อปฺปิจฺฉตา
วันที่ 17 ธันวาคม 2546 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

วันที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ เช้า

อปฺปิจฺฉตา

 

ก่อนจังหัน

         ต่อนี้ไปเร่งทอง เอาให้สมชื่อสมนามชาติไทยเราช่วยชาติตัวเอง เอาให้เต็มเหนี่ยวนะคราวนี้เอาให้เด็ดเลย ผลที่จะเข้าสู่คลังหลวง ทองคำคราวนี้ให้สมชื่อสมนามคนไทยทั้งประเทศ ๖๒ ล้านคน คราวนี้ทองคำเข้าให้มันลือทั่วโลกเป็นไรวะ ตั้งแต่เมืองไทยเราจะจมยังลือทั่วโลก ทีนี้เวลามันฟื้นก็ต้องให้ลือด้วยกันซิ หมัดซ้ายมี หมัดขวามี ต่อย หมัดซ้ายแพ้ หมัดขวาฟาดชนะ นั่นเข้าใจไหม จะไปถอยมันง่ายๆ เหรอ ต้องเด็ดนะพี่น้องชาวไทยเรา อย่าเป็นคนหลักลอย เอาศาสนามาสอนท่านทั้งหลายนะ ศาสนานี่ฟื้น ฟื้นตลอดนะ ไม่ได้เหยียบจม ความประพฤติของเราเวลานี้เหยียบเจ้าของ ทับเจ้าของ ทับชาตินะ เลว

         ธรรมนี่มาสอนโลก ถ้าธรรมสอนโลกไม่ได้เหลวหมดเลย ให้ท่านทั้งหลายจำให้ดี เราเป็นห่วงจริงๆ เป็นห่วงพี่น้องชาวไทยเรา ทางด้านจิตใจที่เคยเป็นนิสัยโลเลๆ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่มีหลักมีเกณฑ์ อันนี้เสียมาก จำให้ดีทุกคน นี่เราเป็นห่วงชาติไทยของเรา ศาสนานี่แหม เยี่ยมแล้วนะ หาที่ต้องติไม่ได้ เราพิจารณาเต็มหัวอกเราแล้ว ได้เอามาพูดนี้ถอดออกมาจากนี้เลย ดึงธรรมพระพุทธเจ้าสอดเข้ามานี้ ดึงออกจากนี่ทีนี้ออกละ เข้าใจไหมล่ะ เราพูดนี่พูดด้วยความเป็นห่วงจริงๆ ห่วงจิตใจพี่น้องชาวไทยมากยิ่งกว่าวัตถุนะ

         วัตถุไม่จมชาติไทยเรา ใครจะยกทัพมาทั้งโลกนี้ว่าเมืองไทยจะจมด้วยความอดอยาก อย่ามา ว่างั้นเลย อย่ามาแตะนะ ฟาดให้มันพังทั้งโคตรสูนะ เข้าใจไหม มันจนที่จิตใจเรา ไม่สมชื่อสมนามว่าเป็นลูกชาวพุทธเข้าใจไหม นี่จึงเอาพุทธมาสอนท่านทั้งหลายเวลานี้ ให้รู้เนื้อรู้ตัวทุกคน เหลวไหลที่จิตใจ หลักลอย ไม่มีกฎมีเกณฑ์ สำคัญที่มันเคยนิสัย คือเมืองไทยเราไม่เคยอดอยากขาดแคลนแต่ไหนแต่ไรมา ทีนี้มันก็ปรับตัวไม่ทันล่ะซิ วิ่งตามเขา อะไรมาๆ ดีหมดๆ ถ้าเป็นของเมืองนอกเมืองนามาอยากจะกราบเสียก่อนค่อยซื้อเขา เข้าใจไหม มันขนาดนั้นนะมันลืมตัว นี่หมายถึงความลืมตัวเรา เหมือนอย่างว่าอยากกราบเขาเสียก่อน แล้วค่อยซื้อเอาของของเขา

         นี่ความลืมตัวของเรา ให้ฟื้นนะ ไม่ฟื้นไม่ดี นิสัยของเมืองไทยเรามันจะโลเลอย่างงี้อีกต่อไป ถ้าพุทธศาสนาช่วยไม่ได้ไม่มีอะไรช่วยได้ ถ้าให้กิเลสช่วยมันก็จะจมไปเลย เสริมไปเรื่อย จมไปเรื่อย ไม่รู้ตัวเลย คำสอนเลยเป็นข้าศึกต่อกิเลสตัวมันลืมตัวนะ ให้จำให้ดี ไม่มีใครสอนท่านทั้งหลายอย่างนี้ พูดจริงๆ ไม่มีองค์ไหนจะมาสอนแบบหลวงตาบัว นี่เราถอดออกมาจากหัวใจจริงๆ มาสอน ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไงมันเข้านี้หมด ออกมาสอน นี่ให้รู้ตัวนะ

         เรื่องจิตใจเรานี่ห่างเหินธรรมมากทีเดียว กิริยามารยาททุกสิ่งทุกอย่าง เฉพาะจิตใจมันดีดมันดิ้นไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นจึงสอนให้รู้ตัว ยับยั้งตัว อย่าพากันฟุ้งเฟ้อจนเกินไป มันก่อความทุกข์ ก่อความล่มจมให้แก่ชาติไทยของเรา ลูกหลานเกิดมาจะเรียนจากใคร ถ้าไม่เอาจากพ่อแม่ที่ตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ก็จมไปตามๆ กันหมด นี่ละอันนี้ให้จำให้ดี ให้พากันตั้งเนื้อตั้งตัว ให้เป็นเนื้อเป็นหนังของเราเป็นลำดับลำดาไป อย่าอ่อนแอต่อชาติไทยเลยในเรื่องความประพฤติ การปฏิบัติรักษาชาติไทยของเรา ศาสนาของเรา อย่าให้ใครมาแตะได้ นี่จึงเรียกว่ารักสงวนเนื้อหนังของตัวเอง ชาติตัวเอง ชีวิตของตัวเอง นั่น ไปทำโลเลอย่างงี้ไม่ได้นะ เสีย

         หลวงตาตายไปแล้วไม่มีใครสอนอย่างนี้นะ บอกตรงๆ อย่างนี้เลย เราเปิดโล่ง ออกมาสอนนี้ เราไม่ได้เกรงได้กลัวว่าใครจะมาตำหนิติเตียนเรา อันนั้นสูงอันนี้ต่ำไม่มี ธรรมเหนือตลอด เลิศตลอด เอาความเลิศมาหย่อน มาดึงขึ้นนี่น่ะ เดี๋ยวนี้มีแต่มูตรแต่คูถ ความลืมเนื้อลืมตัวของเรานี้ลากลงๆ เดี๋ยวจะเอาลูกเอาหลานอีกนะ ลากลูกลากหลานไปอีก ใครมีหมูมีหมากี่ตัวอยู่ในบ้านก็จะลากหมาลงไปอีก เดี๋ยวมันกัดเอานะจะว่าไม่บอก ข้าอยู่ดี ๆ มายุ่งข้าทำไม เออจะลากลงนรกด้วยกัน ว่างั้น ข้าไม่อยากลง นั่นหมามันก็ตอบได้ใช่ไหม ข้าไม่ลงอย่ามายุ่ง เดี๋ยวกัดนะ ว่าไง เข้าใจไหมล่ะ

         นี่ความลืมตัว ต้องเอาหมามาสอนพวกเรา ไปดูซิหมาสองตัว เราไปดูมันเมื่อวานนี้ มันมีตัวหนึ่งไอ้คอด่างๆ มันอยู่ในบ้านนั่น มันแอบมาสนิทกัน มาตีสนิทกัน อาศัยกินด้วยกัน เราไปเห็นมัน มันเห็นของอยู่ในจานเต็มอยู่ ไอ้สองตัวมันนอนเฝ้ามันอิ่มแล้ว เราก็เห็นมันไปวิ่งไปหาเขา คลอเคลียกับเขา ดมกันๆ ตัวหนึ่งอยู่ในกรง สองตัว ตัวนี้อยู่นอก มึงอิ่มแล้วล่ะ ลากอันนี้มาโหยซัดใหญ่เลยนะ พอเห็นซัด ทางนั้นก็ปีนเข้ามา มึงอยากตายอีกเหรอ กูไม่ให้มึง มึงเฝ้าอยู่ทำไม มึงไม่กิน เขาเลยให้ไอ้นวลไปเอามาให้กินจนท้องป่องมันก็ไปบ้านมัน  มันสนิทกัน มันรู้กันหมา เห็นไหมล่ะ

         แล้วพูดเรื่องอะไรมาหาหมาลืมแล้วนะ อย่างงั้นละพูดเดี๋ยวนี้ คือจะเอาเป็นข้อเปรียบเทียบเข้ามานะพอพูดแล้วหายเงียบ อย่างนี้ละความจำไม่เป็นท่านะ เพราะฉะนั้นการเทศน์จึงอ่อนลงทุกวัน ไม่เป็นท่านะเดี๋ยวนี้เทศน์ จะเทศน์ไม่ได้ละ อ่อนลงทุกวันๆ จนจะระอาใจที่จะเทศน์ เครื่องมือไม่เอาไหน เป็นอย่างงั้น

         ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทุกคนนะ ให้มีหลักมีเกณฑ์ ให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเอง อย่าคลอนแคลนดังที่เป็นมานี้ดูไม่ได้นะ เอาพุทธศาสนามาจับดูแล้วกับเราว่าลูกชาวพุทธนี้มันเข้ากันไม่ได้ ว่าอะไรตั้งแต่นั้น มันสกปรก ของไม่ดีมันต้องสกปรกสำหรับผู้สะอาด ธรรมพระพุทธเจ้าสะอาดที่สุดเลย แล้วพวกเราเป็นลูกพระพุทธเจ้ามีแต่มอมแมม โอ๊ย เต็มไปด้วยส้วมด้วยถานเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า เข้าใจไหมล่ะ มันดูได้ไหมล่ะ พระพุทธเจ้าสะอาดขนาดไหน พวกเรานี้มอมแมมๆ แล้วเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านจะเอาพระหัตถ์ไปตบเอานี้ท่านก็กลัวเปื้อนพระหัตถ์ ท่านเลยไม่ตบ

         นี่ละพวกเรามันสกปรก มันไม่เอาธรรมเข้ามาซักมาฟอกเลยพอได้เข้ากราบพระพุทธเจ้าได้ เดี๋ยวนี้ใครก็ถือพุทธๆ อยู่นอกกำแพงนั้นเข้าไปหาพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันเป็นอย่างงั้นนะ ให้ตั้งใจทุกคน ผู้ใหญ่นี้ละตัวสำคัญเป็นแบบพิมพ์ของลูกๆ หลานๆ ถ้าที่นี่ดีแล้วจะเป็นไปด้วยกันหมด เพราะแบบพิมพ์อยู่กับผู้ใหญ่ อยู่กับพ่อกับแม่ ผู้ปกครอง แล้วโรงร่ำโรงเรียนที่ไหนให้เป็นแบบพิมพ์ด้วยกัน อย่าสักแต่ว่าสอน สักแต่ว่าสอนใช้ไม่ได้ ให้ได้หลักได้เกณฑ์ไปใช้ พุทธศาสนาอะไรจะเลิศเลอกว่า เราพิจารณาค้นเต็มหัวใจเราแล้ว จึงได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย

         เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา พูดจริงๆ นะ เราไม่หาพระพุทธเจ้าว่างั้นเลย เราไม่หา มันจ้าอยู่นี่หมดแล้ว หมอบราบๆ ทุกอย่างไม่มีที่ค้านได้เลยธรรมพระพุทธเจ้า ให้พากันตั้งใจ สนใจปฏิบัตินะ อย่าฟุ้งเฟ้อเกินเนื้อเกินตัว ของเมืองนอกเมืองนาอะไร ๆ คว้ามับ ๆ มิหนำซ้ำยังกราบเขาเสียก่อนแล้วซื้อของเขา แหม เลวมากนะ เป็นยังไงเมืองไทยเรา มันเลวตรงนี้ จำให้ดีคำนี้ อย่างอื่นดีหมดนั่นแหละ แต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนี่มันจะทำให้ชาติจมได้นะ เมืองโลเล เมืองไม่มีหลักมีเกณฑ์ ต้องให้มีหลักมีเกณฑ์สงวนเนื้อหนังเป็นของตัวซิ ชาติเป็นของเราจะว่าไง ลูกเป็นลูกเรา ผัว-ผัวเรา เมีย-เมียเรา ต้องรักต้องสงวนกัน นี่ตีกระจายออกไปทั่วโลก ให้มีเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นของตัว เป็นสัดเป็นส่วนอย่างนี้ถึงจะถูก โลเล ๆ

         พูดไปพูดมามันก็เหนื่อย ผู้ฟังอยู่สบาย ผู้ดุเลยจะตาย เอาละหยุดแหละนะ เสร็จแล้วนะให้พร ได้เวลาแล้ว (โยมถวาย ๒๐๐ ดอลลาร์) เออพอใจ ๆ อันนี้ถูกต้อง เอามามากๆ เถอะ อย่างนี้ถูกต้องไปเอามา อยู่ที่ไหนทองคำเอามา อยู่ตามคอ ตามข้อมือของใครๆ กระเป๋าใครฉีกมาอันนี้ถูกต้อง เข้าใจไหม อย่างที่ว่านั้นเหลวไหลใช้ไม่ได้นะ นี่เราบำรุงเนื้อหนังของเราเข้าใจไหมที่ว่าถูกต้อง มันบกพร่องตรงไหนชาติไทยของเราเอาขนเข้ามาหนุน อย่างที่พาทำอยู่เวลานี้นะ ให้พร

 

หลังจังหัน

         เรารักเราสงวนชาติไทยของเรา ทุกอย่างเรารักเราสงวน พี่น้องชาวไทยเราก็รักสงวน อยากให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรม ให้สมนามว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ ไม่อยากให้เร่ ๆ ร่อน ๆ เหลว ๆ ไหล ๆ โลเลโลกเลก จิตไม่มีหลักอย่างนี้เสีย อย่างที่ว่าเมื่อเช้านี่ละ ให้พากันคิดทุกคน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ออกจากจิตใจของเราที่รวนเร ฟุ้งเฟ้อ แล้วสิ่งอะไรๆ มันก็ไม่พอล่ะซิ หัวใจไม่พอเสียอย่างเดียวมันก็ยุ่ง กว้านเข้ามา กว้านเข้ามา ซื้อนั้นซื้อนี้ เอานั้นเอานี้ยุ่ง ถ้าให้เป็นไปตามความฟุ้งเฟ้อนี่ไม่มีเมืองพอ ตายทิ้งเปล่า ๆ ให้มีความพอดิบพอดี มีการยับยั้งเรียกว่าธรรม ธรรมมีความพอดี อย่าให้มันผาดโผนแต่ทางชั่วนัก ไม่น่าดูเลย

         ดูซิพระพุทธเจ้า ครั้งพุทธกาลท่านเอาธรรมเขียนไว้ทำไม อย่างพระอานนท์เป็นคติตัวอย่าง จีวรขาดท่านไม่ยอมทิ้ง พระอานนท์ทำ องค์อื่นท่านก็ทำ แต่ยกพระอานนท์ขึ้นองค์เดียว เพราะนิสัยพระตามหลักของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะมีหลักมีเกณฑ์ๆ ตลอด ตามแบบของพระ ความประหยัด ที่สำคัญหลักของพระ คือความปรารถนาน้อย คืบขึ้นไปหน่อยก็ สนฺตุฏฺฐี ใช้ตามมีตามเกิด น้อยกว่านั้นถึงจะมีก็ตามเอาแต่น้อยเท่านั้น นี้หลักของพุทธศาสนา ของพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านปฏิบัติมาแต่ก่อน  มีมากเอาแต่น้อย ขยับขึ้นไปเรียกว่าลดส่วนลงมาก็ได้ อย่างมากก็ใช้ตามเกิดตามมี ไม่รบกวน ไม่ยุ่งใคร ไม่มีความปรารถนาให้เลยฝั่งออกไปจากพระ นี่หลักของท่านที่ใช้มา

         ในสัลเลขธรรม ๑๐ ประการท่านแสดงไว้เป็นหลักของพระผู้ปฏิบัติ เพื่อแก้ไขถอดถอนกิเลส อปฺปิจฺฉตา มีความปรารถนาน้อย ได้มากเท่าไรไม่เอา เอาใช้น้อย ๆ ขยับขึ้นมาเป็นความไม่ผาดโผน เป็นความพอดีก็ว่า สนฺตุฏฺฐี ใช้ตามที่เกิดที่มี ไม่รบกวน ไม่ยุ่งกับใคร จากนั้นก็ วิริยารัมภา ประกอบความพากเพียรเป็นหลัก วิเวกกตา ชอบหาแต่ที่สงบสงัดเป็นที่ประกอบความเพียร อสังสัคคณิกา ไม่คลุกคลีกับเพื่อนกับฝูง กับใครก็ตามที่ไม่จำเป็นจริง ๆ จากนั้นก็เพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา วิมุตติหลุดพ้น นี่ละทางสายนี้เพื่อวิมุตติหลุดพ้น นี่หลักของธรรมที่ท่านแสดงไว้ สัลเลขธรรม เครื่องขัดเกลากิเลส ซักฟอกกิเลสโดยถ่ายเดียว คือธรรม ๑๐ ประการนี้ที่เด่นกว่าเพื่อน นั่นท่านว่า

         ตั้งแต่ อปฺปิจฺฉตา - สนฺตุฏฺฐี - วิริยารัมภา - วิเวกกตา - อสังสัคคณิกา จากนั้นก็เพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา วิมุตติหลุดพ้น นี่ละธรรม ๑๐ ประการท่านแสดง ใครดำเนินตามนี้จะแคล้วคลาดปลอดภัยถึงความพ้นทุกข์ได้โดยไม่สงสัย เพราะทางนี้ทางเพื่อความพ้นทุกข์สำหรับพระผู้บวชมา เพื่อจะทรงมรรคทรงผล ส่วนนอกนั้นไปก็ให้อยู่ในกฎเกณฑ์ของฆราวาสญาติโยม อย่าให้เลยเถิด ให้พอดิบพอดี อปฺปิจฺฉตา ที่ท่านสอนไว้เกี่ยวกับฆราวาส อปฺปิจฺฉตา นี้บอกว่าให้มีเพียงผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น มักน้อยที่สุดเลย พอได้อันนี้แล้วเหมือนว่าขีดเส้นตายเลยธรรม ขีดเส้นตายไม่ให้เลยฝั่งออกไป มีสองมีสามเอาไฟเข้ามาเผา ท่านจึงขีดเส้นตายกั้นเอาไว้

         อปฺปิจฺฉตา มีผัวเดียวเมียเดียวนี้พอแล้ว พระพุทธเจ้าว่าพอแล้ว ธรรมะบอกว่าพอแล้ว ถ้าเลยฝั่งไปนี้จะเป็นไฟเผาตัวเองและเผาครอบครัวเหย้าเรือนไม่มีที่สิ้นสุด นี่ละสอนฆราวาส สอนพระนี่ อปฺปิจฺฉตา ตั้งแต่วัตถุสิ่งของที่ใช้สอยมานี้ ให้มีความมักน้อยเสมอทุกอย่าง ตลอดภายในใจพยายามไม่ให้จิตสั่งสมอารมณ์ ให้มีน้อยมาก ๆ อารมณ์ที่กวนใจ ๆ เอาสมาธิภาวนานี่ตีเข้าไป อารมณ์ที่มากให้น้อยลง ๆ นั่นท่านว่า สอนเข้าไปเป็นลำดับลำดา

         วิเวกกตา นี้ก็หมายถึงว่า ชอบความวิเวกสงบสงัด เป็นพื้นฐานของพระ เอาความวิเวกสงัดเป็นพื้นฐานที่อยู่หลับนอนของพระ สงัดตลอดเวลา จากนั้นก็เป็นขั้นหนึ่งของที่อยู่นะ เรียกว่า กายวิเวก ความสงัดของกาย แล้วจะเป็นไปเพื่อจิตวิเวก ความสงบสงัดของจิต จากนั้นก็อุปธิวิเวก เป็นความสงบอย่างราบคาบ คือความพ้นทุกข์ของจิต อุปธิวิเวกคือสงัดใจ ขาดจากสิ่งก่อกวนโดยประการทั้งปวง ท่านแสดงไว้ นี่ละธรรมที่กล่าวนี้จะไปหาจุดนี้ เมื่อกายวิเวก แล้วจิตวิเวก สงบสงัดจิต อุปธิวิเวก ฆ่ากิเลสหมด นั่น ท่านแสดงไว้มีธรรม ๑๐ ประการ เกี่ยวโยงกันกับสิ่งเหล่านี้

         วิริยารัมภา ประกอบแต่ความพากความเพียร ไม่สนใจไยดีกับอะไร สมกับสละโลกที่เคยหมักหมมกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ออกโดยลำดับลำดา เพียรเพื่อละกิเลส เพียรตลอด อสังสัคคณิกา คือไม่คลุกคลีกับใคร ถ้าไม่จำเป็นไม่คลุกคลี แม้แต่เพื่อนฝูงด้วยกันก็จะสมาคมกันในเวลาที่จำเป็นเพื่ออรรถเพื่อธรรม นอกนั้นก็ให้อยู่โดยลำพังคนเดียว นั่นละพระพุทธเจ้าสอน นี้คือทางพ้นทุกข์ของพระ คือทางเดินเพื่อภาชนะอันใหญ่หลวงคือมรรค ผล นิพพาน ท่านแสดงไว้อย่างนี้ เราไม่ได้อย่างนั้นก็ให้เอาระดับของเราเป็นฆราวาสมาใช้ พอเป็นแบบเป็นฉบับแก่ฆราวาสเหย้าเรือนของเรา ก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเอง

         เราได้เทศน์เมื่อเช้านี้ อย่าพากันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว เสียเรา เสียคน แล้วเสียหมดจนกระทั่งประเทศไทย ถ้าใครก็มีแต่กิริยาอย่างเดียว ความปรารถนาอย่างเดียว ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมอย่างเดียว แล้วจม เมืองไทยจมได้ เราอย่าไปคิดว่าใครจะมาทำให้จม คนไทยเราแต่ละคน ๆ ที่มีนิสัยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแล้วก็เป็นไฟเผาสมบัติ แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ ให้พากันพินิจพิจารณาให้ดี ให้พากันสร้างหลักใจให้ดี ให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเอง สิ่งภายนอกนั้นไม่จำเป็น อย่าพากันดีดกันดิ้นจนเกินไป

         ถ้าไม่มีจริงๆ ไม่ว่าเขาว่าเราซื้อหากันได้ เพราะเราไม่มี เราจำเป็นต้องซื้อเขา ให้รู้ว่ามันไม่มีจริงๆ ทั้งๆ ที่ของมีอยู่นี้ แล้วเห็นของอื่นดีกว่าของมีอยู่ของเรา อันนี้ทำให้ลืมตัวไปอย่างมากทีเดียว ผิดนะ ตรงนี้ผิด ถ้าเรามีอยู่เราไม่จำเป็นต้องซื้อ สิ่งของอะไรๆ ในบ้านในเรือนของเรา  เราใช้ของในบ้านในเรือนของเรา ในเมืองของเรา แล้วก็เป็นการช่วยหนุนกัน เช่นแม่ค้าพ่อค้าอยู่ที่ไหนซื้อกัน เอา ซื้อกันหนุนกัน เมื่อมีรายได้ เมื่อเห็นมีผู้ซื้อคนเราก็มีแก่ใจ สิ่งนี้ๆ ขายพวกกันเองซื้อกันเอง หนุนกันเองๆ เงินก็ไม่รั่วไหลแตกซึมออกไปภายนอก ก็เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองเป็นลำดับ บำรุงตัวเองขึ้นเป็นลำดับ

         คนไทยเราไม่ใช่คนโง่ถ้าไม่ฟุ้งเฟ้อเสียอย่างเดียว ทำอะไรๆ ทำได้ทั้งนั้น คนไทยของเราโง่เมื่อไร ฉลาด เป็นแต่เพียงว่าความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมันลืมตัว นี่มากลบความฉลาดเสีย แล้วไปยินดีแต่ของคนอื่น ของนอกบ้านนอกเรือน นอกประเทศไป ทีนี้จิตใจเลยออกนอก ไม่ได้สนใจบำรุงรักษาตัวเอง ก็เสียตรงนี้ ให้พากันระมัดระวัง ถ้าภายนอกเราไม่มีของอย่างนี้ เราจำเป็นต้องซื้อ เขาไม่มีเขาก็ซื้อ ถ้ามีอยู่ในบ้านเมืองของเราให้ซื้อกัน บำรุงกัน อุดหนุนกัน มันก็เป็นการอุดหนุนน้ำใจกัน คนเมื่อมีรายได้แล้วก็ต้องมีแก่ใจ ขายอะไร ๆ ขายได้ดี มีแก่ใจจะผลิตให้ดีขึ้นๆ แล้วดีไม่ดีเขาสู้เราไม่ได้ เพราะคนไทยไม่ใช่คนโง่นี่นะ มันหากมาลืมตัว ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมหนังของตัวเอง ไปหาคนอื่นมาเป็นเนื้อหนัง มันก็มากัดเนื้อหนัง เพราะสิ่งภายนอกเป็นเรื่องกาฝากมันเข้ามากัดภายในของเรา ให้สึกให้หรอ ให้กร่อนไป จนกระทั่งหมดเนื้อหมดหนัง  เพราะนิสัยใจคอของเราหมุนไปทางนอกดีกว่าทางภายใน

         ถ้าอย่างนี้บำรุงเมืองไทยไม่ได้นะ จะเป็นการบำรุงภายนอกไปเสีย ถ้าจะบำรุงตัวของเรา ไปไหนไปเถอะ ถ้าเป็นเรื่องของคนไทยแล้วเอาอะไรเอากัน เขาก็มี เราก็มี  เอาของเราเลย นั่น อย่างนั้นมันถึงถูก อย่าพากันฟุ้งเฟ้อเกินไป อันนี้รู้สึกเสีย ไม่มีใครพูดอย่างนี้ละพระทั่วประเทศไทยว่างี้ เพราะเกรงเขา เกรงเรา เกรงใจเขา เกรงใจเรา ทั้งๆ ที่ผิดจะพูดออกไปก็เกรงใจเขา เกรงใจเรา นี้คือความติดเขาติดเรา ความติดเขาติดเราเลยเป็นภูเขาทั้งลูก ข้ามไม่ได้ ปีนไม่ได้ เลยติดอยู่นั่นเสีย ให้ติดธรรมซิ ถ้าติดธรรมแล้วก็ไม่ติดเขาติดเรา เอาธรรมเป็นเกณฑ์เข้าไปเลย ความถูกต้องดีงามอยู่ตรงไหนให้ก้าวเดินไปทางนั้น นั่นอันหนึ่ง

         อันหนึ่งไม่ติดเขาติดเราด้วยจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว เช่นจิตพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่ติดอะไร มีแต่ธรรมล้วนๆ ออกเลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นี่เรียกว่าธรรมล้วนๆ ทีนี้คนเราเมื่อมีกิเลสอยู่ก็ให้ธรรมเข้าแทรก อย่าติดเขาติดเราจนเกินไป จะว่าอะไร เตือนกันอะไร ทั้งที่มันผิดก็ไม่กล้าเตือนอย่างนี้ไม่ถูก เตือนที่เตือนเพื่อความถูกต้องเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกิเลส ไม่ใช่เป็นภัย ควรเตือนกันก็เตือนกันได้คนเรา นี่คำว่าต่างคนต่างเตือนกันได้ ผิดถูกประการใดก็แก้ไขกันไปซิ นี่ละถูกต้อง ให้พากันรักสงวนไว้นะสมบัติของชาติไทยเรา คือพระพุทธศาสนานำมาเข้าสู่จิตใจของเรา สมบัติของเมืองไทยเราคือใจของเรามีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ทุกอย่าง นี้ถูกต้อง

         พูดถึงเรื่องที่ความปรารถนาน้อย คือพระท่านดำเนินมาในครั้งพุทธกาล อย่างพระอานนท์ผ้าจีวรขาด ท่านไปเอาผ้าจีวรมายำให้แหลก ขยำกับตมกับโคลนแล้วโปะเป็นฝาผนังขึ้นไป ทางนู้นมันคงจะร้อนมาก เอามาโปะเป็นฝาผนัง อะไรพอใช้ได้ท่านนำมาใช้ปะติดปะต่อ อย่างปัจจุบันนี้ก็ไปดูซิพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น เห็นไหมบริขารท่านไปดูซิ เอามาปะติดปะต่อเศษๆ ผ้า เห็นไหมนั่น นั่นละท่านปฏิบัติตามธรรม ไม่สร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีพออยู่ พอกิน พอใช้ พอยังใช้อยู่ใช้ไป พอปะ ปะ พอชุน ชุนไป  อย่างบริขารของหลวงปู่มั่นท่านทำไว้เป็นศาสตราจารย์องค์เอกทีเดียว

         ไม่มีความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ฆราวาสเราถ้าไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ให้รู้จักพอเหมาะพอดีในความเป็นฆราวาสของเรา ก็เรียกว่าเดินตามครู ทางฆราวาสให้พากันไปปฏิบัติ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป เสียนิสัยนะ ถ้าลงได้เสียนิสัยความฟุ้งเฟ้อ ไม่ยินดีในสมบัติที่มีอยู่ของตนแล้วลูกหลานเกิดมาก็เป็นบ้าไปตามเขานั่นแหละ เมืองเราเลยเป็นเมืองบ๋อยเขา ดังที่พูดเมื่อเช้านี้ ดีไม่ดีไปกราบเขาเสียก่อน เขามีอะไรของเมืองนอกมาขายเรา เราไปกราบเสียก่อนแล้วซื้อเขา เข้าใจไหม มันลงใจในเขาถึงขนาดนั้น ลืมตัว เห็นตัวไม่มีค่ามีราคา มีราคาตั้งแต่ของภายนอก เสียหมดนะ จำให้ดีทุกคน

         วันนี้ก็พูดเท่านั้นละ ไม่พูดมาก องค์อื่นๆ ไม่มีพูด ไม่พูด พูดอย่างนี้ เกรงเขาเกรงอย่างว่า หลวงตาบัวนี้เกรงธรรม ไม่ได้เกรงใคร เกรงธรรม ธรรมพาก้าวเดินยังไงไปอย่างงั้น ให้พรนะ

        มาสมัยปัจจุบันนี้ เราก็พูดจริงๆ อย่างนี้ละ บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่มีความมักน้อยที่สุด เรายกให้เลยคือท่านอาจารย์หลุย อาจารย์หลุยที่มาเสียอยู่ที่ทางหัวหิน นี่ก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่นองค์หนึ่ง มักน้อยที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นไม่มีใครเกินอาจารย์หลุย ท่านอาจารย์หลุยออกหน้า เป็นเอตทัคคะเลิศในทางความมักน้อย ไม่เอาอะไร ใครถวายอะไรไม่เอาทั้งนั้นๆ จีวรใหม่ๆ ท่านก็ไม่อยากใช้ ท่านใช้จีวรเก่าๆ ไปเฉพาะตัวๆ เลย ใครเอาอะไรมาให้ไม่เอาทั้งนั้น ไปเลย นี้ยกให้เด่นในครูบาอาจารย์ทั้งหลายบรรดาที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เรายอมรับ ยอมท่านเลยว่าท่านเก่งมาก มักน้อยมากท่านอาจารย์หลุย

         ดูว่าพอมรณภาพแล้วอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ นั่นเห็นไหมล่ะ เป็นพระธาตุ อัฐินี้จะเป็นพระธาตุไม่ได้นอกจากพระอรหันต์อย่างเดียว ในตำราบอกชัดเจน อัฐิที่กลายเป็นพระธาตุแล้วมีเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น บอกว่าเท่านั้นเลย นี่ท่านอาจารย์หลุยก็เป็นอย่างงั้น ก็ประกาศแล้วนั่นหลักธรรมชาติ ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม หลักธรรมชาติ คือธรรมนั่นเอง เป็นอย่างนั้น

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก