่านชี้เข้ามานี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะคัมภีร์ใด สุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ล้วนแล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น แล้วไปจดจารึกจากคัมภีร์ใน คือ พระทัยของพระศาสดา มาสอนโลกนี้ เป็นพระไตรปิฎกขึ้นมา ล้วนแล้วตั้งแต่ออกจากใจทั้งนั้น ท่านว่า ธรรมเกิดจากใจ กิเลสเกิดจากใจ ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้า อากาศ ฟ้า แดด ดิน ลม กว้างแคบ ตลอดจักรวาล ไม่มีสถานที่เกิดของกิเลส ซึ่งเป็นเครื่องสร้างทุกข์ให้สัตว์โลก และไม่ใช่สถานที่เกิดแห่งธรรม ที่สร้างความสุขความเจริญ ให้แก่ผู้ใคร่อรรถใคร่ธรรม เพราะฉะนั้นธรรมจึงอยู่ที่ใจ

ถ้าเราได้อบรมจิตใจ เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านจิตตภาวนานี้ เป็นด้านที่จะประกาศความจริงออกมาสดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านตักตวงเอาคุณงามความดีจากใจโดยอรรถโดยธรรม พระสงฆ์สาวกเมื่อได้ยินได้ฟังอุบายที่ถูกต้องแม่นยำจากพระพุทธเจ้าแล้ว มาบำเพ็ญจิตตภาวนานี้เป็นสำคัญ แล้วปรากฏกระจ่างแจ้งขึ้นมาๆ ที่รังใหญ่ รังกิเลส ก็จะได้รู้เห็นกันในตรงนั้น ความโลภมันเกิดขึ้นที่ไหน ต้นไม้ ภูเขา เขาไม่มีกิเลสพอให้เกิดความโลภ มันเกิดขึ้นที่ใจของเราๆ ท่านๆ ของสัตว์โลกนี้แล

นี่เรียกว่า มหาเหตุ ความโกรธทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งให้นามว่าเป็นฟืนเป็นไฟ ท่านให้ชื่อว่า กิเลส นี้คือภัยของธรรม ซึ่งอยู่ในใจของเรา ก็กลายมาเป็นภัยของใจเราด้วย เกิดที่นี่ แสดงฤทธิ์แสดงเดชขึ้นที่นี่ นี่ท่านเรียกว่า กิเลสเกิดที่ใจ แสดงฤทธิ์ที่ใจ ทำลายเจ้าของที่ใจเจ้าของเอง ที่ไม่สนใจจะดูต้นเหตุของมัน แก้ไขตัวมันให้ออกไป นี่เรียกว่า กิเลสเกิดที่ใจ ทีนี้ธรรมเกิดที่ใจเช่นเดียวกัน ในแหล่งเดียวกัน เรียกว่าจะไปรื้อกัน รบกันที่สนามรบอันยิ่งใหญ่ ที่จะให้สงบร่มเย็นลงได้ ต้องรบกันที่ใจ นำธรรมเข้ามา เจตนาเจตสิกธรรม คิดเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นความถูกต้องดีงามภายในจิตใจ มีสติธรรม ปัญญาธรรมเป็นสำคัญ ที่จะพินิจพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ ของกิเลส ที่มันเกิดขึ้นมาแบบใดวิธีใด ด้วยจิตตภาวนา สังเกตสอดรู้ตลอดเวลา แล้วเราก็จะเริ่มรู้เริ่ม...เหตุผลกลไกของกิเลสว่า เกิดจากที่ใดแน่ ก็ทราบชัดเจนว่าเกิดขึ้นที่ใจ แล้วก็ทำลายใจตัวเอง คือ ทำลายใจเรา

เมื่อสติธรรมปัญญาธรรมมี คอยสอดส่องมองดูก็รู้กัน เรียกว่า ธรรมเกิดแล้วที่นี่ ธรรมเกิด เกิดขึ้นมาที่ใจ รู้เหตุรู้ผลของกิเลสที่มันเกิดขึ้นที่ใจเช่นเดียวกัน แล้วกำจัดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ นี่โลกจะเจริญที่ตรงนี้ เจริญที่ใจของผู้บำเพ็ญธรรม จะเจริญที่อื่นที่ใดนั้น โลกเคยทำมาแล้ว ขวนขวายมาแล้ว ผิดหวังไปทั้งนั้นๆ ถูกกิเลสหลอกลวง อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากได้อย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ มีแต่ความคิด ความคาด ความหมาย ด้นเดา แต่กิเลสหลอกไปเรื่อยก็ตื่นเงาของกิเลส ตะครุบเงาของกิเลสไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ผิดหวังๆ นี่เรื่องของกิเลส มันทำลายเราอย่างนี้

ท่านทั้งหลายขอให้ฟังให้ดี หลวงตานำธรรมะมาแสดงนี้ สาธุ พูดแล้วเราไม่ได้ประมาทคัมภีร์ ก่อนที่จะมารู้มาเห็นอรรถธรรมทั้งหลาย ภายในจิตใจนี้ ถอดออกมาจากคัมภีร์ ซึ่งเป็นแบบแปลนแผนผังที่ถูกต้องดีงาม ซึ่งท่านเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุม ถ้าเป็นแปลนก็คือ แปลนบ้าน ที่ช่างเขาจัดทำไว้เรียบร้อยแล้ว นำแปลนอันนั้นออกมาปลูกบ้านสร้างเรือน จะเอากว้างแคบขนาดไหน สั้นยาวขนาดไหน ขึ้นอยู่กับแปลนนั้นทั้งหมด เมื่อผู้สร้างนำแปลนนั้นออกมาปลูกมาสร้าง ก็ปรากฏผลขึ้นมาเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่วางรากวางฐาน จนวางคาน วางต้น วางเสาขึ้นไป เป็นลำดับจนบ้านเรือนสำเร็จตามแปลน อยู่ได้ด้วยความสะดวกสบายสมบูรณ์ทุกอย่างในการสร้างบ้านสร้างเรือนตามแปลนที่ถูกต้อง

สวากขาตธรรมที่ท่านตรัสไว้ชอบแล้วนั้นแล คือแปลนแห่งบาป แห่งบุญ แห่งนรกสวรรค์ แห่งมรรคผลนิพพานเต็มอยู่ในนั้นหมด พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงไว้โดยถูกต้องแล้ว เรานำแปลนอันนั้นออกมาปฏิบัติ อย่าสักแต่ว่าเรียนเฉยๆ เหมือนอย่างแปลนบ้าน ทำแล้ววางไว้เฉยๆ เต็มหับเต็มห้อง ก็เป็นแปลนบ้าน ไม่ใช่บ้านใช่เรือน ตึกราม บ้านช่องแต่อย่างใด แต่เต็มไปด้วยแปลน เพราะเป็นแต่เพียงว่า แปลนๆ เฉยๆ อันนี้การปฏิบัติธรรม ท่านทั้งหลายอยากเห็นผลที่เลิศเลอของพระพุทธศาสนา ขอให้ย้อนจิตเข้ามาสู่ใจ ซึ่งเป็นตัวมหาเหตุ ตามหลักธรรมที่ท่านแสดงไว้ในพระไตรปิฎก เอา น้อมพระไตรปิฎกเข้าสู่ใจ มาเป็นภาคปฏิบัติ แล้วเราจะได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆ ตามแปลนที่ท่านทรงแสดงไว้เรียบร้อยแล้วนั้น ด้วยภาคปฏิบัติของเรา

ศีลนี้เรารู้ชัดเจนแล้ว เช่น พระเราตั้งแต่วันบวช มีศีลโดยสมบูรณ์ด้วยกันทุกคน และรักษาศีลของตนให้สมบูรณ์พูนผล แล้วมีความอบอุ่นตลอดไป เพราะไม่บกพร่อง ไม่ระแวงแคลงใจว่า ตนล่วงเกินศีล ด้วยความไม่มีหิริโอตตัปปะ รักษาศีลด้วยความระมัดระวัง ด้วยความเทิดทูน พระวินัย คือ ศีลนั่นแล

พระวินัยนี้ คือองค์ศาสดา องค์แทนศาสดา พระธรรมก็ คือองค์แทนศาสดา ดังท่านแสดงไว้ว่า พระธรรมแลพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นจงให้ยึดหลักธรรมหลักวินัย นี้เป็นศาสดาไว้ในหัวใจของเรา อย่าข้ามเกินในพระวินัยข้อใดก็ตาม ธรรมก็ตาม ปฏิบัติตนไปโดยลำดับ ศีลก็บริสุทธิ์ จิตใจก็อบอุ่นด้วยศีล จากนั้นก็ปฏิบัติธรรมมีจิตตภาวนา เราเป็นฆราวาสญาติโยมก็มีทั้งการให้ทาน ก็เป็นบุญเป็นกุศล เข้ามาหนุนใจประเภทหนึ่ง ศีลก็เป็นคุณงามความดี เป็นที่สวยงามอบอุ่นได้ทั้งฆราวาสและพระเรา จากนั้นก็เจริญเมตตาภาวนา นี้เป็นหลักใหญ่ ซึ่งเป็นที่รวมแห่งมหากุศลทั้งหลาย ที่เราบำเพ็ญมามากต่อมาก จนกลายเป็นมหากุศลภายในจิตใจของเรา

เราจำได้ก็ตาม จำไม่ได้ก็ตาม การทำแล้วไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ กัปใดกัลป์ใด ไม่สูญหายไปไหน จะแนบสนิทอยู่กับใจของเรานั้นแล แล้วเมื่อเพิ่มพูนมากขึ้น ก็กลายเป็นมหากุศลขึ้นมา จากนั้นเราก็สร้างทำนบใหญ่ขึ้นมา เพื่อรับรองน้ำที่ไหลมาจากสายต่างๆ ได้แก่ การกุศลที่เราทำบุญให้ทานจากที่ต่างๆ มากี่กัป กี่ปี กี่เดือน นั่นที่ไหลเข้ามา แล้วสร้างทำนบใหญ่ไว้สำหรับน้ำทั้งหลายเหล่านั้น จะได้ไหลเข้ามาสู่ทำนบใหญ่ คือ จิตตภาวนา ดังพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ขึ้นมา นั่นแหละทำนบใหญ่ได้แสดงผลขึ้นให้เต็มภูมิของศาสดาแล้ว ว่าตรัสรู้ขึ้นมา ทำนบใหญ่ ได้แก่ จิตตภาวนา บุญกุศลมากน้อยไหลรวมเข้ามาสู่จิตตภาวนานี้ เมื่อได้บำเพ็ญจิตตภาวนาโดยลำดับ สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น แต่จะรู้จะเห็นขึ้นมา ตามแบบแปลนแผนผัง คือ สวากขาตธรรม ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วโดยถูกต้องนั้นแล

การบำเพ็ญจิต นี่คือ ดูเรื่องของความชั่ว ดูเรื่องของพิษของภัย ได้แก่ กิเลสที่มันเกิดอยู่กับใจของตน ด้วยจิตตภาวนา มีสติปัญญาสอดส่องมองดูใจของตน แล้วแก้ไขกันไปเรื่อยๆ จิตใจก็จะค่อยสงบจากอารมณ์ที่รบกวนทั้งหลาย ได้แก่ กิเลสเหล่านั้น ค่อยจางลงไป จิตใจมีความสงบ ธรรมปรากฏเด่นขึ้นมา นี่ธรรมเกิดขึ้นในใจ จากการบำเพ็ญภาวนา ทีนี้เมื่อเวลาธรรมเกิด กิเลสออกมาจากใจ ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยรู้เคยเห็น ปล่อยให้มันลากมันเข็น ถูไถไปทุกแห่งทุกหน ตำบล หมู่บ้าน ที่สูง ที่ต่ำ ดีชั่วไม่คำนึงนั้น จะทราบกันเป็นลำดับลำดาด้วยจิตตภาวนา

จิตตภาวนายิ่งเด่นขึ้น ธรรมความสงบเย็นใจเด่นขึ้น ความสว่างไสวเด่นขึ้น ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติเราแล้วเด่นขึ้น ทีนี้เราจะประมวลมาได้เลยว่า ความผิดความถูกในสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอยู่ที่จุดใด มีอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกแห่งเดียวนี่เท่านั้น ถ้าผู้มาปฏิบัติตนให้ถูกจุดที่เกิดแห่งมหาเหตุทั้งหลาย มีกิเลสซึ่งเป็นตัวมหาภัยเป็นต้น ด้วยจิตตภาวนาแล้ว กิเลสเหล่านี้จะค่อยสงบระงับตัวลงไป เราไปที่ไหน จะชุ่มจะเย็น เพราะภัยไม่ก่อกวนมากเหมือนแต่ก่อน และภัยนั้นจะค่อยสงบตัวลงไป ภัยคือ ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ใจคิด ใจปรุงแต่งต่างๆ มีแต่ออกจากความทะเยอทะยานของกิเลสทั้งนั้น

ธรรมระงับดับลงด้วยความสงบใจ เพราะอำนาจแห่งธรรมบังคับไว้ มีสติธรรมปัญญาธรรมเป็นต้น จิตใจจะมีความสงบแนบแน่นเป็นลำดับ และจะมีความสว่างไสวขึ้นภายในจิตใจ แล้วสว่างไสวขึ้นเรื่อย และเห็นเรื่องราวของมหาภัย ที่เกิดขึ้นจากใจดวงเดียวไปเป็นลำดับลำดา กำจัดไปโดยลำดับลำดา มหาภัยนั้นจะกลายเป็นภัยที่ลดน้อยลงไปๆ มหาคุณจะแสดงตัวขึ้นมา จากจิตตภาวนาล้วนๆ นั้นแล แล้วจิตใจจะสว่างไสวขึ้นมาเรื่อยๆ นี่ละธรรมะของพระพุทธเจ้า

หลวงตาพูดนี้ เบื้องต้นได้พูดถึงเรื่องคัมภีร์ แล้วก็นำคัมภีร์เข้ามาปฏิบัติ ในเบื้องต้นก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะอะไรที่ว่าล้มลุกคลุกคลาน เพราะกิเลสลากไป ถูไป ถลอกปอกเปิกไป เหมือนกับคนตาบอดหูหนวก ไม่รู้หน้ารู้หลัง ไม่รู้ผิดรู้ถูก เพลินไปกับมัน เศร้าโศกไปกับมัน เป็นทุกข์ไปกับมัน ถลอกปอกเปิกไปทุกภพทุกชาติ มีแต่ความทุกข์เต็มหัวใจๆ กิเลสลากไปถูไป ก็เรียกว่า ถลอกปอกเปิกไป ทีนี้มาฝึกหัดด้านจิตตภาวนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นแปลนอันถูกต้องแม่นยำ จิตใจเริ่มสงบเข้ามาๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นเป็นขึ้นที่ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่นิดหนึ่งเลยว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พวกเปรตพวกผี สัตว์ประเภทต่างๆ เต็มโลกธาตุนี้มี จนกระทั่งนิพพานมี ค่อยแจ่มแจ้งขึ้นไปภายในจิตใจของตน ตั้งแต่ส่วนย่อยถึงส่วนใหญ่ โดยไม่ต้องไปถามใคร เพราะธรรมเปิดทางให้แล้วที่ใจของเราเอง บุกเบิกกิเลสตัวมืดตัวบอดนั้นออกไปโดยลำดับ ธรรมสว่างไสวขึ้นมาเรื่อยๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น ได้รู้ได้เห็นขึ้นมา ตั้งแต่ใจสงบ ก็ไม่ต้องไปถามใคร รู้ประจักษ์ใจ สงบมากน้อย รู้ประจักษ์ใจ

ความสงบมีมาก มีน้อยเท่าไร นั้นแหละความสุขความเจริญภายในจิตใจของเรา จะเจริญขึ้นในเวลานั้น มีความอบอุ่นเย็นใจตลอดเวลา ไม่เสี่ยงหน้าเสี่ยงหลัง เหมือนเรื่องความสุขในโลก ที่คอยแต่จะล่มจะจมไป เมื่อได้รับการอบรมมหาเหตุ คือ กิเลสทั้งหลาย ซึ่งกองอยู่ภายในจิตใจ ถ้าเป็นภูเขาก็จรดฟ้า ได้พังทลายลงมาๆ ด้วยอำนาจแห่งการทำลายของธรรมโดยทางจิตตภาวนา จิตใจมีความสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ รู้ของแปลกประหลาด ที่เราไม่เคยรู้เคยเห็น แต่เป็นความจริงที่เคยมีอยู่แล้วดั้งเดิม

ดังพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านทรงมาชี้แจงให้เราทราบทุกวันนี้ ไม่ใช่ของพึ่งเกิดพึ่งมีขึ้นมาในวันนี้วานนี้ แต่เป็นสิ่งที่มีมาแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ กาลไหนๆ ไม่มีใครนับอ่านต้นปลายของสิ่งเหล่านี้ได้ คือ ความจริง บาปมีประจำ บุญมี นรกมี สวรรค์มี จนกระทั่งถึงนิพพาน นี้มีมาดั้งเดิม ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามาอุตริสอนโลกแบบลูบๆ คลำๆ หลอกโลกหลอกสงสาร อย่างนี้ไม่มี จึงเรียกว่า ศาสดาองค์เอก โลกวิทู รู้แจ้งหมดในสิ่งเหล่านี้แล ทั้งรู้แจ้งภายในจิตใจ ภายในพระทัยของพระองค์ว่า กิเลสตัวเป็นภัย ได้สิ้นซากไปหมดแล้ว มีตั้งแต่ความสว่างครอบโลกธาตุ ที่ท่านว่า อาโลโก อุทปาทิ สว่างโร่ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดเวลา ประจักษ์ในพระทัย ในสิ่งทั้งหลายนับตั้งแต่กิเลสประเภทหยาบ กลาง ละเอียด พระองค์ทรงรู้ทรงเห็น ทรงถอดทรงถอนออกหมดโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่กับใจ ที่ใจจะต้องไปสัมผัสสัมพันธ์และรับความสุขความทุกข์นั้น ก็คือ บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลกก็ประจักษ์ในพระทัย นำธรรมเหล่านี้แล มาแสดงให้แก่โลกได้รู้ได้เห็นว่า บาปมี ใครทำบาป เราเกิดมาไม่ใช่คนตาย เกิดมา มันต้องสร้างบาป สัตว์ก็สร้างบาป คนก็สร้างบาป แต่คนรู้จักดีจักชั่ว จึงมารวมลงอยู่ที่คน สร้างบาป เราว่าไม่ได้บาป มันเป็นบาปโดยหลักธรรมชาติ ความจริงไม่เอนเอียงกับผู้ใด สร้างบุญก็เหมือนกัน เป็นบุญขึ้นมา เช่น จิตตภาวนา เราสร้างจิตของเรา ส่งเสริมจิตของเรา ในทางที่ถูกที่ดีขึ้นมา มันก็เห็นไปโดยลำดับลำดา ดังที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แล้วนำมาสอนโลกนั้นแล จะผิดไปที่ไหน ศาสดาองค์เอกสอนโลก

ทีนี้เราพวกหูหนวกตาบอด มักจะอวดดิบอวดดีอวดรู้อวดฉลาด เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป หาว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี มิหนำซ้ำยังฟาดลงไปลึกๆ อีกว่า ตายแล้วสูญ นี่ฟังซิ เก่งไหมสัตว์โลก เก่งไหมพวกชาวพุทธเรา ที่โอ้อวดความรู้ทั้งๆ ที่โง่สุดขีดของความโง่ จะไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า แต่มันเหยียบไม่ได้ มันเหยียบหัวเจ้าของเอง ผู้มืดงมงายนั่นเอง นี่ละกิเลสให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ คือ เป็นภัยต่อธรรม ธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้อย่างไร มันไม่ยอมรับ มันจะรับตั้งแต่สิ่งที่มันชอบใจว่า บาปไม่มี ก็สร้างแต่บาปตลอด ว่าบุญไม่มี ไม่สนใจสร้าง แล้วนรกไม่มีสวรรค์ไม่มี

สัตว์โลกที่จมอยู่ในนรก มากขนาดไหน ตั้งกัปตั้งกัลป์มาจนกระทั่งบัดนี้ พวกที่ขึ้น พวกที่ลง เหมือนคนติดคุก ติดตะราง ในเรือนจำแน่นไปด้วยนักโทษ ประหนึ่งว่านักโทษนั้นไม่มีการเข้าการออก มีแต่ติด ถูกเขาขังไว้ตลอด ความจริงนั้นนักโทษเมื่อพ้นโทษ มันก็กลับบ้านกลับเรือน ออกจากคุกจากตะรางไปได้ ผู้ใหม่ติดเข้าไป ไปฉก ไปลัก ปล้นสะดม ทำความชั่ว เขาจับยัดเข้าใส่ในคุกอีก ทีนี้มองไปเมื่อไร คุกตะรางนี้เต็มไปด้วยนักโทษๆ ประหนึ่งว่า พวกนี้ไม่ออกไปไหน ติดคุกตลอด ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ผู้ออกมี ผู้เข้ามี นี้นรกก็เหมือนกัน ผู้ลงนรก ก็สร้างบาปอยู่ทุกวี่ทุกวัน จะไม่ให้ลงได้ยังไง มันก็ลงเรื่อยๆ เอาผู้นั้นพ้นโทษขึ้นมา.ผ่านขึ้นมา เอา นี้สร้างโทษ แล้วก็โทษนั้นแหละ กรรมของตัวเองนั้นละ ลากลงไปๆ แทนกันอยู่อย่างนี้ในนรก จึงไม่มีวันบกบางไปได้เลย

เพราะสัตว์ชอบทำความชั่วช้าลามก ด้วยความอวดดิบอวดดีของตนเอง เชื่อความคิดความเห็น ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสของตัวเอง ให้ฉุดลากไป ก็มีแต่ฉุดลากลงทางล่มจมๆ นี่เรียกว่า ธรรมของจริง เราเชื่อกิเลสนี้จมไปวันยังค่ำ เพราะกิเลสเป็นฝ่ายจอมปลอม เป็นฝ่ายที่เป็นข้าศึกกับธรรมของพระพุทธเจ้าตลอดมา ไม่ว่ากิเลสตัวใด โคตรแซ่ของกิเลสตั้งกัปตั้งกัลป์มา สืบทอดกันมาด้วยโคตรแซ่แห่งกิเลสตัวหลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้น ตัวจริงที่เอาความจริงมาพูดต่อโลก มาสอนโลก ให้โลกยอมรับ เป็นความจริง เป็นสิริมงคลนี้ ไม่มีในกิเลสตัวใดเลย มีในธรรมเท่านั้น

ธรรมแสดงเป็นความสัตย์ความจริงล้วนๆ ตลอดมา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ตรัสรู้แล้ว ตรัสรู้ของจริงทั้งนั้น รู้จริงเห็นจริง แม้ที่สุดกิเลสภายในพระทัย ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว จึงได้มาประกาศตนเป็นศาสดาของโลก ด้วยความแจ้งขาวดาวกระจ่างในโลกธาตุนี่ทั้งหมด การสอนโลกจึงไม่มีอะไรสงสัยในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรา ท่านก็สอนแบบเดียวกัน เพราะรู้แบบเดียวกัน เห็นแบบเดียวกัน เป็นความจริงอย่างเดียวกันหมดในบรรดาธรรม ไม่มีคำว่าหลอกลวง

แต่เรื่องของกิเลส หลอกลวงตลอดเวลา ไม่มีคำว่า จริง คือ กิเลส เพราะเป็นข้าศึกของกันและกัน อยู่ในใจดวงเดียวกันนี้ เมื่อกิเลสนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว จึงไม่มีอะไรที่จะมาหลอกลวงใจของพระพุทธเจ้า ใจของพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสตัวใดมาหลอกลวงเลย เป็นธรรมล้วนๆ ออกตลอดเวลา จะคิดจะปรุงจะแต่งเป็นเรื่องราวอะไร รู้เห็นอะไร มีตั้งแต่เรื่องธรรมล้วนๆ ล้วนๆ นี่คือ ผู้สิ้นกิเลสแล้ว ความคิดที่จะเป็นภัย ให้กิเลสหลอกลวงอย่างนั้นไม่มีตลอดมา นี่คือ ธรรมเป็นของจริงล้วนๆ แต่กิเลสอยู่ในใจนั้นปลอมล้วนๆ ตลอดไป ขอให้พากันคิดค้นให้ดี

ตะกี้นี้พูดถึงเรื่องจิตตภาวนา นี้แหล่งใหญ่แห่งมหากุศลที่จะทำสัตว์โลก ให้พ้นจากทุกข์ อยู่ที่จิตตภาวนา การให้ทานก็ดี รักษาศีลก็ดี จะให้ทานมากน้อยเพียงไร รักษาศีล สร้างคุณงามความดีมากน้อยเพียงไร เป็นเหมือนแม่น้ำสายต่างๆ จากบุญกุศลของเรา ที่สร้างมาไหลเข้ามาๆ เข้ามาสู่จิตตภาวนา อันเป็นทำนบใหญ่นี้แล เมื่อรวมตัวนี้แล้ว มีกำลังก็ดีดผึงไปเลย นี่ละผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ส่วนมากต่อมาก ก็เรียกว่า จะพ้นในจุดแห่งจิตตภาวนา ซึ่งเป็นทำนบใหญ่ รวมกำลังแห่งมหากุศลทั้งหลาย แล้วพาเจ้าของดีดให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง นี่ละเรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องธรรมทั้งหลาย กิเลสเกิดที่ใจ ธรรมะเกิดที่ใจ

ตะกี้นี้ได้พูดถึงเรื่องจิตตภาวนา และพูดถึงเรื่องพระไตรปิฎก น้อมพระไตรปิฎกเข้ามาปฏิบัติ เวลาแรกเราก็ล้มลุกคลุกคลานเสือกๆ คลานๆ ไปในใจดวงนี้แหละ เวลาเราอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญ ไม่หยุดไม่ถอย ทุกข์ยากลำบากก็ทนเอา ต่อสู้กับกิเลสไป เวลาแพ้ก็แพ้อย่างหลุดลุ่ย ก็มี แต่ไม่ยอม การต่อสู้ เราฟิตใหม่ ฝึกซ้อมมาใหม่ สู้อีกๆ หลายครั้งหลายหน จิตที่มันดีดมันดิ้นด้วยกระแสของกิเลสนี้ ค่อยสงบตัวลงๆ เมื่อจิตตัวดีดตัวดิ้นนี้ สงบตัวลงด้วยอำนาจของกิเลสแล้ว เพราะธรรมเข้าบีบบังคับๆ หลายครั้งหลายหนธรรมก็ค่อยชนะไปๆ จนกระทั่งถึงมีความผาสุกเย็นใจ อยู่ที่ไหนสบายหมด 

นี่ละเศรษฐีธรรมอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นเมืองนี้ ว่าบ้านนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ เจริญที่ไหน มันก็มีแต่อิฐ แต่ปูน แต่หิน แต่ทราย ปลูกบ้านขึ้นไปกี่ห้องกี่หับ เอาจากไหน ถ้าไม่เอา จากอิฐ จากปูน จากหิน จากทราย จากเหล็กหลานี้ เอาไปจากไหน เรานั่งอยู่ เราไปไหนมาไหน มันก็มีแต่สิ่งเหล่านี้เกลื่อนอยู่ ถ้าว่าทางนู้นเขาเจริญ ของเราก็เจริญ เรามีที่พึ่ง คือ อิฐปูนหินทรายเหมือนกัน แล้วเจริญที่ไหน ไฟเผาหัวใจอยู่ เพราะการทำความชั่วช้าลามก ไม่รู้เนื้อรู้ตัว นี้ละมันเสื่อมที่ตรงนั้น จะเอาขึ้นไปอยู่บนหอปราสาท มันก็ไปร้องครวญครางอยู่นั้น เหมือนกันกับคนไข้ที่เป็นไข้หนักๆ เอา ขึ้นโรงพยาบาลห้องไหนๆ เอาขึ้นไปห้องสุด มันก็ไปครวญไปครางอยู่ดี ห้องสุดๆ สูงๆ นั่นแหละ เพราะความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ตึก ไม่ได้อยู่ที่สถานที่อยู่นั้น มันอยู่ที่ใจ มันอยู่ที่นี่ ว่าเจริญๆ ให้เจริญที่ใจ ว่าบ้านนั้นเจริญ บ้านนี้เจริญ แล้วตื่นบ้ากับเขาไป ไม่ได้พินิจพิจารณาตามอรรถตามธรรม ให้สมนามกับว่า เราเป็นลูกชาวพุทธเลย แล้วก็หลงกลกิเลสไป หลงไปไม่หยุดไม่ถอย

เพราะฉะนั้นขอให้พากันพินิจพิจารณาปฏิบัติศาสนธรรม สมกับเราเป็นลูกชาวพุทธ ขอให้ได้ธรรมเข้ามาครองใจ จะเป็นที่พอใจเหมาะสมกับลูกชาวพุทธ เวลานี้รู้สึกว่า ศาสนาในเมืองไทยของเรา ซึ่งเป็นลูกชาวพุทธนี้ ค่อยจืดจางไปๆ เพราะลูกชาวพุทธของเรามีแต่คนจืดจาง ตั้งแต่ผู้ใหญ่ลงมาหาเด็ก มุ่งตั้งแต่โลกๆ วิ่งตามแต่กิเลสๆ หวังจะเอาความเจริญกับกิเลสไม่ได้นะ ต้องเอาธรรมเข้าไปเคลือบแฝงเสมอถึงจะได้ เรียนรู้มากน้อยเพียงไร หน้าที่การงานสูงต่ำประการใด อย่าลืมธรรมเข้าเคลือบแผง เป็นข้อบังคับตักเตือนเจ้าของเสมอ

คนที่มีธรรมต่างกันกับคนไม่มีธรรมนะ คนไม่มีธรรมในใจนี้ เรียนของโลก เขาก็เรียน เราก็เรียน ผู้ที่ไม่มีธรรมในใจ เรียนโลกเลยหลงไปเลย ลืมเนื้อลืมตัว เย่อหยิ่งจองหอง แล้วสามารถทำความผิดได้ ด้วยอำนาจบาตรหลวงที่ตนครองอำนาจอยู่นั้น ในหน้าที่การงานอันนั้นก็ได้ นี่ถ้าไม่มีธรรม

ถ้ามีธรรมแล้วยิ่งละเอียดลออยิ่งระมัดระวัง เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งระมัดระวังความผิดความพลาด เพราะเป็นตัวอย่าง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของผู้น้อยที่จะเดินตาม ต้องปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีๆ มีศีลมีธรรม ไม่ให้บริษัทบริวารต้องติตนได้ นี้คือคนดี นั่นละ ถ้ามีธรรมมีหิริโอตตัปปะ ต่อบาปต่อกรรม ระมัดระวังเสมอ ไปที่ไหน เขาก็กราบไหว้บูชา เคารพนับถือ ผู้มีธรรมในใจ

ผู้ไม่มีธรรมในใจนั้นต่างกันมากนะ มันเป็นอันธพาล เป็นนักเลงโต เพราะอวดอำนาจวาสนาว่าตนมีความรู้มากๆ แล้วกิเลสแฝงเข้าไปก็เย่อหยิ่งจองหอง จากนั้นก็ออกฤทธิ์ออกเดช ในหน้าที่การงานของตนที่ครองอำนาจนั้นแล แฝงไปด้วยกิเลสและทำชั่วแฝงกันไปในนั้นๆ ได้จนออกหน้าออกตา กลายเป็นภัยของชาติไปได้ ในบุคคลที่มีอำนาจมากเรียนสูงๆ แต่ไม่มีธรรมในใจ กลายเป็นมหาภัยต่อชาติได้

แต่ถ้ามีธรรมในใจแล้ว ก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ใบก็ดกหนาชุ่มเย็นไปหมด ไปที่ไหนเขากราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไป ดังพระพุทธเจ้าสาวกท่านไปที่ไหนโลกกราบไหว้บูชาทั้งเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ไม่มีคำว่า อิดหนาระอาใจ ไม่มีคำว่าเบื่อว่าพอในการกราบไหว้ อยากพบ อยากเห็น อยากกราบ อยากไหว้ตลอดเวลา นั่น เราเป็นผู้ใหญ่ในวงราชการ เช่น เมืองไทยเราเป็นชาวพุทธ ผู้ปฏิบัติหน้าที่การงานเพื่อชาติบ้านเมือง ต้องเป็นผู้มีศีลมีธรรม ปฏิบัติตามศีลธรรมเป็นพื้นฐานไว้ตลอด 

ถ้าปราศจากศีลธรรมเมื่อไรเป็นมหาโจร นี้เป็นมหาโจรได้อย่างใหญ่หลวงทีเดียว ไม่มีใครเกินพวกทรงอำนาจครองอำนาจ ทั้งๆ ที่ความรู้เป็นป่าๆ เถื่อนๆ เป็นภัยของชาตินั้นแล แล้วก็ทำชาติบ้านเมืองให้ล่มจมได้ ถ้ามีธรรมในใจแล้วจะไม่ทำ สิ่งใดมีความเปิดเผยภายในจิตใจของตนเสมอ ใครเห็นใครไม่เห็นก็ตาม ผิดรู้ว่าผิด ถูกรู้ว่าถูก แล้วไม่ทำๆ

นี่ละเรื่องจิตตภาวนามันเป็นการเตือนเจ้าของภายในจิตใจ โดยเจ้าตัวไม่ต้องถามใคร หากรู้เอง นักภาวนายิ่งมีจิตใจที่สงบ มีความร่มเย็น หนาแน่นเข้าภายในใจมากเข้าๆ และมีหลักใจมากเป็นอย่างนี้ เรื่อง หิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ต่อความผิดพลาดทั้งหลายนี้ จะมาเองๆ เตือนเจ้าของอยู่ภายใน อะไรไม่ควรจะรู้ตัวเอง การงานที่เราเคยทำมานั้นจะละเอียดลออเข้า เพราะธรรมเป็นเครื่องควบคุมจิตใจ มีเบรกห้ามล้อ มีพวงมาลัยหมุนไปตามทางที่ถูกที่ดี อันใดไม่เหมาะ เอ้า เหยียบเบรกเสีย อันใดที่เหมาะก็เร่งหน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร เป็นความดิบความดีประจำคนมีธรรมะ

นี่ละบ้านเมืองที่ว่าเจริญ โลกเจริญ ให้เจริญด้วยธรรม อย่าให้เจริญด้วยวัตถุสิ่งของเหล่านั้น ซึ่งที่ไหนก็มี เสกสรรปั้นยอบ้าๆ กันไปอย่างนั้นละ กิเลสมันหลอกแต่คนอย่างนั้นแหละ เรามีธรรมจะให้มันหลอกอะไรนักหนา  เขามีอะไร เราก็มีตามเกิดตามมีที่ใช้สอย อย่าหลวมตัวเข้าไปทำชั่ว เพราะความเห่อเหิมของเรา ด้วยอำนาจแห่งความมีธรรมก็เป็นคนดีแล้ว เจริญอยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ

ขอให้พากันพินิจพิจารณา เวลานี้ชาวพุทธของเรารู้สึกห่างเหินธรรมะมากทีเดียว การปฏิบัติเนื้อปฏิบัติตัวกิริยามารยาท แสดงอาการออกมา มีตั้งแต่กิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง หาอรรถหาธรรมจะแย็บๆ ยับๆ ออกมาภายในกิริยามารยาทของบุคคลไม่ค่อยมี แล้วอยากจะว่าไม่มีเสียด้วยซ้ำไป จะว่าไม่มีก็มีได้ มันมีอยู่ เพราะฉะนั้นจึงว่า ไม่ค่อยมี แต่สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย สกปรก อันนี้เพราะการห่างเหินจากธรรมกลายเป็นเรื่องของกิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง นี้มีมากขึ้นโดยลำดับลำดา แล้วเมื่อไรชาติไทยเราจะตื่นเนื้อตื่นตัว

เราเอาความเจริญมาจากไหน ศาสดาองค์เอกสอนไว้แล้ว ควรจะฟัง ควรจะประพฤติ ควรจะปฏิบัติ ทำไมจะต้องดิ้นดีดไปกับกิเลสวันยังค่ำ เขาดีด เราดีด แล้วโลกนี้หาโลกมีความสงบร่มเย็นที่ไหน ไปดูซิ ไปบ้านใด เมืองใด ที่ว่าโลกเจริญ บ้านเจริญ เมืองเจริญนั้นแหละ ให้ไปถามเขาดูซิ มีตั้งแต่บ่นว่าทุกข์ว่ายากลำบากด้วยกันหมด แล้วมันเจริญที่ตรงไหน ถ้าว่าตึกราม บ้านช่อง ก็อิฐ ปูน หิน ทราย สมบัติ เงินทอง ข้าวของก็เป็นแร่ธาตุต่างๆ มันเป็นบ้าอะไรนักหนา กิเลสพาคนให้เป็นบ้า มันเป็นอย่างนี้ เจริญภายนอก แต่หัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟ เผาไหม้ ว่าอะไรเจริญมันก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าหัวใจไม่ดี ถ้าหัวใจได้รับการอบรมตัวด้วยศีลด้วยธรรมแล้ว ไปที่ไหนก็เจริญอยู่ในนั้น สะดวกสบายไปหมด

นี่ได้พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เราเอาเรามาเป็นพยานเลย เราพูดอย่างอาจหาญชาญชัย ไม่เคยสะทกสะท้านกับสามแดนโลกธาตุนี้เลย หลังจากการปฏิบัติธรรมะตามพระพุทธเจ้ามา ด้วยภาคปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง ชำระกิเลส เบื้องต้นก็พูดตรงๆ เลยว่า เราจะขอเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ จะไม่คืนกลับมาเกิดอีกแล้ว ทั้งๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจก็ตาม แต่ความมุ่งมั่นในจิตใจมี จึงต้องได้อุตส่าห์พยายามบึกบึน ได้รับโอวาทที่เต็มหัวใจจากหลวงปู่มั่นมาแล้ว เปิดโล่งเลยทีเดียว การก้าวเดินเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ให้มีอะไรเป็นอุปสรรค เอาตายก็ตายเลย ตั้งแต่บัดนั้นมา

เร่งความเพียรเข้าไป บังคับจิตใจที่มีแต่กิเลสห้อมล้อมอยู่ภายในนั้น ออกด้วยศีลด้วยธรรม ออกด้วยความพากความเพียรด้วยสติปัญญา กิเลสค่อยกระจายออกไปๆ จิตไม่เคยมีความสงบร่มเย็นเลย เป็นขึ้นมาแล้ว แต่ก่อนมันดิ้นยิ่งกว่าลิง เพราะไม่มีอะไรหักห้ามมัน มันดิ้นเสียจนไม่มีวันมีคืน ตื่นนอนดิ้นแล้วจนกระทั่งหลับ หลับไปแล้ว ยังฝันไปอีก บางคนยังนอนไม่หลับ เพราะกิเลสพาดีดพาดิ้น บางรายเป็นบ้าไปเลยก็มี นี้ก็ฝึกเข้าไปๆ จนกระทั่งจิตใจมีความสงบ สงบจนถึงขั้นอัศจรรย์ๆ ไปเรื่อย ยิ่งเห็นประจักษ์ ยิ่งมีความเชื่อความเลื่อมใสในธรรมของพระพุทธเจ้าว่า สดๆ ร้อนๆ เป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ขอให้ทำเถอะ เปิดเผยอยู่ตลอดเวลาธรรม เพื่อให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติตาม

เราอุตส่าห์พยายามปฏิบัติ จิตก็มีความสงบเย็น แน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นสมาธิ ออกนั้นจากนั้นก้าวทางด้านปัญญาหมุนติ้วเลย สว่างกระจ่างแจ้งออกไป กว้างออกไปๆ กิเลสค่อยหมดไปๆ จิตใจหมุนติ้ว จนกระทั่งถึงฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีอะไรเหลือเลยแล้ว อะไรมาเป็นภัยต่อหัวใจเรา ไม่มีเลย อ๋อ มันก็มีแต่กิเลสอย่างเดียวเท่านั้น นั่นเห็นไหม กิเลสเป็นภัยจนถึงวาระที่สุดของมัน เมื่อมันสิ้นซากลงไปแล้วกิเลสจึงไม่เคยเป็นภัยไม่เคยก่อกวน

พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ท่านจึงไม่เคยมีทุกข์ มีตั้งแต่บรมสุขเต็มหัวใจ เพราะท่านปฏิบัติธรรม ไอ้เราปฏิบัติตามส้วมตามถาน กิเลสความโลภ ความโกรธ ราคะ ตัณหา มีแต่ส้วมแต่ถาน คลุกเคล้ากันอยู่ตลอดเวลา แล้วจะหาความสุขมาจากไหน ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องชะล้างให้สิ่งจอมปลอมหรือสกปรกทั้งหลายนี้เบาลง จิตใจของเราจะได้มีความเย็นใจ

ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พินิจพิจารณา การเทศน์สอนธรรมะนี้หลวงตาไม่เคยหวังอะไรทั้งนั้นในสามโลกธาตุนี้ การเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย เป็นผู้นำเพื่อชาติบ้านเมืองด้วยความเมตตาสงสารชาติบ้านเมืองของเราต่างหาก เราไม่เคยสนใจกับสิ่งวัตถุทั้งหลาย ที่นำมาช่วยบ้านช่วยเมือง เช่น วัตถุเข้าสู่คลังหลวงอย่างนี้ เราไม่เคยสนใจ ไม่มี สะอาดถึงขนาดนั้นแหละ นำชาติบ้านเมืองด้วยความอิ่มพอของใจ ใจเราอิ่มมาพอแล้ว เป็นเวลา ๕๐ กว่าปีนี้แล้ว จริงไหมธรรมพระพุทธเจ้า หรือยังว่ามาหลอกโลกนั้นเหรอ มีจริงตั้งแต่กิเลสตัณหาคอยลบล้างธรรมะ ว่ามรรคไม่มี ผลไม่มี กุศลไม่มี นิพพานไม่มี อรหันต์ไม่มี อย่างนั้นเหรอ นี้คือตัวกิเลสมันทำลายตัวของเรา พากันรู้เสียนะ

ธรรมท่านประกาศป้างๆ ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วจะไปรู้เมื่อไร ตายแล้ว นิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา มันเกิดประโยชน์อะไร ใครสวดก็ได้  สวดเฉยๆ สวดแต่ปาก ลมปาก ไม่ทำความดีจะเอาความดีมาจากไหน ผู้สร้างคุณงามความดีแล้ว กุสลาไม่กุสลาไม่จำเป็น ดังพระอรหันต์ท่านนิพพานในที่ต่างๆ ท่านไปอย่างสบายๆ ไม่ค่อยมีปรากฏในเรื่องราวของท่านเลย ก็เพราะท่านไปอย่างสบายๆ นี่เมื่อเวลาจิตได้สะดวกสบายแล้ว ไม่มีอะไรเข้ามายุ่งกวน ถึงเวลาตายๆ ไปอย่างสบาย ไม่ห่วงกับอะไร

นี้เรามาช่วยชาติ เราช่วยด้วยความเมตตาสงสารเต็มหัวใจเราอย่างนี้ละ นี่ก็เป็นเวลา ๖ ปี ผลแห่งการช่วยชาติ เวลานี้ก็ได้ทองคำจะเข้าคลังหลวง คราวนี้ก็จะเข้ามากทีเดียว เมื่อเข้าครั้งนี้แล้วอาจจะได้ถึง ๙ ตันก็ได้ เวลานี้กำลังรวบรวมทองคำอยู่ ยังนับไม่ได้ จึงต้องว่าไว้ แต่คาดว่าได้มาก ทองคำคราวนี้เป็นคราวที่ได้มากกว่าทุกๆ คราวที่สุดเลย แล้วดอลลาร์มอบคราวนี้ก็จะเป็น ๘ ล้านกว่า หรือจะเข้าไป ๙ ล้านก็ยังไม่แน่

ส่วนเงินสดนั้นได้ไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง เพียง ๒,๐๐๐ ล้านกว่าบาทเท่านั้น นอกจากนั้นกระจายช่วยชาติ กระจายเพื่อชาติบ้านเมืองทั้งหลาย ตั้งแต่คนทุกข์คนจน จนกระทั่งคนเจ็บไข้ได้ป่วย เข้าสู่โรงพยาบาล รายไหนๆ เรารับหมดๆ เรื่อยมา แล้วก็สร้างสถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียนที่ราชการนับไม่ได้เลย มากต่อมาก จากเงินพี่น้องทั้งหลายที่บริจาคนี้แหละ ไปบำรุงกิ่งก้านสาขาดอกใบ คือคนทั้งประเทศ ต้นลำก็ คือคลังหลวง คลังหลวงนี้ เข้าเฉพาะทองคำกับดอลลาร์ ส่วนเงินสดแบ่งเข้าดังที่ว่านี่ และนอกจากนั้นกระจายไปตามกิ่งก้านสาขาดอกใบในคนทั้งประเทศ ให้ได้รับการสงเคราะห์ทั่วหน้ากัน 

เราก็ทำอย่างนี้ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรติดหัวใจเราเลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายว่า เราเป็นผู้ทุจริตต่อสมบัติของพี่น้องทั้งหลายที่บริจาคผ่านเรา ไม่มี เพราะเราทำด้วยความเมตตาล้วนๆ ทำด้วยความอิ่มพอของใจ ใจไม่เอาอะไรเลย ถึงเจ้าของจะดีดจะดิ้นก็ดีดเพื่อชาติบ้านเมืองต่างหาก ไม่ได้ดีดได้ดิ้นเพื่อเจ้าของ เราก็อุตส่าห์พยายาม ท่านทั้งหลายเห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กขนาดไหน การช่วยชาติของตนในคน ๖๒ ล้านคน เป็นเรื่องใหญ่สุดทีเดียว จึงได้อุตส่าห์พยายามช่วยนั่นเอง ชาติไม่มีฝั่งมีฝา ชาติไม่มีเกาะมีดอน ชาติไม่มีเจ้าของ มันน่าดูไหม ชาติไทยของเรา พระมหากษัตริย์ท่านก็ทรงเป็นเจ้าของทีเดียว นอกจากนั้นก็เป็นพี่เบิ้มๆ เรื่อยมา เป็นผู้ปกครองรักษา เรายังจะปล่อยให้เมืองไทยเราจมอย่างไม่มีเหตุมีผลอะไรนี้เป็นไปได้หรือ

นี่แหละได้คิดเต็มหัวใจแล้วจึงได้ช่วยพี่น้องทั้งหลาย ทั้งๆ ที่บวชอยู่ในพุทธศาสนา ไม่เคยสนใจกับโลกอะไรเลย มีแต่กับอยู่กับศีลกับธรรม แต่เหตุการณ์มันจำเป็นที่จะทำให้ชาติไทยเราจมทั้งชาติ เราก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง อยู่ในท่ามกลางแห่งเมืองไทย ใจจืดใจจางอยู่ได้อย่างไร พ่อแม่ของเราก็เป็นคนไทย เราก็เป็นคนไทย พระเณรทั้งหมดทั่วประเทศเป็นลูกของพ่อแม่ที่เป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น แล้วต่างคนต่างช่วยเหลือกันทั้งพระทั้งประชาชน รวมหัวกันมาโดยตลอด เวลานี้จึงได้ทองคำน้ำหนัก มอบคราวนี้รวมแล้วจะไม่ต่ำกว่า ๙ ตันแหละ ถ้ายังขาดอีกก็ประมาณ ๑ ตัน มอบสักครั้ง ๒ ครั้ง ก็จะให้เสร็จสิ้นลงไปแหละ ดอลลาร์ก็จะให้ถึง ๑๐ ล้าน เวลานี้ก็จวนเข้าทุกอย่างๆ แล้ว ด้วยอำนาจแห่งความรักชาติความเสียสละของพี่น้องทั้งหลาย ที่เดินตามครูตามอาจารย์ ซึ่งมีผู้นำที่ปฏิบัติอย่างที่ว่า เราพูดตรงๆ เราบริสุทธิ์เต็มที่ เดินตามผู้นำที่ถูกต้อง คือ ความบริสุทธิ์เต็มที่ แล้วก็เห็นปรากฏผลขึ้นมา ทองคำเท่านั้นๆ อย่างนี้แล 

ต่อไปนี้เราก็จะลาเวทีช่วยชาติบ้านเมือง เพราะธาตุขันธ์อ่อนลงทุกวันๆ เทศน์หลงหน้าหลงหลัง ไม่ค่อยได้หน้าได้หลัง วันนี้รู้สึกว่าซาบซึ้งกับบรรดาท่านทั้งหลาย ที่อุตส่าห์พยายามมาสร้างมหากุศล เพื่อผลประโยชน์แก่ชาติด้วย และผลประโยชน์แก่เราด้วย คือ วัตถุสิ่งของทั้งหลายที่นำมาบริจาคนี้เข้าสู่คลังหลวง นั้นเป็นประโยชน์สำหรับคลังหลวงของคนทั้งชาติ ส่วนมหากุศลที่เรานำไปบริจาคนั้น บุญเป็นของเราด้วยกันทุกคน ไม่ไหลไปไหนเลย เรียกว่า เราได้บุญด้วย ได้สมบัติเป็นที่อบอุ่นภายในจิตใจของคนทั้งประเทศด้วย เรียกว่า เราสร้างมหากุศล

วันนี้พี่น้องทั้งหลายก็มาเป็นจำนวนมากมายก่ายกอง แล้วไม่ว่าไปเทศนาว่าการที่ไหน ไม่เคยบกบาง คนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะบ้านนอกคอกนาที่ไหน คนเต็มไปหมดๆ อย่างนี้เรื่อยมา ไม่เคยเห็นพี่น้องทั้งหลายบกบาง ขอชมพี่น้องทั้งหลายตลอดมา จนกระทั่งถึงที่สุดนั่นแหละ เราเคยเชื่อไว้แล้ว เราจะเชื่อให้ถึงที่สุด เชื่อพี่น้องชาวไทยเราว่า เป็นผู้รักชาติจริงๆ รักศาสนาจริงๆ พอหัวหน้าพาก้าวเดิน เอ้า เดิน ตั้งแต่วันประกาศช่วยชาติบ้านเมือง ใครมี ๕ มี ๑๐ มีเงินมีทองขนมาๆ ของเหล่านี้ ใครจะไม่เสียดาย แม้แต่เงินบาทเดียวก็เสียดาย ของที่ขนมามันเป็นกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้าน แต่ละคนๆ ใครจะไม่เสียดาย ทำไมจึงตัดสินใจเอามาเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองได้ ก็เพราะรักชาติบ้านเมือง มีน้ำหนักมากเกินกว่าที่เราจะมาเสียดายในสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ จึงต่างท่านต่างบริจาค รวมหัวกันมาเรื่อยๆ ตลอดมา

ไปเทศน์ที่ไหนหลั่งไหลมา เงินทองได้เท่าไรขนเข้าๆ คลังหลวงของเราๆ ด้วยความพร้อมเพรียงกัน คือ ชาติไทยของเรารู้สึกว่าชัดเจนในคราวนี้ ว่าเป็นผู้รักชาติๆ แล้วก็เสียสละ เต็มไม้เต็มมือด้วยความพร้อมเพรียงกันตลอดมา ไม่เคยมีแบ่งมีแยกมีขัดมีข้องขัดขวางกันเลย ดำเนินมานี้ เวลาถึงขั้นเด็ดก็เด็ด คือหัวหน้านั้นละพาให้เด็ด หลวงตาเอง ถ้าเวลาธรรมดา ก็มาธรรมดา บริจาคมาธรรมดาๆ ถ้าเวลาพอถึงขั้นเด็ดจะเอาให้ได้เท่านั้น ให้ได้เท่านั้นเด็ด ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาบริษัทบริวารก็เด็ดด้วยกัน ได้ตามขั้นๆ มาทุกครั้ง ไม่เคยพลาดเลยว่า ขาดตามจุดที่เราปักเอาไว้ เช่นว่า เก้า เก้า เลย ถ้าว่าสิบ สิบเลย ไม่ขาด

คราวนี้ก็เหมือนกัน คราวนี้เป็นคราวที่เด็ดมากทีเดียว ที่จะนำทองคำเข้าสู่คลังหลวง นี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายก็ต่างท่านต่างตื่นเนื้อตื่นตัว ใครอยู่ที่ไหนขนทองมาให้ ที่มาเทศน์นี้ก็ไปรับทองมาแล้วนะ วันนี้ก็ไปรับทองมาแล้วจากท่านผู้ใจบุญ ผู้รักชาติมาแล้ว ได้ทองตั้ง ๑๒ กิโลครึ่งโน่น วันนี้น่ะ เห็นไหมล่ะ นี่ศรัทธาของพี่น้องชาวไทยเรา ที่มีต่อชาติมีต่อศาสนา เอาถึงไหนถึงกัน มาเรื่อยๆ ว่าเด็ดๆ มาอย่างนี้ เราจึงขอชมเชยพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศว่า เป็นผู้รักชาติ เป็นผู้นักเสียสละ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน เป็นที่ซาบซึ้งภายในจิตใจ ไม่ทำให้จิตใจของผู้นำเสียกำลังใจ เพราะบรรดาบริษัทบริวารไม่เห็นด้วย แตกแยกสามัคคีกัน อย่างนี้เราไม่เคยเห็น ว่าอะไรเป็นอย่างนั้นๆ เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ คิดดูทองคำของเราก็จะเข้าถึง ๑๐ ตันแล้วนี่ มอบคราวนี้ก็ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าจะถึง ๙ ตัน หรือ ๙ ตันกว่าก็อาจเป็นได้ ดอลลาร์ก็จะก้าวเข้าไปหา ๑๐ ตันเข้าไปแล้ว น้ำใจพี่น้องชาวไทยที่เอาจริงเอาจังกันทั้งนั้นแหละ

เราจึงขอชมเชยและอนุโมทนาตลอดมา และจะตลอดไป นี่แหละการรักชาติต้องปฏิบัติอย่างนี้ เรียกว่า คนรักชาติ เรารักลูกเราเลี้ยงลูกเราเต็มเหนี่ยว มีอะไรๆ ทุ่มให้ลูกหมด พ่อแม่จะหมดจะสิ้นจะเปลือง จะเป็นจะตายไม่สนใจ ลูกนั่นแหละเป็นผู้อิ่มผู้พอผู้สนุกสนานบานใจ พ่อแม่เลยจะเป็นจะตาย เป็นอย่างนั้นนะ ความรักลูก อันนี้ความรักชาติก็ เอา ถึงไหนถึงกัน ถ้าไม่มีชาติเราก็อยู่เร่ๆ ร่อนๆ เหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของ เขาจะเอาขึ้นเขียงไหนก็ได้ ยากอะไร สัตว์ไม่มีเจ้าของ จับโยนขึ้นเขียงไหน สับยำลงได้เลย ชาติเราไม่มีเจ้าของเป็นยังไง ถูกเขาสับเขายำเอาละซิ ชาติอื่นๆ เต็มโลกเต็มสงสาร เราอยากเป็นลาบเป็นก้อยไหมล่ะ เมื่อเราไม่อยากเป็นลาบเป็นก้อย เราก็ต่างคนต่างกระตือรือร้นช่วยชาติของตนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดังที่เห็นมานี่แล จึงขอขอบคุณกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมาก

วันนี้การเทศนาว่าการก็ไม่ได้มากอะไรนักหนา เห็นว่าพอดิบพอดี กับธาตุกับขันธ์กับกาลเวลา และการปฏิบัติขอซ้ำอีกทีหนึ่งว่า ขอฝากธรรมะที่ปฏิบัติ ที่ได้แสดงวันนี้แหละ เป็นธรรมะที่สดๆ ร้อนๆ แก่ท่านทั้งหลาย ถอดออกมาจากหัวใจมาสอนท่านทั้งหลาย พูดแล้วสาธุ ไม่ไปลูบไปคลำคัมภีร์ เอามาจากคัมภีร์แล้วมาเป็นแปลน มาปฏิบัติเห็นผลประจักษ์ในหัวใจแล้วว่า ธรรมสดๆ ร้อนๆ เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ขอให้ทำเถอะเป็น อกาลิโก กิเลสก็เป็น อกาลิโก ใครทำชั่วเมื่อไร เป็นชั่วทั้งนั้น ใครทำดีเมื่อไร เป็นดี นี่เรียกว่า อกาลิโก ทั้ง ๒ ทาง ให้เราเลือกเอา อกาลิโก ของธรรม กิเลสให้ปัดมันออก อย่าไปยุ่งกับมัน มันเป็นตัวภัย ไปที่ไหน ใครจะอยากเกิดที่ต่ำ อยู่ก็อยากอยู่ที่ดิบๆ ดีๆ มีความสุขความเจริญ แต่มันไพล่ลงไปนรก ไพล่ลงไปหาความทุกข์ความทรมาน มีอย่างหรือ นี่ถ้าเราหลงกลกับมัน ถ้าเรารู้กลมันแล้วเดินตามทางของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าองค์ใดที่สอนโลกแล้วมีความล่มจม และสอนโลกเพื่อความล่มจม ไม่มี แต่เรื่องกิเลสมีมาแต่โคตรแต่แซ่ ปู่ ย่า ตา ยายของมัน ให้พากันพินิจพิจารณา

ธรรมเกิดที่ใจ ให้พากันภาวนาบ้างนะ เราจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของธรรมของพระพุทธเจ้า เวลานี้ศาสนาหรือธรรมนี้เท่ากับบึงใหญ่ๆ บึงใหญ่ๆ นั้นน้ำเต็มอยู่ในบึงในบ่อใหญ่ๆ นั้น แต่จอกแหนปกคลุมหนาแน่นไปหมด มองดูน้ำไม่เห็นเลย ใครไปก็เห็นตั้งแต่จอกแต่แหน น้ำอยู่ข้างล่างไม่เห็น แล้วก็ว่า น้ำไม่มีๆ ในบึง อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ ใครก็มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งเป็นเหมือนกับจอกกับแหน ปกคลุมหัวใจของเราที่มีน้ำคือ ธรรมเต็มหัวใจอยู่นั้น เลยไม่เห็นธรรมภายในใจ เห็นแต่จอกแต่แหน เห็นแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง เห็นแต่ความทะเยอทะยานดีดดิ้น เขาก็เต็มหัวใจ เราก็เต็มหัวใจ เรื่องจะเป็นอรรถเป็นธรรม ไม่เห็นไม่มี แล้วสุดท้ายก็ว่า ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป มรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัย ไปอย่างงั้นนะ

เพราะเราไม่ได้ดูน้ำในหัวใจของเรา ไม่ได้ดูน้ำในบึง อยากจะเห็นน้ำในบึง เอา เปิดจอกเปิดแหนออกซิ ผู้ที่มีอุปนิสัยปัจจัยเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมหาความดี เหมือนกับผู้ที่หิวน้ำ เข้าไปเปิดจอกเปิดแหนออกมา ก็เห็นน้ำอยู่ในสระในบึงนั้น ตักมาอาบดื่มใช้สอยเป็นที่สะดวกสบาย ประจักษ์ในหัวใจแล้ว ทีนี้ต้องการเมื่อไรก็มาเปิดจอกเปิดแหนออก ดื่มน้ำได้สะดวกสบาย นี้เราปฏิบัติธรรม เปิดจอกเปิดแหน คือ กิเลสตัวตระหนี่ถี่เหนียวตัวเห็นแก่ตัวออก แล้วก็ความเสียสละการทำบุญให้ทาน การภาวนามันก็มา เหมือนกับการเปิดจอกเปิดแหน เราจะเห็นอรรถเห็นธรรมขึ้นมาภายในใจของเรา เมื่อได้เห็นแล้ว อ๋อ ธรรมเป็นอย่างนี้ๆ ขึ้นในใจแล้วนะนั่นน่ะ ธรรมเป็นอย่างนี้ ยิ่งเปิดออกๆ กว้างออกๆ ดังที่แสดงไว้แล้ว เริ่มแต่จิตใจสงบสว่างจ้า คือ เปิดจอกเปิดแหนออกไปแล้วมันก็สงบ แล้วก็สว่างขึ้นมาๆ เอา จอกแหนหมดภายในหัวใจแล้ว จ้าขึ้นมา นี่ก็เอาจอกแหนออกจากสระแล้ว สระก็เต็มไปด้วยน้ำจ้าขึ้นมา อย่างนั้น

ขอให้พากันอุตส่าห์พยายาม อย่าหลงกลของกิเลสนะ ศาสนาว่าเรียมแหลม ไม่เรียวแหลมไปไหนละ พวกเรานี้ตัวทำลายศาสนา ทำลายเราเอง มันจึงเรียวแหลมอยู่ที่จิตใจ ถ้าว่าจะไปที่ไหนทางดิบทางดี ตีบตันอั้นตู้หาทางไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางดีที่เราสร้างไว้ พอเป็นที่อบอุ่นในหัวใจเรา ถ้าเรามีการสร้างบุญกุศล จิตใจมีความสว่างไสวแล้วเราไม่มีตีบตันอันตู้นะ เบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส เช่น นักภาวนา นี่แหละดูเอากันจริงๆ  หรือผู้บำเพ็ญคุณงามความดีมาเป็นประจำเป็นนิสัย ผู้นั้นมีความชุ่มเย็นเป็นสุข การเป็นการตายก็อบอุ่นด้วยศีลทานของตน ที่จะเป็นเครื่องเชิดชูของตน เรียกว่า เป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่จะนำตนให้พ้นจากทุกข์ได้

ผู้ภาวนายิ่งจ้าขึ้นมาใหญ่ เห็นชัด ความตายนี้เรียกว่า เอามาเป็นคำภาวนาเลย มรณัสสติๆ ระลึกถึงความตายเท่าไร ยิ่งรีบเร่งขวนขวายเข้าสร้างความดี เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วตายเมื่อไรตายได้ ยากอะไร  เดี๋ยวนี้มันไม่มีที่พึ่งที่เกาะละซิ จิตใจของเรามีแล้ว แล้วจะเอาบ้านมาพึ่งมาอวดได้หรือ ประสาอิฐประสาปูนทรายเท่านั้น ตายแล้วไม่ว่าเขาว่าเรา เศรษฐีก็จม เศรษฐีก็มีแต่ร่าง คนทุกข์คนจนมีแต่ร่าง ไม่ได้สร้างคุณงามความดีไว้ เป็นอนาถาด้วยกันทั้งหมด แต่ผู้ที่สร้างคุณงามความดีเป็นเศรษฐีอรรถเศรษฐีธรรมขึ้นภายในใจ ตายแล้วไปเลย นั่นมันต่างกันที่หัวใจนะ

ใจนี้ไม่เคยตายนะ ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ คำว่าตายแล้วสูญๆ นั้นกิเลสหลอกต่างหาก โลกมันเต็มอยู่ด้วยสัตว์อย่างนี้ ถ้าสูญแล้วมันเอาอะไรมาเกิด มันเต็มอยู่นี้ทุกแห่งทุกหนด้วยสัตว์ด้วยบุคคล แล้วเอาอะไรมาสูญ มันก็เห็นอยู่ประจักษ์อย่างนี้ แล้วว่ามันสูญๆ ถ้าสูญต้องสูญหมดซิ สัตว์ก็สูญ บุคคลก็สูญ อะไรๆ ต้องสูญหมด เรามาพูด ว้อๆ หลอกโลกอยู่นี้ เราก็สูญ เอาอะไรมาพูดล่ะ นั่นมันหลอกตัวเองอย่างหน้าด้าน กิเลสมันไม่ได้อายใครนะ

ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เราสอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้หวังเอาอะไรนะ อย่างที่ว่าช่วยชาติบ้านเมือง ก็ไม่ได้หวังเอาอะไร มีแต่ความเมตตาสงสาร สอนบ้านสอนเมืองทั้งหลายสอนไป เราพอทุกสิ่งทุกอย่าง ตายเมื่อไรเราไม่ได้สนใจ เราเชื่อธรรมพระพุทธเจ้าแล้วว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ อกาลิโก หรือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน คือธรรมของพระพุทธเจ้า ขอให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่างมเงาเกาหมัดอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร อยู่ด้วยกันรื่นเริงอันนี้ก็ดี คุยกันสนุกสนานอันนี้ก็ดี แต่เวลาคิดถึงความตายใส่ตัวเองเป็นไร ขยะๆ มันจะเป็นจะตายทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย มันเสียใจมาก ต้องรีบไปหาความคิดความปรุงเรื่องรื่นเริงบันเทิงเข้ามากลบเอาไว้ ถมเอาไว้ ทับเอาไว้ พอคุยกันไปได้อย่างนั้น

ถ้ามีความดีแล้ว เอ้า มันจะตาย คิดได้วันยังค่ำเรื่องความตาย ยิ่งเตือนสติตัวให้ดี นี่คือผู้มีหลักใจ ใจไม่เคยตาย ใจไม่มีหลักเร่ร่อน ไปตกนรกอเวจี  ถ้ามันตายแล้วสูญมันไปตกนรกได้ยังไง ใจไม่เคยฉิบหาย ร่างกายตายลงไปได้ แต่จิตใจนี้ออกจากร่างนี่แล้ว ไปสู่ร่างนั้น ร่างดีร่างชั่วตามบุญตามกรรมของตน ลงนรกก็คือใจดวงนี้ ออกจากนรกเพราะสิ้นกรรมชั่วแล้ว ขึ้นมาๆ ฟิตตัวได้ฟาดถึงนิพพาน ถึงเป็นธรรมธาตุ.มหาวิมุตติ มหานิพพาน.ก็คือใจดวงไม่ตายนี้แล นี่ละท่านผู้ถึงนิพพาน ถ้าตายแล้วสูญไปนิพพานได้ยังไง.ว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งได้ยังไง ใครจะมาเสวยนิพพานถ้าว่าใจสูญแล้ว ก็มันไม่สูญนั่นเอง จึงขอให้พากันจดกันจำเอานะ พี่น้องทั้งหลาย ลูกหลานทั้งหลาย อย่าลืมเนื้อลืมตัวจนเกินไป ชาวพุทธเรามองดูแล้ว มันรู้สึกขยะๆ นะพูดจริงๆ พูดเพื่อการสั่งสอนเพื่อการส่งเสริมไม่ได้พูดเพื่อการทำลาย เห็นไม่ดีๆ นี้จะพาเสีย จึงต้องเตือนๆ ให้ดิบให้ดีให้เป็นผู้รักตน เอา นำธรรมเข้ามาปฏิบัติซิ เป็นยังไงพระพุทธเจ้าโกหกโลกจริงๆ เหรอ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา สาวกเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้น เรานำธรรมของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ มันจะตกนรกอเวจีไปเหรอ ให้ได้เห็นน่ะ

เอาละวันนี้การเทศนาว่าการ ก็เห็นสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

******************


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก